เรียนถามท่านผู้หยั่งรู้ฟ้าดินทุกท่าน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย วิหคอิสระ, 18 สิงหาคม 2012.

  1. overmage

    overmage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2011
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +128
    เอ่อ... ขออภัยอย่างยิ่งนะครับ บังเอิญเห็นกระทู้แล้วนึกถึงตัวเอง

    ก่อนอื่นอย่าเรียกผู้จะให้คำตอบได้ว่า "ผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน" เลยครับ ไม่ใช่หมอดูเทวดาในหนังจีน ^^

    ผมเองก็ไม่สามารถบอกอาการหรอกนะครับ เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าได้หรือเปล่า แต่มีเพียงข้อคิดเห็นตามแบบคนโง่อย่างผม

    1.คนตอบได้จนถึงระดับฌาณ 8 นั้น คงต้องเป็นคนที่ได้แล้วจริงๆ จึงตอบได้ แต่หากจะตอบแบบตามตำราคุณไปหาอ่านเอาเองง่ายกว่า ^^

    แต่ว่าจะให้เขาอธิบายว่า รู้สึกแบบนั้น แบบนี้ล่ะคงยาก อุปมาว่า ภรรยาผมปวดประจำเดือน ผมให้เขาอธิบายให้ฟัง ผมคงรู้ได้แค่ว่าปวด

    แต่คงไม่เข้าใจว่าปวดยังไง ^^

    2. ฌาณตามความเข้าใจของผมเป็นของมีเสื่อมนะครับ หากยังไม่ใช่ระดับโลกุตระ(พิมพ์ถูกป่าวนิ)

    3.นั่งแบบไหนถึงได้ฌาณกับญาณ ไม่รู้สิ แต่ผมเข้าใจว่าคงแบบสบายๆ กลางๆ ไม่เครียด ไม่ขี้เกียจ จนง่วงมั้ง

    4.แบบไหนที่รู้สึกชอบใจ และไปได้เร็วก็แบบนั้นมั้งครับ แต่.. อย่าหลงใช้ทางสายกูล่ะครับ

    5.ผมไม่สามารถตอบได้อย่างถูกต้องครับ แต่ตามตำรา คำว่าญาณ คือ ความรู้
    แต่ ฌาณ คือ อารมย์ชินครับ

    6. = = ถามข้อนี้ ผมนึกถึงอัฐิธาตุ หรื พระธาตุเลยนะครับ ผมไม่ทราบครับ ขออภัย T^T

    ทั้งหมดทั้งมวล ผมแค่รู้สึกว่า คุณทำให้ผมนึกถึงตอนฝึกใหม่ๆ แล้วอยากได้ฌาณ เลยหาข้อมูลไปทั่ว

    แต่แท้ที่จริงแล้วของทุกอย่างมันอยู่ที่เราเอง ไม่มีใครเสกให้เราได้มันมาได้ มีเพียงข้อแนะนำว่า จะให้ทำได้อย่างไร

    ถึงจะได้มันมาอย่างง่ายที่สุดเท่านั้นเอง เพราะสุดท้าย เราก็ต้องออกแรงเดินเอง ไม่ใช่งอมืองอเท้าให้เขาอุ้ม มันไม่ใช่

    ผมเองยังโง่อยู่มาก ก็ไม่ได้แนะนำอะไร เพียงแค่ แสดงความคิดเห็น ไม่บังอาจสอนครับ

    หากผิดพลาดประการใด ขอขมากรรมกับทุกท่านด้วยนะครับ

    อยู่กับลม แต่ไม่รู้ลม คือคนที่ตายจากความดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2012
  2. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    อนุโมทนาครับ กับความคิดเห็นที่แสดงออกมา ตนนั้นแหละเป็นที่พึงแห่งตน

    เป็นไปตามแรงแห่งกรรม ใครจะได้มากมายอย่างไร ไม่เกี่ยวกับเรา

    เราจะได้มากมายอย่างไรไม่เกี่ยวกับใคร ตั้งใจมุ่งมั่นทำความเพียร

    แล้วสักวันก็จะถึงที่หมายเองครับ ขอเป็นกำลังใจให้ครับ

    สาธุครับ
     
  3. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ลุงหมาน รู้ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า (สาวกของพระพุทธเจ้า)

    oatthidet รู้เองโดยไม่ต้องมีใครสอน (ศาสดาองค์ใหม่)
     
  4. นายกสิณ

    นายกสิณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2011
    โพสต์:
    245
    ค่าพลัง:
    +251
    เป็นคำถามที่ดีนะ จะให้ตอบคำถามนี้ผมต้องถามก่อนว่า ยอมรับกับคำตอบผมได้ไหม เพราะคำตอบของผมจะอยู่ที่การปฎิบัติของผม ไม่เกี่ยวกับหนังสือเล่มใด
     
  5. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    ชอบ คำนี้นะ ผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน
    วันนี้ กรุงเทพฝนยังไม่ตก น่าจะ บ่ายๆ
    และ ต่าง จังหวัด แล้งแล้วครับ พี่น้องครับ
    อีกที ปี่นี้ มดกินผัก น่าจะอดอยากเพิ่มขึ้น แป๊วๆๆ
    ขอบคุณ จขก และ ผู้ตอบให้กระจ่าง ทุกท่านคะ
    สั้นๆง่ายๆเลยนะ อยากรู้ทำดู ลองทำ ลองละดู จะรู้เองชัดๆ (ความเห็นเรานะ)
     
  6. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    กลาที่ค่ำอยู่เข้าไปดูในที่มืด
    หากหงายกลาดูในที่สว่างคาตา
    แล้วจะเจอความจริงว่ากลามา
    ว่างอยู่

    หนึ่งถึงสี่ดูกาย
    สี่ถึงแปดล้างสิ่งที่เกาะอยู่
    พอล้างหมดเหลืออยู่อีกว่างๆอยู่มีขอบเขต
    ไม่มีฝา
    และกลายเป็นไม่มีขอบเขตเก้าสิบใครไปได้
    ก็ปิดฝาเดินบิณฑ
    และทำไมต้องคว่ำเอาไว้
    ทำไม.........
     
  7. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    หนูไม่ได้เป็นผู้หยั่งรู้ฟ้าดินนะคะ ขอตอบด้วยคนได้มั้ยคะ เห็นคำถาม น่าสนุกดีค่ะ
    1.น่าจะเป็นเหมือนขั้นที่1เรียนรู้ด้วยความสงบ(1ใน4ส่วน)แล้วสามารถรักษาความสงบนั้นได้เป็นขั้นที่2...หลังจากนั้นก็เรียนรู้ในขั้นที่3ด้วยความสงบต่อไปอีก(2ใน4ส่วน)แล้วสามารถรักษาความสงบนั้นได้เป็นขั้นที่4...หลังจากนั้นก็เรียนรู้ในขั้นที่5ด้วยความสงบอีก(3ใน4ส่วน)แล้วสามารถรักษาความสงบนั้นได้เป็นขั้นที่6ค่ะ...ต่อไปก็เรียนรู้ด้วยความสงบในขั้นที่7 (4ใน4ส่วน) แล้วสามารถรักษาความสงบทั้งหมดเอาไว้ได้ ถือว่าเป็นขั้นที่8 มังคะ คล้ายๆ เราพูดถึง บุรุษ 4คู่ 8คน หรือเปล่าคะ
    2.ฌาณที่คุณพูดถึงน่าจะหมายถึง ความสงบระดับที่5 ก็ถ้าคุณ สามารถเข้าออก โดยง่ายดาย เหมือน เข้าห้องอะไรสักห้อง แล้ว สามารถเข้าได้เลย (บางคนอาจเรียกว่า เป็นวสี)จนชำนาญ จนไม่ช้า เข้าได้อย่างรวดเร็ว สบายๆ มันก็คงไม่หายกระมังคะ
    3.มันไม่ต่างกันหรอกค่ะ ตามวิธีที่ฉันพูดมาน่ะค่ะ ว่า ฌาณคือฝึกอยู่ ยังไม่เป็นวสี ก็คือยังไม่เข้าออกด้วยใจค่ะ แต่ถ้าเป็นญาณเป็นปัญญาแล้ว มันอยูในใจรู้ในใจเลยค่ะ ไม่ต้องฝึกอีกค่ะ
    4ที่จริง เราไม่รู้หรอกค่ะว่าเราเหมาะกับวิธีไหน แต่ที่เคยรู้มาก็คือ ไม่มีวิธีไหน ที่ฝึกง่ายๆหรอกค่ะ ถ้าอยากรู้ อ่านของคนอื่น ฟังของคนอื่นก็รู้เลยค่ะ แต่ถ้าอยากได้อยากเป็น ก็ต้องฝึกเอาเองค่ะ หนูได้ยินเขาพูดมาแบบนี้แหล่ะค่ะ
    5.ญาณคือปัญญาคือความรู้ที่สรุปออกมาเป็นความเข้าใจค่ะ แต่ฌาณคือ การกระทำ การเรียนรู้ การฝึก ถือว่าฝึกไม่สำเร็จค่ะเหมือน ช่างปั้นหม้อที่ ปั้น ครั้งแรก ยังไม่ดีพอ ถือว่า ยังฝึกอยู่ ยังต้องอาศัยความสงบในการปั้นไงคะ แต่ถ้าฝึกจนชำนาญ แล้ว รู้ว่า แบบไหนดีที่สุด ก็ทำได้เลย ไม่ต้องอาศัยความสงบอีกแล้วไงคะ อาศัยแต่การรู้ที่สรุปออกมาแล้วว่า แบบไหนดีที่สุด ไงคะ
    6.กระดูกเป็นแก้ว ฉันเคยอื่น ในหนังสือว่า มีบริษัท ต่างประเทศ เขารับ เผากระดูก ด้วยความร้อนสูง จนกระดูกกลายเป็นแก้ว เป็นเหมือน เพชรได้ นะคะ ไม่ต้องนั่งก็ได้ค่ะ เผื่อลูกค้าเศรษฐีมีเงินทั้งหลาย ที่อยากเก็บกระดูกของตนเองเอาไว้ให้ลูกหลานเป็นที่ระลึก ไงคะ
     
  8. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,606
    ค่าพลัง:
    +1,817
    ส่วนใหญ่มากกว่า ๒๐ ปีด้วยซ้ำไปขอรับ พระสงฆ์ที่เป็นเกจิอาจารย์บางองค์บางรูปของประเทศไทย เมื่อเผาแล้วปรากฏมีพระธาตุ ล้วนปฏิบัติสมาธิมามากกว่า ๒๐ ปีทั้งนั้นขอรับ เสียดายข้าพเจ้าจำชื่อฉายาของท่านเหล่านั้นไม่ได้ มีหลายรูปขอรับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2012
  9. วิหคอิสระ

    วิหคอิสระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    758
    ค่าพลัง:
    +1,318
    จัดหนักมาเลยเจ้าคับ อยากรู้ที่มาจากประสบการนอกเหนือจากตัวอักษรบ้าง
     
  10. ariyaidea

    ariyaidea Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +42


    ทำไมต้องคว่ำเอาไว้

    อาจจะไม่ตั้งใจคว่ำ คงเพราะธรรมดาของโลกเป็นแบบนั้น
    โลกที่ถูกปล่อยไว้ มักไหลลงสู่ที่ต่ำเป็นปกติ

    _/|\_
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 สิงหาคม 2012
  11. นายกสิณ

    นายกสิณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2011
    โพสต์:
    245
    ค่าพลัง:
    +251
    ...ก่อนอื่นผมต้องบอกก่อนว่าผมปฎิบัติแนวกสิณ...
    1.ในรูปแบบกสิณจะตอบได้ชัดเจนกว่ากรรมฐานอื่นๆ เพราะกสิณแต่ละกสิณจะมีอารมณ์ที่แตกต่าง ส่วนอารมณ์ของฌาน1-8 นี้ ผมอธิบายด้วยตัวอักษรไม่ได้ มันละเอียด
    2.ถ้าถึงจริงๆ(หมายถึงจริงๆ) ไม่มีหรอกครับที่จะไม่ติดการนั่งสมาธิ เพราะเมื่อถึงจริงๆแล้วสมาธิจะเกาะกับตัวคุณตลอดเวลา ตัวคุณเองจะมีสมาธิอยู่ตลอดไม่ว่านั่ง เดิน นอน หรือทำกิจกรรมต่างๆ(คุณจะรู้ด้วยตนเอง ว่าสมาธิเกาะกับร่างกายสังขารคุณเป็นอย่างไร แต่ต้องถึงฌานที่คุณว่าจริงๆนะ ไม่ใช่คิดกันเอาเอง)
    3.ฌานก็บอกอยู่แล้วว่ามีอะไรบ้าง(หาอ่านเองนะครับ) ส่วนญาณนั้น ก็ไม่ได้มาง่ายๆเช่นกัน ทั้งสองสิ่งนี้จะต้องควบคู่กันไป เดินในแนวทางเดียวกัน ญาณจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อเราปฎิบัติจนเกิด ตัวตนเราอีกคนหรืออีกหลายคนแต่หน้าเหมือนกัน(หมายถึงตัวเรา) แต่ตอนเกิดแบบนี้จะยังไม่เรียกญาณผมขอเรียกว่ากายแยกก่อน และเมื่อเราปฎิบัติมากขึ้นจะเปลี่ยนเป็นกายทิพย์ และเกิดเป็นญาณอันดับต่อไป แต่จะมีกี่ญาณนั้นก็แล้วแต่การปฎิบัติ...ที่รู้ได้แบบนี้ก็เพราะมีสิ่งลี้ลับครอบร่างแฟนผมมาบอก ถ้าเกิดมีอะไรเปลี่ยนแปลงในตัวผม
    4.อันนี้แล้วแต่บุคลนะครับ ต้องลองดูก่อน อย่างมีน้องผู้หญิงคนหนึ่งฝึกกสิณที่ผมแนะนำ ตอนนี้ก็ยังฝึกอยู่เพราะอะไร เพราะการฝึกกสิณจะเป็นสิ่งที่ละเอียดมาก เขียนอธิบายคงยิ่งยาก เค้าจะโทรมาหาอยู่เสมอ เมื่อมีเหตุข้อสงสัย
    5.ตอบแล้วในข้อ 3
    6.ผมไม่รู้ว่าฝึกขนาดไหนกระดูกถึงกายเป็นแก้ว แล้วมันมีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะผมไม่เคยเห็นกับตาได้ยินแค่เรื่องเล่าต่อๆกันมา
     
  12. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ญาณ แปลว่า ความรู้ หรือ ปัญญา ในการเห็นถึงความจริงแท้ของโลก

    สิ่งใดได้แล้ว ทำให้หมดข้อสงสัยลงไป ทำให้รู้อริยสัจ สิ่งนั้นคือญาณ

    สิ่งใดได้แล้ว ยิ่งทำให้เกิดข้อสงสัย ไม่นำไปสู่อริยสัจ สิ่งนั้นเรียกญาณไม่ได้

    ไอ้ที่บอกว่ามีร่างแยกออกมา แล้วสงสัยว่าร่างแยกคืออะไร เอาไปทำอะไรได้ ต้องถามแฟนตัวเอง ถามคนอื่น รอให้ผู้มีกายทิพย์มาบอก
    มันเรียกญาณได้ยังไง? ลองพิจารณาดู
     
  13. TPC

    TPC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +2,435
    เราขอกล่าวตามพระพุทธองค์กล่าวไว้และจากการปฏิบัติมีผลที่เป็นอยู่เป็นสภาวะดังนี้ในเรื่องฌาณคือ

    1ปฐมฌาณะ ธาตุสัมมาธิญาณะสัมปันโน อิติปิโส ภควา
    คือมีความสงบ ขั้นต้น มีปิติ สุข วิจาร และเอกคตาตั้งอยู่ แต่วิตกดับไป

    2ตุติยะฌาณะ ธาตุสัมมาธิญาณะสัมปันโน อิติปิโส ภควา
    คือมีความสงบ ขั้นต้นตั้งอยู่ มีปิติ สุข และเอกคตาตั้งอยู่ แต่วิตก วิจารดับไป

    3ตะติยะฌาณะ ธาตุสัมมาธิญาณะสัมปันโน อิติปิโส ภควา
    คือมีความสงบ ขั้นต้นตั้งอยู่ มี สุข และเอกคตาตั้งอยู่ แต่วิตก วิจารดับและปิติไป

    4จตุถะฌาณะ ธาตุสัมมาธิญาณะสัมปันโน อิติปิโส ภควา
    คือมีความสงบ ขั้นต้นตั้งอยู่ มี เอกคตาตั้งอยู่เพียงอารมณ์หนึ่งเดียวคือการ ที่เรียกว่าจิตรวมเป็นหนึ่ง แต่วิตก วิจารดับและปิติ และสุขดับไปหมด เป็นอารมณ์วิปัสนา อารมณ์เข้าพระนิพพาน

    5ปัญจะมะฌาณะ อากาศานัญจายะตะนะ เนวะสัญญาณา สัญญายตนะอรูปปาวัจระธาตุสัมมาธิญาณะสัมปันโน อิติปิโส ภควา
    คือมีความสงบ ขั้นต้นตั้งอยู่ มี เอกคตาตั้งอยู่เพียงอารมณ์หนึ่งเดียวแต่เป็นสภาวะที่จิตรับอารมร์สัญญาเป็นอากาศธาตุ คืออาการที่เรียกว่าความว่างเปล่าไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่ในโลกธาตุ หรือที่เรียกว่าจิตว่าง ว่างจากสภาวะความมีทั้งปวง

    6ฉทมะฌาณะ วิญญานัญจายะตะนะ เนวะสัญญาณา สัญญายตนะอรูปปาวัจระธาตุสัมมาธิญาณะสัมปันโน อิติปิโส ภควา
    คือมีความสงบ ขั้นต้นตั้งอยู่ มี เอกคตาตั้งอยู่เพียงอารมณ์หนึ่งเดียวแต่เป็นสภาวะที่จิตรับอารมณ์สังขาระวิญญาณธาตุ คืออาการที่เรียกว่าจิตตั้งมั่นดำรงอยู่ในความเป็นวิญญาณธาตุ เป็นความสงบนิ่งลึกอยู่ถายใน

    7สัตตะมะฌาณะ อากิญจัญญายะตะนะ เนวะสัญญาณา สัญญายตนะอรูปปาวัจระธาตุสัมมาธิญาณะสัมปันโน อิติปิโส ภควา
    คือมีความสงบ ขั้นต้นตั้งอยู่ มี เอกคตาตั้งอยู่เพียงอารมณ์หนึ่งเดียวแต่เป็นสภาวะที่จิตรับอารมณ์สังขาระวิญญาณธาตุ คืออาการที่เรียกว่าจิตตั้งมั่นดำรงอยู่ในความเป็นวิญญาณธาตุแต่เป็นอารมณ์ที่ลึกลงไปขั้นละเอียด มากกว่าขั้นที่6 ทรงอามรณ์เดียวไม่มีอารมร์อื่นเข้ามาเจือปน เป็นความสงบนิ่งลึกมากอยู่ถายใน

    8อัฐฐะมะฌาณะ เนวะสัญญาณา สัญญายตนะอรูปปา วัจระธาตุสัมมาธิญาณะสัมปันโน อิติปิโส ภควา
    คือมีความสงบ ขั้นต้นตั้งอยู่ มี เอกคตาตั้งอยู่เพียงอารมณ์หนึ่งเดียวแต่เป็นสภาวะที่จิตรับอารมณ์สังขาระวิญญาณธาตุ คืออาการที่เรียกว่าจิตตั้งมั่นดำรงอยู่ในอารมณ์ความเป็นสัญญาวิญญาณธาตุเป็นอารมณ์เดียวที่ลึกลงไปขั้นละเอียด อามรณ์เดียวไม่มีอารมร์อื่นเข้ามาเจือปน เป็นความสงบนิ่งลึกอยู่ถายใน

    การเจริญภาวนากรรมฐานทรงอารมณ์ฌาณสมาบัติ ในขั้นที่5ถึงขั้นที่8เป็นการทรงอารมณ์ที่เรียกว่าอุเบกขาฌาณ ซึ่งแต่ละขั้นจะลึกลงไปละเอียดลงไปครับ ขั้นที่7-8นี่ละเอียดมากๆผมยังไปไม่ถึงครับยากจริงๆ

    อารมร์ทีี่เกิดแต่ละอารมณ์เราย่อมรู้ความแตกต่างของความสงบ ด้วยผลที่ได้รับมีความแตกต่างกัน ด้วยเพราะระดับฌาณต่างกัน จากทั้ง8ข้อ ลองทำและลองพิจารณาดู ย่อมมีสภาวะและผลที่จิตได้รับเป็นเช่นดังคำที่พระพุทธเจ้าบอกเราไว้จริงๆครับ
    ถ้าคุณไปถึงขั้นไหน ผลของฌาณย่อมให้อิทธิฤทธิ์แห่งจิต ที่แตกต่างกันครับ
    ตามอัตภาพตามระดับของมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ต้องไปให้ถึงแล้วคุณจะรู้สภาวะเหล่านั้นครับ

    ส่วนข้ออื่นๆมีผู้อื่นตอบมามากมายพอทราบรายละเอียดบ้างแล้ว ขอเสริมว่าผู้ปฏิบัตินั้น ไม่สามารถทิ้งทั้งฌาณและญาณทัศนะ แต่ผู้ปฏิบัติย่อมรู่สภาวะและกำลังเพื่อรู้ว่าควรกระทำให้ฌาณและญาณเกิดเมื่อไหร่อย่างไรเพื่อประโยชน์อะไรครับ

    ขอตอบแค่นี้ก่อนครับเที่ยงแล้ว เรื่องอื่นๆไม่ใช่แก่นสารอะไรมากนัก ควรทำเรื่องนี้ที่ผมกล่าวมานี้ให้แจ้งให้เจริญก้าวหน้าให้มาก เรื่องอื่นๆที่อยากรู้ก็ย่อมได้รู้ เรื่องอื่นๆที่อยากมี มันก็จะเกิดมีของมันเอง มันเป็นธรรมดาของจิต ขอให้พิจาณาทบทวนด้วยปัญญาว่าเราควรเริ่มจากอะไร ทำอะไรก่อนหลังไม่ก้าวกระโดดข้ามขั้น คุณก็ย่อมไปถึงที่หมายโดยงดงามดีพร้อมบริบูรณ์ครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  14. วิหคอิสระ

    วิหคอิสระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    758
    ค่าพลัง:
    +1,318

    เขาคงจะหมายถึง ดวงจิตที่แบ่งออกไป หรือ แบ่งญาณละมั้ง
     
  15. TPC

    TPC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +2,435
    ขออธิบายเพิ่มอีกว่า

    การทรงญาณ ทัศนะ สามารถกระทำได้ทุกอิริยาบท เพราะเป็นเครื่องที่ทำให้เกิดการรู้แจ้ง

    การทรงฌาณไม่สามารถทำได้ทุกขณะเพราะด้วยเราอาศัยกายสังขาร ดำรงอยู่ ตั้งนี้ การทรงฌาณจึงเป็นสภาวะที่กระทำได้ในขณะที่กายสงบระงับแล้วเท่านั้น จะด้วยอากับกริยาใดกริยาหนึ่งก็ได้เช่น นั่งสมาธ ยืนเข้าสมาธิ นอนเข้าสมาธิ ต้องทรงอากับกริยานั้นไว้ เมื่อกายสงบระงับ เวทนาต่างๆทั้งหลายดับความเป็นสมาธิความสงบก็เกิด เมื่อความสงบเกิด การเข้าถึงฌาณย่อมเข้าถึงและเจริญก้าวหน้าในฌาณระดับที่ลึกลงไปอีกได้ครับ


    การรู้จากคำบอกกล่าวรู้ไว้เพื่อเป็นแนวทาง หากยังไม่ลงมือปฏิบัติ การรู้ก็หามีประโยชน์อันใดไม่ เมื่อรู้แล้วก็ควรจะต้องลงมือทำ ให้เกิความรู้ด้วยตน รู้จริงด้วยตน เพราะเมื่อไหร่ที่กำลังฌาณฌเรามีกำลังมากมีกำลังที่แก่กล้า มันก็เป็นของง่ายที่จะเปลี่ยนสภาวะจากฌาณไปเป็นญาณทัศนะ ง่ายเสมือนแค่พลิกฝ่ามือครับ

    ทำเองให้แจ้ง ความสว่างแจ้งเกิดได้ด้วยตนเป็นผู้ปฏิบัติ ไม่มีความสว่างแจ้งใดสว่างแจ้งไปกว่าความสว่างแจ้งที่เกิดด้วยปัญญาของตน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2012
  16. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ต้องขอเรียนถามท่านเจ้าของกระทู้ว่า
    ที่ว่าห้านั้นอารมณ์ทางกายเป็นอย่างไร
    เรื่องทางโลกที่ท่านกำลังเป็นอยู่ภายนอกเป็นอย่างไร
    หมายถึงมีอะไรเปลี่ยนแปลงและเกิดขึ้นกับการดำเนินชีวิตบ้าง

    เรื่องทางธรรมคือในการปฎิบัตินั้นเป็นอย่างไรหมายถึงท่านปฏิบัติแล้วไปได้รู้ได้เห็นได้ผัสสะอะไรมาบ้าง

    และอารมณ์ในการปฏิบัตินี้ท่านไปได้มาในขณะทำวิปัสสนาสมาธิแล้วอารมณ์เป็นอย่างไร
    หมายถึงแตกต่างจากขั้นอื่นๆอย่างไร
    และอารมณ์ที่เกิดมาทางโลกเป็นอย่างไร

    หรือไม่อย่างไรขอรับ
    ที่เรียกว่าอากาสานัญจาที่ว่านี้ขอรับ

    กราบขอบพระคุณท่านยิ่งแล้ว
    ขอทุกท่านเจริญในธรรมยิ่งแล้วขอรับ
     
  17. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ท่านเจ้าของกระทู้กล่าวไว้ดังนี้หมายความดังนี้หรือไม่ว่า
    ความจริงคนเราต้องมีสติระลึกหรือยึดมั่นอยู่เสมอ
    และอยู่ท่ามกลางของทุกสิ่งหรือไม่เมื่อมีอะไรมากระทบ

    แต่สตินี้ชอบไหลลงต่ำทำให้เกิดวิตกขึ้นมา
    หมายถึงสติไหลลงต่ำลงมา
    แล้วเราต้งทำสมาธิให้เกิดขึ้นเพื่อรักษาสติหรือไม่อย่างไรขอรับ
    ดังนั้นสมาธิจึงเกืดมาแทนที่ท่ามกลาง
    แต่ในความเป็นไปตามไตรลักษณ์นั้น
    เราต้องมีอะไรอีกสักอย่างหรือไม่

    สิ่งที่ผมเอามาง่ายที่สุดนี้ดึงเอาสมมุติปัญญามาด้วย

    สติสมาธิและปัญญาหรือไม่ขอรับ
    แล้วปัญญาเกิดขึ้นได้อย่างไร
    แล้วไปเกี่ยวอะไรกับการรักษาสติที่วิตกไปยุ่งอะไรกับสมาธิในการปฏิบัติ
    ปัญญานี้เกิดมากไหม ที่สุดหรือไม่ หรือเกิดทีเดียวครั้งเดียวที่สุดเลย
    หรือค่อยๆเกิด ปัญญาญานหรือญาณคำนี้คืออะไร

    ต้องขอเรียนถามท่านผู้รู้ด้วยขอรับ
    กราบขอบพระคุณครับ
    ขอทุกท่านเจริญในธรรมยิ่งแล้ว
     
  18. ariyaidea

    ariyaidea Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +42
    ต้องขอโทษท่านมะหน่อด้วยครับ ที่ตอบช้า ผมไม่อยากให้กำหนดหมายว่านี่คือคำตอบ แต่ขอเปลี่ยนเป็นการแลกเปลี่ยนความเห็นแทน

    จากที่คุณมะหน่อถามมาทำให้ผมนึกถึง บันทึกของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล
    มีผู้เรียนถามหลวงปู่ ว่า "ท่านยังมีโกรธอยู่ไหม?"
    หลวงปู่ตอบสั้นๆว่า "มี แต่ไม่เอา"

    กับอีกเรื่อง
    - ปี 2519 มีพระเถระ 2 รูป เป็นพระฝ่ายวิปัสสนากัมมัฏฐานจากทางอีสานเหนือ
    แวะไปกราบนมัสการหลวงปู่แล้วสนทนาธรรมเรื่องการปฏิบัติ เป็นที่เกิดศรัทธาปสาทะ
    และดื่มด่ำในรสพระธรรมอย่างยิ่ง ท่านเหล่านั้นกล่าวย้อนถึงคุณงามความดีตลอดถึงภูมิธรรม
    ของครูบาอาจารย์ที่ตนเคยพำนักศึกษาปฏิบัติมาด้วยเป็นเวลานานว่า
    หลวงปู่องค์โน้นมีวิหารธรรมคืออยู่กับสมาธิตลอดเวลา อาจารย์องค์นี้อยู่กับพรหมวิหารเป็นปรกติ คนจึงนั
    บถือท่านมากหลวงปู่องค์นั้นอยู่กับอัปปมัญญาพรหมวิหาร ลูกศิษย์ของท่านจึงมากมายทั่วสารทิศไม่มีประมาณ
    ดังนี้เป็นต้น ท่านจึงมีแต่ความปลอดภัยอันตรายตลอดมา
    หลวงปู่ว่า
    "เออ ท่านองค์ไหนมีภูมิธรรมแค่ไหน ก็อยูกับภูมิธรรมนั้นเถอะ เราอยู่กับ "รู้" "
    ครั้นเมื่อพระเถระทั้ง 2 รูปได้ฟังคำพูดของหลวงปู่ว่าหลวงปู่ท่านอยู่กับ "รู้"
    ต่างองค์ก็นิ่งสงบชั่วระยะหนึ่ง แล้วก็เรียนถามหลวงปู่ต่อไปว่า
    อาการที่ว่าอยู่กับรู้มีลักษณะเป็นอย่างไร หลวงปู่ตอบอธิบายว่า

    "รู้ (อัญญา) เป็นปรกติจิตที่ "ว่าง สว่าง บริสุทธิ์หยุดการปรุงแต่ง
    หยุดการแสวงหา หยุดกิริยาของจิต ไม่มีอะไรเลยไม่ยึดถืออะไรสักอย่าง"

    -คัดมาจาก ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย พระราชวุฒาจารย์ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

    ปัญญา สำหรับผม ผมมองเพียงปัญญาที่เกิดจากการเจริญอริยสัจ สิ่งนี้ต้องลองปฏิบัติด้วยตัวเองดูครับ แค่ทุกข์ตัวเดียวก็ให้อะไรหลายๆอย่างเยอะมาก

    อนุโมทนาครับ
     
  19. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    =======

    จากที่เรากล่าวเรื่องฌาณ มาแล้วนั้น ผู้ปฏิบัติที่มีปัญญา ย่อมรู้วิธีการเปลี่ยนสภาวะจากฌาณไปสู่ ญาณวิปัสสนาต่อได้ อันเป็นเรื่องไม่ยากนัก
    ทั้งนี้เราขอกล่าวว่าอันญาณวิปัสสนานั้นก็อาศัยสมาธิและฌาณนี้เอง
    กล่าวคือ
    ฌาณ1ย่อมสามารถทำให้เปลี่ยนสภาวะไปสู่ ญาณวิปัสสนา เราเรียกชื่อว่าญาณ1
    ฌาณ2ย่อมสามารถทำให้เปลี่ยนสภาวะไปสู่ ญาณวิปัสสนา เราเรียกชื่อว่าญาณ2
    หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า ฌาณ8ย่อมสามารถทำให้เปลี่ยนสภาวะไปสู่ ญาณวิปัสสนา เราเรียกชื่อว่าญาณ8 ขอกล่าวแบบเข้าใจง่ายๆแบบนี้ครับทั้งนี้

    เพราะฌาณแต่ละฌาณย่อมมีสภาวะที่ต่างกัน หากเรานำสติ เข้าไปตามดูสภาวะ ของ กาย เวทนา จิต และธรรมารมณ์ในฌาณแต่ละระดับชั้นนั้นๆ ย่อมเกิดญาณวิปัสสนา ย่อมเกิดญาณทัศนะ ย่อมรู้เห็นแจ้งในธรรมารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงได้ในที่สุด ย่อมเข้าถึงตัวรู้ในกิเลส ตัณหา อุปาทาน ทั้งอย่างหยาบ ปานกลาง ละเอียด ได้ ส่งผลให้เกิดเป็นมหาปัญญาญาณย่อมเกิดแก่มีแก่ท่านได้ในที่สุดครับ สาธุ
     
  20. mozard002

    mozard002 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +433
    จะทดลอง จะเชื่ออะไรก็อย่าเกินพระพุทธเจ้านะครับ ถ้าปฏิบัติแล้วสงสัยหรืออยากรู้อะไร ก็เอาพระไตรปิฏกเป็นบรรทัดฐานนะครับ ด้วยความหวังดี
     

แชร์หน้านี้

Loading...