"วิญญาณอั้งยี่" : ตำนานเฮี้ยนที่วัดเมือง

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย chingchamp, 5 ธันวาคม 2008.

  1. chingchamp

    chingchamp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2008
    โพสต์:
    788
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +503
    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=left bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE></B></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>ย้อนไปก่อนหน้าปีพุทธศักราช 2450


    ยังคงมีเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นจริงที่ผู้เฒ่าผู้แก่ใน จ. ฉะเชิงเทรา

    คงจะยังจำกันได้ในเหตุการณ์อันชวนขนลุกและขวัญผวาถึงกิตติศัพท์ความเฮี้ยน ของเหล่าดวงวิญญาณ "ตายโหง"
    </B>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>ที่ยังไม่ไปผุดไปเกิด โดยดวงวิญญาณนับร้อยๆดวงยังคงเร่ร่อน

    ปรากฏกายหลอกหลอนผู้คน อยู่ ณ แดนประหารในวันที่ครั้งหนึ่งเคยเจริญรุ่งเรืองในฐานะที่เคยเป็นวัดประจำเมืองฉะเชิงเทราในสมัยโบราณ

    ซึ่งว่ากันว่าเจริญกว่าวัดพระพุทธโสธรในปัจจุบันนี้เสียอีก วัดแห่งนั้นชื่อว่า "วัดเมือง" หรือว่า "วัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์"

    </B>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>ผู้เขียนเมื่อได้ทราบความเป็นมาของดวงวิญญาณ

    ที่เคยสิงสถิตอยู่ภายในวัดแห่งนี้ก็รีบเดินทางเพื่อไปสำรวจสถานที่ และสภาพในปัจจุบันทันที

    และพบว่าปัจจุบันวัดเมืองจากที่เคยรุ่งเรืองกลับกลายเป็นวัดเล็กๆที่ดูเงียบสงัด ทั้งๆที่วัดนี้ก็อยู่ไม่ห่างจากวัดพระพุทธโสธรที่มีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์มากนัก


    </B>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>แต่ก็ไม่ค่อยมีใครมาเที่ยววัดนี้เท่าที่ควร


    ที่วัดเมืองแห่งนี้ในอดีตขึ้นชื่อว่า "ผีดุ" มากเพราะเป็นแหล่งรวมของดวงวิญญาณนับร้อย ที่ต้องตายอย่างเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน

    จนกลายเป็นตำนานเฮี้ยนของเหล่าดวงวิญญาณที่ผู้คนใน จ.ฉะเชิงเทรายุคก่อนๆ เล่าสืบต่อกันมาจนถึงรุ่นลูกหลาน

    </B>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>"วัดเมือง" จ.ฉะเชิงเทราในอดีตเกี่ยวเนื่องกับประวัติศาสตร์ไทย

    โดยเมื่อครั้งแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ครั้งนั้นบ้านเมืองเราเจริญรุ่งเรืองทางการค้ากับต่างประเทศเป็นอย่างมาก

    ถึงขนาดแต่งสำเภา นำสินค้าของไทยไปขายยังเมืองจีน ขนกำไรการค้าเป็นเงินตราจากเมืองจีนกลับมามากมาย


    </B>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>นอกจากนี้ยังมีการติดต่อการค้ากับยุโรป โดยเฉพาะประเทศอังกฤษ

    ทั้งๆที่ขณะนั้นอังกฤษกำลังล่าอาณานิคมในแถบเอเชียอาคเนย์ แต่ถึงแม้เราจะทำการค้ากับอังกฤษเราก็คงไม่ประมาท

    ด้วยสายพระเนตรยาวไกล รัชกาลที่ 3 จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างค่ายคูประตูเมือง ด้านที่ติดกับทะเล


    </B>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>เพื่อป้องกันการรุกรานอธิปไตยของต่างชาติ

    โดยจัดงบประมาณแผ่นดินทำการซ่อมแซมป้อมปราการเดิมของทุกเมืองให้แข็งแรงมั่นคง และสร้างป้อมปราการใหม่เช่น ค่ายเนินวง เมืองจันทบุรี

    และกำแพงเมืองฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ติดกับปากอ่าว อันเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญทางทะเล


    </B>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>สำหรับเมืองฉะเชิงเทรา พระองค์โปรดเกล้าฯให้ "กรมหลวงรักษ์รณเรศ"

    ซึ่งเป็นพระปิตุลาหรือลุงของพระองค์เป็นแม่กองมาควบคุมการสร้างกำแพงเมืองและประตูเมืองฉะเชิงเทรา ในปีพ.ศ.2377

    (ซึ่งแนวกำแพงเมืองเก่านี้ก็อยู่ไม่ไกลจากวัดเมืองมากนัก) และเมื่อสร้างกำแพงและประตูเมืองเสร็จแล้ว


    </B>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>กรมหลวงรักษ์รณเรศก็ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต

    สร้างวัดขึ้นใกล้กับกำแพงและประตูเมือง วัดที่สร้างนี้ชาวบ้านมักเรียกกันว่า "วัดเมือง"

    เพราะในอดีตบริเวณที่สร้างวัดคือใจกลางเมืองแปดริ้วนั่นเอง แต่ทางราชการตั้งชื่อว่า "วัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์"

    </B>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>เล่ามาเสียยืดยาวจนหลายคนอาจสงสัยว่าแล้ววัดเมืองแห่งนี้

    ไปเกี่ยวเนื่องกับความเฮี้ยนของเหล่าวิญญาณพวก "อั้งยี่" ได้อย่า</TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>เล่ามาเสียยืดยาวจนหลายคนอาจสงสัยว่าแล้ววัดเมืองแห่งนี้
    </TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0>งไร ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นประวัติศาสตร์สำคัญของเมืองฉะเชิงเทราเลยทีเดียว

    โดยเมื่อครั้งหนึ่งเมืองฉะเชิงเทรานี้มีเจ้าเมืองปกครองดูแล ต่อมาได้เกิดปัญหากับชาวจีนที่ตั้งก๊กเรียกตัวเองว่า "อั้งยี่"

    </B>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>ซึ่งทำการขยายอำนาจ อิทธิพลจากเมืองชลบุรี เข้ามายังฉะเชิงเทรา

    และทำการเรียกเก็บค่าคุ้มครองหรือภาษีเถื่อนแข่งกับทางการ จนเจ้าเมืองฉะเชิงเทราขณะนั้นต้องนำกำลังไปปราบปราม

    จนพวกอั้งยี่แตกไปคนละทิศทาง แต่ตัวการใหญ่ที่หนีไปกลับไม่ยอมแพ้ ได้หวนกลับมารุมทำร้ายเจ้าเมืองและทหารคนสนิทในจวน


    </B>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>กระทั่งเสียชีวิต มิหนำซ้ำยังตัดศีรษะเจ้าเมืองนำมาประจาน

    เพื่อข่มขวัญผู้คนให้เกรงกลัว และยังได้ประกาศให้เมืองฉะเชิงเทราเป็นอาณาจักรของพวกอั้งยี่อีกด้วย

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปีพุทธศักราช 2391 ณ เวลานั้นความได้ทราบไปถึงพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3


    </B>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้กองทัพหลวงยกมาทั้งทางน้ำและทางบก

    ไปรวมกันในเมืองฉะเชิงเทรา ครั้งนั้นฝ่ายอั้งยี่ได้เข้ายึดวัดเมือง เป็นฐานที่ตั้งสุมกำลังเพื่อสู้กับทัพเมืองบางกอก

    แต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ พวกที่ตายก็ตายไป ฝ่ายที่เหลือก็ถูกจับเป็นเชลย และก็ยังมีบางส่วนที่หนีตายจากฉะเชิงเทราไปอยู่ที่บางปลาสร้อย เมืองชลบุรี


    </B>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>ประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นกับเมืองฉะเชิงเทรา ครั้งนั้น รัชกาลที่ 3

    ได้ทรงมีพระบรมราชโองการให้ประกาศว่า

    "อันการกระทำของอั้งยี่คราวนี้เป็นขบถต่อแผ่นดิน และยังกระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพด้วยการตัดศีรษะเจ้าเมือง

    อันเป็นตัวแทนต่างพระเนตรพระกรรณให้มาปกครองเมือง เอาศีรษะมาเสียบประจานให้ลงโทษประหารเชลยทุกคน


    </B>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>และผู้ให้ความร่วมมือทั้งหมด และให้ไล่ตามจับกุมอั้งยี่ที่หนีตาย

    จากฉะเชิงเทราไปอยู่ที่บางปลาสร้อยกลับมาประหารชีวิตทั้งหมด"

    สถานที่ประหารชีวิตพวกอั้งยี่ ณ เวลานั้น ก็คือ บริเวณโคนต้นจันทน์ใหญ่ของวัดเมือง


    </B>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>เล่ากันว่าเหตุการณ์ชวนสยดสยองให้เวทนาน่าสงสาร

    และแม้ว่าเหล่าอั้งยี่จะส่งเสียงร้องร่ำไห้ ขอชีวิตอย่างไร

    เหล่าเพชฌฆาตก็ยังคงทำหน้าที่โดยจับนักโทษมามัดติดกับหลักประหาร และผลัดเปลี่ยนกันลงดาบนักโทษนับร้อยๆคนจนเลือดสาดกระจาย

    เนืองนองไปทั่วหลักประหารในวัดเมืองส่งกลิ่นเหม็นคาวคลุ้งน่าสะอิดสะเอียน

    </B>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>
    แหล่งที่มา:
    [​IMG]
    </TBODY></TABLE>
     
  2. chingchamp

    chingchamp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2008
    โพสต์:
    788
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +503
    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=left bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE></B></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>การประหารชีวิต "อั้งยี่" ที่วัดเมืองครั้งนั้นเป็นข่าวดังไปทั่วหัวเมืองต่างๆ


    บ้างก็รู้สึกสาสมใจ บ้างก็สงสารและเกิดทุกขเวทนา

    ศพอั้งยี่แต่ละศพเป็น "ผีหัวขาด" และถูกนำไปฝังแบบไร้ญาติ ไม่มีใครกล้ามาขอรับศพไปทำพิธีให้ถูกต้องตามประเพณีเพราะเกรงว่า

    </B></TD></TR>
    </TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>อาจจะถูกประหารตามไปด้วย ข้อหาสมรู้ร่วมคิด

    จึงจำต้องปล่อยให้พ่อ แม่ ลูก และพี่น้องของตัวเองถูกตัดหัวไปต่อหน้าต่อตา

    ความตายของอั้งยี่นั้นทุกข์ทรมานนัก จิตสุดท้ายก่อนสิ้นลมเต็มไปด้วยความกลัว มีอารมณ์โกรธแค้น ชิงชัง

    ยามที่วิญญาณออกจากร่าง จิตจึงยึดอารมณ์ดังกล่าวเป็นที่ตั้ง จนนำพาไปยัง "ทุคติภูมิ"


    </B>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>อยู่ในโลกของวิญญาณในภพภูมิที่ทุกข์ทรมาน

    แรงอาฆาตพยาบาทความแค้นที่ฝังใจก่อนตาย ทำให้วิญญาณแต่ละดวงไม่สงบสุข หาทางไปเกิดก็ไม่ได้

    เพราะเป็นวิญญาณตายโหงที่ยังไม่ถึงเวลาตายแต่ด้วยกรรมมาตัดรอนจำต้องตาย วิญญาณทั้งหลายจึงสิงสถิตอยู่ในวัดเมืองเต็มไปหมด


    </B>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>วัดเมืองจึงขึ้นชื่อว่าเป็นวัดผีดุมานับแต่นั้น


    "วัดเมือง" หลังจากเสร็จศึกเหตุการณ์นองเลือดระหว่างทหารบางกอกกับกบฏอั้งยี่แล้ว ก็ได้กลายเป็นวัดร้าง สภาพวัดชำรุดทรุดโทรม

    เพราะถูกอั้งยี่เผาทำลาย ทั้งยังถูกลูกหลงจากกระสุนปืนใหญ่ ทำให้สภาพวัดเสื่อมโทรมลงมาก และยังไม่ทันที่ "กรมหลวงรักษ์รณเรศ"

    </B>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>จะขอพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จากงบประมาณแผ่นดิน

    มาบูรณะวัดเมือง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ก็มาเสด็จสวรรคตเสียก่อน เป็นที่น่าเสียดาย

    และเมื่อผลัดแผ่นดินใหม่แล้วในรัชสมัยรัชกาลที่ 4 อำนาจของกรมหลวงรักษ์รณเรศก็ลดลง ไม่มีทางใดที่จะได้เงินหลวงมาทำนุบำรุงวัด


    </B>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>จึงต้องบูรณะวัดด้วยกำลังทรัพย์ที่พึงมีของท่านเอง

    และหลังจากนั้นไม่นาน กรมหลวงรักษ์รณเรศก็ต้องพระราชอาญาแผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4

    โดยถูกสั่งประหารด้วยการใช้ท่อนจันทน์ทุบที่พระนาภีจนสิ้นชีพิตักษัย ซึ่งในประวัติศาสตร์ถือว่าเป็นการประหารชีวิตเชื้อพระวงศ์ครั้งสุดท้าย


    </B>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>ในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ และตั้งแต่นั้นมาวัดเมืองก็ไม่มีการบูรณะวัดใดๆอีกเลย

    ทำให้กลายเป็นวัดร้างที่ทรุดโทรม บรรยากาศน่ากลัวจนไม่มีใครกล้าเดินผ่านในยามค่ำคืน

    ด้วยกิตติศัพท์ "ความเฮี้ยน" ที่เคยมีผู้พบเห็น "ผีอั้งยี่" ผู้ประสบเหตุหลายคนเล่าว่า

    </B>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>เคยเห็นคนจีนเลือดท่วมตัว หิ้วหัวเดินรอบวัด

    บางคนเป็นคนแขนขาขาด ไส้ไหล เดินโซซัดโซเซ ผอมเหลือแต่กระดูก สภาพอดอยากหิวโหย ไม่มีใครทำบุญไปให้เพราะญาติพี่น้องหรือคนรู้จักก็คงกลัวว่า

    ถ้าจะนำเครื่องเซ่นไปไหว้ตามประเพณีจีนก็กลัวจะถูกจับอีก จึงทำให้วิญญาณอดโซทรมานจนต้องอาละวาดหลอกหลอนหนักขึ้นไปอีก

    </B>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>มีเรื่องเล่าจากผู้ที่อยู่ใกล้วัดเมืองผู้หนึ่ง เล่าว่าสมัยที่เธอยังเด็ก

    ก๋งเคยพามาเที่ยวที่วัดนี้ ก๋งยังชี้ให้ดูหลักประหารและบอกว่า สถานที่บริเวณโคนต้นจันทน์นี้ เคยใช้เป็นที่ประหารคนจีนหรืออั้งยี่นับร้อยๆคน

    แม้แต่เมื่อหมดสมัยอั้งยี่แล้ว เจ้าเมืองยุคต่อมาเมื่อจะประหารชีวิตใครก็มักจะใช้วัดเมืองเป็นแดนประหาร เพราะเงียบสงัด


    </B>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>ปราศจากผู้คนจึงทำให้วัดดูน่ากลัว ยิ่งขึ้นไปอีกจนไม่มีใครกล้าผ่านไปมา

    โดยเฉพาะยามค่ำคืน

    จนถึงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ในปีพุทธศักราช 2450 พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินมาวัดเมืองเพื่อตรวจวัด

    เมื่อเห็นสภาพที่เสื่อมโทรมมาก พระองค์จึงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อซ่อมแซมวัดจนอยู่ในสภาพดีดังเดิม

    </B>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>พร้อมพระราชทานพระปรมาภิไธยย่อ จปร. ประดับไว้ที่หน้าบันพระอุโบสถ

    และพระราชทานนามวัดใหม่เป็น "วัดปิตุลาธิราชรังสฤษฏ์"

    เล่ากันว่าแม้สภาพของวัดเมืองจะถูกปรับปรุงให้สวยงาม มีชีวิตชีวาดังเดิมแล้วก็ตาม แต่เรื่องราวความเฮี้ยนของ "ผีอั้งยี่"

    ก็ยังคงมีต่อเนื่องตลอดเวลาจนสมาคมจีนใน จ.ฉะเชิงเทรา ต้องทำพิธีปลดปล่อยวิญญาณอั้งยี่ที่ทนทุกข์ทรมานให้ไปเกิดจึงจัดพิธีล้างป่าช้าขึ้นที่วัดเมืองถึง 2 ครั้ง


    </B>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>และในการขุดครั้งแรก พอบรรดาเซียนได้เขียนชื่อปักธง

    ขุดเอาโครงกระดูกขึ้นมาทำพิธีก็ได้พบหลักฐานยืนยันถึงการประหารชีวิตนักโทษอั้งยี่อย่างชัดเจน

    ศพหลายศพถูกขุดพบพร้อมโซ่ตรวน เครื่องพันธนาการ ศพจำนวนมากศีรษะหาย บางศพแขน ขาขาดอวัยวะไม่ครบสมบูรณ์

    </B>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>สันนิษฐานว่าคงเป็นศพที่ตายระหว่างการสู้รบ นอกจากนี้ยังพบเครื่องประดับ

    ประเภทแหวนหยก ป้ายหยก ที่ติดตัวศพในสภาพที่ชำรุด ศพถูกนำมาชำระล้างทำความสะอาดเพื่อนำไปประกอบพิธีทางจีน

    คือการส่งวิญญาณ โดยครั้งนั้นชาวจีนสกุลแซ่ต่างๆ ในฉะเชิงเทราและชลบุรี มาร่วมเป็นเจ้าภาพอย่างมากมาย


    </B>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>แต่แม้ว่าทางสมาคมชาวจีนจะทำการล้างป่าช้าแล้วก็ตาม

    รากฏว่าเรื่องราวของ "ผีอั้งยี่" ที่วัดเมืองก็ยังไม่เลิกเฮี้ยน จึงต้องทำพิธีล้างป่าช้าเป็นครั้งที่ 2 โดยเปลี่ยนองค์เซียนซือใหม่

    จากนั้นความเฮี้ยนจึงค่อยๆเบาบางลง แต่ก็ยังมีผู้เจอวิญญาณบางดวงอยู่ที่โคนต้นจันทน์ซึ่งเป็นที่ตั้งหลักประหาร


    </B>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>จนต้องไปให้ผู้มีญาณตรวจดูจึงรู้ว่ายังมีวิญญาณอีกหลายดวง

    ที่คงสิงสถิตอยู่กับหลักประหาร หากจะให้วิญญาณเหล่านี้สงบก็ต้องทำพิธีขุดเอาเสาหลักประหารขึ้นมาจากดิน

    และทำพิธีสะกดวิญญาณพร้อมทั้งต้องปรับพื้นที่บริเวณนั้นให้เสมอกัน เทปูนปิดทับรอยหลักประหารให้หมด


    </B>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>แล้วความเฮี้ยนหรืออาถรรพ์ทั้งหลายก็จะค่อยๆหมดไป


    สำหรับต้นจันทน์ที่เคยเป็นจุดปักหลักประหารนี้ปัจจุบันก็ยังคงอยู่และผู้นำรูปหล่อของ "พ่อปู่ชีวกโกมารภัจจ์" มาตั้งไว้เพื่อแก้เคล็ดบางอย่าง

    โดยเชื่อกันว่าบริเวณนี้เคยเป็นที่ประหารชีวิตคนจึงต้องให้ปูชีวกฯ มาช่วยชีวิตคน

    "วัดเมือง" ในปัจจุบันมีการบูรณะวัดขึ้นมาใหม่ โดยกรมศิลปากรได้มาสำรวจ และขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของ จ.ฉะเชิงเทรา


    </B>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>ในบริเวณวัดด้านข้างวิหารก็เป็นที่ตั้งศาลเจ้าพ่อไกรสร

    หรือศาลเจ้าพ่อกรมหลวงรักษ์รณเรศ ซึ่งภายในศาลมีรูปหล่อของท่านในชุดแม่ทัพ ใครผ่านไปผ่านมาที่เคยทราบประวัติของวัดดีก็มักจะมาสักการะ

    ในฐานะที่ท่านได้สร้างวัดนี้ขึ้น และถือว่าเป็นศาลเจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์อีกแห่งหนึ่งของฉะเชิงเทรา


    </B>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>เรื่องนี้จึงเป็นอีกหนึ่งตำนานความเฮี้ยนของหลายร้อยดวงวิญญาณ

    ที่แม้จิตจะละจากร่างเดิมแล้วก็ยังไม่สามารถไปผุดไปเกิดได้ เพราะจิตยังคงยึดติดอยู่กับโลกมนุษย์ นั่นเพราะ "อารมณ์สุดท้าย"

    เมื่ออยู่ในภาวะใกล้ตายเป็น "อกุศล" โกรธ เคียดแค้น กลัว ผูกพัน ห่วงหา หรือเสียใจอย่างหนัก

    ดังนั้น หากว่าเราทุกคนต้องการจะจากไปสู่ "โลกหลังความตาย" อย่างสุขสงบแท้จริง เราจำต้อง "ปล่อยวาง" ตัดตนและทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยมี และเคยเป็นบนโลกไว้ข้างหลัง


    </B>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY>
    แหล่งที่มา:
    [​IMG]
    </TBODY></TABLE>
     
  3. หนูแว่น

    หนูแว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    1,188
    ค่าพลัง:
    +3,207
    กรรมตามท้น ทันตาเห็นจริงๆ แต่ปานี้ก็คงเปลี่ยนภพกันไปหมดแล้วกระมั้ง
     
  4. chanitnant

    chanitnant Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +85
    เป็นคนฉะเชิงเทราโดยกำเนิดค่ะ แต่เพิ่งทราบประวัติความเป็นมาของวัดเมืองก็วันนี้เอง ขอบคุณท่านที่นำมาเผยแพร่มากๆ ในตอนเด็กได้รับทราบแต่ว่า วัดเมืองนี้ผีดุมาก คนเดินทางสัญจรไปมากลางคืน จะโดนผีหลอกทุกราย บริเวณชายน้ำหน้าวัดจะมีต้นไม้ใหญ่ เมื่อเรือแล่นผ่านไปมา จะเห็นเป็นชายห้อยหัวลงมาจากต้นไม้ หลอกคนเรือ แต่ในปัจจุบัน พื้นที่ถูกปรับภูมิทัศน์ให้งดงาม เป็นสวนหย่อม ที่ออกกำลังกายตอนเย็น และที่จัดงานวิถีไทยลอยกระทง ทำให้ความน่ากลัวไม่มีให้เห็นแล้วค่ะ อีกทั้งวัดเมืองก็เป็นโรงเรียนเด็กอนุบาลและเด็กประถมที่มีชื่อในฉะเชิงเทรา ทำให้คำล่ำลือเรื่องผีเฮี้ยนถูกกลบด้วย เรื่องเด็กเรียนดี เขียนหนังสือสวยแทน
    แต่ก็ขอบคุณท่านที่นำมาเผยแพร่ให้ได้รับทราบเป็นอย่างสูงนะค่ะ
     
  5. นักรบเเห่งสยาม

    นักรบเเห่งสยาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    882
    ค่าพลัง:
    +607
    ไม่ขอลงความเห็น
     
  6. sirikorn49

    sirikorn49 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +1
    คนแปดริ้ว

    นู๋เปงคล แปดริ้ว ค่ะ:boo:
     
  7. NW-Noi

    NW-Noi สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +9
    ไปอาศัยบ้านใครเขาทำมาหากินก็ต้องให้ความเคารพเจ้าของบ้านนะ.........ทำตัวเป็นอั้งยี่ยังงี้ได้ยังไง
     
  8. faveur

    faveur เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    316
    ค่าพลัง:
    +2,298
    ได้ความรู้มากมายทางประวัติศาตร์ เพราะนอกจากจะอ่านเรื่องที่ท่านำมาลงให้อ่านแล้วดิฉันยังได้ลิงค์หัวข้อไปยังบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตบร์อีกด้วยค่ะ ขอบคุณอย่างมากเลยค่ะ
     
  9. ปริตตัง

    ปริตตัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +40
    คนพื้นที่น่าจะแนะนำให้คนไปทำบุญกันเยอะๆ วิญญาณจะได้ไปสู่สุคตินะ
     
  10. นายดอกบัว

    นายดอกบัว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +5,676

    จริงๆมันเกิดจาก การที่คนไทยไม่ชอบคนจีนซึ่ง ตามนิสัยแล้ว มารยาทคนจีนไม่ดีอยู่แล้ว และอีกอย่างก็รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ แต่เศรษฐกิจดี คนไทยก็อิจฉา จนเกิดการทะเลาะกันเนื่องๆ แล้วผลคือ คนไทยก็ได้เปรียบตรงที่ อำนาจรัฐงัย พวกคนจีนถ้าได้รวมกลุ่มกันแล้ว เป็นใหญ่ครับ ตามนิสัย ก็เลยมีเรื่อง ดูสมัยตอนจอมพลป. ก็มีครับพวกนี้อพยพจากจีน มากันกลุ่มใหญ่ ก็เก่ง อวด พูดดี ขี้โม้แต่ขยัน ซึ่งคนไทยต่างตรงที่ขี้เกียจ ไม่ขยัน แต่ขี้อิจฉา มันเลยไม่ลงลอย แต่ ร.3 ทำก็ถูกครับ ต้องเด็ดขาดแบบนี้ เพราะท่านทำทั้ง พวกแขกมลายู พวกกบฎฝ่ายเหนืออีก เอามาฆ่าให้หมด สมัยนั้นเลย ไม่ค่อยมีปัญหา
    มาสมัยนี้สิ ดูสิ 3 จว.ชายแดนใต้ มันเลยเป็นแบบนี้งัยครับ
     
  11. ตรีเพชร์

    ตรีเพชร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +528
    [COLOR="Redเดี๋ยว!! ถ้าจำไม่ผิดกรมหลวงรักนเรศษ์ถูกประหารในรัชกาลที่3นะครับ สาเหตุเพราะเหตุผลทางด้านการเมือง(แต่ในบันทึกจะเขียนเหตุผลที่ถูกประหารไว้อีกอย่างหนึ่ง) ผิดถูกอย่างไรใครเป็นผู้รู้ช่วยเข้ามาเฉลยทีนะครับ[/COLOR]
     

แชร์หน้านี้

Loading...