คุยกันฉันท์เพื่อน - ( ๔๑) ^_^

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ชนินทร, 17 กันยายน 2009.

  1. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    สวัสดีค่ะพี่มารีน...

    พี่สบายดีนะคะ...

    ที่วัดท่าขนุน จะจัดปิดงานสัมมนา วันที่ ๒๕ สิงหาคม เดือนหน้านี้แล้วค่ะพี่...

    ไปร่วมงานให้ได้นะคะ... ตั้งใจจะทำอะไรที่แตกต่างจากภูมิภาคอื่นหลายอย่างค่ะ... (ถ้าทำได้น่ะนะคะ ^ ^)... แค่นึกก็สนุกแล้วค่ะพี่...

    เดี๋ยวถ้าทุกอย่างลงตัว โอเค แน่นอนแล้ว จะมาแจ้งรายละเอียดให้พี่ กับทุกๆ คนได้ทราบนะคะ...
     
  2. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ผักพื้นบ้าน คือ พรรณพืชพื้นบ้านในท้องถิ่น ที่ชาวบ้านนำมาบริโภคเป็นอาหาร เป็นยารักษาโรค หรือนำมาทำเป็นของใช้สอยในครัวเรือน

    ผักพื้นบ้านนอกจากจะมีคุณค่าทางโภชนาการแล้ว ส่วนใหญ่ยังมีสรรพคุณเป็นยาสมุนไพร เนื่องจากมีรสยาที่หลากหลายอยู่ในผักพื้นบ้าน ตามทฤษฎีการแพทย์แผนไทย ให้ความสำคัญกับรสอาหารพื้นบ้าน ดังนี้

    [​IMG][/IMG]​

    รสฝาด

    มีสรรพคุณทางยา
    คือ ช่วยสมานแผล แก้ท้องร่วง บำรุงธาตุในร่างกาย

    เช่น ยอดมะม่วง ยอดมะกอก ยอดจิก ยอดกระโดน ฯลฯ


    รสหวาน

    มีสรรพคุณทางยา คือ ช่วยให้มีการดูดซึมได้ดีขึ้น ทำให้ชุ่มชื้น บำรุงกำลัง แก้อ่อนเพลีย

    เช่น เห็ด ผักหวานป่า ผักขี้หูด บวบ น้ำเต้า ฯลฯ

    รสเผ็ดร้อน

    มีสรรพคุณทางยา คือ แก้ท้องอืด แก้ลมจุกเสียด ขับลม บำรุงธาตุ

    เช่น ดอกกระทือ กระเทียม ดอกกระเจียวแดง ดีปลี พริกไทย ใบชะพลู ขิง ข่า ขมิ้น กระชาย ฯลฯ

    รสเปรี้ยว

    มีสรรพคุณทางยา คือ ขับเสมหะ ช่วยระบาย

    เช่น ยอดมะขามอ่อน มะนาว ยอดชะมวง มะดัน ยอดมะกอก ยอดผักติ้ว

    รสหอมเย็น

    มีสรรพคุณทางยา คือ บำรุงหัวใจ ทำให้สดชื่น แก้อ่อนเพลีย

    เช่น เตยหอม โสน ดอกขจร บัว ผักบุ้งไทย เป็นต้น

    รสมัน

    มีสรรพคุณทางยา คือ บำรุงเส้นเอ็น เป็นยาอายุวัฒนะ

    เช่น สะตอ เนียง ขนุนอ่อน ถั่วพู ฟักทอง กระถิน ชะอม

    รสขม

    มีสรรพคุณทางยา คือ บำรุงโลหิต เจริญอาหาร ช่วยระบาย

    เช่น มะระขี้นก ยอดหวาย ดอกขี้เหล็ก ใบยอ สะเดา เพกา ผักโขม


    นอกจากคุณค่าทางยาแล้ว ผักพื้นบ้านยังมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ช่วยป้องกันการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน สร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย

    สารสำคัญในผักพื้นบ้าน ที่สามารถป้องกันการเกิดโรคต่างๆ ได้แก่ สารเบต้าแคโรทีน ซึ่งพบในผักใบเขียวจัดๆ เช่น ใบยอ ใบย่านาง ใบชะพลู ใบตำลึง ใบบัวบก ใบแมงลัก ผักชีลาว ผักแว่น ใบขี้เหล็ก ใบกะเพรา นอกจากนี้ ยังพบในผลไม้ที่มีสีเหลือง เช่น มะละกอสุก ฟักทอง มะปราง

    นอกจากสารเบต้าแคโรทีนดังกล่าวแล้ว ในผักสด ยังพบว่ามีวิตามินซีสูง ซึ่งวิตามินซีมีบทบาทในการสร้างภูมิต้านมะเร็ง คือ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ สามารถปกป้องเซลล์ในร่างกายจากการเป็นมะเร็ง อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความแข็งแรง และเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานของเม็ดเลือดขาวได้

    วัฒนธรรมพื้นบ้านของคนไทยตั้งแต่สมัยโบราณ มักจะเก็บผักพื้นบ้านจากริมรั้ว จากป่า ไร่นา หรือสวน เป็นผักสดๆ มาประกอบเป็นอาหาร ผักสดยิ่งสดเท่าไรก็ยิ่งมีวิตามินซีสูงเท่านั้น

    ดังนั้น ภูมิปัญญาดั้งเดิมของคนไทย ผักบางชนิดที่นำมารับประทานสดๆกับน้ำพริก คนไทยก็มักจะนำมารับประทานเลย ซึ่งได้วิตามินซีและเกลือแร่อื่นๆ สูง ในบางชนิดอาจเป็นอันตรายถ้านำมารับประทานเลย ก็จะนำมาลวก ต้ม ตามภูมิปัญญาดั้งเดิม

    การดูแลสุขภาพของตนเองด้วยวิธีธรรมชาติ การรับประทานผักพื้นบ้านที่ปลอดสารพิษ หรือปลูกผักไว้รับประทานกันเองในครัวเรือน นอกจากจะช่วยป้องกันการเกิดโรคต่างๆ แล้ว ยังช่วยประหยัด และช่วยสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับชุมชน

    ดังนั้น เราควรจะส่งเสริมให้มีการปลูกผักริมรั้ว เพื่อนำมาประกอบเป็นอาหาร แทนการปลูกไม้ดอก ไม้ประดับ ถึงแม้ว่าเราจะไม่มีบริเวณที่จะปลูกต้นไม้ หรือผักไว้กินได้มากนัก เนื่องจากการถูกจำกัดเรื่องสถานที่ แต่เราสามารถปลูกผักสวนครัวไว้กิน โดยการปลูกไว้ในกระถาง เช่น พริก โหระพา กะเพรา แมงลัก ชะพลู ผักชี ผักแพว เป็นต้น ซึ่งปลูกง่าย และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง อีกทั้งยังปลอดภัยจากสารพิษ

    สำหรับผู้ที่มีที่ดินพอปลูกผักริมรั้ว ที่เป็นไม้ยืนต้น ที่เก็บไว้กินได้หลายๆ ปี เช่น แค กระถิน ชะอม สะเดา การนำพืชเหล่านั้นมาปลูกในที่ไม่ต้องการ การดูแลมากนัก นอกจากจะเก็บมาเป็นอาหารที่มีคุณค่าแล้ว ยังช่วยเป็นรั้วบ้าน และให้ร่มเงาทำให้สดชื่น ถ้าเหลือกินในครอบครัวก็สามารถแบ่งให้เพื่อนบ้าน หรือเก็บไปขายได้

    จากที่กล่าวมาแล้ว จะเห็นได้ว่าภูมิปัญญาดั้งเดิม วัฒนธรรมความเป็นอยู่ของคนไทยในสมัยโบราณที่อยู่แบบอบอุ่นพึ่งตนเองได้ ปัจจุบันคนไทยกำลังหวนคืนสู่บรรยากาศนั้น เพื่อความเป็นอยู่ที่เป็นเอกลักษณ์ของคนไทย การช่วยเหลือจุนเจือกัน การช่วยเหลือตัวเองในระดับครอบครัว ชุมชน เป็นประเด็นที่น่าสนใจ ที่คนไทยควรจะเห็นความสำคัญ เพื่อความอยู่รอดของเราคนไทย และเพื่อชาติไทย

    อาหารประจำธาตุเจ้าเรือน

    ธาตุดิน ควรรับประทานอาหารรสฝาด หวาน มัน เค็ม ได้แก่ มังคุด ฝรั่งดิบ ฟักทอง เผือก ถั่วต่างๆ เงาะ น้ำนม น้ำอ้อย เกลือ ฯลฯ

    ธาตุน้ำ ควรรับประทานอาหารรสเปรี้ยว รสขม ได้แก่ มะกรูด มะนาว ส้ม สับปะรด มะเขือเทศ มะระ สะเดา ฯลฯ

    ธาตุลม ควรรับประทานอาหารรสเผ็ดร้อน ได้แก่ ขิง ข่า ตะไคร้ กระชาย พริกไทย โหระพา กะเพรา ฯลฯ

    ธาตุไฟ ควรรับประทานอาหารรสขม เย็น จืด ได้แก่ ผักบุ้ง ตำลึง แตงโม บัวบก ขี้เหล็ก ฯลฯ
    (จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 133 มกราคม 2555 โดย สถาบันการแพทย์แผนไทย)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 สิงหาคม 2012
  3. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ขอบคุณข้อมูลจากสมุนไพรดอทคอม....

    ชีวกโกมารภัจจ์
    [​IMG]

    เอตทัคคะในฝ่ายผู้เลื่อมใสในบุคคล ชีวกโกมารภัจจ์ เป็นลูกของนางสาลวดี ซึ่งเป็นหญิงโสเภณีในเมืองราชคฤห์ธรรมดา หญิงโสเภณีจะไม่เลี้ยงลูกชาย เพราะช่วยสืบสายอาชีพไม่ได้ ดังนั้นเมื่อนางคลอดลูกออกมา แล้วรู้ว่าเป็นเพศชาย จึงให้สาวใช้นำลูกชายใส่กระด้งไปวางไว้ที่กองขยะ

    จากกองขยะมาเป็นลูกเจ้า

    บ่ายวันนั้น อภัยราชกุมาร พระราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสารเสด็จประพาสพระนคร ผ่านมาทางนั้น เห็นฝูงนกการุมล้อมเด็กทารกอยู่ ตรัสสั่งให้นายสารถีไปดูว่าเด็กยังมีชีวิตอยู่ หรือเปล่า เมื่อนายสารถีกลับมากราบทูลว่ายังมีชีวิตอยู่จึงรับสั่งให้อุ้มมาแล้วนำเข้าไปมอบให้ นางนมเลี้ยงดูเป็นอย่างดีภายในประราชนิเวศแล้วตั้งชื่อให้ว่า ชีวก ซึ่งมาจากคำว่า ชีวิต คือรอดชีวิตมาได้ เมื่อเจริญวัยขึ้นมาได้ประทานนามเพิ่มเติมว่า โกมารภัจจ์ ซึ่งหมายถึง เป็นบุตรบุญธรรมของพระราชกุมาร ทรงชุบเลี้ยงดูโอรสแท้ ๆ ของพระองค์ แม้ พระเจ้าพิมพิสารก็โปรดปรานประดุจหลานของพระองค์ และประชาชนทั่วไปก็เข้าใจว่าเป็น โอรสที่แท้จริง ของอภัยราชกุมาร


    หนีจากวังหาสำนักศึกษา

    เมื่อชีวกโกมารภัจจ์ เจริญเติบโตเข้าสู่วัยเรียน และทราบว่าตนเป็นเด็กกำพร้า จึงต้องการ ที่จะศึกษาวิชาความรู้เพื่อประกอบอาชีพในอนาคต อาชีพที่เขาชอบคือหมอรักษาโรคเพื่อช่วย เหลือชีวิตมนุษย์ ดังนั้น เขาได้หนีออกจากวังเดินทางไปกับกองเกวียนพ่อค้า จนถึงเมืองตัก สิลา แล้วให้พ่อค้าที่เขาอาศัยมานั้นช่วยพาไปฝากอาจารย์ทิศาปาโมกข์ คือ พระฤาษีโรคาพฤกษตริณณา ผู้เป็นเจ้าสำนัก ชีวกได้มอบหมายถวายตัวเป็นศิษย์รับใช้ ทำงาน ทุกอย่างในสำนักอาจารย์เพื่อแลกกับวิชาความรู้เพราะตนไม่มีทรัพย์สินเป็นค่าเรียน เขาศึกษา อย่างตั้งอกตั้งใจ ทำให้เรียนได้เร็วกว่าศิษย์คนอื่น ๆ และสำเร็จจบหลักสูตรใน ๗ ปี ซึ่งปกติคน อื่น จะเรียนถึง ๑๖ ปี แม้จบหลักสูตรแล้ว ก็ยังมีความสงสัยในความรู้ของตนเองว่าอาจจะไม่ สมบูรณ์ จึงเข้าไปปรึกษาอาจารย์ ซึ่งอาจารย์ได้สั่งให้เขาออกไปหาต้นไม้ใบหญ้าหรือพืชชนิด ใดชนิดหนึ่งก็ได้ ที่เห็นว่าใช้ทำยาไม่ได้มาให้อาจารย์ เขาได้ใช้เวลาหลายวันเข้าไปในป่ารอบ ๆ เมืองตักสิลา ค้นหาจนทั่วก็ไม่พบใบหญ้าหรือพืชสักชนิดเดียวที่ใช้ทำยาไม่ได้ จึงรู้สึกผิดหวัง กลัวอาจารย์จะตำหนิแต่พอแจ้งแก่อาจารย์แล้ว อาจารย์กลับยิ้มอย่างพอใจและกล่าวว่า เธอ เรียนจบแล้ว ออกไปประกอบอาชีพรักษาคนไข้ได้แล้ว


    ชีวกโกมารภัจจ์ได้เรียนวิชาแพทย์พิเศษ

    ชีวกโกมารภัจจ์ เป็นศิษย์ที่มีอัธยาศัยดี มีความเคารพนับถือเชื่อฟังอยู่ในโอวาทของ อาจารย์ มีความกตัญญูกตเวที มีศีลธรรม และอัธยาศัยความสุขุมละเอียดเยือกเย็น สุภาพเรียบ ร้อยไม่พลาดพลั้ง อีกทั้งเชาว์ปัญญาก็ดีเยี่ยมจึงเป็นที่รักของอาจารย์ ท่านอาจารย์จึงเมตตาสอน วิชาแพทย์พิเศษให้อีกแขนงหนึ่ง ซึ่งอาจารย์จะไม่ค่อยสอนให้แก่ใคร ๆ คือ วิชาประสมยา ปรุง ยาขนานเอก พร้อมทั้งวิธีการรักษาโรคให้ด้วย ยาขนานนี้พิเศษจริง ๆ สามารถรักษาโรคได้ทุก ชนิด และวางยาครั้งเดียวไม่ต้องซ้ำ ยกเว้นโรคที่เกิดจากผลกรรมรักษาไม่ได้ เมื่อศึกษาจบครบ วิชาการที่อาจารย์ประสิทธิ์ประสาทให้แล้วได้ลาอาจารย์กลับสู่บ้านเมืองของตน


    คนไข้คนแรกของชีวกโกมารภัจจ์

    [​IMG]

    หมอชีวกโกมารภัจจ์ ออกเดินทางจากเมืองตักสิลามุ่งสู่กรุงราชคฤห์พักผ่อนรอนแรม ในระหว่างทางเสบียงที่อาจารย์มอบหมายก็ใกล้หมด จึงเที่ยวหารักษาใช้พอดีภริยาเศรษฐีใน เมืองสาเกตเป็นโรคปวดศีรษะมาเป็นเวลาประมาณ ๗ ปี พยายามรักษาสิ้นทรัพย์จำนวนมากก็ ไม่หาย หมดอาลัยในชีวิตจึงปล่อยไปตามกรรม

    เมื่อหมอชีวกโกมารภัจจ์ ทราบจึงเข้าไปอาสารักษาให้ ทั้งคนไข้และเศรษฐีเห็นหมอยัง หนุ่มอยู่ไม่เชื่อความสามารถ จึงบอกปัดไม่ยอมให้รักษา เพราะเกรงว่าจะเสียค่ารักษาเปล่า ๆ ไม่ได้ประโยชน์ แต่หมอชีวกโกมารภัจจ์บอกจะรักษาให้ก่อน เมื่อหายแล้ว จึงจะรักค่ารักษา ดัง นั้นเศรษฐีและภริยาจึงตอบตกลงยอมให้รักษา หมอชีวกโกมารภัจจ์ ประกอบยาให้นัตถุ์เข้าทาง จมูก ฤทธิ์ยาทำให้คนไข้อาเจียนออกมาทางปาก หลังจากนั้นโรคของนางก็หายเป็นปกติ เขาได้ รับค่ารักษาและรางวัลมาถึง 16000 กหาปณะ แล้วเดินทางต่อไปจนถึงกรุงราชคฤห์

    เมื่อถึงแล้วหมอชีวกโกมารภัจจ์ ได้เข้าเฝ้าพระบิดาอภัยราชกุมาร กราบทูลขออภัยโทษ ที่หนีไปโดยมิได้ทูลลา ทูลเล่าเรื่องการศึกษาวิชาแพทย์ตั้งแต่ต้นจนจบ ตลอดจนการเดินทาง กลับแล้วได้ถวายเงินรางวัลที่ได้รับระหว่างทางแก่พระบิดา พระอภัยราชกุมารทรงปลาบปลื้ม พระทัย คืนทรัพย์สินที่ถวายให้กลับคืนเพื่อเป็นทุนใช้สอย


    ประวัติการรักษาโรคครั้งสำคัญ

    [​IMG]

    เมื่อหมอชีวกโกมารภัจจ์ เดินทางถึง กรุงราชคฤห์แล้ว ได้รับรักษาโรคต่าง ๆ จนมีชื่อ เสียงปรากฏเลื่องลือทั่วทั้งกรุงราชคฤห์และแคว้นอื่น ๆ การรักษาโรครั้งสำคัญของหมอชีวก ก็ คือ

    รักษาโรคริดสีดวงทวารให้พระเจ้าพิมพิสารจนหายสนิท ทำให้พระองค์สบาย พระวรกายขึ้นได้พระราชทานรางวัลเป็นอันมากทั้งทรัพย์สินเงินทอง ข้าทาสบริวารและที่ดิน แต่หมอชีวกขอรับเพียงอย่างเดียวคือสวนมะม่วง จากนั้นพระเจ้าพิมพิสารทรงแต่งตั้งให้เป็น แพทย์หลวงประจำพระองค์

    ผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะเศรษฐีชาวเมืองราชคฤห์ ซึ่งป่วยปวดศีรษะมานานเกือบ 10 ปี

    ผ่าตัดโรคฝีในลำไส้ให้ลูกชายเศรษฐีในเมืองพาราณสี

    รักษาอาการประชวรด้วยโรควัณโรคปอด ให้พระเจ้าจัณฑปัชโชต แห่งกรุงอุชเชนี แคว้นอวันตี
    ในการรักษาให้พระเจ้าจัณฑปัชโชตนั้น หมอชีวกเกือบถูกประหารชีวิตเนื่องจากพระ องค์ท่านมีพระอัธยาศัยโหดร้าย สั่งประหารคนง่าย ๆ โดยไม่มีเหตุผลและพระองค์เกลียดกลิ่น เนยใสเป็นที่สุด บังเอิญยาที่จะรักษานั้นก็มีส่วนผสมเนยใสอยู่ด้วย ทำให้หมอชีวกหนักใจมาก จึงวางแผนเตรียมก่อนที่จะถวายการรักษา ได้กราบทูลขอพระราชทานช้างชื่อภัททวดี ซึ่งมีฝี เท้าเร็ว และประตูเมืองหนึ่งประตู โดยอ้างว่าเพื่อสะดวกในการออกไปเที่ยวหาตัวยาสมุนไพร ซึ่งบางชนิดต้องเก็บในเวลากลางคืน บางชนิดต้องเก็บในเวลากลางวัน การรักษาจึงจะได้ผล

    หลอกให้พระเจ้าจุณฑปัชโชต เสวยเนยใส

    หมอชีวกได้ผสมยาโดยเคี่ยวใส่เนยใสบนเตาไฟจนสี รส และ กลิ่น เปลี่ยนไปเสร็จ แล้วนำเข้าไปถวายพระราชากราบทูลว่าเป็นโอสถสูตรใหม่มิได้ผสมเนยใสเมื่อพระราชาเสวย แล้วกราบทูลลากลับ เพื่อขอไปจัดโอสถมาถวายอีก พอออกมาพ้นพระราชนิเวศน์แล้วรีบตรง ไปยังโรงช้าง แจ้งแก่พนักงานดูแลช้างว่าขอช้างพังชื่อภัททวดี เพื่อรีบไปเก็บตัวยา เมื่อขึ้น หลังช้างแล้วรีบออกจากกรุงอุชเชนี ทันที

    พระโอสถที่พระจ้าจัณฑปัชโชตเสวยแล้ว ก็ละลายกระจายรสและกลิ่นออกมา ทำให้ พระเจ้าจัณฑปัชโชต ได้กลิ่นเนยใส จึงกริ้วขึ้นมาทันที รับสั่งให้ทหารรีบไปจับตัวหมอชีวกมา โดยเร็ว เมื่อทรงทราบว่าหนีออกจากเมืองไปแล้วรับสั่งให้ทหารนำพาหนะที่มีฝีม้าเร็วติดตาม จับตัวมาให้ได้ และทหารผู้นั้นก็ได้ติดตามไปทับ ณ หมู่บ้านตำบลหนึ่ง ซึ่งเป็นไปตามที่หมอชี วกได้คาการณ์ไว้แล้วจึงเตรียมยาระบายอย่างแรงซ่อนไว้ในเล็บ เมื่อนายทหารผู้นั้นจะเข้ามาจับ กุม จึงถูกหมอชีวกหลอกให้กินยาระบายจนถ่ายท้องหมดเรี่ยวแรง ปล่อยให้หมอชีวกหนีต่อไปได้

    ฝ่ายพระเจ้าจัณฑปัชโชต เมื่อพระโอสถออกฤทธิ์แล้ว พระอาการประชวรก็หายเป็น ปกติ พระวรกายโปร่งเบาสบาย รู้สึกขอบใจหมอชีวก แม้ทหารที่ติดตามไปจับตัวหมอชีวก แล้วถูกหลอกให้กินยาระบายจับตัวไม่ได้ กลับมารายงานแล้ว พระราชาก็มิได้กริ้วโกรธแต่ ประการใด รับสั่งให้จัดส่งของมีค่าหลายประการรวมทั้งผ้าเนื้อดีจากแคว้นการสี อันเป็นที่นิยม กันว่าเป็นผ้าดีฝีมือการเย็บการทอยอดเยี่ยมกว่าผ้าเมืองอื่น ๆ ให้ทูตนำไปมอบให้แก่หมอชีวก โกมารภัจจ์ ที่กรุงราชคฤห์ หมอชีวกรับของรางวัลมาแล้วพิจารณาเห็นว่าเป็นผ้าเนื้อดีไม่สมควร ที่ตนจะใช้สอย เป็นของสมควรแก่พระบรมศาสดาหรือพระมหากษัตริย์ จึงได้เก็บรักษาไว้เพื่อ นำไปถวายพระบรมศาสดาต่อไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    แพทย์ประจำองค์พระศาสดาและภิกษุสงฆ์

    [​IMG]

    พระเจ้าพิมพิสารนอกจากจะแต่งตั้งให้หมอชีวกโกมารภัจจ์ เป็นแพทย์ประจำพระองค์ แล้ว ยังมอบให้รับหน้าที่เป็นแพทย์ประจำองค์พระศาสดาและภิกษุสงฆ์ทั้งหลายอีกด้วย

    หมอชีวกโกมารภัจจ์ ได้เคยถวายการรักษาให้พระบรมศาสดาครั้งสำคัญ 2 ครั้ง คือ
    ครั้งแรก ได้ปรุงยาระบายชนิดพิเศษถวาย เพื่อระบายสิ่งหมักหมมในพระวรกายออก
    ครั้งที่สอง ในคราวที่พระเทวทัตกลิ้งหินหมายปลงพระชนม์พระศาสดาแต่หินกลิ้งไป ผิดทาง มีเพียงสะเก็ดหินก้อนเล็ก ๆ กระเด็นมากระทบพระบาทจนทำให้พระโลหินห้อขึ้น หมอชีวกได้ปรุงพระโอสถพอกที่แผลแล้วใช้ผ้าพันแผลไว้พอรุ่งขึ้นตอนเช้าแผลก็หายสนิท เป็นปกติ

    นอกจากนี้หมอชีวกยังได้ให้การรักษาพระภิกษุสงฆ์ที่อาพาธด้วยโรคต่าง ๆ โดยไม่คิด มูลค่า จนไม่ค่อยจะมีเวลารักษาให้คนทั่ว ๆ ไป เพราะท่านหมอมีความห่วงใยพระภิกษุสงฆ์ มากกว่าจงเป็นเหตุให้คนบางพวกเมื่อเจ็บป่วยหรือเป็นโรคขึ้นมา ก็พากันมาบวชเพื่อสะดวกแก่ การให้หมอรักษา พอหายดีแล้วก็ลาสิกขาไป

    กราบทูลขอพรห้ามบวชคนที่มีโรคติดต่อ

    [​IMG]

    สมัยหนึ่งในพระนครราชคฤห์เกิดโรคสกปรก โรคติดต่อและโรคร้ายแรง ระบาดไป ทั่วกรุงละจังหวัดใกล้เคียง เช่น กุฏฐัง = โรคเรื้อน / คัณโฑ = โรคฝีดาษ / กิลาโส = โรคกลาก / โสโส = โรคไข้มองคร่อ / อปมาโร = โรคลมบ้าหมู ซึ่งโรคเหล่านี้เป็นกันทั่วไปแก่ประชาชนพลเมือง ทั้งภายนอกทั้งภายในราชสำนัก ตลอดจนพระสงฆ์ในอารามต่าง ๆ หมอทั้งหลายต้องทำงานกันอย่างหนัก ส่วนหมอชีวกโกมาร ภัจจ์ ก็จะให้การรักษาแก่พระภิกษุสงฆ์และบุคคลภายราชสำนักก่อน เนื่องจากหมอชีวกโกมาร ภัจจ์ รักษาแล้วได้ผลหายเร็วค่ารักษาถูกกว่าหมออื่น โดยเฉพาะพระภิกษุสงฆ์แล้วจะรักษาให้ โดยไม่คิดค่ายาค่ารักษาแต่ประการใด

    ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้มีคนคิดอาศัยพระศาสนาเพื่อเข้ามารักษาตัว โดยเข้ามาบวชเป็น พระให้หมอรักษาจนหายจากโรคที่เป็นอยู่แล้วก็สึกออกไป และคนพวกนี้ก็เป็นตัวนำเชื้อโรค บางอย่างมาแพร่เชื่อติดต่อให้พระ เช่น โรคเรื้อนและโรคกลากเกลื้อน เป็นต้น จนระยะหลัง ๆ หมอชีวกสังเกตเห็นว่าคนหัวโล้นมีมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่เป็นที่น่ารังเกียจของสังคม เมื่อสอบถามดู จึงได้ทราบความจริงว่าเพิ่งสึกมาจากพระ และที่บวชก็มิได้บวชด้วยศรัทธา แต่บวชเพื่อรักษา ตัว เมื่อโรคหายแล้วก็สึกออกมา

    ด้วยเหตุนี้ วันหนึ่งหมอชีวกเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูลของพรว่า ขออย่าได้บวชให้คนที่มีโรคติดต่อทั้ง ๕ ชนิดข้างต้นเลย

    พระพุทธองค์ประทานให้ตามที่กราบทูลขอ และได้ประกาศให้ภิกษุสงฆ์ทราบโดยทั่ว กัน ตั้งแต่นั้นมา คนที่เป็นโรคทั้ง ๕ ชนิดนั้นก็ไม่สามารถบวชในพระพุทธศาสนาได้


    กราบทูบขอพรให้ภิกษุรับคฤหบดีจีวรได้

    [​IMG]

    หมอชีวกโกมารภัจจ์ หลังจากที่รักษาอาการประชวรของพระเจ้าจัณฑปัชโชตจนหาย เป็นปกติดีแล้ว ได้รับพระราชทานรางวัลเป็นผ้าเนื้อดีจากแคว้นกาสี แต่ท่านหมอคิดว่า ผ้าเนื้อ ดี อย่างนี้ ไม่สมควรที่ตนจะใช้สอย เป็นของสมควรแก่พระบรมศาสดาหรือพระมหากษัตริย์ จึงได้น้อมนำผ้านั้นไปถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ก่อนที่จะถวายได้กราบทูลขอพรว่า ขอให้ ภิกษุรับคฤหบดีจีวรได้ พระพุทธองค์ประทานอนุญาตให้ตามที่ขอ

    การที่หมอชีวกโกมารภัจจ์ กราบทูลขอพรเช่นนั้น ก็เพราะแต่ก่อนนั้นภิกษุใช้สอยแต่ ผ้าบังสุกุล คือ ผ้าที่ชาวบ้านทั้งหลายทิ้งตามกองขยะบ้าง กองหยากเยื่อบ้าง ผ้าที่ห่อศพทิ้งในป่า บ้าง นำมาทำความสะอาดแล้วเย็บย้อมเป็นผ้าสบงจีวร สำหรับนุ่งห่ม จะไม่รับผ้าที่ชาวบ้าน ถวาย หมอชีวกโกมารภัจจ์ เห็นความลำบากของพระภิกษุสงฆ์ในเรื่องนี้ จึงกราบทูลขอพรและ ได้เป็นผู้ถวายเป็นคนแรก ผ้าที่ภิกษุรับอย่างนี้เรียกว่า คฤหบดีจีวร

    แม้พระพุทธองค์จะทรงอนุญาตตามที่หมอชีวกโกมารภัจจ์ กราบทูลขอ แต่ก็ยังมีพุทธ ดำรัสตรัสว่า ถ้าภิกษุปรารถนาจะถือผ้าบังสุกุลก็ให้ถือ ปรารถนาจะรับคฤหบดีรจีวรก็ให้ รับ และได้ตรัสสรรเสริญความสันโดษคือความยินดีตามมีตามได้

    พระพุทธองค์ ทรงแสดงพระธรรมเทศนาอนุโมทนาบุญแก่หมอชีวกผู้ถวายผ้านั้น เมื่อ จบพระธรรมเทศนาแล้ว หมอชีวกโกมารภัจจ์ ก็ได้ดวงตาเห็นธรรมดำรงอยู่ในอริยภูมิคือพระ โสดาบัน


    หมอชีวกโกมารภัจจ์ สร้างวัด

    หมอชีวกโกมารภัจจ์ เมื่อยามว่างเว้นจากการรักษาคนไข้ก็หวนคิดถึงตนเอง มีความ ปรารถนาจะเข้าเฝ้าใกล้ชิดพระบรมศาสดาอย่างน้อยวันละ ๒ เวลา เช้า-เย็น เพื่ออบรมจิตใจได้ มากขึ้น แต่วัดเวฬุวันก็ตั้งอยู่ห่างไกลจากบ้าน อีกทั้งไม่สะดวกในการฟังธรรม และการรักษา พยาบาลภิกษุไข้ จึงได้น้อมนำถวายสวนมะม่วงที่พระเจ้าพิมพิสารพระราชทานให้แก่ตนนั้น สร้างวัดถวายในพระพุทธศาสนาสร้างพระคันธกุฏีที่ประทับส่วนพระพุทธองค์ พร้อมด้วยกุฏ สงฆ์ ศาลาฟังธรรมบ่อน้ำ และกำแพงขอบเขตวัดพร้อมบริบูรณ์ทุกสิ่งแล้ว กราบทูลอาราธนา พระบรมศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์พุทธสาวกเสด็จเข้าประทับยังพระอารามใหม่นั้นถวาย อาหารบิณฑบาตเป็นการฉลองพระอารามแล้ว หลังน้ำทักษิโณทกให้ตกลงบนฝ่าพระหัตถ์ของ พระบรมศาสดา กล่าวอุทิศถวายมอบกรรมสิทธิ์ในที่ดินและอาคาร ให้เป็นศาสนสถานอยู่จำ พรรษาของภิกษุสงฆ์ที่มาจากทิศทั้ง ๔ พระอารามใหม่นี้ได้นามตามผู้ถวายว่า ชีวกัมพวัน (ชีวก+อัมพวัน)


    พาพระเจ้าอชาตศัตรูเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า

    อชาตศัตรูราชกุมาร มีพระอัธยาศัยคิดทรยศไม่ซื่อตรง ขาดความจงรักภักดีต่อพระเจ้า พิมพิสาร ผู้เป็นพระราชบิดาอยู่แล้ว ต่อมาได้คบหาสมาคมกับพระเทวทัต มีศรัทธาเลื่อมใสได้ ให้ความอุปถัมภ์บำรุงด้วยปัจจัย ๔ ถูกพระเทวทัตยุยงให้ปลงพระชนม์พระบิดา อีกทั้งให้การ สนับสนุนพระเทวทัตกระทำอนัตริยกรรมลอบปลงพระชนม์พระบรมศาสดาและทำสังฆเภท ทำลายสงฆ์ให้แตกแยกกัน

    ต่อมา พระเทวทัตถูกแผ่นดินสูบเพราะกระทำกรรมหนัก พระเจ้าอชาตศัตรูได้ทราบ ข่าวก็สะดุ้งพระทัยกลัวภัยจะถึงตัว ถึงกับเสวยไม่ได้บรรทมไม่หลับติดต่อกันหลายวัน กลัด กลุ้มพระทัยเป็นที่สุด คืนเพ็ญวันหนึ่งพระองค์ไม่สามารถจะนิทราหลับลงได้ จึงเรียกอำมาตย์ ทั้งหลายเข้าเฝ้ายามดึกทรงปรึกษาว่า คืนเดือนเพ็ญอย่างนี้จะไปหาสมณพราหมณ์ผู้มีศีลคนดี จึงจะสามารถทำจิตใจให้สงบได้ พวกอำมาตย์ล้วนแต่แนะนำเดียรถีย์อาจารย์ของตน ได้แก่ ครูทั้ง ๖ ซึ่งพระเจ้าอชาต ศรัตรูก็เคยไปฟังคำสอนมาแล้วล้วนแต่ไร้สาระทั้งสิ้น

    หมอชีวกโกมารภัจจ์ อยู่ในที่นั้นด้วย จึงกราบทูลแนะนำให้ไปเฝ้า พระสมณโคดมบรมศาสดา ซึ่งขณะนี้พระพุทธองค์ประทับอยู่ที่ชีวกัมพวันใกล้ ๆ บ้านของตน นี่เอง พระเจ้าอชาตศรัตรูทรงเห็นด้วย จึงเสด็จไปพร้อมด้วยกองจตุรงคเสนา เมื่อเสด็จไปถึง ได้เข้าไปกราบถวายบังคมพระบรมศาสดา พระพุทธองค์ตรัสทักทายปฏิสันถารขึ้นก่อนแล้ว ตรัสถามถึงราชกิจต่าง ๆ ทำให้พระเจ้าอชาตศรัตรูไม่เก้อเขิน และทรงดีพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ที่ พระพุทธองค์ไม่ทรงถือโทษในการกระทำของพระองค์ที่ผ่านมา

    พระพุทธองค์ ทรงทราบว่าพระเจ้าอชาตศัตรูมีพระทัยผ่องใสดีแล้ว จึงแสดงพระธรรม เทศนา สมัญผลสูตร ให้ทรงสดับ เมื่อจบลงทรงมีพระทัยผ่องใสโสมนัสยิ่งขึ้น เกิดศรัทธา เลื่อมใสถวายตัวเป็นอุบาสก ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะที่พึ่งตลอดชีวิต (ถ้าพระองค์ไม่ทำ ปิตุฆาตคือฆ่าพระบิดาเสียก่อน ก็จะได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลชั้นใดชั้นหนึ่งเป็นแน่) จากนั้น ได้กราบขอขมาโทษต่อพระพุทธองค์เสด็จกลับพระราชนิเวศน์

    [​IMG]


    หมอชีวกโกมารภัจจ์ ทำประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน ทั่วไปเป็นอเนกประการ ท่านเป็นอุบาสกผู้เป็นพระอริยชั้นพระโสดาบัน พระบรมศาสดา ได้ ยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าอุบาสิกาทั้งหลาย ในฝ่าย ผู้เลื่อมใสในบุคคล

    ————————–————————–————————–-

    พระคาถา บูชาเอกอัครมหาบูรพปรมาจารย์ ชีวกโกมารภัจจ์
    (แพทย์ ประจำองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า)

    ก่อนสวดตั้งนะโม 3 จบ
    นะโมตะสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ)
    ————————–————————–————————–-
    บทสวด

    โอมะ นะโม ชีวะโก สิระสา อะหัง กะรุณิโก
    สัพพะ สัตตานัง โอสะถะทิพพะมันตัง
    ปะภาโส สุริยาจันทัง โกมาระภัจโจ ปะภาเสสิ
    วันทามิ บัณฑิโต สุเมธะโส อะโรคา สุมะนะโหมิ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • chevaka3.jpg
      chevaka3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      28 KB
      เปิดดู:
      2,776
    • chevaka4.jpg
      chevaka4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      30.1 KB
      เปิดดู:
      2,948
    • chevaka5.jpg
      chevaka5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      11.8 KB
      เปิดดู:
      3,380
    • chevaka6.gif
      chevaka6.gif
      ขนาดไฟล์:
      275 KB
      เปิดดู:
      2,952
  5. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ข้อมูลข้างต้นนั้น เป็นประวัติท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์ ที่เรารู้จากตำรับตำราแต่โบราณนะคะ...

    ทีนี้จะขอนำเอาประวัติท่านหมอจากการเล่าเรื่องของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีท่านมาให้อ่านกันด้วยค่ะ...





    เล่าเรื่อง หมอชีวกโกมารภัจจ์ โดยหลวงพ่อฤาษี




    จาก หนังสือ ธรรมปฏิบัติ เล่มที่ 17 ที่ผมได้มาจากตอนมาฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุง เมื่อปีกว่ามาแล้ว


    โดย.....หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง


    ประวัติของท่าน

    ---ความ มีอยู่ว่า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ในตอนนั้นก็มีท่านผู้หนึ่งที่เราได้ยินกันอยู่เสมอ คือ ท่านหมอ ชีวกโกมารภัจจ์ ซึ่งเป็นหมอสำคัญขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ คอยรักษาโรคและก็เป็นหมอที่มีความรู้พิเศษจริง ๆ การไปศึกษาของท่านนั้น ปรากฎว่าการไปศึกษาวิชาเวชศาสตร์มีความฉลาด สามารถยิ่งกว่าลูกศิษย์ใด ๆ จากสำนัก ตักสิลา

    ---เป็นอันว่าท่านชีวกโกมารภัจจ์นี้ มีประวัติอยู่ว่า เป็นลูกพิเศษของเจ้าใน กรุงราชคฤห์ คำว่าเป็นลูกพิเศษนี้ก็หมายความว่า อาจจะเป็นเมียพิเศษ ที่เจ้าย่องไปเจ้าชู้นอกเขตพระราชฐาน ผู้หญิงคนนั้นก็เลยมีลูกขึ้นมา 2 คน คือคนแรกชื่อว่า โกมารภัจจ์ เป็นลูกคนหัวปี คนที่สองมีนามว่า สิริมา เป็นคนสวยที่สุดในสมัยนั้น

    ---ต่อมาเมื่อโตขึ้น แต่ความจริงเกิดขึ้นมาแล้ว เจ้าก็ไม่ได้รับว่าเป็นบุตรโดยตรง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ โดยความในด้านจิตใจก็คือสงเคราะห์ตลอดเวลา แต่เป็นการสงเคราะห์แบบลับ ๆ ฉะนั้นชื่อของท่านโกมารภัจจ์ก็ดี ของสิริมาก็ดี ไม่ได้ชื่อเป็นเจ้า แต่ว่าฐานะก็ดีเข้าขั้นในฐานะดีมาก และก็เป็นคนใกล้ชิดกับพระราชฐานตลอดเวลา เพราะเจ้ารู้ว่าเป็นลูกแต่ก็ยอมรับไม่ได้ ประกาศเปิดเผยไม่ได้ แลก็เลี้ยงอย่างลูก สงเคราะห์อย่างลูกเหมือนกัน เมื่ออายุได้ 16 ปี ก็ส่งไปอยู่เมืองตักสิลา ท่านตั้งหน้าตั้งใจศึกษาวิชาเวชศาสตร์เอาอย่างเดียว

    ---ครั้นเมื่อ เวลาเรียนจบก็ลาอาจารย์กลับบ้าน อาจารย์ก็อยากทดลองความสามารถ จึงได้บอกให้ท่านโกมารภัจจ์จัดกระจาดเข้า 2 ลูก ทำด้วยหวายใส่สาแหรกหาบไป และมีมีด 1 เล่ม มีเสียม 1 เล่ม มีฆ้อน 1 อัน

    ---แล้วว่าเจ้าจงเดิน ไปด้าน 4 ทิศ ทิศละ 1 โยชน์ ดูหญ้าก็ดี ดูผักหญ้าต้นไม้ พืชพันธ์ธัญญาหาร ดินทราย หรือว่าแม้แต่แร่เหล็กต่าง ๆ แร่ต่าง ๆ ว่าดูว่า ถ้าสิ่งไหนมันไม่เป็นยาแล้วก็ตัดเอามาให้อาจารย์ดู หรือขุดมาให้อาจารย์ดู

    ---ท่าน โกมารภัจจ์ใช้เวลาแบบนี้ประมาณเดือนเศษ พอเดินไป 1 โยชน์ กว่าจะถึง 1 โยชน์ก็ต้องเดินดูไปตลอดทุกอย่างตามทิศที่อาจารย์บอก เมื่อไปครบทุกทิศทุกด้านทาง 1 โยชน์ ก็ปรากฎว่ากลับมาหาบเปล่า หาอะไรที่เป็นยาไม่ได้เลย ครั้นมาถึงก็มารายงานอาจารย์ บอกว่ามันไม่มี ไม่มีสิ่งที่มันไม่เป็นยา จะเป็นดิน จะเป็นทราย เป็นหิน เป็นกรวด เป็นต้นไม้ เป็นต้นหญ้า ไม่ว่าอะไรทั้งหมดมันเป็นยาทั้งหมด

    ---ปราก ฎว่าอาจารย์ก็ชมเชย บอกดีแล้ว อย่างนั้นกลับบ้านได้ ถ้ายังหาพวกทุกสิ่งทุกอย่าง หรืออย่างใดอย่างหนึ่งไม่เป็นยาในโลกนี้ ก็กลับบ้านไม่ได้ ถือว่าเรียนไม่จบ แล้วท่านก็ลากลับ กลับก็เดินมาในระหว่าทางไม่ทันจะถึงกรุงราคฤห์มหานคร


    รักษาภรรยาท่านเศรษฐี


    ---เวลา ตอนเย็นวันหนึ่งมันใกล้ค่ำ ท่านก็พักอยู่ในโคนต้นไม้ใกล้บ้านมหาเศรษฐี พอดีท่านมหาเศรษฐีเดินลงไปพบเข้า ถามว่า ไปไหนมา ม่านก็บอกว่า ไปเรียนวิชาเวชศาสตร์ ท่านมหาเศรษฐีก็บังเอิญภรรยาของท่านเป็นโรคปวดศรีษะมา 3 ปี ทำงานไม่ได้ ใช้สมองไม่ได้ ถามว่าจะรักษาหายไหม เห็นว่าเป็นหมอ ท่านก็บอกว่าต้องดูอาการก่อน เมื่อเข้าไปดูอาการท่านก็บอกว่าจะทดลองดู เพราะว่าเรียนหมอมาใหม่ ๆ ยังไม่มั่นใจว่าจะรักษาหายหรือไม่หาย แต่ว่ายาไม่มีติดมือเลย


    ---ท่านเศรษฐีก็ถามว่าต้องการอะไรบ้าง ก็บอกว่ามี แกก็ถามท่านมหาเศรษฐีว่า ไอ้หญ้าประเภทนี้มีไหม อาตมาก็ลืมชื่อหญ้า ท่านบอกว่ามี ถ้าบอกชื่อก็หาไม่ได้ เพราะเราไม่รู้จักกัน ถ้าเอาของ 2 อย่างเอาหญ้ามาโขลกเข้ากัน แล้วเลยใส่เข้าไปละลายคั้นเอาน้ำออกมากรองให้ดี แล้วก็หยอดไปในจมูกของภรรยาท่านมหาเศรษบี


    --- พอหยอดลงไปเท่านี้ ก็ปรากฎว่าภรรยาท่านมหาเศรษฐี มีทั้งน้ำมูก มีทั้งสเลดออกจมูก ออกทั้งปาก ออกมาอย่างมาก ในที่สุดขนะเดียวกันก็ปรากฎว่าหายปวดทันที ท่านมหาเศรษฐีก็จัดรางวัลเป็นการใหญ่ แต่ว่าท่านโกมารภัจจ์ท่านก็รับ เวลาจะกลับท่านก็มอบคืน เขาไม่บอกว่าคืน มอบของทั้งหลายเหล่านี้ไว้สงเคราะห์คนจนต่อไป นี่ประวัติต้นแล้วก็เดินทางกลับ



    ประกอบยาถวายพระพุทธเจ้า


    ---เมื่อ กลับมาก็ขอเทศน์ลัด พูดมากเวลามันไม่ค่อยพอเทศน์ เรื่องนี้มันต้องเทศน์กันเต็มวันทั้ง 3 วัน เป็นอันว่าในต่อมา ก็ได้เป็นหมอประจำองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าประชวรด้วยเรื่องอะไรก็ตามท่านโกมารภัจจ์ประกอบยาแค่เม็ดเดียวก็ หายทันที นี่จะได้มองเห็นว่า แม้แต่องค์สมเด็จพระชินศรีบรมศาสดาเป็นพระอรหันต์ และเป็นยอดอรหันต์คือ จอมอรหันต์ก็ยังป่วยไข้ไม่สบาย ก็ยังแก่เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นท่านทั้งหลายก็จะคิดว่าพระอรหันต์ไม่ป่วย


    ---เป็น อันว่าต่อมาในกาลครั้งหนึ่ง เมื่อ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถูกพระเทวทัตกลิ้งหินลงมา มีความปราถนาจะทับสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ตายที่ยอดเขาคิชณกูฏ พระพุทธเจ้านั่งอยู่ที่เชิงเขา พระเทวทัตขึ้นไปยอดเขาแล้วกลิ้งหินให้ทับแต่ก็เป็นการบังเอิญที่มีหินก้อน ใหญ่มหึมาก้องหนึ่ง ปรากฎโผล่ขึ้นมากันหินที่พระเทวทัตกลิ้งมาแตกกระจาย เศษหินไปถูกพระบาทขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาที่นิ้วพระบาทห้อพระโล้หิต


    ---เมื่อ องค์สมเด็จพระธรรมสามิสรอาการอย่างนั้น ท่านโกมารภัจจ์ก็ประกอบยาถวายปิดลงไปที่ห้อพระโลหิต แล้วก็เอาผ้าผูกไว้ พอเสร็จแล้วก็ลาองค์สมเด็จพระจอมไตรไปภายนอกกำแพงวัง คุยกับเพื่อนเพลินไป โอกาศเวลานั้นประตูเมืองก็ปิดหกโมงเย็น เข้าประตูเมืองไม่ได้ ก็ร้อนใจคิดว่า โอ้หนอ...ยาที่ถวายองค์สมเด็จพระจอมไตรเป็นยาแรง เวลานี้แผลก็คงจะหายแล้ว อีกประการหนึ่ง เมื่อแผลหาย ยาที่ยังพันอยู่ที่นิ้วพระบาทขององค์สมเด็จพระจอมไตรจะทำให้พระองค์ทรงมี ความลำบาก เพราะยามีความร้อน


    ---ตอนนั้นเอง องค์สมเด็จพระชินวร ทรงทราบวาระจิตของท่านโกมารภัจจ์ว่ามีความลำบาก คิดว่ายาจะเป็นโทษกับเรา จึงได้เรียก พระอานนท์ มาบอก อานันทะดูก่อนอานนท์ เธอจงแก้ผ้ามัดนิ้วตถาคตออกไป แล้วจงเอายาออก พอเอาออกแล้วพระอานนท์ก็เอาน้ำที่สะอาดมาล้างให้ ตอนรุ่งขึ้นท่านโกมารภัจจ์เข้าเมืองได้ก็รีบมาเฝ้าองค์สมเด็จพระจอมไตร


    ---ถาม ว่า ยามีอันตรายแก่พระองค์ไหม พระพุทธเจ้าเลยบอกว่าไม่มี เวลานี้ตถาคตให้พระอานนท์แก้ออกหมดแล้ว ถามว่าเวลาไหน ท่านถามว่าเวลาไหน พระพุทธเจ้าก็ตอบแก้เวลาที่เธอลำบากใจ คิดว่าจะมีอันตรายสำหรับฉัน นี่เป็นตอนหนึ่ง ต่อมาเมื่อองค์สมเด็จพระภัควันต์บรมศาสดาป่วยเป็นโรคอะไร ท่านโกมารภัจจ์ก็รักษาหายทันทีทันใด


    ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บพลังจิต โพสต์โดยคุณ mummanman ด้วยนะคะ...

    http://palungjit.org/posts/4039057


    (มีต่อนะคะ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2012
  6. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    มาเที่ยวเมืองทวาราวดี


    ---ตอน นี้จะขอพูดเรื่องของท่านเหมือนกัน เป็นการแยกออกไปสักนิดหนึ่งจากการรักษา ในสมัยหนึ่ง เมื่อองค์สมเด็จพระศาสดาประทับสำราญอิริยาบถ ท่านโกมารภัจจ์ได้ยินข่าวว่า ชาวเมืองไอ้เมืองนี้ ทวาราวดีเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรือง มีขนบธรรมเนียมประเพณีดี มีภาษาพูดเพราะ ก็อยากจะมาเที่ยวเมืองทวาราวดี


    ---คือเขตไทยทาง ด้านของ นครปฐม แต่ทวาราวดีเวลานั้นกินเขตแดนของทั้งหมดของเมืองไทยนี่เอง เวลานั้นเขาไม่เรียกเมืองไทย เขาเรียกตามชื่อเมืองว่าเมืองทวาราวดี ทูลลาองค์สมเด็จพระชินศรีจะมาเที่ยวเมืองทวาราวดีเกือบ 2 ปี แต่ความจริงอรรถกถาจารย์เขียนไว้ถึง 22 ปี อันนี้เห็นว่าท่าจะไม่ถูก ต้อง 2 ปี เพราะท่านโกมารภัจจ์ไม่สามารถจะทิ้งพระพุทธเจ้าได้ ในตอนนั้นท่านเป็นพระโสดาบันแล้ว ถือว่าการเป็นพระโสดาบันนี่เป็นไม่ยากคือ


    1.นึกถึงควมตายเป็นอารมณ์
    2.เคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์
    3.มีศีล 5 บริสุทธิ์
    4.จิตใจต้องการพระนิพพานเป็นอารมณ์
    พระโสดาบัน เขาเป็นแค่นี้นะ ทุกคนก็เป็นได้


    เมื่อ มาถึงทวาราวดี อยู่ครบประมาณ 2 ปี ท่านก็กลับ กลับแล้วท่านก็ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ว่าชาวเมืองทวาราวดีนี้มีภาษาพูดที่เพราะมาก เป็นภาษาโดด คือพูดเป็นคำ ๆ คำว่าไปก็ไป คำว่ากินก็กิน
    อย่างเวลานั้น ภาษาแขกหรือชาว มคธ
    คำว่า "ไป" เขาก็พูดว่า "คันตวา" มันเป็นคำคู่ "กิน" ก็ "ภุญชติ"
    ภุญชติล่อเข้าไป 3 คำ กลั้วกัน คันตวาล่อเข้าไป 3 คำ ของเราไป ของเรากินมันเป็นคำโดด


    ---พอกราบ ทูลองค์สมเด็จพระพุผู้มีพระภาคเจ้าว่าภาษาของชาวทวาราวดีเขาพูดเพราะ พูดช้าๆ ฟังสบายๆ และก็เป็นภาษาโดด พระพุทธองค์จึงถามว่า ทวาราวดีเขาพูดกันอย่างไร ลองพูดให้ฟังซิ ท่านโกมารภัจจ์ก็พูดให้ฟัง เมื่อพูดให้ฟัง พระผู้มีพระภาคเจ้าก็พูดภาษาทวาราวดี คุยกับท่านโกมาภัจจ์อยู่พักหนึ่งรู้สึกว่าสนุกสนานมาก ท่านโกมารภัจจ์ก็สนุก ทว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจะสนุกหรือไม่สนุกก็ไม่ทราบ แต่เวลาคุยกับท่านโกมารภัจจ์ท่านคุยเป็นกันเอง คงจะสนุกเป็นพิเศษ


    พระพุทธเจ้าเป็นคนไทยอาหม


    ---คุย กันไปคุยกันมา นโกมารภัจจ์นึกขึ้นมาได้ว่า สมเด็จพระจอมไตรนี้เป็นลูกชาวกรุงกบิลพัสดุ์ อยู่อินเดีย ที่พูดภาษาทวาราวดีนี้ได้เพราะอาศัยปฏิสัมภิทาญาณหรือความรู้เดิมกันแน่ แล้วความจริงนี่ปฏิสัมภิทาญาณนี่เขารู้ภาษาทุกภาษา แม้แต่ภาษาสัตว์ทุกประเภท จึงกราบทูลองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ว่า ที่พระองค์ทรงตรัสภาษาทวาราวดีนี่รู้ได้เป็นภาษาเดิม หรือเรียนมาจากไหน


    ---องค์ สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจึงตรัสว่า โกมารภัจจ์ ภาษาทวาราวดีนี่เป็นภาษาเดียวกับชาวกรุงกบิลพัสดุ์ใช้เป็นภาษาพื้นเมือง ฉะนั้นท่านโกมารภัจจ์ก็ถามว่า ถ้าเช่นนั้น ชาวกรุงกบิลพัสด์ก็เป็นเชื้อสายเดียวกับทวาราวดีใช่ไหม
    องค์สมเด็จพระจอม ไตรบรมศาสดาก็ทรงตรัสว่าใช่ คือ ชาวกบิลพัสด์ก็ดี ชาวทวาราวดีก็ดี เป็นเชื้อสายเดียวกัน คือพูดภาษาไทยเหมือนกัน นี่ขอบรรดาท่านทั้งหลายได้โปรดทราบว่า พระพุทธเจ้าท่านความจริงเป็นคนไทย เขาเรียกว่าไทยอาหม ตอนนี้ก็รู้ไว้


    ---ต่อมาก็เทศน์เรื่องของ ท่านในเรื่องของหมอต่อไป ต่อมาเมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาประกาศพระศาสนาได้ครบ 45 ปี มีอายุ 80 พอดี ตามอายุขัยของพระองค์ เวลานั้นพระองค์ประทับอยู่ที่ ปาวาลเจดีย์ ท่านโกมารภัจจ์ไม่ได้อยู่ด้วย ไปธุระเสีย เป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร คือปลงอายุสังขาร กำหนดวันนับต้องแต่เวลานี้ไป 3 เดือน เราจะนิพพานที่ระหว่างนางรังทั้งคู่แห่งเมือง กุสินารามหานคร


    ---เมื่อ องค์สมเด็จพระชินวรปรงปลงอายุสังขาร ตัดสินพระทัยว่าจะนิพพานแน่ เวลานั้นเกิดเหตุอัศจรรย์แผ่นดินไหว พระอานนท์เข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระจอมไตรถามเหตุแผ่นดินไหมก็ตรัสว่า เพราะตถาคตปลงอายุสังขาร ตั้งใจไว้อีก 3 เดือนข้างหน้าจะนิพพาน คือวันวิสาขบูชา ที่ระหว่านางรังทั้งคู่ แห่งเมืองกุสินารามหานคร พระอานนท์ก็อาราธนาองค์สมเด็จพระชินวรให้อยู่ต่อ ขอเทศน์ลัดเลยนะเวลาเหลือน้อย


    พระพุทธเจ้าไม่ทรงรับยา


    ---ท่าน ก็บอกไม่ได้ ต้องนิพพานแน่ ฉะนั้นก็ปรากฎว่าท่านโกมารภัจจ์กลับมาเห็นสมเด็จพระบรมศาสดาเศร้าหมองลงไป มาก ซุบซีดผอม ฉันอาหารก็ไม่ได้ แสดงว่าโรคภัยไข้เจ็บรบกวนมาก พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทนพระวรกาย ผืนการเจ็บปวดทุกขเวทนาทั้งหมด สอนวันนั้น เวลานั้นคนก็ดี สอนพระก็ดี สมเด็จพระชินศรีไม่ทรงเทศน์เรื่องพระสูตรเลย เทศน์เฉพาะ ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อเป็นการตัดฉากใกล้นิพพาน
     
  7. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ---ท่าน โกมารภัจจ์ก็ไปถามองค์สมเด็จพระพิตมารถึงโรคท่านก็ไม่ตอบ ท่านโกมารภัจจ์ก็เสียใจว่าถ้าเรารู้ชื่อโรคนิด อาการโรคนิดเดียวรักษาด้วยยาเม็ดเดียวให้หาย ต่อมาก็ได้ปรุงยาขึ้นเม็ดหนึ่งเพื่อถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า ถ้าพระองค์เสวยยาเม็ดนั้นท่านจะรู้อาการโรคทันที เป็นยาพิสูจน์โรค พระพุทธเจาก็ไม่ทรงรับเสียอีก ถวาย 3 ครั้ง ท่านก็คว่ำมือถึง 3 ครั้ง


    ---ท่าน โกมารภัจจ์ก็เสียใจ จึงเอายาไปใส่ในบ่อน้ำ คิดว่าจะให้ใครกินก็ไม่สมควร ยานี้เป็นยาถวายพระพุทธเจ้า ไปใส่ในบ่อน้ำ พระอรรถกถาจารย์ หรือพระฏีกาจารย์ แก้อธิบายว่าน้ำในบ่อนั้นมันลึกอยู่แล้ว มันฟูขึ้นไปเลยบ่อเจ็ดชั่วลำตาลอัศจรรย์มาก ต่อมาเมื่อได้พบท่านโกมารภัจจ์ถามท่าน ท่านบอกว่านานๆ เข้ามันก็ยาวเหมือนกัน เมื่อต้นไม้ปลูกนานๆ เข้ามันก็ยาว แต่ควมจริงมันฟูขึ้นมาถึงปากบ่อ ไม่ได้เลยปากบ่อถึงเจ็ดชั่วลำตาล นี่เป็นอันว่าอรรถกถาจารย์ พระฏีกาจารย์เขาเขียนยาวมากเกินไป พาให้คนไม่เชื่อ



    หนีเข้าป่าเจริญสมณธรรม


    ---หลัง จากนั้นมา เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานแล้ว เมื่อเขาเก็บพระบรมสารีริกธาตุเสร็จ ท่านโกมารภัจจ์ก็ไปงานสมเด็จองค์พระประทีปแก้วเหมือนกัน เวลานั้นท่านก็คิดว่า เราคิดว่าเราจะตายก่อนพระพุทธเจ้า จะถือพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง แต่เวลานี้พระพุทธเจ้ามานิพพานเสียก่อน เราก็หมดที่พึ่ง เวลานี้เราเป็นคนไม่มีอะไรแล้ว


    ---ลูกก็ดี เมียก็ดี ทรัพย์สมบัติทั้งหลายก็ดี ข้าทาสหญิงชายก็ดี เราไม่มีเพราะเราสิ้นหวัง เราหมดที่พึ่ง ไอ้ร่างกายของเรานี่มันก็ใช้อะไรไม่ได้ ไม่ต้องการมันต่อไป ออกจากงานศพแทนที่จะเข้าบ้าน ก็เปิดเข้าป่าไปเลย ไปนอนอยู่ในถ้ำ ไปนั่งนอนคิดว่าเวลานี้สมเด็จพระธรรมสามิสรที่เป็นที่พึ่งใหญ่ของเรานิพพาน เราก็ไม่เอาอะไรมันทั้งหมด นอนให้มันตายอย่างนี้ล่ะ ข้าวปลาอาหารก็ไม่กิน


    ---แต่ ท่านก็เล่าต่อไปว่า ถึงมันจะหลบเข้าไปแบบนั้น คนก็เห็นแก่ตัวไปรบกวนท่าน ไปขอยาท่าน ท่านก็เลยเข้าป่าลึกเข้าถ้ำให้มันลึกเข้าไปอีก แล้วก็ไปนอน นอนเฉยๆ คิดว่าเราหมดที่พึ่ง เราเป็นคนไม่มีอะไร ร่างกายเราก็ไม่ต้องการมันให้มันตายไปแบบนี่แหล่ะ มันอยากตายเมื่อไรก็ให้มันตายถ้ามันไม่ตายก็ไม่ลุก จะอยู่มันที่นี้ตลอดไป พอตัดสินใจแบบนี้ก็มีเสียงเหมือนฟ้าผ่าลงมา 3 ครั้ง ครั้งแรกก็เรียกว่า "โกมารภัจจ์ เธอเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม...?"
    ท่าน ก็บอกว่าใช่ ท่านไม่เห็นตัว ฟ้าแลบเข้ามาก็มีเสียงเหมือนฟ้าผ่าอีก ก็บอกอย่างนั้น ท่านก็ตรัสอย่างนั้น แล้วเสียงนั้นก็หายไป สายฟ้าก็หายไป ท่านก็เลยบอกว่า หลังจากนั้นแล้วผมก็เลยนอนหลับ หลับแล้วผมก็หลับเลยไม่ตื่น รวมความว่าเวลานั้นท่านเป็นอรหันต์แล้วก็นิพพานทันที



    อารมณ์ถึงอรหันต์


    ---เอา เรื่องนี้มาพูดให้เห็นว่า ความกตัญญูกตเวทีของท่านโกมารภัจจ์เป็นของดี แต่ว่าท่านโกมารภัจจ์นี้ไปนิพพานคือเป็นอรหันต์ได้ เพราะมีความรู้สึกอะไร ฉะนั้นขอท่านพุทธบริษัททั้งหลาย พระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา จงจำไว้ว่า คำว่าถึงอรหันต์น่ะมันมีอยู่คำเดียว หรืออย่างเดียว คือ เราไม่ติดอะไร ทั้งหมด จิตกำหนดว่าวัตถุธาตุต่างๆ คนก็ดี ใครก็ตาม ไม่ได้เนื่องถึงเรา คือไม่ใช่เป็นของเรา แต่เขาเนื่องถึงเราจริงเราสงเคราะห์หรือทำงานสงเคราะห์ให้ตามหน้าที่ ทุกอย่างแต่เราไม่ผูกพัน คิดว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย แม้แต่ร่างกายเราก็ไม่ต้องการ


    ---ถ้าคิดอย่างนี้ก็ตรงกับคำที่ องค์สมเด็จพระพิชิตมารตรัสในตอนท้ายมหาสติปัฏฐานสูตรว่า เธอจงอย่าสนใจกายภายใน คือกายตัวเอง อย่าติดในกายภานอก คือ กายคนอื่น และก็จงอย่าตืดในวุตถุธาตุใดๆ จงปลงกำลังใจว่า แม้แต่ร่างกายนี้ก็ไม่ใช่ของเรา เพียงเท่านี้ทุกคนก็จะเป็นอรหันต์


    ---ฉะนั้น ท่านโกมารภัจจ์ท่านเป็นคนผิดหวังในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดว่าท่านจะตายก่อน แต่เมื่อองค์สมเด็นพระชินวรบรมศาสดานิพพานแล้ว ท่านก็ตัดสินใจว่าเราเป็นคนไม่มีอะไรทั้งหมด ลูกไม่มี เมียไม่มี ทรัพย์สมบัติไม่มี ร่างกายไม่มีความหมาย


    ---เมื่อมันอยากจะตาย ช้าที่หลังพระพุทธเจ้า มันก็ปล่อยใหห้มันตายด้วยความอดอยากก็ช่างมันปะไร เราไม่ต้องการมันต่อไป อันนี้เป็นอารมณ์ของอรหันต์ เมื่อท่านคิดอย่างนี้แล้วท่านก็เป็นอรหันต์ทันที ฆราวาสถ้าเป็นอรหันต์วันนี้วันรุ่งขึ้นก็ต้องนิพพาน แล้วท่านก็นิพพานจนกระทั่งบัดนี้
     
  8. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ขอบคุณข้อมูลจาก.... โรงพยาบาลเอกชนบุรีรัมย์
    วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น


    วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น

    ผงเข้าตา

    อย่าขยี้ตา รีบลืมตาในน้ำสะอาด และกลอกตาไปมาถ้ายังไม่ออก ให้คนช่วยใช้มุมผ้าเช็ดหน้าเขี่ยออก ถ้าไม่ได้ควรไปพบแพทย์

    ไฟฟ้าช๊อต

    รีบปิดสวิทซ์ไฟทันที ถ้าทำได้
    ถ้าไม่สามารถปิดสวิทซ์ไฟได้ ห้ามใช้มือจับต้องคนที่ถูกไฟช๊อต ให้ยืนในที่แห้งแล้วใช้สิ่งไม่นำไฟฟ้า เช่นไม้ เก้าอี้ไม้ เขี่ยออกจากตัวผู้ป่วย
    เมื่อผู้ป่วยหลุดออกมาแล้วให้ทำการเป่าปากช่วยหายใจแล้วรีบนำส่งโรงพยาบาล

    งูพิษกัด

    ดูรอยแผล จะมีรอยเขี้ยว 1 หรือ 2 จุด (ถ้างูไม่มีพิษกัดจะเป็นรอยถลอกให้ทำแผลแบบแผลถลอก)
    ใช้เชือกหรือเข็มขัดหรือยางรัดเหนือแผล (ระหว่างแผลกับหัวใจ)ให้แน่นพอสมควรอย่าแน่นมาก
    ให้นอนนิ่ง พูดปลอบใจอย่าให้กลัว
    ห้ามให้ดื่มสุรา ยาดองเหล้า หรือยากล่อมประสาท
    รีบพาไปพบแพทย์ ควรนำงูไปด้วย6.ถ้าหยุดหายใจ ให้เป่าปากช่วยหายใจ

    การเป่าปากช่วยหายใจ

    วางผู้ป่วยนอนหงาย
    ใช้ของหนุนไหล่ให้สูง หรือใช้มือยกคอให้สูงขึ้นโดยให้ศีรษะตกหงายไปข้างหลัง
    อ้าปากออก เช็ดน้ำมูกน้ำลาย และล้วงเอาของในปากออก
    ผู้ช่วยหายใจหายใจเข้าเต็มปอดของตน
    อ้าปากคร่อมไปบนปากผู้ป่วย

    แมลงเข้าหู

    ควรพาเข้าไปในที่มืด แล้วใช้ไฟฉายส่อง (แมลงจะออกมาตามแสง) หรือเอาน้ำหยอดให้แมลงลอยน้ำขึ้นมาหรือใช้น้ำมันหรือกรีเซอรีนบอแรกซ์หยอดหู แมลงจะตายในหูแล้วเขี่ยหรือคีบออกมา
    ถ้ามีประวัติหูน้ำหนวกข้างนั้น หรือทำตามดังกล่าวไม่ได้ผล ควรรีบไปพบแพทย์

    เลือดกำเดา

    ให้นั่งนิ่ง หงายศรีษะไปด้านหลัง หรือนอนหนุนไหล่หรือศีรษะให้สูง
    ใช้ผ้าสะอาดม้วนอุดรูจมูกข้างนั้น หรือใช้มือบีบจมูกทั้งสองข้าง ให้หายใจทางปากแทน
    วางน้ำแข็งหรือผ้าเย็นบนสันจมูก หน้าผาก
    ถ้าเลือดไม่หยุด ควรรีบไปพบแพทย์
    ถ้าออกบ่อย อาจเป็นความดันโลหิตสูง ควรปรึกษาแพทย์


    กลืนเหรียญ หรือสิ่งของแล้วติดหลอดลม

    ถ้าพบในเด็กเล็ก จับห้อยศรีษะลงต่ำ ตบหลังแรง ๆ ให้เด็กไอออกมา
    ถ้าพบในเด็กโตหรือผู้ใหญ่ จับพาดตักหรือโต๊ะให้ศรีษะต่ำและก้มหน้าลงแล้วตบหลังบริเวณระหว่างสะบัก 2 ข้าง หรือใช้วิธีรัดท้องอัดยอดอก
    ถ้ายังไม่ออกให้พาไปโรงพยาบาลโดยเร็ว


    กรดหรือด่างเข้าตา

    อย่าขยี้ตา รีบล้างด้วยน้ำสะอาดมาก ๆ และหลาย ๆ ครั้ง
    รีบพาไปหาหมอ
    ห้ามใช้ด่างหรือกรดไปล้างฤทธิ์ เพราะยิ่งจะมีอันตรายต่อดวงตามากขึ้น

    กระดูกหัก

    วางอวัยวะส่วนนั้นลงบนแผ่นไม้ หรือกิ่งไม้หรือนิตยสารที่หนา ๆ
    ใช้ผ้าพันยึดไว้ไม่ให้เคลื่อนไหว
    ถ้าเป็นที่ปลายแขนหรือมือ ใช้ผ้าคล้องคอ


    การห้ามเลือด

    ถ้าบาดแผลเล็ก กดปากแผลด้วยผ้าสะอาด
    ถ้าบาดแผลใหญ่ ใช้ผ้า เชือก หรือสายยางรัดเหนือแผล (ระหว่างบาดแผลกับหัวใจ) ให้แน่น
     
  9. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    การปฐมพยาบาลเบื้องต้น จาก You Tube ค่ะ... ขอบพระคุณค่ะ

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=u1EQp55PYPg]วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น - YouTube[/ame]
     
  10. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ขอขอบคุณข้อมูลจาก First Aid: การปฐมพยาบาลเบื้องต้น


    วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

    การปฐมพยาบาลเบื้องต้น

    การปฐมพยาบาลเมื่อมีแมลงและสัตว์มีพิษกัดต่อย

    1. แมลง

    แมลงหลายชนิดมีเหล็กใน เช่น ผึ้ง ต่อ แตน เป็นต้น เมื่อต่อยแล้วมักจะทิ้งเหล็กในไว้ ภายในเหล็กในจะมีพิษของแมลงพวกนี้มักมีฤทธิ์ที่เป็นกรด บริเวณที่ถูกต่อยจะบวมแดง คันและปวด อาการปวดจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับบริเวณที่ต่อยและสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล

    วิธีปฐมพยาบาล
    1. พยายามเอาเหล็กในออกให้หมด โดยใช้วัตถุที่มีรู เช่น ลูกกุญแจ กดลงไปตรงรอยที่ถูกต่อย เหล็กในจะโผล่ขึ้นมาให้คีบออกได้
    2. ใช้ผ้าชุบน้ำยาที่ฤทธิ์ด่างอ่อน เช่น น้ำแอมโมเนีย น้ำโซดาไบคาบอร์เนต น้ำปูนใส ทาบริเวณแผลให้ทั่วเพื่อฆ่าฤทธิ์กรดที่ค้างอยู่ในแผล
    3. อาจมีน้ำแข็งประคบบริเวณที่ถูกต่อยถ้าแผลบวมมาก
    4. ถ้ามีอาการปวดให้รับประทานยาแก้ปวด ถ้าคันหรือผิวหนังมีผื่นขึ้นให้รับประทานยาแก้แพ้
    5. ถ้าอาการไม่ทุเลาลง ควรไปพบแพทย์

    2. แมงป่องหรือตะขาบ
    ผู้ที่ถูกแมงป่องต่อยหรือตะขาบกัด จะมีอาการเจ็บปวดมากกว่าแมลงชนิดอื่น เพราะแมงป่องและตะขาบมีพิษมากกว่า บางคนที่แพ้สัตว์ประเภทนี้อาจมีอาการปวดและบวมมาก มีไข้สูง คลื่นไส้ บางคนมีอาการเกร็งของกล้ามเนื้อและมีอาการชักด้วย

    วิธีปฐมพยาบาล
    1. ใช้สายรัดหรือขันชเนาะเหนือบริเวณเหนือบาดแผล เพื่อป้องกันไม่ให้พิษแพร่กระจายออกไป
    2. พยายามทำให้เลือดไหลออกจากบาดแผลให้มากที่สุด อาจทำได้หลายวิธี เช่น เอามือบีบ เอาวัตถุที่มีรูกดให้แผลอยู่ตรงกลางรูพอดี เลือดจะได้พาเอาพิษออกมาด้วย
    3. ใช้แอมโมเนียหอมหรือทิงเจอร์ไอโอดี 2.5% ทาบริเวณแผลให้ทั่ว
    4. ถ้ามีอาการบวม อักเสบและปวดมาก ใช้ก้อนน้ำแข็งประคบบริเวณแผล เพื่อช่วยบรรเทาความเจ็บปวดด้วย
    5. ถ้าอาการยังไม่ทุเลาลง ต้องรีบนำส่งแพทย์

    3. แมงกะพรุนไฟ
    แมงกะพรุนไฟเป็นสัตว์ทะเลชนิดหนึ่ง ซึ่งมีสารพิษอยู่ที่หนวดของมัน แมงกะพรุนไฟมีสีน้ำตาล เมื่อคนไปสัมผัสตัวมันจะปล่อยพิษออกมาถูกผิวหนัง ทำให้ปวดแสบปวดร้อนมาก ผิวหนังจะเป็นผื่นไหม้ บวมพองและแตกออก แผลจะหายช้า ถ้าถูกพิษมากๆ จะมีอาการรุนแรงถึงกับเป็นลมหมดสติและอาจถึงตายได้

    วิธีการปฐมพยาบาล
    1. ใช้ผ้าเช็ดตัวหรือทรายขัดถูบริเวณที่ถูกพิษแมงกะพรุนไฟ เพื่อเอาพิษที่ค้างอยู่ออกหรือใช้ผักบุ้งทะเลซึ่งหาง่ายและมีอยู่บริเวณชายทะเล โดยนำมาล้างให้สะอาด ตำปิดบริเวณแผลไว้
    2. ใช้น้ำยาที่มีฤทธิ์เป็นด่าง เช่น แอมโมเนียหรือน้ำปูนใส ชุบสำลีปิดบริเวณผิวหนังส่วนนั้นนานๆ เพื่อฆ่าฤทธิ์กรดจากพิษของแมงกะพรุน
    3. ให้รับประทานยาแก้ปวด
    4. ถ้าอาการยังไม่ทุเลาลง ให้รีบนำส่งแพทย์โดยเร็ว

    4. งู
    ประเทศไทยมีงูหลายชนิด มีทั้งงูพิษและงูไม่มีพิษ งูพิษร้ายแรงมีอยู่ 7 ชนิด คือ งูเห่า งูจงอาง งูแมวเซา งูกะปะ งูสามเหลี่ยม งูเขียวหางไหม้ และงูทะเล พิษของงูมีลักษณะเป็นสารพิษ งูแต่ละชนิดมีลักษณะของสารไม่เหมือนกัน เมื่อสารพิษนี้เข้าไปสู่ร่างกายแล้วสามารถซึมผ่านเข้าไปในกระแสเลือดที่ไปเลี้ยงตามส่วนต่างๆ เกิดขึ้นในร่างกายไม่เหมือนกัน ซึ่งสามารถแบ่งลักษณะงูพิษได้ 3 ประเภท

    ลักษณะบาดแผลที่ถูกงูพิษและงูไม่มีพิษกัด
    งูพิษมีเขี้ยวยาว 2 เขี้ยว อยู่ด้านหน้าของขากรรไกรบนมีลักษณะเป็นท่อปลายแหลมเหมือนเข็มฉีดยา มีท่อต่อมน้ำพิษที่โคนเขี้ยว เมื่องูกัดพิษงูจะไหลเข้าสู่ร่างกายทางรอยเขี้ยว
    ส่วนงูไม่มีพิษจะไม่มีเขี้ยว มีแต่ฟันธรรมดาแหลมๆ เล็กๆ เวลากัดจึงไม่มีรอยเขี้ยว
    วิธีปฐมพยาบาล
    เมื่อแน่ใจว่าถูกงูกัด ให้ทำการปฐมพยาบาลอย่างสุขุมรอบคอบรัดกุม อย่าตกใจ ให้รีบสอบถามลักษณะงูที่กัดจากผู้ป่วยและรีบทำการปฐมพยาบาลตามลำดับ ดังนี้
    1. ใช้เชือก สายยาง สายรัด หรือผ้าผืนเล็กๆ รัดเหนือแผลประมาณ 5-10 เซนติเมตร โดยให้บริเวณที่ถูกรัดอยู่ระหว่างแผลกับหัวใจ รัดให้แน่นพอสมควร แต่อย่าให้แน่นจนเกินไป พอให้นิ้วก้อยสอดเข้าได้ เพื่อป้องกันไม่ให้พิษงูเข้าสู่หัวใจโดยรวดเร็ว และควรคลายสายที่รัดไว้ ควรใช้สายรัดอีกเส้นหนึ่งรัดเหนืออวัยวะที่ถูกงูกัดขึ้นไปอีกเปลาะหนึ่ง เหนือรอยรัดเดิมเล็กน้อยจึงค่อยคลายผ้าที่รัดไว้เดิมออก ทำเช่นนี้ไปจนกว่าจะได้ฉีดยาเซรุ่ม
    2. ล้างบาดแผลด้วยน้ำด่างทับทิมแก่ๆ หลายๆ ครั้ง และใช้น้ำแข็งหรือถุงน้ำแข็งประคบหรือวางไว้บนบาดแผล พิษงูจะกระจายเข้าสู่ร่างกายได้ช้าลง
    3. ให้ผู้ป่วยนอนอยู่ในท่าที่บาดแผลงูพิษกัดอยู่ต่ำกว่าระดับหัวใจ นอนอยู่นิ่งๆ เคลื่อนไหวร่างกายให้น้อยที่สุด เพื่อไม่ให้พิษงูกระจายไปตามร่างกาย และควรปลอบใจให้ผู้ป่วยสบายใจ
    4. ไม่ควรให้ผู้ป่วยเสพของมึนเมา เช่น กัญชา สุรา น้ำชา กาแฟ เพราะจะทำให้หัวใจเต้นแรง อาจทำให้พิษงูกระจายไปทั่วร่างกายเร็วขึ้น
    5. รีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ถ้านำงูที่กัดไปด้วยหรือบอกชื่องูที่กัดได้ด้วยยิ่งดี เพราะจะทำให้ เลือกเซรุ่มแก้พิษงูได้ตรงตามพิษงูที่กัดได้ง่ายยิ่งขึ้น

    การป้องกันงูพิษกัด
    1. ถ้าต้องออกจากบ้านเวลากลางคืนหรือต้องเดินทางเข้าไปในป่าหรือทุ่งหญ้าหรือในที่รก ควรสวมรองเท้าหุ้มส้นหรือรองเท้าหุ้มข้อและสวมกางเกงขายาว
    2. ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางไปในที่รกเวลากลางคืนหรือเดินทางไปในเส้นทางที่น่าจะเป็นที่อยู่อาศัยหรือที่หากินของงู ถ้าจำเป็นควรมีไฟส่องทางและควรใช้ไม้แกว่งไปมาให้มีเสียงดังด้วย แสงสว่างหรือเสียงดังจะทำให้งูตกใจหนีไปที่อื่น
    3. หากจำเป็นต้องเดินทางไปในที่มีงูชุกชุมหรือเดินทางไปในที่ซึ่งมีโอกาสได้รับอันตรายจากงูกัด ควรระมัดระวังเป็นพิเศษและควรเตรียมอุปกรณ์ปฐมพยาบาลติดมือไปด้วย
    4. เวลาที่งูออกหากินคือเวลาที่พลบค่ำและเวลาที่ฝนตกปรอยๆ ที่ชื้นแฉะ งูชอบออกหากินกบและเขียด ในเวลาและสถานที่ดังกล่าว ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ
    5. ไม่ควรหยิบของหรือยื่นมือเข้าไปในโพรงไม้ ในรู ในที่รก กอหญ้า หรือกองไม้ เพราะงูพิษอาจอาศัยอยู่ในที่นั้น
    การปฐมพยาบาลผู้ป่วยเป็นลม

    การเป็นลมแดด

    สาเหตุ เกิดจากสมองมีเลือดไปเลี้ยงมากเกินไป ซึ่งอาจเนื่องมาจากอยู่กลางแดดนานเกินไปหรือดื่มสุราขณะที่อากาศร้อนจัด เป็นต้น

    อาการ ใบหน้าและนัยน์ตาแดง เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน กระหายน้ำ หายใจถี่ ชีพจรเต้นเร็วและเบา ผิวหนังและใบหน้าแห้ง ตัวร้อน ถ้าเป็นมากอาจจะมีอาการชักและหมดสติได้

    วิธีการปฐมพยาบาล
    1. รีบนำผู้ป่วยเข้าในร่มที่ใกล้ที่สุด
    2. ให้ผู้ป่วยนอนหงายแล้วยกศีรษะให้สูงกว่าลำตัว
    3. อย่าให้แอมโมเนียหรือยากระตุ้นหัวใจ เพราะจะกระตุ้นให้เลือดไปเลี้ยงสมองมากขึ้น
    4. ขยายเสื้อผ้าของผู้ป่วยให้หลวม เพื่อให้เลือดหมุนเวียนได้สะดวก
    5. เมื่อผู้ป่วยรู้สึกตัวแล้วและร่างกายเย็นมาก ให้เอาผ้าห่อคลุมตัวให้อบอุ่นและหาเครื่องดื่มร้อนๆ ให้ดื่มเพื่อให้ความอบอุ่นร่างกาย
    6. ถ้าผู้ป่วยยังไม่รู้สึกตัวให้รีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว
     
  11. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    การปฐมพยาบาลผู้ได้รับบาดแผล

    เมื่อส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายถูกของมีคมหรือถูกกระแทกอาจจะทำให้ผิวหนังหรือเนื้อเยื่อบริเวณนั้นๆ ช้ำหรือฉีกขาดเป็นบาดแผลขึ้นกับตำแหน่งบาดแผล และความรุนแรงของแรงกระแทกที่มีถึงอวัยวะภายใน รวมทั้งชนิดของเชื้อโรคที่เข้าสู่บาดแผล ดังนั้นเมื่อเกิดบาดแผลขึ้นต้องรีบปฐมพยาบาล เพื่อลดอาการเจ็บปวดและป้องกันไม่ให้แผลติดเชื้อ
    การปฐมพยาบาลผู้ได้รับบาดแผลหรือการทำแผลขึ้นอยู่กับลักษณะของบาดแผล ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ บาดแผลฟกช้ำและบาดแผลแยก

    1. แผลฟกช้ำ

    บาดแผลฟกช้ำหรือบาดแผลเปิด เป็นบาดแผลที่ไม่มีร่องรอยของผิวหนัง แต่มีการฉีกขาดของเนื้อเยื่อและหลอดเลือดบริเวณที่อยู่ใต้ผิวหนังส่วนนั้น มักเกิดจากแรงกระแทกของแข็งที่ไม่มีคม เช่น ถูกชน หกล้ม เป็นต้น ทำให้เห็นเป็นรอยฟกช้ำ บวมแดงหรือเขียว
    การปฐมพยาบาล
    1. ให้ประคบบริเวณนั้นด้วยความเย็น เพราะความเย็นจะช่วยให้เลือดใต้ผิวหนังบริเวณนั้นออกน้อยลง โดยใช้ผ้าชุบน้ำเย็นประคบหรือใช้ผ้าห่อน้ำแข็งประคบเบาๆ ก็ได้
    2. ถ้าบาดแผลฟกช้ำเกิดขึ้นกับอวัยวะที่ต้องมีการเคลื่อนไหวอยู่เสมอ เช่น ข้อมือ ข้อเท้า ข้อศอก เป็นต้น ให้ใช้ผ้าพันแผลชนิดเป็นม้วนที่ยืดหยุ่นได้พันรอบข้อเหล่านั้นให้แน่นพอสมควร เพื่อช่วยให้อวัยวะที่มีบาดแผลอยู่นิ่งๆ และพยายามอย่างเคลื่อนไหวผ่านบริเวณนั้น เพราะจะทำให้รอยช้ำค่อยๆ จางหายไป

    2. แผลแยก
    บาดแผลแยกหรือบาดแผลเปิด เป็นบาดแผลที่เกิดจากการฉีกขาดของผิวหนังหรือเนื้อเยื่อจากการถูกของมีคมบาด แทง กรีด หรือถูกวัตถุกระแทกแรงจนเกิดบาดแผล มองเห็นมีเลือดไหลออกมา บาดแผลแยกมีลักษณะแตกต่างกัน แบ่งได้เป็น 4 ชนิด ดังนี้

    1. แผลถลอก

    เกิดจากผิวหนังถูกของแข็งหรือของมีคม ขูด ขีด ข่วน หรือครูด มักเป็นบาดแผลตื้น มีเลือดไหลซึมๆ เช่น หกล้มหัวเข่าถลอก ถูกเล็บข่วน เป็นต้น
    การปฐมพยาบาลแผลถลอก
    1. ให้ชำระล้างบาดแผลด้วยน้ำสบู่และน้ำสะอาด ถ้ามีเศษหิน ขี้ผง ทราย อยู่ในบาดแผลให้ใช้น้ำสะอาดล้างออกให้หมด
    2. ใช้ปากคีบสำลีชุบแอลกอฮอล์ 70% พอหมาดๆ เช็ดรอบๆ บาดแผลเพื่อฆ่าเชื้อโรครอบๆ (ไม่ควรเช็ดลงบาดแผลโดยตรง เพราะจะทำให้เจ็บแสบมาก เนื่องจากยังเป็นแผลสด)
    3. ใช้สำลีชุบยาแดงหรือทิงเจอร์ใส่แผลสด (สีส้มๆ) ทาลงบาดแผล แล้วปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ต้องปิดบาดแผล ยกเว้นบาดแผลที่เท้าซึ่งควรปิดด้วยผ้ากอซสะอาด เพื่อป้องกันฝุ่นละออง
    4. ระวังอย่าให้บาดแผลถูกน้ำ
    5. ไม่ควรแกะหรือเกาบาดแผลที่แห้งตกสะเก็ดแล้ว เพราะทำให้เลือดไหลอีก สะเก็ดแผลเหล่านั้นจะแห้งและหลุดออกเอง

    2. แผลตัด

    เกิดจากถูกของมีคมบาดลึกเข้าไปในเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง เช่น มีดบาด กระจกบาด ฝากระป๋อง เป็นต้น อาจเป็นบาดแผลตื้นๆ หรือบาดแผลตัดลึกก็ได้ ซึ่งถ้าถูกเส้นเลือดใหญ่จะมีเลือดไหลออกมา
    การปฐมพยาบาลเมื่อมีแผลตัด
    1. ถ้าบาดแผลตัดเป็นบาดแผลตื้น ควรห้ามเลือดโดยใช้นิ้วสะอาดหรือผ้าจดบนบาดแผลจนเลือดหยุดไหล
    2. เมื่อเลือดหยุดไหลแล้วให้ล้างแผลด้วยน้ำสะอาด แล้วใส่ยาแดงหรือทิงเจอร์ใส่แผลสด
    3. รวบขอบบาดแผลที่ตัดเข้าหากันแล้วปิดด้วยปลาสเตอร์
    4. ระวังอย่าให้แผลถูกน้ำ 2-3 วัน รอยแยกของแผลตัดจะติดกันสนิท
    5. ในกรณีที่แผลลึกและยาวซึ่งต้องเย็บแผล ควรห้ามเลือดแล้วปิดแผลด้วยผ้าสะอาด แล้วรีบนำผู้บาดเจ็บส่งแพทย์

    3. แผลฉีกขาด

    เกิดจากถูกของแข็งกระแทกอย่างแรงทำให้เนื้อเยื่อและผิวหนังฉีกขาด ขอบแผลจะเป็นรอยกะรุ่งกะริ่ง บางตอนตื้น บางตอนลึก ไม่เรียบเสมอกันและจะมีเลือดออกมาก เช่น แผลถูกรถชน แผลถูกระเบิด แผลถูกสุนัขกัดกระชาก เป็นต้น แผลชนิดนี้มีเนื้อเยื่อถูกทำลายมากกว่าแผลตัดบาดแผลมักกว้าง เชื้อโรคเข้าสู่บาดแผลได้ง่าย
    การปฐมพยาบาลเมื่อมีแผลฉีกขาด
    1. บาดแผลฉีกขาดที่มีเลือดไหลออกมาก ควรรีบห้ามเลือดโดยเร็ว โดยใช้ผ้าสะอาดที่มีความนุ่มและหนาพอสมควรกดลงบนบาดแผล หากเลือดยังไม่หยุดไหลแสดงว่าเส้นเลือดใหญ่ฉีกขาด ควรห้ามเลือดโดยวิธีการกดเส้นเลือดแดงใหญ่บริเวณนั้นร่วมกับการใช้ผ้ากดห้ามเลือด
    2. เมื่อเลือดหยุดไหลแล้ว ให้ทำความสะอาดบริเวณรอบ ๆ แผลด้วยน้ำสะอาด แล้วปิดแผลด้วยผ้ากอซ แล้วใช้ปลาสเตอร์หรือผ้าพันแผลพันรอบให้แน่นพอสมควร
    3. นำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล เพื่อให้ตกแต่งบาดแผลด้วยวิธีที่ถูกต้องต่อไป

    4. แผลถูกแทงหรือยิง

    เกิดจากการถูกของแข็งทิ่มแทงทะลุเข้าไปใต้ผิวหนัง ขนาดของแผลมักเล็กแต่ลึก มีเลือดออกมาภายนอกไม่มาก แต่มีเลือดตกภายใน เพราะอวัยวะภายในบางส่วนอาจฉีกขาดจากการถูกแทงหรือยิง บางครั้งอาจเสียชีวิตได้ เช่น ถูกมีดแทง ถูกตะปูตำ ถูกยิงด้วยกระสุนปืน เป็นต้น
    การปฐมพยาบาลเมื่อมีบาดแผลถูกแทงหรือยิง
    1. แผลถูกแทงหรือยิงส่วนใหญ่เป็นบาดแผลฉกรรจ์และอันตรายมากควรนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน
    2. ระหว่างทาง ควรช่วยห้ามเลือดที่ไหลออกมาภายนอกโดยใช้ผ้าสะอาดกดบนแผล ส่วนเลือดที่ออกภายในซึ่งเรามองไม่เห็นนั้น อาจใช้ผ้าห่อน้ำแข็งประคบรอบ ๆ แผลเพราะความเย็นจะช่วยให้เลือดไหลช้าลง
    3. สังเกตอาการผู้ป่วย ถ้าพบว่าหยุดหายใจหรือหายใจแผ่วให้ผายปอดทันที หรือหัวใจหยุดเต้นหรือแผ่วเบา ให้รีบนวดหัวใจร่วมกับการผายปอด
     
  12. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ขออนุญาตเรียนให้ทุกท่านทราบตรงนี้เลยนะคะ...

    ข้อมูลเกี่ยวกับการปฐมพยาบาลที่ธรนำมาลงไว้ให้ดูกันนี้...

    ธรนำมาจากเว็บไซต์ต่าง ๆ...

    ซึ่ง ความรู้ที่ได้มานั้น ล้วนมาจากท่านที่ "ชำนาญการ" ...

    แต่...

    ข้อมูลความรู้หลาย ๆ เรื่อง มีการขัดแย้งกันอยู่บ้าง... เช่น เรื่องงูกัด... ผู้ชำนาญการหลาย ๆ ท่าน บอกให้ใช้ผ้ารัดเหนือแผล เพื่อไม่ให้พิษงูซึมเข้าสู่ร่างกายผู้ถูกพิษอย่างรวดเร็ว...

    ในขณะที่บางท่านบอกว่าห้ามทำแบบนั้นเด็ดขาด เพราะพิษจะยิ่งวิ่งกระฉูดเข้าสู่หัวใจได้อย่างง่ายดาย...

    ดังนั้น ขอให้ทุกท่านนำข้อมูลเหล่านี้ไปศึกษาต่อ จนกว่าจะแน่ใจอีกครั้งนะคะ...


    หรือถ้ามีท่านใดที่มีความรู้เรื่องการปฐมพยาบาลเบื้องต้นพวกนี้... จะกรุณาเข้ามาช่วยแนะนำ... ก็ขอกราบขอบพระคุณล่วงหน้าด้วยค่ะ...
     
  13. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    คราวนี้เรามาลองทบทวนวิธีการผูกเงื่อนประเภทต่าง ๆ กันค่ะ... น่าจะมีประโยชน์ไม่น้อยเลยนะคะ... รื้อฟื้น ๆ...


    ขอบคุณข้อมูลจาก TCC-RoverDen.com : ค่ะ


    เงื่อนเชือก

    ชนิดของเชือก

    ๑. เชือกกาบมะพร้าว ทำจากกาบมะพร้าว มีน้ำหนักเบา ลอยน้ำได้เหมาะหรับใช้ในน้ำ ไม่อมน้ำ นิยมใช้โยงเรือ กำลังงานน้อยกว่าเชือกมนิลาที่มีขนาดเท่ากัน

    ๒. เชือกป่าน ทำจากต้นเฮมม์ สีเหลือง เส้นใยหยาบ แข็ง ผูกง่ายไม่เหมาะสำหรับงานเกี่ยวกับน้ำ นิยมชุบน้ำมันจึงเรียกว่า เชือกน้ำมัน เมื่อชุบน้ำแล้วกำลังงานจะน้อยลงกว่าเดิม

    ๓. เชือกมนิลา ทำจากต้นมนิลามีมากในประเทศฟิลิปปินส์ สีค่อนข้างขาวอ่อนตัวดี มีกำลังมากกว่าเชือกป่าน นิยมใช้เป็นเชือกรอก ทำฐานผจญภัยและในการบุกเบิก ถ้าใช้ในที่แห้งจะทนดี แต่ถ้าเปียกน้ำบ่อย ๆ จะขาดง่าย

    ๔. เชือกปอ เป็นเชือกทำจากปอกระเจาในประเทศไทย เหมาะสำหรับใช้งานชั่วคราวบนบกเช่น ขันชะเนาะ นั่งร้านเป็นต้น ต้องเก็บรักษาให้ดี ระวังทิ้งไว้ มอด และปลวกกัดกินทำให้ขาดง่าย

    ๕. เชือกด้าย เป็นเชือกที่ทำจากด้ายดิบ มีสีขาวสะอาด อ่อนนิ่ม ขดม้วนง่าย ไม่มีมอด หรือปลวกอาศัย ใช้ทำแห หรือใช้งานในร่มไม่ถูกแดด

    ๖. เชือกไนลอน เป็นเชือกที่ทำจากสารสังเคราะห์ มีความทนทานและเหนียวมาก มีความยืดหยุ่นมากกว่าเชือกชนิดอื่น ๆ ผูกยากเพราะคลายตัวง่าย ถ้าดึงมากเชือกยืดได้ เหมาะใช้งานในน้ำ ห้ามอยู่ใกล้ความร้อน หรือใกล้ไฟ

    ๗. เชือกลวดหรือลวดสลิง ลักษณะคล้ายเชือก แต่ทำจากเหล็กกล้าเคลือบสังกะสีควั่นเป็นเกลียวมีน้ำหนักและกำลังมาก มีราคาแพงและเกิดสนิมได้ง่าย เหมาะสำหรับยึดเกาะโครงสร้างสูงเช่น ใช้ยึดทำฐานผจญภัยถาวร ยึดเสาโทรทัศน์ หรือหอคอย เป็นต้น มีหลายขนาดให้เลือก
    ________________________________________

    เงื่อนเชือก แบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆได้ 3 กลุ่ม คือ

    1. ประเภทต่อเชือกเข้าด้วยกัน เพื่อใช้ประโยชน์ต่อเชือกให้ยาวขึ้น เช่น

    - เงื่อนพิรอด
    - เงื่อนขัดสมาธิ
    - เงื่อนประมง
    - เงื่อนยายแก่
    - เงื่อนนายพราน

    2. ประเภททำเป็นบ่วง เพื่อใช้ประโยชน์สำหรับคล้องหรือสวมกับหลัก เช่น

    - เงื่อนบ่วงสายธนู
    - เงื่อนผูกคนลาก
    - เงื่อนเก้าอี้
    - รอกเชือก

    3. ประเภทผูกกับวัตถุ เพื่อใช้ประโยชน์สำหรับผูกให้แน่น ใช้รั้งให้ตึงหรือดึงให้แน่น เช่น

    - เงื่อนผูกซุง
    - เงื่อนบุกเบิก
    - เงื่อนตะกรุดเบ็ด
    - เงื่อนผูกถัง
    - เงื่อนกระหวัดไม้
    - เงื่อนผูกรั้ง
    - เงื่อนขันชะเนาะ
    - เงื่อนผูกประกบ
    - เงื่อนผูกกากบาท
    - เงื่อนผูกทแยง
    ________________________________________

    ประโยชน์ของเงื่อนที่จำเป็นแต่ละชนิด

    เงื่อนพิรอด ( Square Knot )

    เป็นเงื่อนที่ใช้มากในชีวิตประจำวัน โดยใช้ผูกปลายเชือก 2 ข้างเข้าด้วยกัน จะแน่นมากแต่แก้ง่าย เชือกที่ผูกจะต้องมีขนาดที่เท่ากัน มีความเหนียวเท่ากัน

    [​IMG]

    ประโยชน์
    1. ใช้ต่อเชือก 2 เส้นที่มีขนาดเท่ากัน
    2. ใช้ผูกปลายเชือกเส้นเดียวกัน เพื่อมัดห่อสิ่งของ
    3. ใช้ผูกเชือกรองเท้า
    4. ใช้ผูกโบ ผูกชายผ้าพันแผล หรือทำสลิงคล้องคอ
    5. ใช้ต้อปลายผ้าพื่อให้มีความยาวตามที่ต้องการ

    เงื่อนขัดสมาธิ ( Sheet Bend )

    เป็นเงื่อนที่ใช้ประโยชน์ต่อเชือกที่มีขนาดต่างกัน โดยใช้เส้นใหญ่ทำบ่วงส่วนเส้นเล็กเป็นเส้นพันขัด

    [​IMG]

    ประโยชน์
    1. ใช้ต่อเชือกที่มีขนาดเท่ากัน หรือต่างกัน
    2. ใช้ต่อปลายเชือกอ่อนกับเชือกแข็ง
    3. ใช้ต่อด้าย ( ต่อเส้นด้ายทอผ้า )
    4. ใช้ผูกกับขอ หรือบ่วง



    เงื่อนกระหวัดไม้ ( Two Half Hictches )

    [​IMG]

    ประโยชน์
    1. ใช้รั้ง โยง หรือผูกกับสมอบกแบบต่าง ๆ
    2. ใช้เชือกผูก ดึง และร้อยเข้ากับรอกชนิดต่าง ๆ


    เงื่อนบ่วงสายธนู ( Bowline )

    [​IMG]

    เป็นเงื่อนที่ไม่รูด ไม่เลื่อน

    ประโยชน์
    1. ทำบ่วงคล้องวัตถุ เสาหรือหลัก
    2. ใช้ทำบ่วงผูกสัตว์ เช่น วัว ควาย ฯลฯ
    3. ใช้คล้องคันธนู
    4. ใช้แทนเงื่อนเก้าอี้สำหรับให้คนนั่งเพื่อช่วยเหลือ
    5. ใช้ทำบ่วงต่อเชือก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    คราวนี้เรามาลองทบทวนวิธีการผูกเงื่อนประเภทต่าง ๆ กันค่ะ... น่าจะมีประโยชน์ไม่น้อยเลยนะคะ... รื้อฟื้น ๆ...


    ขอบคุณข้อมูลจาก TCC-RoverDen.com : ค่ะ


    เงื่อนเชือก

    ชนิดของเชือก

    ๑. เชือกกาบมะพร้าว ทำจากกาบมะพร้าว มีน้ำหนักเบา ลอยน้ำได้เหมาะหรับใช้ในน้ำ ไม่อมน้ำ นิยมใช้โยงเรือ กำลังงานน้อยกว่าเชือกมนิลาที่มีขนาดเท่ากัน

    ๒. เชือกป่าน ทำจากต้นเฮมม์ สีเหลือง เส้นใยหยาบ แข็ง ผูกง่ายไม่เหมาะสำหรับงานเกี่ยวกับน้ำ นิยมชุบน้ำมันจึงเรียกว่า เชือกน้ำมัน เมื่อชุบน้ำแล้วกำลังงานจะน้อยลงกว่าเดิม

    ๓. เชือกมนิลา ทำจากต้นมนิลามีมากในประเทศฟิลิปปินส์ สีค่อนข้างขาวอ่อนตัวดี มีกำลังมากกว่าเชือกป่าน นิยมใช้เป็นเชือกรอก ทำฐานผจญภัยและในการบุกเบิก ถ้าใช้ในที่แห้งจะทนดี แต่ถ้าเปียกน้ำบ่อย ๆ จะขาดง่าย

    ๔. เชือกปอ เป็นเชือกทำจากปอกระเจาในประเทศไทย เหมาะสำหรับใช้งานชั่วคราวบนบกเช่น ขันชะเนาะ นั่งร้านเป็นต้น ต้องเก็บรักษาให้ดี ระวังทิ้งไว้ มอด และปลวกกัดกินทำให้ขาดง่าย

    ๕. เชือกด้าย เป็นเชือกที่ทำจากด้ายดิบ มีสีขาวสะอาด อ่อนนิ่ม ขดม้วนง่าย ไม่มีมอด หรือปลวกอาศัย ใช้ทำแห หรือใช้งานในร่มไม่ถูกแดด

    ๖. เชือกไนลอน เป็นเชือกที่ทำจากสารสังเคราะห์ มีความทนทานและเหนียวมาก มีความยืดหยุ่นมากกว่าเชือกชนิดอื่น ๆ ผูกยากเพราะคลายตัวง่าย ถ้าดึงมากเชือกยืดได้ เหมาะใช้งานในน้ำ ห้ามอยู่ใกล้ความร้อน หรือใกล้ไฟ

    ๗. เชือกลวดหรือลวดสลิง ลักษณะคล้ายเชือก แต่ทำจากเหล็กกล้าเคลือบสังกะสีควั่นเป็นเกลียวมีน้ำหนักและกำลังมาก มีราคาแพงและเกิดสนิมได้ง่าย เหมาะสำหรับยึดเกาะโครงสร้างสูงเช่น ใช้ยึดทำฐานผจญภัยถาวร ยึดเสาโทรทัศน์ หรือหอคอย เป็นต้น มีหลายขนาดให้เลือก
    ________________________________________

    เงื่อนเชือก แบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆได้ 3 กลุ่ม คือ

    1. ประเภทต่อเชือกเข้าด้วยกัน เพื่อใช้ประโยชน์ต่อเชือกให้ยาวขึ้น เช่น

    - เงื่อนพิรอด
    - เงื่อนขัดสมาธิ
    - เงื่อนประมง
    - เงื่อนยายแก่
    - เงื่อนนายพราน

    2. ประเภททำเป็นบ่วง เพื่อใช้ประโยชน์สำหรับคล้องหรือสวมกับหลัก เช่น

    - เงื่อนบ่วงสายธนู
    - เงื่อนผูกคนลาก
    - เงื่อนเก้าอี้
    - รอกเชือก

    3. ประเภทผูกกับวัตถุ เพื่อใช้ประโยชน์สำหรับผูกให้แน่น ใช้รั้งให้ตึงหรือดึงให้แน่น เช่น

    - เงื่อนผูกซุง
    - เงื่อนบุกเบิก
    - เงื่อนตะกรุดเบ็ด
    - เงื่อนผูกถัง
    - เงื่อนกระหวัดไม้
    - เงื่อนผูกรั้ง
    - เงื่อนขันชะเนาะ
    - เงื่อนผูกประกบ
    - เงื่อนผูกกากบาท
    - เงื่อนผูกทแยง
    ________________________________________

    ประโยชน์ของเงื่อนที่จำเป็นแต่ละชนิด

    เงื่อนพิรอด ( Square Knot )

    เป็นเงื่อนที่ใช้มากในชีวิตประจำวัน โดยใช้ผูกปลายเชือก 2 ข้างเข้าด้วยกัน จะแน่นมากแต่แก้ง่าย เชือกที่ผูกจะต้องมีขนาดที่เท่ากัน มีความเหนียวเท่ากัน

    [​IMG]

    ประโยชน์
    1. ใช้ต่อเชือก 2 เส้นที่มีขนาดเท่ากัน
    2. ใช้ผูกปลายเชือกเส้นเดียวกัน เพื่อมัดห่อสิ่งของ
    3. ใช้ผูกเชือกรองเท้า
    4. ใช้ผูกโบ ผูกชายผ้าพันแผล หรือทำสลิงคล้องคอ
    5. ใช้ต้อปลายผ้าพื่อให้มีความยาวตามที่ต้องการ

    เงื่อนขัดสมาธิ ( Sheet Bend )

    เป็นเงื่อนที่ใช้ประโยชน์ต่อเชือกที่มีขนาดต่างกัน โดยใช้เส้นใหญ่ทำบ่วงส่วนเส้นเล็กเป็นเส้นพันขัด

    [​IMG]

    ประโยชน์
    1. ใช้ต่อเชือกที่มีขนาดเท่ากัน หรือต่างกัน
    2. ใช้ต่อปลายเชือกอ่อนกับเชือกแข็ง
    3. ใช้ต่อด้าย ( ต่อเส้นด้ายทอผ้า )
    4. ใช้ผูกกับขอ หรือบ่วง



    เงื่อนกระหวัดไม้ ( Two Half Hictches )

    [​IMG]

    ประโยชน์
    1. ใช้รั้ง โยง หรือผูกกับสมอบกแบบต่าง ๆ
    2. ใช้เชือกผูก ดึง และร้อยเข้ากับรอกชนิดต่าง ๆ


    เงื่อนบ่วงสายธนู ( Bowline )

    [​IMG]

    เป็นเงื่อนที่ไม่รูด ไม่เลื่อน

    ประโยชน์
    1. ทำบ่วงคล้องวัตถุ เสาหรือหลัก
    2. ใช้ทำบ่วงผูกสัตว์ เช่น วัว ควาย ฯลฯ
    3. ใช้คล้องคันธนู
    4. ใช้แทนเงื่อนเก้าอี้สำหรับให้คนนั่งเพื่อช่วยเหลือ
    5. ใช้ทำบ่วงต่อเชือก
     
  15. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    เงื่อนตะกรุดเบ็ด ( Clove Hitch )
    เป็นเงื่อนผูกแน่นแต่แก้ง่าย ใช้ผูกของ ผูกหลัก ผูกตอม่อ เป็นเงื่อนเริ่มต้นของการผูกแน่น

    [​IMG]

    ประโยชน์
    1. ใช้แขวนรอก
    2. ผูกเชือกกับสมอเรือ
    3. ผูกก้อนหินที่ใช้แทนสมอเรือ

    ________________________________________


    เงื่อนประมง ( Fisherman's Knot )

    [​IMG]

    ประโยชน์
    1. ใช้ต่อเชือกที่มีขนาดเล็กเช่น สายเบ็ด สายเอ็น
    2. ใช้ต่อเชือกที่มีขนาดเท่ากัน
    3. ผูกคอขวดสำหรับเป็นที่หิ้วถือ
    4. ใช้ลากจูกสำหรับเชือกที่มีขนาดใหญ่

    ________________________________________


    เงื่อนผูกซุง ( Timber Hitch )

    ใช้ปลายเชือกผูก ไม่เปลืองเชือกผูกง่าย แก้ง่าย

    [​IMG]

    ประโยชน์
    1. ใช้ลากซุง
    2. ใช้มัดลากวัตถุทรงกระบอก หรือทรงกลม
    3. ใช้ผูกกับหินเพื่อใช้ถ่วงเป็นสมอเรือ
    4. ใช้ผูกกับหินเพื่อแทนสมอบก

    ________________________________________


    เงื่อนผูกรั้ง ( Tarbuck Knot )

    [​IMG]

    ประโยชน์
    1. ใช้ผูกสายเต้นท์ยึดเสาธงเพื่อกันล้ม
    2. ใช้รั้งต้นไม้
    3. เป็นเงื่อนเลื่อนให้ตึงและหย่อนได้

    ________________________________________


    เงื่อนปมตาไก่ ( A Fingere of Einght Knot )

    ใช้ขมวดหัวเชือกที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก ถ้าต้องการปมใหญ่ให้ขมวดหลายๆครั้ง

    [​IMG]

    ประโยชน์
    1. ใช้ผูกปลายเชือกให้เป็นปม
    2. ใช้ผูกกันหัวเชือกลุ่ยชั่วคราว

    ________________________________________


    ผูกประกบ ( Round Lashing )

    มีหลายชนิด เช่น ประกบสอง ประกบสาม ประกบสี่ เป็นต้น

    [​IMG]

    ประโยชน์
    - ต่อไม้ให้ยาว หรือมัดไม้เข้าด้วยกัน
    - ทำให้ได้ไม้ที่มีความยาวสำหรับงานก่อสร้าง

    วิธีการผูก
    1. เริ่มต้นด้วยเงื่อนตะกรุดเบ็ด แล้วแต่งงานเชือก
    2. พันรอบไม้ที่ต้องการผูกแบบเรียงเส้น
    3. พันหักคอไก่
    4. ลงท้ายด้วยเงื่อนตะกรุดเบ็ด

    ________________________________________


    ผูกกากบาท ( Square Lashing )

    ส่วมมากใช้ผูกไม้ที่ไขว้กันในลักษณะกากบาทกัน

    [​IMG]

    ประโยชน์
    - ใช้ในงานก่อสร้าง ทำนั่งร้านทาสีอาคาร
    - ใช้ในงานสร้างค่ายพักแรม

    วิธีการผูก
    1. ขึ้นต้นด้วยเงื่อนตะกรุดเบ็ด แล้วแต่งงานเชือก
    2. พันไม้สลับกันทั้ง 4 ด้าน แบบเรียงเส้น
    3. พันหักคอไก่
    4. ลงท้ายด้วยเงื่อนตะกรุดเบ็ด

    ________________________________________
    ผูกทแยง ( Diagonal Lashing )

    ส่วนมากใช้ผูกไม้ที่มีลักษณะไขว้กันที่ไม่เป็นมุมฉากกัน ( กากบาท )

    [​IMG]

    ประโยชน์
    - ใช้ในงานก่อสร้าง
    - ใช้ค้ำ หรือยัน ป้องกันมิให้ล้ม

    วิธีการผูก
    1. ขึ้นต้นด้วยเงื่อนผูกซุง โดยควบไม้ทั้ง 2 ท่อน
    2. พันขวางไม้ทั้ง 2 ด้าน
    3. พันหักคอไก่
    4. ลงท้ายด้วยเงื่อนตะกรุดเบ็ด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ขอบคุณข้อมูลจาก สมุนไพรดอทคอมค่ะ.... http://www.samunpri.com/?p=780




    กระเจี๊ยบแดง

    [​IMG]


    ชื่ออื่น ๆ
    : กระเจี๊ยบเปรี้ยว(ภาคกลาง), ส้มเก็งเค็ง(ภาคเหนือ), ส้มปู(เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน), ส้มตะเลงเครง(ตาก) , ผักเก็งเค็ง,ส้มพอเหมาะ

    ชื่อสามัญ : Jamaican Sorrel, Rosella

    ชื่อวิทยาศาสตร์ : Hibiscus sabdariffa Linn.

    วงศ์ : Malvaceae

    ลักษณะทั่วไป

    ต้น
    : เป็นพรรณไม้พุ่มขนาดเล็ก เป็นพืชปีเดียว ลำต้นสูงประมาณ 1-2 เมตร ส่วนลำต้นและกิ่งก้านนั้นจะมีสีม่วงแดง

    ใบ
    : มีลักษณะอยู่หลายชนิด ขอบใบเว้าลึก 3 หยัก หรือเรียบตัวใบเป็นรูปเรียวแหลม สำหรับก้านของใบนั้นจะยาวประมาณ 5ซม.

    ดอก
    : ดอกมีสีชมพูตรงหลางจะมีสีเข้มกว่าส่วนนอก ดอกจะออกบริเวณง่ามใบก้านดอกจะสั่น กลีบรองดอกจะมีลักษณะเป็นปลายแหลมมีประมาณ 8-12 กลีบ กลีบเลี้ยงจะแผ่ขยายติดกันออกหุ้มเมล็ดไว้มีสีแดงเข้มหักง่าย มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6 ซม.

    ผล
    : เป็นรูปรีปลายแหลม ผลยาวประมาณ 2.5 ซม. ห่อหุ้มด้วยกลีบเลี้ยง

    เมล็ด
    : ส่วนในของเมล็ดรูปไต เป็นสีน้ำตาลจำนวนมาก


    การขยายพันธุ์
    : ใช้เมล็ดในการขยายพันธุ์จะปลูกขึ้นได้ดีในดินที่ร่วนซุยและดินเหนียวที่อุ้มน้ำได้ดี


    ส่วนที่ใช้
    : ยอด ใบ กลีบเลี้ยง เมล็ด (ยอดและใบใช้สด กลีบเลี้ยงใช้ตากแห้ง และใบสด เมล็ด ใช้เมล็ดที่ตากแห้ง)


    สรรพคุณ :

    ยอดและใบ
    ช่วยย่อยอาหาร ละลายเสมหะ ขับปัสสาวะ หล่อลื่นลำไส้ เป็นยาบำรุงธาตุและยาระบาย ใช้ภายนอกคือ ตำพอกฝี ต้มชะล้างแผล วิธีใช้โดยแกงหรือต้มกิน ใช้ภายนอก โดยเอาใบตำให้ละเอียดแล้วนำมาประคบฝีต้มเอาน้ำมาล้างแผล

    กลีบเลี้ยง
    ทำให้สดชื่น ขับปัสสาวะ ขับน้ำดี ลดไข้ แก้ไอ แก้นิ่ว แก้กระหายน้ำ วิธีใช้ โดยใช้ชงน้ำร้อนหรือต้มน้ำกิน ใช้ที่ตากแห้งแล้วประมาณ 5-10 กรัม

    เมล็ด
    ลดไขมันในเลือด บำรุงเลือด บำรุงธาตุ ขับน้ำดี ขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะขัดและเจ็บ เป็นยาระบาย วิธีใช้บดให้ละเอียดเป็นผงผสมกินหรือต้มน้ำกิน ใช้เมล็ดที่แห้ง


    ถิ่นที่อยู่ : มีถิ่นกำเนิดในประเทศมาเลเซียและประเทศอินเดีย

    อ้างอิง : พจนานุกรม สมุนไพรไทย ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ขอบคุณค่ะที่กรุณาเข้ามาช่วยดูลาดเลาให้... มีอะไรที่อยากจะแนะนำ หรือเพิ่มเติม ก็ตามสบายเลยนะคะ...

    จะได้มีข้อมูลความรู้จากผู้มีประสบการณ์ตรง หลาย ๆ ท่าน มาช่วยทำให้เข้าใจสิ่งต่างๆ มากขึ้น...

    ขอบพระคุณนะคะ...
     
  18. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    นี่คือตัวอย่างของความสำคัญของการเรียนรู้หลักการปฐมพยาบาลเบื้องต้น... ไม่ต้องรอภัยใหญ่ที่ไหน... เราจะสามารถช่วยคนได้ทุกครั้งที่เรามีโอกาส.... ถ้าเรามีความรู้ ความสามารถ.... แม้จะเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เถอะ...



    ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com ค่ะ...

    นาทีระทึก!พนักงานแมคโดนัลด์ช่วยชีวิตเด็ก 1 ขวบ - โพสต์ทูเดย์ ข่าวรอบโลก

    http://www.posttoday.com/%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81/169502/%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B6%E0%B8%81-%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B9%8C%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%81-1-%E0%B8%82%E0%B8%A7%E0%B8%9A
     
  19. ตาลเดี่ยว

    ตาลเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +425
    สวัสดีครับกัลยาณมิตรชาวพลังจิตทุกท่าน ผมเองก็เฝ้าติดตามอ่านบทความของแต่ละท่าน นับว่ามีประโยชน์มากๆครับ รู้สึกได้ทันที่ว่าการที่ข้าพเจ้าได้เป็นสมาชิกของชาวพลังจิตนั้นเป็นสิ่งที่ดีมากข้าพเจ้าตัดสินใจได้ไม่ผิดเลยที่แวะเวียนเข้ามาบ่อยๆ ทุกๆท่านล้วนเป็นกัลยาณมิตรที่ดี มีจิตใจที่ดี ใฝ่ไปทางธรรม นี่แหละครับสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการ เพราะที่ผ่านมาในอดีตข้าพเจ้ามีแต่เพื่อนขี้เมาเป็นส่วนใหญ่ ข้าพเจ้าเป็นเพียงผู้ที่กำลังปฏิบัติเพื่อออกจากวัฏฏะสงสารให้ได้เท่านั้นยังไม่มีประสบการณ์มากพอที่จะนำมาเล่าให้ทุกท่านฟังได้ ก็ขอเป็นผู้ติดตามกระทู้ที่ดีต่อไปก็แล้วกัน ขอขอบคุณทุกๆท่านที่นำสิ่งดีมาเล่าสู่กันฟังครับ:cool:
     
  20. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    พอดีมีเพื่อนส่งลิ้งค์มาให้ เห็นว่าน่าสนใจดีเลยนำมาให้ดูกันค่ะ... เผื่อท่านใดจะสนใจลองไปดูกันค่ะ...

    ชวนเที่ยวงานตลาดนัดเศรษฐกิจพอเพียงเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ - สำนักงานพิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
     

แชร์หน้านี้

Loading...