สงสัยเรื่อง อานาปานสติ ครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย บัญชา_, 21 สิงหาคม 2012.

  1. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ...ใหน ใหน ก้ ใหน ใหน ขอนำ พระวจนะ เรื่อง สติปัฎฐานสี่บริบูรณ์ เมื่ออานาปานสติบริบูรณ์ พระวจนะ"....ภิกษุทั้งหลาย ก็อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้วอย่างไรเล่า จึงทำสติปัฎฐานสี่ ให้บริบูรร์ได้....ภิกษุทั้งหลาย สมัยใดภิกษุ1) เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้สึกตัวทั่วถึง ว่าเราหายใจเข้ายาว หรือเมื่อหายใจออกยาว ก็รู้สึกตัวทั่วถึง ว่าเราหายใจออกยาว ดังนี้ก็ดี2) เมื่อหายใจเข้าสั้นก็รู้สึกตัวทั่วถึงว่าเราหายใจเข้าสั้น หรือเมื่อหายใจออกสั้น ก็รูสึกตัวทั่วถึงว่าเราหายใจออกสั้งดังนี้ก้ดี 3)ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง จักหายใจเข้า จักหายใจออก ดังนี้ก็ดี 4)ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำให้กายสังขารรำงับอยู่ จักหายใจเข้า จักหายใจออกดังนี้ก็ดี ภิกษุทั้งหลายในสมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า ตามเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ เป็นผู้มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้ ภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวลมหายใจเข้า และลมหายใจออก ว่าเป็นกายกายหนึ่งในบรรดากายทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายเพราะเหตุนั้นในกรณีนี้ ภิกษุนั้นย่อมชื่อว่า เป้นผู้ตามเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ.........ภิกษุทั้งหลาย สมัยใดภิกษุ5) ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปิติ จักหายใจเข้า จักหายใจออก ดังนี้ก้ดี6) ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข จักหายใจเข้า จักหายใจออกดังนี้ก็7)ย่อมทำใบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่ง จิตสังขาร จักหายใจเข้า จักหายใจออกดังนี้ก้ดี8)ย่อมทำในบทศึกษา เราเป็นผู้ทำจิตสังขารให้รำงับอยู่ จักหายใจเข้า จักหายใจออกดังนี้ก็ดี ภิกษุทั้งหลายสมัยนั้นภิกษุนั้น ชื่อว่าเป็นผู้ตามเห็น เวทนา ในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ เป็นผู้มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้ ภิกาุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวว่า การทำในใจเป็นอย่างดี ถึงลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ว่านั่นเป็นเวทนาอย่างหนึ่งในบรรดาเวทนาทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นในกรณีนี้ ภิกษุนั้นย่อมชื่อว่า เป็นผู้ตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ..........ภิกษุทั้งหลายสมัยใดภิกษุ9)ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต จักหายใจเข้า จักหายใจออกดังนี้ก็ดี 10)ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ จักหายใจเข้า จักหายใจออกดังนี้ก้ดี11) ย่อมทำใบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ จักหายใจเข้า จักหายใจออกดังนี้ก็ดี 12)ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่ จักหายใจเข้าจักหายใจออกดังนี้ก็ดี ภิกษุทั้งหลาย สมัยนั้นชื่อว่า เป็นผู้ตามเห็น จิตในจิตอยู่เป็นประจำ เป็นผู้มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทนัสในโลกออกเสียได้ ภิกษุทั้งหลายเราไม่กล่าวว่าอานาปานสติเป็นสิ่งที่มีได้ แก่บุคคลผู้มีสติอันลืมหลงแล้ว ผู้ไม่มีสัมปชัญญะ ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นในกรณีนี้ ภิกษุนั้น ย่อมชื่อว่าเป็นผู้ตามเห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ...................ภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุ13) ย่อมทำนบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ จักหายใจเข้า จักหายใจออกดังนี้ก้ดี14) ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นความจางคลายอยู่เป็นประจำ จักหายใจเข้า จักหายใจออกดังนี้ก้ดี15) ย่อมทำในบทศึกษา เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ จักหายใจเข้า จักหายใจออกก้ดี16) ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ จักหายใจเข้า จักหายใจออก ดังนี้ก็ดี ภิกษุสมัยนั้นภิกษุนั้น ชื่อว่า ตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ เป็นผู้มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้ ภิกษุทั้งหลายภิกษุนั้น เป็นผู้เข้าไปเพ่งเฉพาะเป็นอย่างดีแล้ว เพราะเธอเห็นการละ อภิชฌาและโทนัสทั้งหลายของเธอนั้นด้วยปัญญา ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นในกรณีนี้ ภิกษุนั้นย่อมชื่อว่าเป้นผู้ตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ..............ภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้วทำให้มากแล้วอย่างนี้ ย่อมทำสติปัฎฐานสี่ให้บริบูรณ์......(อริยสัจจากพระโอษฐ์ ท่านพุทธทาส):cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2012
  2. คนไม่รุ้

    คนไม่รุ้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +116
    ได้ความรู้จากผู้รู้หลายๆท่านเลย
     
  3. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ฝึกอานาปานะสติ ก็คือ ฝึกสติปัฏฐาน

    เรียนรู้อานาปานะสติ ก็คือ เรียนรู้ สติปัฏฐาน

    สิ่งสำคัญคือ ต้องศึกษาวิธีการเดิน อานาปานสติ ในพระไตรฯมีบอกหมดแล้ว

    อ่านแล้วก็จำ แล้วก็ต้องน้อมไปทำตาม

    อย่าสนเท่ห์เลย
     
  4. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พระวจนะเรื่อง ทำสติปัฎฐานสี่ โพชฌงค์เจ้ด วิชชาและวิมุติให้บริบูรณ์....พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย ธรรมอันเอกนั้นมีอยู่ ซึ่งเมื่อบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมทำธรรมทั้งสี่ให้บริบูรณ์ ครั้นธรรมทั้งสี่นั้น อันบุคคลเจริญแล้วทำให้มากแล้ว ย่อมทำธรรมทั้งเจ็ดให้บริบุรณ์ ครั้ยธรรมทั้งเจ็ดนั้นอันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมทำธรรมทั้งสองให้บริบูรณ์ได้..........ภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติสมาธินี้แล เป็นธรรมอันเอกซึ่งเมื่อบุคคลเจริญแล้วทำให้มากแล้ว ย่อมทำสติปัฎฐานสี่ให้บริบุรณ์ สติปัฎฐานสี่อันบุคคลเจริญแล้วทำให้มากแล้ว ย่อมทำให้โพชฌงค์ทั้งเจ็ดให้บริบูรณ์ โพชฌงค์ทั้งเจ็ดอันบุคคลเจริญแล้วทำให้มากแล้ว ย่อมทำวิชชาและวิมุติ ให้บริบูรณ์ได้.....(อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาคปลาย หน้าที่ 1250):cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2012
  5. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ บัญชา_ [​IMG]


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    :cool:สงสัยเรื่อง อานาปานสติ ครับ:cool:
    <!-- google_ad_section_end -->


    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1>
    :cool:({) ขอบคุณทุกท่านที่บอกกว่าว มานะที่นี้ สมบูรณ์บ้างไม่สมบูรณ์ บ้างแต่ ก็มีเอาครูบาอาจารย์ มาให้ฟังให้อ่าน ขอเสริมครับ หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ จับลม ที่จมูก ที่เดียว เป็นมหาสติปัฏฐาน ๔ แต่ถ้าจับลม หายใจ มีความรู้สึก ที่ปลายจมูก ไหลลงไปที่กระทบที่อก และฐานที่ ๓ เหนือสดือนิดหน่อย เวลาออกกระทบ ที่เหนือสะดือ กระทบที่อก และที่ปลายจมูก ออกสั้น หรือยาว ให้รู้ แค่นี้พอ จะเอาทั้ง สามฐาน หรือฐานเดียวก็ได้ ดังที่กว่าวมา ถ้าได้อานานสติ ทั้ง ๓ ฐาน จะรู้เวลาตาย รู้อนาคต และบรรเทาทุกข์ เวทนาได้เป็นอย่างดี ถ้าทำถึง

    จับลม ๓ ฐาน เป็นกรรมฐาน ๔๐ สามารถ ทำได้ถึง ฌาณ ๔ ถ้าผู้ใดก็ตาม ไม่ทรงอานาปานุสติ กรรม ฐานกองอื่นไม่สามารถ อยู่ได้ และจะเสื่อมง่าย พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ทั้งหลาย ได้กว่าวไว้ว่า อานาปานุสติ เป็นกรรมฐานกอง สำคัญ ที่จะพยุง กรรมฐาน กองอื่นๆไว้ แม้แต่พระตถคต ยังกว่าวว่า อานัททะดู ก่อนอานนท เราตถาคต ก็มากไปด้วย อนาปานุสติ นี่เห็นไหม จะไม่กว่าวไปอีกแล้ว ทำให้ถึง เดี๋ยวก็รู้เอง คนกินเกลือ มันบอกว่าเค็ม คนไม่ได้กินเกลือ พูดเท่าไหร่ ก็ไม่รู้เรื่องหรอก ตำรา เป็นแนวทางให้เราเดิน แต่การปฏิบัติ มันรู้เองกินเอง ชงเอง ครับ เหมือนฟ้ากับดินนั่น แหละ:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 สิงหาคม 2012
  6. บัญชา_

    บัญชา_ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +29
    ขอบคุณมากเลยนะครับที่ให้ความรู้ ผมอ่านแล้วเข้าใจเพิ่มขึ้นมากเลยครับ
     
  7. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    ขอออกความเห็นหน่อยนะครับ รู้สึกว่าเห็นมาเยอะเหมือนกันนะ ที่ว่า อานาปานสติต้องท่อง พุท โธ อะไรอย่างนั้น ซึ่งจริงๆ ไม่ควรทีภาวนา คำว่า พุธ โธ หรือ ฟอง ยุบ ยุบหนอ ฯลฯ อะไรต่างๆ เพราะไม่ใช้คำที่พระพุทธเจ้าให้ทำ เเละถ้าดูจริงๆก็เป็นใช่นั้น ในการปฏิบัติ คำภาวนามันไม่ทำให้ง่ายขึ้น เเต่มันกลายไปทำให้ยากยิ่งขึ้น พระพุทธเจ้าท่านก็สอนให้ดูเเค่ลมเท่านั้น ทำให้การเจริญทั่ง สมถะ เเละวิปัสนา ง่ายกว่า ดูง่าย เเต่ถ้าใช้คำภาวนาประกอบมันจะกลายไปจับที่ทำภาวนา ไม่ได้ไปจับไว้ที่ลมหายใจอย่างที่พระองค์อยากให้ทำ มันก็จะวุ่นวายอย่างไม่ขาดคิด เพราะ ผู้รู้มัน จะรู้ได้เพียงทีละ1ธรรมชาติเเละพระพุทธเจ้าท่านอยากให้มันอยู่สัก1ที่ อย่างเช่นลมหายใจ(อานาปานสคิ) พระพุทธเจ้าบอกลมหายใจ เป็นกายอัน1ในกายทั่งหลาย รู้ลมชื่อว่ารู้กาย ให้เอาผู้รู้ มารู้ที่กาย ก็เรียกได้ว่าเป็นกายคตาสติเเต่ต้องรู้ลมหายใจเข้า-ออกอยู่นะ ไม่ได้ให้เอาสัญญามาร่วมด้วยอย่างพุทโธ มันก็จะทำให้ เกิด-ดับ ไม่หยุด เเล้ว ''ธรรม'' ที่มันจะปรากฏ มันก็ไม่เห็นสักที เพราะยังไม่นิ่งอยู่ที่ใดที่1 เช่นเมื่อรู้ลม คนพึ้งฝึกใหม่ๆลองดูนะ ถ้าใครตั้งปราถานาความอยากให้ ผู้รู้ มันรุ้เพียงลมหายใจ เข้า-ออกอย่างเดียว เเต่ด้วยความเป็นของธรรมชาติของมันไม่ใช่เรา มันก็จะหลุดไป รูปภายนอกบ้าง เวทนาบ้าง สัญญาบ้าง(อดีต อนาคต ปัจจุบัน) สังขารบ้าง ตรงนี้เป็นปัญญาทำให้รู้อะไรอ่ย่าง1ว่า ผู้รู้มันคุมไว้เเทบไม่อยู่ เพราะงั้นเลยต้องฝึกให้อยู่กับที่ก่อน
     
  8. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ทำความเข้าใจ ตรงสีน้ำเงิน ที่ว่า คำภาวนาทำให้ยากยิ่งขึ้น
    ยากอย่างไร ง่ายอย่างไร
    ตรงที่พี่เล่าปังยกมา หากพินาอีกจะทราบว่า ในการโยนิโสมนสิการคำครูอาจารย์ที่ท่านใช้องค์ภาวนานั้น ท่านสอนเพื่ออย่างไร
    และคำครูอาจารย์ที่ท่านสอนอานาปานสติสูตร ในแนวตรงท่านสอนอย่างไร ปฏิบัติอย่างไร
    ต้องพินาครับ ไม่ควรที่จะสรุปเอาว่าง่าย ว่ายาก เสียก่อน
     
  9. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337




    ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อใครผู้ใดจะกล่าวสิ่งใดให้ถูกต้องชอบธรรม
    ว่าเป็นอริยวิหารก็ดี ว่าเป็นพรหมวิหารก็ดี ว่าเป็นตถาคตวิหารก็ดี

    เขาพึงกล่าว อานาปานสติสมาธินี้แหละ
    ว่าเป็นอริยวิหาร ว่าเป็นพรหมวิหาร ว่าเป็นตถาคตวิหาร

    ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุเหล่าใดยังเป็นเสขะ ยังไม่ลุถึงธรรมที่ต้องประสงค์แห่งใจ
    ปรารถนาอยู่ซึ่งโยคเขมธรรมอันไม่มีอะไรยิ่งกว่า
    ภิกษุเหล่านั้น เมื่อเจริญแล้ว ทําให้มากแล้ว ซึ่งอานาปานสติสมาธิ
    ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย

    ส่วนภิกษุทั้งหลายเหล่าใด เป็นอรหันต์ สิ้นอาสวะแล้ว
    มีพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว เป็นผู้หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ

    ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อเจริญแล้ว ทําให้มากแล้ว ซึ่งอานาปานสติสมาธิ
    ย่อมเป็นสุขวิหารในปัจจุบันด้วย เพื่อความสมบูรณ์แห่งสติสัมปชัญญะด้วย
    ภิกษุทั้งหลาย ! ฉะนั้น เมื่อใครจะกล่าวสิ่งใดให้ถูกต้องชอบธรรม
    ว่าเป็นอริยวิหารก็ดี ว่าเป็นพรหมวิหารก็ดี ว่าเป็นตถาคตวิหารก็ดี
    เขาพึงกล่าว อานาปานสติสมาธินี้แหละ
    ว่าเป็นอริยวิหาร ว่าเป็นพรหมวิหาร ว่าเป็นตถาคตวิหาร ดังนี้

    - อิจฉานังคลสูตร มหาวาร. สํ. 19/412 – 423 /1364 – 1368.


    อย่าพึ้งไปเชื่ออะไรตามๆกันครับ ไม่ใช่เเนวทางที่พระพุทธเจ้าให้ทำ
    เจริญอานาปานสติดีที่สุดเเล้วครับพระองค์เรียกว่าเป็นธรรมสายเอก เหมือนที่กล่าวไว้ใน สติปฏิฐาน4 เลย บอกว่าเป็นเครื่องอยู่ของอริยเจ้า
    ไม่ใช่อย่างที่คุณเข้าใจอย่างที่ว่า เป็นเครื่องอยู่ของพระตถาคต อย่างเดียว
    เเต่
    ลองดูพระสูตรข้างบนอย่างภิกษุที่เป็นเสขะ พระองค์ยังเเนะนำให้เจริญอานาปานสติ
    เพราะเมื่อใครเจริญอานาปานสติอยู่พระองค์เรียกว่าเป็น อริยวิหาร ทั่งพรหมวิหาร
    ส่วน ตถาคคตวิหาร ก็คือเครื่องอยู่ของพระตถาคตนั้นเเละ
    เเล้วอานาปานสติ ก็เป็นเป็นเครื่องอยู่ ของพระอริยเจ้าทั่งหลายด้วย
     
  10. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    ดูอย่างอนิสงส์ที่เเท้จริงที่จะหวังได้ในปัจจุบัน ในการรู้ลมหายใจ ก็จะมีสูตรที่ว่า ถ้ารู้กาย(ลมหายใจ) ชื่อว่ารู้อมตะ เเต่ถ้าลืมลมหายใจชื่อว่า ลืมอมตะ
    ก็จะมาสอดรับกับพระสูตรนี้

    ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่ออานาปานสติ อันบุคคลเจริญ กระทําให้มากแล้ว อยู่อย่างนี้
    ( อธิบายอนาปานสติสูตรเต็ม)
    ผลอานิสงส์อย่างใดอย่างหนึ่ง ในบรรดาผล 2 ประการ เป็นสิ่งที่หวังได้
    คือ อรหัตตผลในทิฏฐธรรมนี้ ( รู้เห็นได้เลย )
    หรือว่า ถ้ายังมีอุปาทิเหลืออยู่ ก็จักเป็นอนาคามี

    - มหาวาร. สํ. 19 / 397 / 1313.
     
  11. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมอันเอกนั้นมีอยู่
    ซึ่งเมื่อบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมทำธรรมทั้ง 4 ให้บริบูรณ์
    ครั้นธรรมทั้ง 4 นั้น อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมทำธรรมทั้ง 7 ให้บริบูรณ์
    ครั้นธรรมทั้ง 7 นั้น อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมทำธรรมทั้ง 2 ให้บริบูรณ์ได้.

    ภิกษุทั้งหลาย ! อานาปานสติสมาธินี้แล เป็นธรรมอันเอก
    ซึ่งเมื่อบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมทำสติปัฏฐานทั้ง 4 ให้บริบูรณ์
    สติปัฏฐาน 4 อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมทำโพชฌงค์ทั้ง 7 ให้บริบูรณ์
    โพชฌงค์ทั้ง 7 อันบุคคลเจริญแล้วทำให้มากแล้ว ย่อมทำวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้.
    ปฐมภิกขุสูตร มหาวาร. สํ. 19 / 424 / 1402-1
     
  12. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    กลัวปฏิบัติผิด... ก็ไปอ่านในอานาปานสติสูตรสิครับ
    หรือจะไปอ่านในมหาสติปัฏฐานสูตรก็ได้
    แต่ยุคสมัยนี้ อะไรๆก็มักจะพาไปหามหาสติปัฏฐานสูตรกัน
    (แต่เชื่อมั้ยว่าหาคนอ่านมหาสติปัฏฐานสูตรจนจบยากเต็มที และไม่ต้องนับคนที่อ่านแล้วเข้าใจอธิบายได้ด้วยนะ)
    จนบางครั้งเหมือนกับเพ้อๆ เพ้อจนถึงขนาดยกกรรมฐานอย่างอื่นว่าไร้สาระก็มี

    อานาปานสตินั้นง่ายมาก ก็แค่จับลมหายใจเข้าออก รู้ว่าเข้า รู้ว่าออก
    ปฏิบัติผิดมันเป็นยังไงละ
    ถ้าอ่านแค่นี้แล้วยังทำผิด ผมว่าอย่าไปเพ้อกันเรื่องมหาสติปัฏฐานเลย
    มันยากเกินไปแล้วละ
    จับลมเข้า จับลมออก มันเข้าก็รู้ มันออกก็รู้
    แต่การจะทำได้ดี ทำได้ดี กับทำได้นี่ต่างกันนะ
    ทำได้ดี คือทำแล้วอารมณ์แนบแน่น ทำแล้วสมาธิทรงตัวได้ง่าย ได้เร็ว
    ก็ต้องตัดกังวลก่อน ศึกษาเรื่องนิวรณ์ จริงๆแล้วก็ไปหาหนังสือชื่อคู่มือการปฏิบัติพระกรรมฐาน ของพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง หรือคู่มือธุดงค์ก็ได้ ลองอ่านดู
    เพราะท่านจะสอนตั้งแต่การเตรียมตัวเตรียมใจก่อนปฏิบัติพระกรรมฐาน

    กรรมฐานส่วนใหญ่ ปฏิบัติไม่ได้ยาก ไม่ซับซ้อน
    แต่การเตรียมใจเข้าสู่พระกรรมฐานนั้น ควรศึกษา

    อ้อ... อานาปานสติ เมื่อปฏิบัติไปสักพักหนึ่ง ก็จะเจอนิมิตต่างๆ เจอปิติต่างๆ
    ศึกษาไว้ด้วยก็ดีครับ จะได้ไม่ตกใจ

    อานาปานสติ... ทำผิดแล้วต้องวนเวียนในสังสารวัฏ..
    ผมว่าถ้าไม่ทำห่านอะไรเลยมากกว่า ที่จะวงเวียนในสังสารวัฏ
     
  13. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337

    ก็อย่างที่ตรัสไว้ว่า เมื่อบุคคล คิด ถึงสิ่งใด ดำริ ถึงสิ่งใด หรือมีจิตปักลงไปในสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมเป็นอารมเพื่อการตั้งขึ้นของ วิญญาณ
    เเล้วต้องเข้าใจก่อนว่ารู้ลม เนี่ย ก็คือว่ารู้รุป เพราะพระองค์ตรัสไว้ว่า ในกายนี้มีมหาภูตรุปทั่ง4อาศัยอยู่ คือ ดิน น่ำ ลม ไฟ
    เพราะอย่างนี้ พระองค์ให้มีสติอยู่ที่ลมหายใจอย่างเดียว ก็เรียกว่ารู้ลมชื่อว่ารู้กาย เรียกว่าผู้อยู่กับเสาเขื่อนเสาหลัก รู้ลมนั่น ก็เป็นรูปเหมือนกันเเต่เป็นรูปภายในร่างกาย เเต่ก็จะมีอีกสูตรที่ไม่ให้ตั้งสยบในรูปภายในเหมือนกัน ช่วงเเรกรู้ลมก็คือรู้ลมนะคือรูป เเต่ถ้าภาวนานี้เรียกว่าสัญญา พระองค์ตรัสว่า วิญญาณอาศัยปัจจัยใดๆเกิดขึ้นก็ถึงความนับด้วยปัจจัยนั้นๆ วิญญาณรู้รุปก็เรียกว่า รูปเกิด
    วิญญาณรู้สัญญาก็เรียกว่าสัญญาเกิด ก็อุปมาเหมือนว่า ไฟ ถ้าไฟไหม้ป่า ก็เรียกว่าไฟป่าอย่างนี้น จะตรัสอีกสูตรว่าถ้า ผู้ใดจะกล่าวการปรากฏของวิญญาณโดยเว้นจาก รูป เวทนา สัญญา สังขาร นั้นไม่ได้ เพราะฉะนั้น มันจะเกิด-ดับ รู้เพียงทีละธรรมชาติ ผู้ใดจะกล่าว การเกิดของ รูป เวทนา สัญญา สังขาร ดังนี้นั่น เเต่ไปเว้น วิญญาน ผู้รู้ นี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ .. ก็ชัดเจนอยู่เเล้ว ให้รู้ลมก็ต้องไปรู้ลม ไม่ใช่ให้ไปรุ้สัญญาอะไร
    ปัญหาก็คือยังไม่ไปเรียนรู้อริยสัจ4ให้เข้าใจอย่างท่องเเท้กันเอง มันก็ช่วยไม่ได้ ก็จะคุยกันไม่รู้เรื่อง
     
  14. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    ^

    เพราะ ลมหายใจนั้นมันก็ไม่มีอะไรว่างเปล่า เเต่ต้องดูดีๆว่ามันมีตัวที่รู้ลมหายใจอยู่ ไม่ใช่ว่าลมหายใจนั้นเป็นเราหรือมีความรู้สึกขึ้นเอง เเต่มันมีสิ่งที่เข้าไปรู้ลมหายใจอยู่ใช่หรือไม่
    ตัวนี้มันคือวิญญาณที่กำลังรู้ลม หรือ รูป อยู่

    ถ้าไม่คิดอย่างนั้น ก็จะไปคิดว่าตัวรู้มันรู้ได้ทีละหลายๆธรรมชาติพร้อมๆกัน เป็น วิญญาณที่ไปรู้ทั่ง รูป ทั่ง สัญญา ได้พร้อมๆกัน ในเวลาเดียวกัน ไม่เกิดดับ สถาวะเดียว เที่ยงเเท้
     
  15. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    รูปลมไป ภานาวาไป เอ่ยย เกิด-ดับ ไม่รู้จัก กี่ล้านครั้ง

    เพราะไม่รู้ตรงพระสูตรว่า จิตดวง1เกิดขึ้น ดวง1ดับไป ไม่ใช่ทีละหลายๆดวง

    ใครคิดว่ารู้ลมไปดูทีวีไปได้ นี้ตกเป็นเหยื่อของ จิต มโ วิญญาณ สะเเล้ว มันจะเกิด-ดับเเม้ขณะคนฝึกใหม่ๆก็หลงกันได้ เเต่ปุถุชนที่ไม่ได้สดับนั่น ไม่มีทางเข้าใจว่ามันเกิด-ดับ ไวมากๆ ก็ไปคิดว่าทำอะไรได้พร้อมๆกัน
     
  16. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    เรียนรู้อริยสัจ4 ให้เข้าใจอย่างท่องแท้
    แหะๆไกลไปครับ ถ้าอ่านเอา จำได้ พอจะคุยรู้เรื่อง แต่หากก้าวเข้าสู่ความรู้แจ้งในอริยสัจจ 4 ผมยังไม่รู้เรื่องครับ
    ในส่วนของการภาวนา หากจะกล่าวในส่วนเฉพาะอานาปานสติสูตร ผมว่าอ่านง่าย หากแต่ในการปฏิบัติให้เข้าถึงยังต้องเพียรให้มาก ซึ่งเป้นปกติที่น่าจะต้องมีอุบาย ในการรู้จักลมเสียก่อน ผมเองก็เพิ่งจะรู้จักลมเมื่อไม่นานมานี้ จึงไม่อาจกล่าวละเอียดลงในวิธีปฏิบัติได้ ต้องฟังครับ พระอาจารย์หลายๆท่านกล่าวแนะนำไว้น่าปฏิบัติตามครับ ต้องลองฟัง แล้วโยนิโสมนสิการ นำมาปฏิบัติด้วยตนเองครับ เพราะพูดมันก็ผิดจากพระวัจนะเสียแล้ว จึงควรยกมาทั้งสูตร หรือศึกษาคำตถาคตโดยตรง หากยังอ่าน สดับไม่เข้าใจ ก็ควรฟัง ปฏิบัติตามสงฆ์สาวกก่อนครับ ที่นี้ที่ผมกล่าวมาเพียงเพื่อจะบอกเล่าว่า การปฏิบัติภาวนานั้น ในส่วนของคำบริกรรม หรือดูกาย นั้น เริ่มให้รู้จักความสงบ สมาธิ แล้วจึงสามารถรู้จัก ในส่วนของ รูป นาม และเห็นลมได้ ซึ่งตรงนี้ จะเริ่มพินาได้ในกองลม และเพิกคำบริกรรม หรือนำคำบริกรรม ดูกาย เข้าประกอบกองลม ในการปฏิบัติ ซึ่งส่วนนี้ เป็นรายละเอียดปลีกย่อย คงต้องปฏิบัติกับพระอาจารย์ นะครับ
     
  17. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    ผมจะเอาสูตรนี้ให้ดูละกัน เเต่พระองค์ตรัสลักษณะนี้ไว้เยอะมาก เรื่องทั่งหมดที่พระพุทธเจ้าบัญญัติมีเพียงเรื่องที่ว่า วิญญาณกับนาม-รูป มีตรัสไว้อยู่สูตร1 เเต่ดูสูตรนี้ก็พอ สายปฏจสมุปบาทสิ้นสุดเพียง วิญญาณ-นามรูป(รูป เวทนา สัญญา สังขาร)

    [๒๕๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เมื่ออะไรหนอ
    แลมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ เพราะ
    การใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงรู้ได้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติแลมีอยู่ ชราและ
    มรณะจึงมี เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า
    เมื่ออะไรหนอ แลมีอยู่ ชาติจึงมี ... ภพจึงมี ... อุปาทานจึงมี ... ตัณหาจึงมี ...
    เวทนาจึงมี ... ผัสสะจึงมี ... สฬายตนะจึงมี ... นามรูปจึงมี ... เพราะอะไรเป็น
    ปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า
    เมื่อวิญญาณมีอยู่ นามรูปจึงมี เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เรานั้นได้
    มีความคิดดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอแลมีอยู่ วิญญาณจึงมี เพราะอะไร
    เป็นปัจจัย
    จึงมีวิญญาณ เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อ
    นามรูปมีอยู่ วิญญาณจึงมี เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เรานั้นได้มี
    ความคิดดังนี้ว่า วิญญาณนี้แลได้กลับแล้วเพียงเท่านี้ ไม่ไปพ้นจากนามรูปได้เลย

    ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ โลกย่อมเกิด แก่ ตาย จุติและอุบัติ กล่าวคือ เพราะ
    นามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะ

    นามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ ฯลฯ
    ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลาย
    ที่เราไม่เคยได้ฟังมาในกาลก่อนว่า เหตุให้ทุกข์เกิด เหตุให้ทุกข์เกิด ดังนี้
     
  18. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    ^
    นี้ละ เหตุให้เกิดทุกข์ๆๆ สุดเเล้วเนี่ย การเกิดมีเพียงเพราะเรื่องนี้ เท่านั่นเอง

    ตัวทุกข์จริงๆ ก็คือ สิ่งที่คิดว่าเป็นเรานี้เอง ไง เเจ๋วไหม ถ้าไปอ่านเอาเองจะลึกกว่าที่ผมอธิบายให้ฟังอีก
    เพราะงั้นเพราะองค์เรียกว่า สัตว์โลกนี้หนอโดนผัสสะบังหน้าเเล้ว เพราะไม่รู้ว่า วิญญาณมันไปรู้ได้ทาง ตาฯลฯ โลกก็ไม่ปรากฏ เพราะงั้น ร่างกายคือรูป มันขาด วิญญาณ ไม่ได้
    เพราะไม่รู้การทำงานวิญญาณกับนามรูป จริง สัตว์ย่อมเกิดเเก่เจ็บตายอีก เเต่มันก็ระเอียดไปเรื่อยๆก็จะเข้าใจเองถ้าได้อ่าน
     
  19. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337

    ^
    สรุปง่ายๆคือ ไอ้ตัวที่รู้ หน้าจอคอมอยู่เนี่ยละ ตัวทุกข์ เข้าใจปะเนี่ย

    ไม่ใช่จากวิสัยของตาที่เห็นรุปนะ อย่างเดียว ตรงนี้ผมละไปเเล้ว สักกายทิฏฐิ เเละจะเข้าใจเเบบผมก็ต้องละตรงนั้นมาก่อน เพราะมันคือมหาภูตรูป มันจะเเก่เจ็บตายให้เห็นบังคับไม่ได้ เเต่เป็นตรง ผัสสะ จากไอ้ตัว วิญญาณ ที่มันเข้าไปรับรู้ทางตานี้ละ เกิด-ดับได้ด้วย ตัวทุกข์ของจริงๆ ถ้าไม่ศึกษาคำของตถาคตเอาเเต่เชื่อตามๆกัน เเล้วจะรอดไหมละครับ ก็จะไม่เชื่อว่านั้นไม่ใช่เรา มันก็จะคิดว่า ผู้รู้ รูป นั้นเป็นเรา เราเป็นรู้ รู้ลมหายใจ บางพวกเล่นไปดูทีวีไป รู้ลมไปด้วย มันก็เลยทำที่สุดเเห่งทุกข์กันไม่ได้หรอก
     
  20. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    ''ภิกษุทั่งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้มีการสดับ จะพึงเข้าไปยึดถือเอากายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั่งสี่นี้ โดยความเป็นตัวเป็นตนอย่างดีกว่า . เเต่จะเข้าไปยึดถือเอาจิต โดยความเป็นตัวเป็นตนไม่ดีเลย '''

    ^
    ก็จะบอกว่า กายมันมีอายุเวลากำหนดของมันคือ 10ปีบ้าง -100 ปีบ้าง เกิน100นิดๆก็จะตายกันหมด ยึดตรงนี้ยังดีกว่าเพราะยังมีตัวเลข

    เเต่ไปยึดจิต มโน วิญญาณ ไว้นั้น ภาษาชาวบ้านเรียกว่า อินฟีนีตี่ ไม่มีจำกัดเวลา จะไม่ปราฏกเงื่อนเบื้องต้นเบื้องปลายให้เห็นได้เลย เเล้วก็จะเป็นผู้ที่ติดอยู่กับ โสกะปริเทวโทมนัสอุปายสะ อีกยาวนานเลยนะ นี้เเละเหตุให้เกิดทุกข์ๆๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...