มหากุศล++ร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างอาคารปฏิบัติธรรมและหลวงพ่อปานองค์ใหญ่ที่สุด++

ในห้อง 'พระพุทธรูป - วิหารทาน - สิ่งก่อสร้าง' ตั้งกระทู้โดย ppearwa, 13 สิงหาคม 2012.

  1. ppearwa

    ppearwa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +174
    ขอเชิญเป็นเจ้าภาพร่วมสร้างอาคารปฏิบัติธรรมและหลวงพ่อปานองค์ใหญ่
    ณ วัดปานประสิทธาราม(วัดปีกกา) ต. คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ

    [​IMG]

    เพิ่มบุญให้ตน แบ่งบันให้ผู้อื่น สืบสานศาสนา ผลบุญนั้นเท่าทวีคูณ



    ในการนี้วัดปานประสิทธารามได้เล็งเห็นความสำคัญของการปฏิบัติธรรม การนำธรรมมะไปใช้ในชีวิตประจำวัน จึงมีความดำริสร้างอาคารปฏิบัติธรรมขึ้น เพื่อใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม อบรมธรรมแก่ประชาชนผู้สนใจในธรรม อีกทั้งทางด้านบนของอาคารยังเป็นที่ตั้ง รูปเหมือน พระครูพิพัฒนิโรธกิจ(หลวงพ่อปาน) ขนาดหน้าตัก ๙ เมตร ใต้ฐานพระ เป็นพิพิธภัณฑ์ให้ความรู้ทางธรรมะ และวัฒนธรรม



    รายละเอียดโครงการ
    ตึกปฏิบัติธรรมจะเป็นตึกสองชั้น ชั้นล่างจะมีไว้สำหรับสาธุชนในการปฏิบัตรธรรม ส่วนชั้นสองจะจัดแสดงประวัติของชุมชน พุทธประวัติ ประวัติของหลวงพ่อปาน รวมไปถึงประวัติของรัชกาลที่๕ ทีท่านทรงมีคุณุปราการต่อชาวคลองด่าน สมุทรปราการอย่างหาที่สุดไม่ได้ เพื่อเป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมและศาสนาแบบบูรณาการให้กับชุมชน ส่วนชั้นบนสุดจะเป็นที่ตั้งของรูปหล่อของหลวงพ่อปาน ซึ่งสร้างด้วยเบญจโลหะทั้งห้า รูปหล่อนั้นจะมีหน้าตักกว้าง ๙ เมตร ๙๐ เซนติเมตร สูง ๑๓ เมตร

    *รูปเหมือนหลวงปู่ปานสร้างตามหลักของanatomy (ดูรูปด้านล่าง)

    ทางวัดจะเริ่มวางศิลาฤกษ์ ในวันอาทิตย์ที่ ๑๘ ฟฤศจิกายน ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันทอดกระฐินของวัดปานประสิทธาราม โดยจะทำพิธีวางศิลาฤกษ์และเสาเข็ม ซึ่งเจ้าภาพเสาเข็มและผู้ศรัทธาสามารถเข้าร่วมสร้างมหากุศลได้ในวันนี้ และจากนั้นเป็นต้นไปทางวัดปานประสิทธารามจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างตัวอาคารปฏิบัติธรรม
    หมายเหตุ: พิธีหล่อรูปเหมือนหลวงพ่อปานองค์ใหญ่นั้นทางวัดปานประสิทธารามจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

    วัตถุประสงค์
    ๑. เพื่อเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของศาสนิกชนที่ต้องการมาปฏิบัติธรรมที่วัดปานประสิทธาราม
    ๒. เพื่อความเป็นศิริมงคลแก่ประเทศชาติและประโยชน์สุขแก่ผู้ที่อยู่ในศีลธรรมให้มีความสุขร่มเย็น
    ๓. เพื่อเป็นพุทธสถานที่สำคัญของชุมชม เป็นแหล่งรวมความศรัทธาให้แก่ชุมชนในจังหวัดสมุทรปราการและจังหวัดใกล้เคียงได้สักการะหลวงพ่อปาน และปฏิบัติธรรมบูชาต่อพระรัตนตรัยสืบต่อไป
    ๔. เพื่อเผยแผ่ธรรมมะเชิงบูรณาการแก่ประชาชนในชุมชนและละแวกใกล้เคียง

    ผลที่คาดว่าจะได้รับ

    ๑. ประชาชนในตำบลคลองด่านและใกล้เคียง ได้มีสถานที่ปฏิบัติธรรมที่เหมาะสม
    ๒. ประชาชนมีที่พึ่งทางใจ และทางกาย
    ๓. เป็นการเผยแพร่พุทธศาสนาให้ดำรงสืบไป
    ๔. ประชาชนมีแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ของพื้นที่ รวมถึงประวัติของหลวงพ่อปาน
    วิธีร่วมบุญ
    ๑. เจ้าภาพเสาเข็ม ต้นละ ๑๙,๙๙๙ บาท จำนวน ๑๐๙ ต้น
    ๒. เจ้าภาพร่วมเสาสามัคคีธรรม (เสาเข็มต้นหลัก เป็นเสาร่วมสร้าง) ตามกำลังศรัทธา
    ๓. บริจาคทองเหลือง วัตถุหรือของใช้ที่ทำมาจากทองเหลืองเพื่อนำมาหล่อรูปเหมือนหลวงพ่อปาน
    หมายเหตุ ข้อมูลล่าสุดจากทางวัดได้แจ้งว่ามีการจองเสาเข็มครบตามจำนวนแล้ว หากท่านผู้ใดที่ต้องการเป็นเจ้าภาพเสาเข็มสามารถร่วมเป็นเจ้าภาพเสาสามัคคีธรรมได้ตามแรงกำลังศรัทธา

    บัญชีร่วมบุญ
    ๑. ชื่อบัญชี “วัดปานประสิทธาราม” เลขบัญชี 181-2-43105-4 ธนาคารกสิกรไทย สาขา บางบ่อ

    สอบถามรายบะเอียดเพิ่มเติม
    หากท่านมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโครงการ ติดต่อสอบถามโดยตรง
    พระมหาเกรียงศักดิ์ สีลธโล เจ้าอาวาสวันปานประสิทธาราม ๐๘๗ ๖๑๓ ๗๗๑๖
    E-mail: watpanpasit@hotmail.com
    **เจ้าอาวาสมีความประสงค์อยากให้ผู้ที่มีความสงสัยในตัวโครงการติดต่อท่านโดยตรง ทั้งนี้เพื่อได้ไขข้อสงสัย และรู้ถึงจุดประสงค์ในการก่อสร้างอย่างท่องแท้

    สำหรับผู้ที่ร่วมสร้างมหากุศลในครั้งนี้ รบกวนท่านแจ้งลายละเอียดการโอนไว้ในกระทู้ หรือส่งมาทางเมลของทางผู้ประสานงานนุชจรีย์ E-mail: noochalee-p@hotmail.com เพื่อจะนำรายชื่อมาประกาศและให้ทุกคนร่วมโมทนาบุญ
    หากท่านต้องการติดตามความเคลื่อนไหวของโครงการนอกเหนือจากเว็บบอร์ด สามารถติดตามได้ทาง Facebook “วัดปานประสิทธาราม” หรือทางเว็บไซต์ http://www.watpanprasit.net/

    ขอร่วมโมทนาในมหากุศลที่ทุกท่านได้มีส่วนร่วมกระทำมาในโอกาสนี้


    **เนื่องจากไฟล์รูปมีขนาดใหญ่ ทุกคนสามารถกดดูรูปที่แนบมาได้เลยนะคะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P02-2011-02-0pppppppppp1.jpg
      P02-2011-02-0pppppppppp1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      136.7 KB
      เปิดดู:
      4,223
    • P6090624.JPG
      P6090624.JPG
      ขนาดไฟล์:
      897.6 KB
      เปิดดู:
      472
    • P-01.jpg
      P-01.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.8 MB
      เปิดดู:
      319
    • P-02.jpg
      P-02.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.7 MB
      เปิดดู:
      287
    • P6305235;;.jpg
      P6305235;;.jpg
      ขนาดไฟล์:
      3.1 MB
      เปิดดู:
      749
    • P6305291.JPG
      P6305291.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.3 MB
      เปิดดู:
      598
    • P01-2011-02-01.jpg
      P01-2011-02-01.jpg
      ขนาดไฟล์:
      156.1 KB
      เปิดดู:
      187
    • Watpan2.jpg
      Watpan2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      392.5 KB
      เปิดดู:
      214
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2012
  2. ppearwa

    ppearwa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +174
    อานิสสงส์การสร้างพระพุทธรูป
    การจัดสร้างพระพุทธรูปหรือสิ่งพิมพ์อันเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนเป็นกุศลดังนี้
    1. อกุศลกรรมในอดีตชาติแต่ปางก่อน จะเปลี่ยนจากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นสูญ
    2. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง สรรพภยันตรายสลาย
    3. เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติแต่ปางก่อน เมื่อได้รับส่วนบุญไปแล้ว ก็จะเลิกเว้นการจองเวร
    4. เหล่ายักษ์ผีรากษส งูพิษ เสือร้าย ไม่อาจเป็นภัย
    5. จิตใจสงบ ปวงภัยไม่เกิด ฝันร้ายไม่มี ราศีผ่องใส สุขภาพแข็งแรง กิจการงานเป็นมงคล
    6. มั่นคงในคุณธรรม ความอุดมสมบูรณ์ปรากฎเกินความคาดฝัน ครอบครัวสุขสันต์ วาสนายั่งยืน
    7. คำกล่าวเป็นสัตย์ ฟ้าดินปราณี ทวยเทพยินดี มิตรสหายปรีดา
    8. คนโง่สิ้นเขลา คนเจ็บหายได้ คนป่วยหายดี ความทุกข์หายเข็ญ สตรีจะได้เกิดเป็นชาย
    9. พ้นจากมวลอกุศล เกิดใหม่บุญเกื้อหนุน มีปัญญาเลิศล้ำ บุญกุศลเรืองรอง
    10. สิ่งที่สร้างจะบังเกิดเป็นกุศลจิตแก่ทุกคนที่ได้พบเห็น เป็นเนื้อนาบุญอย่างอเนกทุกชาติของผู้สร้างที่เกิด จะได้ฟังธรรมจากพระอริยเจ้า ปัญญาในธรรมแก่กล้า สามารถได้อภิญญาหก สำเร็จโพธิญาณ
    การจัดสร้างพระพุทธรูปและสิ่งพิมพ์เป็นกุศลดังกล่าว ฉะนั้น ในงานวันเกิด งานมงคลต่าง ๆ การฉลองยศหรือตำแหน่ง การทำบุญสะเดาะเคราะห์ หรือขอพร การขอขมาลาบาปตลอดจนการอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นต้น หากได้สละทรัพย์สินเงินทองเพื่อจัดกิจการดังกล่าวด้วย ก็จะเป็นผลานิสงส์สืบต่อไป
    อานิสงส์การสร้างพระพุทธรูป
    พุทธะบูชา มหาเตโช
    ธัมมะบูชา มหาปัญโญ
    สังฆบูชา มหาโภคาวะโต
    อานิสงส์ของการสร้างพระพุทธรูปนั้น จะสร้างด้วยวัตถุใด ๆ ก็แล้วแต่ ย่อมมีอานิสงส์อันยิ่งใหญ่ จะเกิดในภพใดภูมิใดไม่ว่ามนุษย์และเทวดา อินทร์พรหมทุกหมู่เหล่าจะได้เป็นประมุข ประธาน มียศ วาสนา อำนาจ และบริษัทบริวารมาก เป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ จะได้เกิดเป็นบรมกษัตริย์ สมบูรณ์ด้วยสมบัติบริวาร และจะได้เกิดเป็นพระบรมจักรพรรดิติดต่อกันถึง 10 ชาติ บริบูรณ์ด้วยลาภยศสรรเสริญทุกประการ จะไปในทิศหนตำบลใดย่อมมีเทวดาและมนุษย์บูชาในที่ทั้งปวง ถ้าปราถนาเป็นสาวกบารมีญาณ สาวิกาบารมีญาณ ปัจเจกภูมิและพระพุทธภูมิสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมสัมฤทธิ์สำเร็จตามความปราถนาทุกประการ ย่อมเป็นผู้มีผิวพรรณอันงดงาม เหมือนทองคำชมพูนุท เป็นผู้มีเสียงไพเราะ เป็นผู้มีทรวดทรงดี เป็นผู้มีรูปสวยงาม เป็นใหญ่ในที่ทั้งปวง ไม่ว่าจะเกิดเป็นเทวดาและมนุษย์ เป็นผู้มีบริวารมากและบริวารเคารพในที่ทุกสถานในกาลทุกแห่ง เป็นพระราชามหากษัตริย์ เป็นพระเจ้าบรมจักรพรรดิ เป็นพระราชาแห่งเทพยดาในเทพนิกายทั้งหลาย เป็นท้าวสักกะเทวราชและท้าวมหาพรหม สมบัติอันพึงรื่นรมย์ในเทวโลกและมนุษย์โลก ความที่อาศัยคุณเครื่องถึงพร้อมด้วยมิตรแล้ว เป็นผู้มีปัญญาตั้งมั่นในสัมมาทิฎฐิ เป็นผู้ชำนาญในวิชาและวิมุติ มีปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔ และวิโมกข์ ๓ และสาวกบารมีญานสาวิกาบารมีญาณ ปัจเจกโพธิญาณ พุทธภูมิ อิฐผลทั้งปวงนั้น เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย ย่อมได้ด้วยบุญนิธินั้น คุณเครื่องถึงพร้อมคือบุญนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ใหญ่อย่างนี้


    อานิสงส์แห่งการสร้างสถานปฏิบัติธรรม ๙ ประการ

    อานิสงส์ในชาตินี้เพื่อตน
    ๑. ทำให้จิตใจเยือกเย็น ครอบครัวอบอุ่น ลูกหลานกตัญญู มีปีติสุขตลอดเวลา
    ๒. มีเพื่อนดี มีบริวารซื่อสัตย์ ธุรกิจก้าวหน้า ธุรกิจมั่นคง
    ๓. ชีวิตมีแต่ความเป็นสิริมงคล มีความอุดมร่มเย็นเป็นสุข
    ๔. พ้นทุกข์ ภัย โรค โศก ศัตรู ภัยพาลทั้งปวง

    อานิสงส์เพื่อคนอื่น
    ๕. ได้สร้างธรรมนาวา ขนสัตว์น้อยใหญ่ ข้ามทุกข์ในวัฏฏะสงสาร ก้าวถึงฝั่งคือพระนิพพาน
    ๖. ได้ให้ธรรมทาน และให้อโหสิกรรม

    อานิสงส์ในภพหน้า
    ๗. มีอริยทรัพย์ ไม่ทุกข์ยากลำบาก
    ๘. มีสุคติโลกสวรรค์ในเบื้องหน้าแน่นอน
    ๙. เลื่อนชั้นจิต ได้ภพภูมิที่ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2012
  3. ppearwa

    ppearwa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +174
    ประวัติหลวงปู่ปาน​



    หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย (ความจริง ”เหี้ย” นี่เป็นชื่อของสัตว์เลื้อยคลานพันธุ์หนึ่ง แต่คนนำมาใช้ด่าว่ากัน จึงกลายเป็นคำไม่สุภาพไป) เนื่องจากท่าน ได้ล่วงลับมาเป็นเวลานาน และท่านไม่ได้เล่าถึงชีวิตในอดีตของท่านให้ลูกศิษย์ทราบ ข้อมูลชีวประวัติของท่านจึงมีน้อย ทราบเพียงว่า

    ท่านเกิดปี พ.ศ. ๒๓๖๘ ที่ตำบลคลองด่าน ตาเป็นคนจีนชื่อ เขียว ยายเป็นคนไทยชื่อปิ่น โยมพ่อไม่ทราบชื่อ แต่โยมแม่ชื่อตาล เป็นลูกสาวคนโตของยายปิ่น ในตอนเยาว์วัย ท่านได้บรรพชา เป็นสามเณรที่วัดแจ้ง หรือวัดอรุณฯ กรุงเทพฯ เพื่อเรียนหนังสือ ไทย หนังสือขอม มูลกัจจายน์ และหนังสือใหญ่ ต่อมาท่านได้สึกจากเณร มาช่วยพ่อแม่ ประกอบอาชีพ ทำจาก และตัดฟืนไปขายเป็นอาชีพประจำ ท่านเป็นผู้มีนิสัยอดทนหนักเอาเบาสู้ ทำให้พ่อแม่เบาใจมาก

    ต่อมาเมื่ออายุครบ ๒๐ ปี ท่านก็ได้บรรพชาอุปสมบทที่วัดอรุณฯ โดยมีพระศรีศากยมุนี เป็นพระอุปัชฌาย์ แล้วก็ได้อยู่ศึกษากับพระอุปัชฌาย์หลายปี ท่านมีความสนใจในทางกรรมฐานเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นท่านได้กราบลามาอยู่ วัดบางเหี้ย ตำบลบางเหี้ย อำเภอบางบ่อ ท่านประพฤติปฏิบัติ เคร่งครัดต่อพระธรรมวินัย เจ้าอาวาสขณะนั้น ได้แต่งตั้งให้ท่านเป็นผู้ปกครองดูแลพระเณร ออกพรรษาแล้วท่านก็ออกรุกขมูล บุกดงพงป่าเพื่ออบรมสมาธิฝึกกรรมฐาน แสวงหาความรู้วิทยาคมจากสำนักอาจารย์ที่มีชื่อเสียง รู้ว่าอาจารย์ที่ไหนดี ท่านก็บุกไปจนถึงเพื่อขอศึกษาอาคมกับอาจารย์นั้น ท่านสนใจในวิชาไสยศาสตร์ เป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงไม่มีความยากสำหรับท่าน เมื่อมีความชำนาญแคล่วคล่องในเวทย์มนต์ ก็ทำให้เกิดความขลัง ความรู้ความสามารถก็ทวีเป็นเงาตามตัว ต่อมาท่านได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาส ปกครองสงฆ์ดูแลวัด

    หลวงพ่อปานฯ กับหลวงพ่อวัดกระบกต้นผึ้ง จังหวัดระยอง (ซึ่งได้พบกันในระหว่างธุดงค์) ได้ชวนกันไปเรียนวิทยาคมการปลุกเสกเสือ จากอาจารย์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งพร้อมกัน (ไม่ทราบชื่อ และสำนักของอาจารย์ท่านนั้น) ขณะที่เรียนอยู่นั้น เมื่อเรียนถึงขั้นทดลองพิสูจน์ดู โดยเอาเสือใส่บาตร หรือในโหลให้เอาไม้พาดไว้ ปลุกเสกจนเสือออกมาจากบาตร หรือจากโหลหายเข้าป่าไป ถ้าใครภาวนาเรียกเสือกลับมาได้ก็จะให้เรียนต่อไป ถ้าเรียกกลับมาไม่ได้ ก็ไม่ให้เรียน

    หลวงพ่อปานวัดบางเหี้ย ปลุกเสกเสือออกจากบาตรเข้าป่าไปได้ และเรียกกลับมาได้ ส่วนหลวงพ่อวัดกระบกต้นผึ้ง ปลุกเสกเสือออกมาได้เข้าป่าไปเช่นกัน แต่เรียกเท่าไรๆ ก็ไม่กลับ ก็เป็นอันว่าหลวงพ่อปานเรียนต่อจนสำเร็จองค์เดียว หลวงพ่อวัดกระบกต้นผึ้งก็ต้องพักจากการเรียนเสือ ก็หันมาเรียน สร้าง และปลุกเสกแพะ จนสำเร็จ เมื่อได้วิทยาคมนี้ต่อมาก็มาเป็นอาจารย์ของหลวงพ่ออ่ำ วัดหนองกระบอก จังหวัดระยอง หลวงพ่ออ่ำนี่มีชื่อเสียงมากในการสร้างแพะ จนได้สมญาว่า “หลวงพ่ออ่ำแพะดัง” และหลวงพ่อวัดกระบกต้นผึ้งนี้ ก็เป็นอาจารย์ของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จังหวัดระยอง ผู้โด่งดังมากในปัจจุบันนี้

    นอกจากนี้หลวงพ่อปานฯยังเป็นหัวหน้าสายรุกขมูล และสอนกรรมฐานอันลือชื่อ การออกธุดงควัตร ท่านจะเป็นอาจารย์ควบคุมพระเณร เช่นเดียวกับหลวงพ่อนก วัดสังกะสีซึ่งเป็นคณะธุดงค์อีกสายหนึ่ง ทั้งสองสายมีชื่อเสียงโด่งดังมากในสมัยนั้น หลวงพ่อปานนำพระเป็นร้อยรูป บางปีก็ถึงห้าร้อย พระกรรมฐานสองสายนี้ มีชื่อเสียงมาก่อนกรรมฐานสายอาจารย์เสาร์ อาจารย์มั่น

    เนื่องจากหลวงพ่อปานมีอาคมขลัง มีสมาธิจิตเข้มแข็ง เวลาออกรุกขมูลพักปักกลดอยู่ในป่า ตอนกลางคืนเดือนหงายๆ ท่านมักจะลองใจศิษย์ เนรมิตกายให้เป็นงูใหญ่ เลื้อยผ่านหมู่ศิษย์ไปบ้าง ทำเป็นเสือโคร่งเดินผ่านกลดศิษย์ไปบ้าง เป็นที่เลื่องลือไปทั่ว

    เนื่องจากหลวงพ่อปานได้ศึกษาวิทยาคม ในการสร้างเสือมาโดยสมบูรณ์แบบ ท่านก็เริ่มสร้างแจกจ่ายให้กับประชาชนแถวย่านบางเหี้ยก่อน ที่วัดจึงต้องต้อนรับประชาชน ที่พากันหลั่งไหลเข้าสู่วัดบางเหี้ยเพื่อรับแจกเสือ ตอนแรกคนแกะเสือก็มีเพียงคนเดียว ต่อมาต้องเพิ่มคนแกะเรื่อยๆ จนถึง ๔ คน และมากกว่านั้น แต่ที่มีฝีมือนั้นมีอยู่ ๔ คน ใครต่อใครก็พากันกล่าวขวัญว่า “เสือหลวงพ่อปาน” แม้แต่เด็กเล็กๆ ก็ยังรู้จัก และในสมัยนั้นไม่มีใครทำเลียนแบบ สำหรับหลวงพ่อปานวัดบางเหี้ยนั้น ท่านแก่กว่าหลวงพ่อปานวัดบางนมโค ๔๐ ปี และในจังหวัดสมุทรปราการ มีหลวงพ่อปาน วัดบางกระสอบ เป็นพระเกจิอาจารย์ที่ดังมากอีกองค์หนึ่ง หลวงพ่อปานเมื่อออกรุกขมูล พระเณรก็จะนำเอาเสือที่ปลุกเสกแล้วติดไปแจกประชาชนด้วย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2012
  4. ppearwa

    ppearwa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +174
    ปรากฏว่าเสือของท่านมีประสบการณ์ในทางอำนาจ และคงกระพันยอดเยี่ยม หรือจะใช้ในทางเมตตามหานิยม ค้าขายของก็ได้ผล พ่อค้าแม่ค้ามักจะไปขอเสือหลวงพ่อกันวันละมากๆ ชื่อเสียงเกียรติคุณของท่านจึงแพร่หลายโดยรวดเร็ว ยิ่งมีผู้รู้เห็นพิธีปลุกเสก เสือวิ่งในบาตรเสียงดังกราวๆ ก็ยิ่งทำให้ประชาชนแห่แหนมารับแจกเสือกันไม่ขาดระยะ นอกจากนี้ จีนเฉย (อาแป๊ะเฉย) ซึ่งมีความคุ้นเคยกับหลวงพ่อปาน ถึงกับไปค้างที่วัดเป็นประจำ วันหนึ่งแกก็ไปที่วัดเช่นเคย แต่เอาหมูดิบๆ ไปด้วย เวลาดึกสงัดหลวงพ่อปลุกเสือแกก็เอาหมูแหย่ลงไปในบาตร ปรากฏว่าเสือติดหมูขึ้นมาเป็นระนาว แกยังสงสัยว่าแกจิ้มแรงจนเสือติดหมูออกมา ตอนหลังพอหลวงพ่อปลุกเสกจนเสือวิ่งในบาตร แกก็เอาหมูผูกกับไม้ แล้วชูหมูไว้เหนือบาตร ปรากฏว่าเสือที่อยู่ในบาตรกระโดดกัดหมู เหนือขอบปากบาตร จีนเฉยซึ่งเห็นกับตาตนเองก็นำไปเล่า จนข่าวเสือกระโดดกัดหมู เสือวิ่งในบาตร เสือกระโดดได้ แพร่สะพัดไปราวกับลมพัด ประชาชนต่างก็เห็นเป็นอัศจรรย์

    หลวงพ่อกับ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

    สมัยก่อนมีแม่น้ำอยู่สายหนึ่ง ซึ่งไหลผ่านป่าดงพงพีมีต้นน้ำอยู่แปดริ้ว มาลงทะเลที่สมุทรปราการ ทุกครั้งที่น้ำทะเลหนุน น้ำเค็มจะทะลักเข้าไปตามแม่น้ำลำคลองต่างๆ ทำให้ชาวบ้านในย่านนั้นได้รับความลำบาก สิ่งที่ไหลขึ้นมาตามน้ำคือตัวเหี้ย ตะกวด และจระเข้ จนต้องมีการทำประตูกั้นน้ำไว้เพื่อมิให้น้ำเค็มจากทะเลไหลขึ้นไปปนกับน้ำจืด และเพื่อป้องกันสัตว์เลื้อยคลานที่มีอยู่ชุกชุม มิให้แพร่หลายไปตามคลองต่างๆ ด้วยเหตุที่มีสัตว์พวกนี้ชุกชุม ชาวบ้านจึงตั้งชื่อหมู่บ้านว่า “บ้านบางเหี้ย” และคลองบางเหี้ย วัดก็ตั้งชื่อว่า วัดบางเหี้ย มี ๒ วัดคือวัดบางเหี้ยนอก กับวัดบางเหี้ยใน ประตูที่กั้นคลองนั้น มีชื่อเรียกกันปัจจุบันว่า “ประตูน้ำชลหารวิจิตร”

    ต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ ประตูน้ำเกิดชำรุด ต้องทำการซ่อมแซมหลายครั้ง เมื่อแล้วเสร็จได้กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จไปที่ตำบลบางเหี้ย จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อที่จะทำพิธีเปิดประตูน้ำใหญ่ที่ตั้งอยู่ในคลองบางเหี้ย ปรากฏว่าทรงประทับอยู่ที่คลองด่านถึง ๓ วัน

    บรรดาชาวบ้านที่อยู่ในแถบถิ่น บางบ่อ บางพลี บางเหี้ย และบริเวณใกล้เคียง เมื่อรู้ข่าวว่าพระเจ้าอยู่หัวฯจะเสด็จมาเปิดประตูน้ำ ต่างก็พากันเตรียมของที่จะถวาย หลวงพ่อปานได้นำเขี้ยวเสือ ที่แกะอย่างสวยงามใส่พาน แล้วให้เด็กป๊อดซึ่งเพิ่งจะมีอายุ ๗-๘ ขวบหน้าตาดี เดินถือพานที่ใส่เขี้ยวเสือแกะเป็นรูปเสือ ตามหลังท่านไปเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ริมคลองด่าน
     
  5. ppearwa

    ppearwa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +174
    เมื่อไปถึงที่ประทับของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ หลวงพ่อได้เรียกเอาพานใส่เขี้ยวเสือจากเด็กผู้ติดตาม แต่เด็กคนนั้นบอกกับท่านว่า

    “เสือไม่มีแล้ว เพราะมันกระกระโดดน้ำไปในระหว่างทางจนหมดแล้ว”

    หลวงพ่อปานจึงได้เอาชิ้นหมูที่ทำขึ้นจากดินเหนียว แล้วเสียบกับไม้ แกว่งล่อเอาเสือขึ้นมาจากน้ำต่อหน้าพระพักตร์ พระองค์ทรงตรัสว่า

    “พอแล้วหลวงตา”

    หลังจากนั้นหลวงพ่อได้ถวายเขี้ยวเสือแกะนั้นแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระองค์ทรงพิจารณาชั่วครู่ จึงตรัสถามชื่อพระเถระรูปร่างสูงใหญ่ผู้ปลุกเสกเขี้ยวเสือ หลวงพ่อปาน ทูลว่าท่านชื่อปาน (ติสโร) เป็นเจ้าอาวาสวัดบางเหี้ย

    พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ มีรับสั่งกับพระปานว่า

    “ได้ยินชื่อเสียง และกิตติคุณมานาน เพิ่งเห็นตัววันนี้”

    แล้วรับสั่งถามว่า

    “ที่แจกเครื่องรางเป็นรูปเสือมีความหมายอย่างไร ?”

    หลวงพ่อปานทูลตอบว่า

    “ได้ไปรุกขมูลธุดงค์ในป่า พบเสือใหญ่หลายครั้ง ได้สังเกตดูเห็นว่า “เสือ” เป็นสัตว์ปราดเปรียว ฉลาด ว่องไว เฉียบขาด มีตบะ และอำนาจ สามารถที่จะใช้ตาสะกดสัตว์อื่นให้อยู่ในอำนาจได้ คนทั่วไปเรียกผู้ร้ายใจฉกรรจ์ว่า “ไอ้เสือ” ก็คือเอาความเก่งกาจของเสือมานั่นเอง การที่ทำเครื่องรางรูปเสือ มิใช่จะสนับสนุนให้คนกลายเป็น”อ้ายเสือ” เพียงแต่ต้องการเอาลักษณะของเสือจริงในป่า ที่ปราดเปรียว ว่องไว เฉลียวฉลาด เฉียบขาดมาเป็นตัวอย่างเท่านั้น”

    พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯทรงพอพระทัยในคำตอบของพระปานยิ่งนัก (ด้วยท่านมิได้ โอ้อวดว่า เครื่องรางของท่านดีเด่น แต่ประการใด) ทรงพระราชทานผ้าไตร และผ้ากราบ (ต่อมาได้พระราชทานสมณศักดิ์ เป็น “พระครูพิพัฒน์นิโรธกิจ”)

    พระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง”เสด็จประพาส มณฑลปราจิณ” ได้เล่าถึงพระปานไว้ว่า

    “พระครูปานมาหาด้วย พระครูปานรูปนี้นิยมกันในทางวิปัสสนา และธุดงควัตร มีพระสงฆ์วัดต่างๆ ไปธุดงค์ด้วยสองร้อยสามร้อย แรกลงไปประชุมที่วัดบางเหี้ย มีสัปบุรุษที่ศรัทธาเลื่อมใสช่วยกันเลี้ยง กินน้ำจืดที่มีไว้เกือบจะหมดแล้วก็ออกเดิน ทางที่เดินนั้น ลงไปบางปลาสร้อย แล้วจึงเวียนกลับขึ้นไปปราจิณ นครนายก ไปพระบาท แล้วเดินลงมาทางสระบุรี ถ้ามาตามทางรถไฟ แต่ไม่ขึ้นรถไฟ เว้นแต่พระที่เมื่อยล้าเจ็บไข้ ผ่านกรุงเทพฯกลับลงไปบางเหี้ย ออกเดินทางอยู่ในแรมเดือนยี่ กลับไปวัดอยู่ในราวเดือนห้าเดือนหก ประพฤติเป็นอาจิณวัตรเช่นนี้มา ๔๐ ปีแล้ว
     
  6. ppearwa

    ppearwa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +174
    คุณวิเศษที่คนเลื่อมใสคือ ให้ลงตะกรุด ด้ายผูกข้อมือ รดน้ำมนต์ ที่นิยมกันมากคือ เขี้ยวเสือแกะเป็นรูปเสือ เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ฝีมือหยาบๆ ข่าวที่ร่ำลือกันว่า เสือนั้นเวลาจะปลุกเสก ต้องใช้หมู ปลุกเสกเป่าไปข้อไร เสือนั้นกระโดดลงไปในเนื้อหมูได้ (น่าจะหมายความว่า พอปลุกเสกได้ที่เสือจะกระโดดกัดเนื้อหมู เป็นอันใช้ได้น่ะครับ) ตัวพระครูเองเห็นจะได้ความลำบาก เหน็ดเหนื่อยในการที่ใครๆ กวนให้ลงโน่นลงนี่ เขาว่าบางทีก็หนีไปอยู่ในป่าช้า ที่พระบาทฯ (สระบุรี) ก็หนีไปอยู่บนเขาโพธิ์ลังกา คนก็ยังตามไปกวนไม่เป็นอันหลับอันนอน แต่บริวารเห็นจะได้ผลประโยชน์ ในการทำอะไรๆ ขาย เวลาแย่งชิงก็ขึ้นไปถึง ๓ บาท ว่า ๖ บาทก็มี ได้รูปเสือนั้นแล้วจึงไปให้พระครูปลุกเสก สังเกตดูอัธยาศัยเป็นคนแก่ใจดีมีกิริยาเรียบร้อย อายุ ๗๐ แล้วยังไม่แก่มาก รูปร่างล่ำสันใหญ่โต เป็นคนพูดน้อย มีคนมาช่วยพูด"

    จะเห็นว่า ในพระราชนิพนธ์ “เสด็จประพาสเมืองปราจิณ” ได้เล่าถึง “พระปาน” อย่างละเอียด สิ่งสำคัญยิ่งก็คือ เครื่องรางเขี้ยวเสือที่ทำเป็นรูปเสือ ในขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่ ราคาเช่าซื้อตัวละ ๑ บาทบ้าง ๓ บาทบ้าง ๖ บาทบ้าง ซึ่งเป็นราคาที่สูงมาก (ในสมัยนั้น กาแฟถ้วยละ ๑ สตางค์ ก๋วยเตี๋ยวชามละ ๓ สตางค์ ข้าวผัดจานละ ๕ สตางค์) หลังจากเสร็จสิ้นพระราชกรณียกิจ ก่อนที่ท่านจะเสด็จกลับเมืองหลวง พระองค์มีรับสั่งกับหลวงพ่อปานว่า

    “ฟ้าไปก่อน แล้วให้พระท่านไปทีหลัง”

    พระราชดำรัสนี้ทำให้ทุกคนพิศวง เพราะไม่เข้าใจความหมาย (ยกเว้นหลวงพ่อฯ) แต่หลังจากนั้นไม่กี่ปี พระองค์ท่านก็เสด็จสวรรคต และต่อจากนั้นไม่ถึงปี หลวงพ่อปานก็มรณภาพลงเช่นกัน จึงสันนิษฐานว่าพระองค์อาจจะรู้ด้วยญาณ ว่าท่านและหลวงพ่อปานคงถึงเวลาที่จะละสังขารแล้ว

    บุญญาภินิหารของหลวงพ่อ

    หลวงพ่อปานท่านเป็นผู้มีความเมตตา ปรานี และมีวาจาสิทธิ์ จนเป็นที่ยำเกรงแก่ประชาชนทั่วไป บรรดาลูกศิษย์ของท่านจะพยายามปฏิบัติตนอยู่ในคุณงามความดี เพราะกลัวหลวงพ่อว่าตนไม่ดี แล้วจะไม่ดีตามวาจาสิทธิ์ของท่าน กอปรกับท่านมีเจโตปริยญาณ และอนาคตังสญาณ
     
  7. ppearwa

    ppearwa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +174
    อาทิเช่นครั้งหนึ่งท่านเตรียมจะออกเดินธุดงค์ พร้อมกับพระภิกษุสามเณรจำนวนมากจากวัดต่างๆ พระทั้งหลายจะต้องเข้ามาหาหลวงพ่อ เพื่อรายงานตัวก่อน ถ้าท่านไม่ให้ไปก็ไปไม่ได้ ในครั้งนั้นมีพระอยู่องค์หนึ่ง ชื่อพระผิว หลวงพ่อได้เรียกเข้ามาหา และบอกว่า

    “คุณเก็บบาตร เก็บกลด กลับวัดไปเถอะ”

    พระผิวเสียใจเป็นอย่างยิ่งถึงกับร้องไห้ หลวงพ่อปานจึงกล่าวกับพระผิวว่า

    “อย่าเสียใจไปเลยคุณ กลับไปวัดเถอะ เดินทางไปกับหลวงพ่อมันลำบากมาก องค์อื่นท่านแข็งแรง หลวงพ่อกลัวคุณจะลำบากจึงให้กลับไปก่อน”

    พระผิวจึงจำใจกลับ หลังจากพระผิวกลับมาถึงวัดได้ ๒ วันเท่านั้นท่านก็เป็นไข้ทรพิษ และมรณภาพลงในที่สุด การเดินธุดงค์นั้น ท่านมักจะให้ศิษย์ออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อนทุกคราว แต่พอถึงจุดนัดหมาย หลวงพ่อจะไปคอยอยู่ข้างหน้าก่อนเสมอ

    หลวงพ่อปานท่านเป็นพระที่เคร่งครัดเอาจริงเอาจัง มีจิตใจกล้าหาญ ผิดว่าผิด ถูกว่าถูก ไม่มีการเอนเอียงไปทางใดเลย การทำกรรมฐาน ท่านให้นั่งพิจารณาธาตุ เพ่งสิ่งต่างๆ เช่น ไฟเทียน น้ำในบาตร ปฐวีธาตุ จนพลังใจแก่กล้ามั่นคง และฝึกสติโดยการให้เดินจงกรม เมื่อฝึกจิตจนได้ที่แล้วท่านจึงจะสอนวิชาเคล็ดลับต่างๆ ให้ มีทั้งอยู่ยงคงกระพัน เมตตามหานิยม และวิชาไสยศาสตร์ต่างๆ ที่เรียนนี้ก็เพื่อรู้ เรียนไว้เพื่อแก้ และเพื่อป้องกันตัว (เวลาออกธุดงค์) ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากในสมัยนั้น ในการไปเดินธุดงค์คราวหนึ่ง ท่านไปได้หินเขียววิเศษ เป็นวัตถุสีเขียว แวววาวมาก โตขนาดเมล็ดถั่วดำ และข้างๆ หินนี้ มีเต่าหินที่สลักด้วยหินทรายสีออกน้ำตาลแดงเล็กน้อย หลวงพ่อปานท่านนิมิตเห็นสิ่งนี้ก่อนท่านจะออกธุดงค์

    ของวิเศษนั้น หลวงพ่อปานไม่เคยเปิดเผยกับใคร ท่านนำไปไว้ยังศาลที่ปลูกไว้ภายในบริเวณวัด ที่ศาลนี้มีพระพุทธรูปศิลาศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้วย ใครไปมาผ่านศาลก็จะกราบไหว้พระพุทธรูป และจะเห็นเต่าศิลาตัวนั้น แต่บางคราวเต่านั้นก็หายไป และก็น่าแปลกที่หลวงพ่อปานก็จะไม่อยู่ด้วยทุกครั้ง ทุกคนเข้าใจว่าท่านไปธุดงค์ในป่า แต่ทำไมจะต้องนำเต่าหินนั้นไปด้วยเพราะทั้งหนัก และต้องลำบากดูแลรักษา

    เรื่องนี้ใครๆ ไม่สนใจ แต่สามเณรน้อยองค์หนึ่งสนใจ และคอยแอบดูอยู่ ว่าเต่าหายไปไหนใครพามันไป ทั้งๆ ที่หนักมาก สามเณรน้อยนี้มีความพยายามมาก ท่านคอยซ่อนตัวแอบดูเต่าหินนั้น ซึ่งบัดนี้มีดวงตาเป็นหินสีเขียว โดยหลวงพ่อปานท่านลองใส่เข้าไปตรงดวงตาเต่าก็เข้ากันได้พอดี อย่างไรก็ตามความพยายามของสามเณร หลวงพ่อท่านก็ทราบโดยตลอด

    ต่อมาเป็นวันข้างแรมเดือนดับ สามเณรก็ยังมาคอยดูอยู่เช่นเคย ทันใดนั้น! เณรน้อยก็ตกตะลึงตัวชาอยู่กับที่ เพราะเต่าหินกำลังเคลื่อนไหวคลานออกจากศาล และลอยไปในอากาศ เรียกว่าเต่าหินเหาะก็ไม่ผิด สามเณรพยายามข่มตาไม่ยอมหลับนอน ทนไว้เพื่อจะได้ดู ตอนเต่าหินกลับมา เวลาล่วงเลยไปจนถึงประมาณตี ๔ เณรน้อยก็ต้องอัศจรรย์ใจอีกครั้ง เพราะเต่าหินนั้นได้เหาะกลับมา และคลานกลับไปอยู่ที่เดิม สามเณรนั้นเดินไปสำรวจเต่าหินดู ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ เป็นหินที่เขาสลักมาจากหินทราย ถ้าไม่ใช่ของกายสิทธิ์จะคลานแล้วลอยไปในอากาศได้อย่างไร หลวงพ่อปานท่านคอยดูความมานะ อดทนตลอดจนปัญญาไหวพริบของสามเณรน้อยลูกศิษย์ท่านอยู่เงียบๆ จากการสังเกตเฝ้าดู เณรน้อยพบว่าเต่าหินนี้จะเหาะไป และกลับตอนตี ๔ ทุกๆ วันแรม ๑๕ ค่ำ

    ในที่สุดเณรน้อยก็ตัดสินใจ ท่านครองผ้าอย่างทะมัดทะแมง เตรียมตัวจะไปผจญภัยกับเต่าหิน เมื่อถึงเวลา เต่าหินก็ค่อยๆ คลานลงมาจากศาล สามเณรก็ปราดออกจากที่ซ่อน กระโดดเกาะเต่าหินนั้นไว้ เมื่อเต่าหินค่อยๆ ลอยขึ้นสามเณรก็กอดไว้แน่นด้วยใจระทึกเพราะเกรงจะตกลงไป ในที่สุดก็มาถึงเกาะแห่งหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นสถานที่แห่งใด มองไปรอบๆ ตัวพบกับแสงสว่างเย็นตาน่ารื่นรมย์ เต่าหินค่อยๆ ลอยต่ำลง เมื่อถึงพื้นดินก็ตรงไปยังป่าไผ่ กินหน่อไผ่อย่างไม่รู้จักอิ่ม สามเณรก็ไม่กล้าลงจากหลังเต่า เพราะเกรงถูกทิ้งไว้ ได้แต่รั้งหักหน่อไม้มาได้หน่อหนึ่ง เพื่อเป็นสักขีพยานว่า ไม่ได้ฝันไป ได้มาอยู่บนเกาะนี้จริงๆ
     
  8. ppearwa

    ppearwa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +174
    เต่าหินนั้นกินอยู่พักหนึ่ง ก็เหาะกลับแต่ขณะที่เดินทางนั้น สามเณรไม่สามารถกำหนดจดจำทิศทางได้เลย เมื่อกลับมาที่วัด เต่าหินก็กลับไปประจำที่ ส่วนเณรน้อยก็ถือหน่อไม้เข้ากุฏิไป หลวงพ่อปานท่านพิจารณาแล้ว เห็นว่าเรื่องเต่าหินวิเศษนี้จะไม่เป็นความลับอีกต่อไป ท่านจึงได้นำดวงตาอันเป็นหินสีเขียวสดใสนั้นออกเสีย เพื่อเต่าศิลาจะได้ไม่สามารถเหาะไปเที่ยวได้อีก (ท่านคงพิจารณาแล้วว่า ถ้าเรื่องถูกแพร่งพรายออกไปคงจะเกิดความวุ่นวาย และสามเณรนั้นคงจะทดลองเกาะเต่าไปเที่ยวอีก และอาจเกิดอันตราย กระผมเข้าใจว่า หลวงพ่อท่านสามารถควบคุมเต่าได้ และสามารถเกาะหลังเต่าไปในที่ต่างๆ ได้ ตามที่ท่านปรารถนา) ปัจจุบันเต่าหินตัวนี้ ยังปรากฏอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดใกล้เคียง (เรื่องเต่าหินเหาะได้นี้ ท่านพระครูโกศล ปาสาธิโก ศิษย์ของหลวงพ่อปาน ซึ่งเป็นผู้ทรงอภิญญาเช่นเดียวกัน เป็นผู้เล่าให้ฟัง)

    เนื่องจากหลวงพ่อปานฯ เป็นผู้ที่ชอบเรียนรู้อยู่เสมอ ท่านจึงชอบธุดงค์ไปในที่ต่างๆ บางครั้งท่านก็ไปองค์เดียว คราวหนึ่งท่านเดินธุดงค์ไปทางจังหวัดปราจีนบุรี ไปถึงวัดโพธิ์ศรี เมื่อไปถึงวัด ท่านเจ้าอาวาสกำลังขึงกลองเพลอยู่ ท่านเห็นดังนั้นก็ลงมือช่วยเหลือทันที พอเสร็จเรียบร้อย สมภารท่านก็นิมนต์หลวงพ่อปานขึ้นไปคุยกันบนกุฏิ ขณะที่คุยกันอยู่มือของท่านสมภารก็ปั้นลูกดินกลมๆ อยู่ในมือ สักครู่หนึ่งท่านสมภารก็โยนลูกดินนั้นขึ้นไปบนอากาศ กลายเป็นม้าตัวหนึ่ง กับตุ๊กตาอีกตัวหนึ่งไล่จับเหยี่ยวอยู่บนท้องฟ้า

    หลวงพ่อปานเห็นดังนั้นท่านก็หัวเราะชอบใจ แต่ไม่ได้พูดอะไร เมื่อท่านลงจากกุฏิของท่านสมภารแล้ว ท่านได้พูดกับพระในวัดนั้นว่า “โดนลองดีเข้าให้แล้ว” พอพูดจบท่านก็หยิบผ้าสังฆาฏิที่พาดบ่าท่านอยู่ นำมาม้วนแล้วโยนขึ้นไปในอากาศ ปรากฏว่าผ้านั้นได้กลับกลายเป็นกระต่ายหลายตัว วิ่งอยู่ในลานวัด ใครจะจับก็จับไม่ได้ เป็นที่อัศจรรย์แก่ผู้พบเห็น หลังจากนั้นหลวงพ่อปานท่านจะออกเดินธุดงค์ ท่านมักจะมุ่งหน้าไปทาง อำเภอศรีมหาโพธิ์ จังหวัดปราจีนบุรีเสมอ เพราะในย่านนั้นเต็มไปด้วยพระอาจารย์ผู้มีวิชาอาคม ท่านปรารถนาจะเรียนในสิ่งที่ท่านยังไม่รู้ให้เพิ่มพูนยิ่งขึ้น

    ท่านพระครูโกศล ปาสาธิโก ท่านเล่าให้ฟังว่า “หลวงพ่อปาน วัดคลองด่าน ท่านเก่งเรื่องจิต ท่านแสดงฤทธิ์ได้มากมาย ท่านได้เคยเล่าถึงสรรพคุณของเต่าวิเศษที่พาท่านไปในเมืองลับแล ซึ่งเป็นภพซ้อนภพกันอยู่นี่ ได้ไปพบกับสิ่งอัศจรรย์หลายอย่าง พอเป็นคติเตือนใจ ครั้นเมื่อกลับมาจากการท่องเที่ยวครั้งนั้น หลวงพ่อปานได้เคร่งครัดการปฏิบัติกรรมฐานของท่านอย่างหนัก โดยไม่ปล่อยกาลเวลาให้ผ่านพ้นไป ท่านตระหนักดีว่า ชีวิตของท่านนั้นสั้นนัก ควรจะเร่งรีบภาวนา ทำจิตให้มีกำลัง มีสมาธิ และมีปัญญาติดตัวไว้ อุบายธรรมของท่าน ก็คือการพิจารณา สภาวธรรมความจริงแห่งวัฏฏะ เพราะสรรพสิ่งในโลกนี้มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ความทุกข์ความวุ่นวาย เกิดเพราะจิตเข้าไปยึดมั่น จิตปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา การระงับดับเหตุทั้งปวง ย่อมต้องระงับดับที่ใจ เพราะใจเป็นใหญ่ใจเป็นประธาน ท่านมีความมุ่งมั่นในการปฏิบัติ เพื่อพระนิพพานเป็นที่หมาย เพื่อให้พ้นจากวัฏฏะอันหมุนวนไม่รู้จักจบ”
     
  9. ppearwa

    ppearwa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +174
    ก่อนที่หลวงพ่อปานจะมรณภาพนั้น ประชาชนที่มีความเคารพบูชาหลวงพ่อ ได้พร้อมใจกันหล่อรูปท่านขึ้นมาองค์หนึ่ง ขนาดเท่าองค์จริง เพื่อไว้เป็นที่เคารพบูชา เพราะหลวงพ่อไม่ค่อยได้อยู่วัด ท่านมักจะเดินธุดงค์ไปในที่ต่างๆ เป็นประจำ จะได้กราบรูปหล่อแทนตัวท่าน แต่เมื่อหล่อรูปแล้วท่านก็ไม่ค่อยจะเข้าวัด ท่านมักจะปลีกตัวไปจำวัดที่พระปฐมเป็นประจำ การที่ท่านไม่อยากเข้าวัดของท่านนั้น อาจเป็นเพราะท่านรู้ล่วงหน้าว่าถึงคราวจะหมดอายุขัยแล้ว ท่านจึงต้องการความสงบในการพิจารณาธรรม แต่ท่านก็ไม่กล้าพูดกับใครๆ เมื่อญาติโยมอ้อนวอนมากๆ เข้า ท่านก็บ่ายเบี่ยงไปว่า “เข้าไปไม่ได้ อ้ายดำมันอยู่ ขืนเข้าไปอ้ายดำมันจะเอาตาย” คำว่า “อ้ายดำ” หมายถึงรูปหล่อของท่านนั่นเอง ปัจจุบันนี้รูปหล่อของท่านก็ยังประดิษฐานอยู่ที่วัดมงคลโคธาวาส (วัดคลองด่าน หรือวัดบางเหี้ย) คืออยู่ที่กุฏิของหลวงพ่อซึ่งได้จัดสร้างขึ้นใหม่ และปรากฏความศักดิ์สิทธิ์มากมาย น้ำมนต์ที่หน้ารูปหล่อของท่านก็มีคนนำไปดื่ม และทองคำเปลวที่รูปหล่อก็มีคนนำไปปิดที่หน้าผาก เพื่อรักษาโรคได้ผลมาแล้วมากมาย

    ด้านสาธารณประโยชน์ หลวงพ่อเป็นผู้นำในการสร้างถนนจากคลองด่านไปบางเพรียง ถนนจากวัดมงคลโคธาวาสไปวัดสว่างอารมณ์ ถนนจากวัดมงคลโคธาวาสจรดคลองนางหงษ์ ถนนแต่ละสายปัจจุบันได้พัฒนาเป็นถนนถาวรและใช้สัญจร ไปมาจนถึงทุกวันนี้

    ด้านความศักดิ์สิทธิ์อภินิหารของหลวงพ่อนั้น เป็นที่เลื่องลือกันทั่วไป เป็นพระอาจารย์ ที่มีญาณแก่กล้าชื่อเสียงโด่งดังในสมัยรัชกาลที่ 5 เครื่องรางของขลัง ของท่านเป็นที่เลื่อมใสศรัทธามากและสืบ เสาะหากันจนทุกวันนี้ ท่านคร่ำเคร่งทางวิปัสสนามากและ ธุดงค์อยู่เสมอ ด้วยคุณความดีและคุณธรรมอันสูงส่งของหลวงพ่อที่ได้ประกอบขึ้นไว้ แต่ครั้งท่านยังมีชีวิตอยู่ ราษฎรในตำบลใกล้เคียง กระทั่งต่างอำเภอและต่างจังหวัดพากันเคารพนับถือและรำลึก ถึงหลวงพ่ออย่างไม่ เสื่อมคลาย

    ด้านสมณศักดิ์ หลวงพ่อปาน ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น "พระครูพิพัฒน์นิโรธกิจ"

    ท่านมรณภาพเมื่อ วันที่ 29 สิงหาคม 2453 เวลา 4 ทุ่ม 45 นาที



    ถ้าหากถามถึงความเกี่ยวข้องกับทางวัดปานประสิทธารามนั้น ได้สอบถามจากเจ้าอาวาสมาว่า สมัยก่อน ท่านจะคอยหมั่นแวะมาปักกรดที่บริเวณของวัดนี้ จะมีเนินเล็กๆที่ท่านชอบมานั่ง และใกล้ๆนั้นจะมีธงปักอยู่ หากวันใดที่หลวงปู่ท่านมาปักกรดที่ตรงนี้ ธงจะถูกชักลง และถ้าหลวงปู่ท่านกลับธงจะถูกชักขึ้น นี่เป็นสัญญาลักษณ์ให้ชาวบ้านละเเวกนั้นได้ทราบถึงการมาของหลวงปู่ ต่อมาพื้นที่บริเวณนั้นได้ถูกสร้างเป็นวัดและอยู่มาถึงปัจจุบันนี้
     
  10. ppearwa

    ppearwa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +174
    หมายเหตุ เหตุผลที่ลงประวัติของหลวงพ่อปานบางเหี้ย หรือในปัจจุบันนี้ที่ชาวบ้านเรียกติดปากว่าหลวงปู่ปาน คลองด่านนั้น เพราะอยากจะให้ผู้ที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้ได้ทราบถึงประวัติและบารมีของหลวงปู่ เป็นวิทยาทานให้กับผู้ที่ไม่ทราบประวัติของท่านมาก่อน
     
  11. Saorixixi

    Saorixixi สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +16
    โมทนาบุญกับผู้ร่วมสร้างทุกท่านด้วยนะค่ะ เป็นบุญที่ลูกศิษย์หลวงปู่ปาน ไม่ควรพลาดจริงๆ!!
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 2217_21067.gif
      2217_21067.gif
      ขนาดไฟล์:
      5.2 KB
      เปิดดู:
      960
  12. ppearwa

    ppearwa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +174
    จะลงรูปในส่วนของอาคารและองค์ประกอบมาเรื่อยๆนะคะ
     
  13. Prawat Y.

    Prawat Y. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +365
    ได้ร่วมบุญ 50 บาท
    โอนแล้วครับ 17/08/2555 - 07:36:20
     
  14. ppearwa

    ppearwa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +174
    โมทนาบุญด้วยนะคะคุณPrawat ขอให้อนิสงส์นี้ไม่มีที่สิ้นสุดค่ะ
     
  15. ppearwa

    ppearwa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +174
    รายชื่อผู้ร่วมบริจาค

    รายชื่อผู้ร่วมบริจาค

    เสาสามัคคีธรรม คุณ กิ๊ฟ ๑๐๐ บาท
    เสาสามัคคีธรรม คุณ นัท ๕๐ บาท
    เสาสามัคคีธรรม คุณ Prawat Y. ๕๐ บาท (โอนเงิน)
    เสาสามัคคีธรรม คุณ แก๊ป ๑๐๐๐ บาท
    เสาสามัคคีธรรท คุณ น้องนาง ๕๐ บาท
    เสาสามัคคีธรรม คุณ Hoiilord (username) ๑๐๘.๙๙ บาท
    เสาสามัคคีธรรม กองพุทธศาสนา ๓๐๐ บาท
    เสาสามัคคีธรรม คุณเมย์ และคุณใหญ่ ๒๐ บาท
    อัพเดต 26/10/2555

    โมทนาบุญกับผู้มีจิตศรัทธาทุกคนนะค่ะ จะกี่บาทกี่สตางค์ถือว่าทุกท่านเป็นผู้ร่วมสร้างเหมือนกันคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2012
  16. >น้องนาง<

    >น้องนาง< เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    787
    ค่าพลัง:
    +3,330
    วันที่ 22 / 8 / 55 เวลา 18.36 น.

    ได้โอนเงินร่วมทำบุญจำนวน 50 บาทค่ะ

    โมทนาบุญกับทุกท่านด้วยนะคะ ^^
     
  17. ppearwa

    ppearwa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +174
    ช่วงนี้ยังสามารถร่วทบุญได้อยู่เรื่อยๆนะคะ

    เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ผู้ศรัทธาฝากมาร่วมบุญผ่านทางทางเราโดยตรง

    ได้ถวายให้พระคุณเจ้าแล้วนะคะ สําหรับเงินที่ได้มาในอาทิตย์นี้จะนําไปถวายในวันพระหน้า

    ส่วนท่านที่โอนเงินมา เราจะจดรายละเอียดให้ทางวัดเพื่อจะได้ตรวจสอบได้ภายหลัง

    ส่วนผู้ที่บริจาค1พันบาทขึ้นไป ขอรบกวนชื่อ-สกุลจริง เราตั้งใจว่า

    จะขอถวายวัดเป็นกองกระฐินไปเป็นการเพิ่มพูนบุญให้แก่ผู้ที่มีจิตศรัทธา

    จึงเเจ้งมาให้เพื่อทราบค่ะ^^
     
  18. Kimzo

    Kimzo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    553
    ค่าพลัง:
    +1,046
    ร่วมทำบุญสร้างอาคารปฏิบัติธรรมแด่วัดปานประสิทธารามเป็นจำนวนเงิน108.99บาทค่ะfly_pig
    รายละเอียดการทำรายการ
    เพื่อเข้าบัญชี 181-2-43105-4 วัดปานประสิทธาราม
    ชื่อบัญชี วัดปานประสิทธาราม โดยพระมหาเกรียงศักดิ์ สีลธโล
    จำนวนเงิน (บาท) 108.99
    วันที่โอนเงิน 03/09/2012
    บันทึกช่วยจำ
    แจ้งผู้รับโอน ส่ง SMS ภาษาไทย ไปยังหมายเลขโทรศัพท์มือถือ 0876137716

    ขอบคุณที่มาบอกบุญนะคะขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ
     
  19. ppearwa

    ppearwa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +174
    วันที่ 18 พฤศจิกายนนี้ ทางวัดจะจัดงานบุญทอดกระฐิน และ
    เป็นวันปฐมฤกษ์ในการหล่อรูปเหมือนหลวงพ่อปานด้วยนะคะ
    ตอนนี้ยังสามารถร่วมทําบุญได้อยู่ค่ะ แล้วหลังจากวันที่ 18
    นี้จะนํารูปงานบุญ และรายละเอียดเพิ่มเติมมาลงนะคะ
    เพื่อเป็นการยืนยันการดําเนินการของทางวัดด้วย

    ขอให้ทุกคนมาร่วมโมทนาบุญด้วยกันนะคะ ^^

    หมายเหตุ: ต้องขอโทษจริงๆค่ะที่ไม่ค่อยได้เข้ามา แต่จะพยายามมากขึ้นค่ะ
    ช่วงเดือนหน้าหลายที่ทั่วประเทศไทยจะมีงานกุศล งานบุญเกิดขึ้นมากมาย
    ขออนุโมทนากับทุกท่านที่มีส่วนร่วมในการสืบสานพุทธศาสนานะคะ
     
  20. Greenpleace

    Greenpleace เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2012
    โพสต์:
    895
    ค่าพลัง:
    +8,768
    ร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างอาคารปฏิบัติธรรมและหลวงพ่อปานองค์ใหญ่ที่สุด

    ศรัทธา คณะทำบุญทุกๆวัน

    ขอโมทนาทุกๆคนนะครับ
    **************************************************
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD class=textPriBld>เลขที่อ้างอิงการทำรายการ.: 284926614620121025 | วัน/เวลาการทำรายการ 25-10-2012 06:11:56</TD></TR><TR><TD class=bgPriMd bgColor=#5d8ab4>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%"><TBODY><TR vAlign=top><TD colSpan=2></TD></TR><TR vAlign=top><TD class=cnt_01>บัญชีผู้โอน </TD><TD class=cnt_02>KTB*กองทุนพุทธศาสนา*477-0-08361-0</TD></TR><TR vAlign=top><TD class=cnt_01>ยอดเงินที่ถอนได้ </TD><TD class=cnt_02> </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=cnt_01 width=255>บัญชีผู้รับโอน </TD><TD class=cnt_02 width=431>KBNK*สร้างหลวงพ่อปาน*181-2-43105-4</TD></TR><TR><TD class=cnt_01>ชื่อบัญชี </TD><TD class=cnt_02>WATPANPRASITTHARAM BYPRAM</TD></TR><TR vAlign=top><TD class=cnt_01>จำนวนเงิน </TD><TD class=cnt_02>300.00 บาท </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=cnt_01 width="24%">ค่าธรรมเนียม </TD><TD class=cnt_02 width="76%">25.00 บาท (เก็บ ณ วันเกิดรายการ) </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=cnt_01 height=22>รวมจำนวนเงิน</TD><TD class=cnt_02>325.00 บาท </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=cnt_01 height=22 width="34%">ประเภทการโอนเงิน</TD><TD class=cnt_02 width="66%">ทันที </TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...