เมื่อพระอภิญญาท่านว่า...

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย toplus99, 20 พฤศจิกายน 2011.

  1. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ย้อนมาต่อเรื่อง
    บันดาลความฝันปรากฏแก่ลูกศิษย์สายพระอาจารย์ด้วยสายสัญญาเดิมตามกำลังบารมีที่เคยช่วยเหลือเกื้อหนุนจากอดีตภพชาติ ...อีกครั้ง (จบ)
    <O:p</O:p
    ว่าด้วยบทความเรื่องของการโทรจิต เมื่อเทียบเคียงกับการเหตุการณ์ที่พระอาจารย์ถ้ำ ทำให้บรรดาลูกศิษย์เกิดการฝัน นั้นก็เห็นว่ามีส่วนที่คล้ายแต่แตกต่างไปบ้างของรายละเอียด โดยพระอาจารย์นั้นท่านได้อธิบายเพิ่มอย่างนี้ว่า..
    <O:p</O:p
    “ ปรกติแล้วเราก็ต้องทรงฌานสมาธิ อย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว หากแต่ในช่วงที่มีกำหนดงานบุญพิธีของทางวัด ก็ต้องหาเวลาจะเข้าฌานให้ลึกและนานที่สุด แล้วค่อยถอยกลับจิตมาอธิษฐาน แผ่เมตตาให้เหล่าสรรสัตว์ทั่วทั้งโลก ทั่วทั้งจักวาลไม่มีที่สิ้นสุด<O:p</O:p
    พร้อมบอกกล่าวเหล่าครูบาอาจารย์ เทพพรหมเทวดาที่ช่วยบำรุงรักษาพระพุทธศาสนา<O:p</O:p
    ให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้น เป็นกำลังในการดลจิตดลใจให้ช่วยบอกกล่าวไปยังบรรดาลูกศิษย์
    และกัลยาณมิตร ตลอดถึงบริวารทั้งหลายที่เคยมีวาสนาช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาในทุกอดีตภพชาติ
    ให้ได้มีโอกาสมาช่วยกันร่วมสร้างบุญ บารมีและให้ได้ร่วมกันประพฤติปฏิบัติธรรม
    เพื่อเป็นหนทางเข้าสู่พระนิพพานในที่สุด.."


    <O:p</O:p
    และจากผลแห่งการอธิษฐานจิตด้วยกำลังของฌาน สัมมาทิฏฐิ ซึ่งทุ่มเทกายใจ ถวายสละชีวิตนี้เพื่อพระศาสนา อันเป็นไปตามกำลังบุญบารมีนี้เอง..
    ....เหล่าเทพเทดาทั้งหลาย ต่างได้ร่วมกันทำงานเพื่อพระศาสนาต่างก็ไปทำหน้าที่บอกกล่าวไปดลจิต ให้ผู้ที่เคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันมาได้บังเกิดเป็นนิมิตฝันต่างๆ

    ให้ระลึกนึกถึงท่านพระอาจารย์ในรูปแบบต่างๆ หรืออาจมีผู้ที่ไม่เคยรู้จักหรือไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงท่านมาก่อนก็ตาม เมื่อได้รับทราบข่าวที่เกี่ยวกับงานบุญของท่านก็จะมีจิตศรัทธา ใคร่อยากมาร่วมบุญหรือบริจาคเพื่อการสร้างศาสนวัตถุ หรืองานปฏิบัติธรรมเนื่องโอกาสต่างๆของสถานที่แห่งนี้ ให้เป็นไปด้วยควรแก่กาลเวลาที่เหมาะสมที่จะได้มาอนุเคาระห์ร่วมกัน

    <O:p</O:p
    รูปแบบของภาพนิมิตฝันนั้นเป็นไปตามที่เหล่าเทพเทวดา ท่านปารถนาเพื่อสื่อสารหรืออาจเป็นภาพจากอดีตชาติต่างของแต่ละบุคลให้บุคคลนั้นไปตีปริศนานิมิตนั้นเอง<O:p</O:p
    บางครั้งก็เป็นไปโดยเทพดารักษาตนของแต่ละท่าน เมื่อได้รับทราบถึงกระแสแรงอธิษฐานจากพระผู้ปฏิบัติดี ก็จะทำหน้าที่ให้ปรากฏภาพฝันแก่สังขารร่างกายมนุษย์ที่ตนทำหน้าที่คุ้มครองรักษา เพื่อที่เทวดาตนนั้นก็ได้ร่วมรับกุศลผลบุญ เป็นการเสริมบุญบารมีแห่งตนไปด้วยนั่นเอง..

    <O:p</O:p
    พระอาจารย์ท่าน เมตตาบอกกล่าวอธิบายเพิ่มเติมมาดังนี้แล..ฯ<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กรกฎาคม 2012
  2. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    เพิ่มเติมบางสิ่งบางอย่าง...ในบางกรณี!

    แม้เพียงพระครูบาอาจารย์ของท่านผู้มีกำลังจิตฌานบารมี ในระดับมโนยิทธิขั้นสูงนั้น...

    เพียงท่านได้ปรารถกล่าวคำถามถึง...

    เพียงระลึกถึงบุคคล คนนั้น....เพียงเล็กน้อย.....

    ก็อาจปรากกฏเกิดเป็นภาพฝันหรือเป็นภาพนิมิตขึ้นมา

    ในสมาธิญาณขึ้นมาได้เช่นกัน...

    แต่นั้นย่อมหมายถึงว่ามีคุณสภาวะคุณความดีเพียงพอ ในระดับที่เทพเทวดาได้เปิดทางให้ท่านสื่อสารซึ่งกันได้นั่นเอง

    แล้วท่านทั้งหลาย..เคยมีปรากฏการณ์เช่นนี้บ้างหรือไม่

    ลองทบทวนดูนะจ๊ะ...เป็นไปได้ที่เทพยดารักษารักษาตน ท่านอาจกำลังบอกบางสิ่ง..บางอย่างคุณอยู่นะ!?!

    แล้วคุณอาจหลงลืมไปบ้างก็ได้...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2012
  3. 99kansita

    99kansita เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +310
    มาเฉลยความฝันค่ะ

    สวัสดีค่ะ วันนี้พอได้เวลากลับมาเฉลยความฝัน ที่เล่าค้างไว้ถึงที่ว่า เอ ทำไมเก้าฝันถึงพระอาจารย์ติดๆ กัน 3 คืน ต่อค่ัะ....:d

    หลังจากคุณลุงโยมอุปัฏฐากผู้ใจดีได้โทรกลับมาบอกว่าตอนนี้ลุงรับพระอาจารย์กลับจากงานบุญแล้ว ให้โทรกลับมาหาลุงเลยนะ เด๋วลุงส่งโทรศัพท์ให้พระอาจารย์ท่าน
    เอาละ โทรไปแล้ว...อึ้งๆ จะเริ่มเล่ายังไงดี ก็กราบนมัสการพระอาจารย์... และเล่าความฝันให้ท่านฟัง ท่านก็ถามกลับมาว่าเห็นภาพท่านยังไง ชัดเจนไหม ลักษณะอย่างไร ก็ตอบท่านไปตามที่ฝันเห็นตามปรากฏแต่ต้นทั้ง 3 วัน ท่านเมตตาตอบว่า ท่านกำหนดแผ่เมตตาบารมีไม่มีประมาณไปถึงศิษย์ทุกๆ คน ที่อยู่ทั้งใกล้ไกล ให้เตรียมตัวพากันมาปฏิบัติธรรมในถ้ำได้แล้ว ซึ่งท่านได้เตรียมขยับขยายพื้นที่ไว้เพิ่มเติมจากถ้ำเดิมที่ท่านเคยพาเข้าไปปฏิบัติสมาธิภาวนาในถ้ำคราวก่อน (ซึ่งก็มีบางคนโทรกลับมาหาท่านบ้าง ไปกราบท่านเองบ้างที่ใกล้ แต่บางคนก็ไม่ฝันหรือไม่รับสื่อสัญญาณใด )

    และท่านยังเมตตาบอกกล่าวแก่เก้าด้วยว่า เราก็เช่นกันนะช่วงนี้งานจะเข้ามามาก ให้รีบทำให้เสร็จ เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วให้รีบพากันขึ้นมาปฏิบัติต่อได้แล้ว (ก่อนสนทนากับพระอาจารย์งานก็มีมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ต้นปีก็คิดว่าคืองานปัจจุบันตรงนั้น และก็ใกล้ปิดยอดที้งปีแล้ว ไม่นานก็คงจะว่างขึ้นไปได้ ก็รับปากท่านว่าเจ้าค่ะ:cool: แต่หลังจากได้สนทนาธรรมกับท่านประมาณสองอาทิตย์ ปรากฏว่า งานเข้า งานเข้าจริงๆ ค่ะ งานโปรเจ็คโครงการต่างๆ ทะยอยตบเท้าเข้ามาให้ทำพร้อมกันจนทำไม่ทัน สรุปว่าเก้าปิดยอดปี2555 แล้วตั้งแต่กลางปี และที่กำลังทำตอนนี้ก็งานยาวถึงปีหน้า จริงดังท่านว่าจริงๆๆ:cool:

    หมายเหตุ เมื่อ 2-3 ปีก่อน เก้าและครอบครัวได้ร่วมกันบริจาคปัจจัยสร้างกุฏ ถวายพระพุทธรูป แท่นศิลาสลักบทสวดมนต์ และอัฐบริขาลต่างๆ ไว้สำหรับถวายพระบนเขาใกล้ๆ รอยพระพุทธบาทที่ลำปาง เพื่อพระที่ธุดงค์ หรือ ผู้มากราบไหว้รอยพระพุทธบาทที่นี่ จะได้มีที่พักปฏิบัติภาวนาได้สะดวกสบาย :d

    เวลาขึ้นไปกราบพระอาจารย์จะนานๆ ไปทีค่ะ ห่างมา 2-3 แล้ว เพราะการเดินทางค่อนข้างไกล แต่ละครั้งที่ขึ้นไปจะเป็นช่วงตรงงานบุญ เช่นงานเบิกพระเนตรพระประธานในอุโบสถ ( ที่พระอาจารย์ท่านนิมิตรและแกะองค์พระประธานจากหินทรายสีชมพูค่ะ หน้าตักกว้างมากๆ ค่ะ องค์ใหญ่เกือบเต็มอุโบสถฝั่งนึง สวยงามมากค่ะ )

    แต่ถ้าไม่ตรงช่วงงานบุญ ก็มีโอกาสพอขึ้นไปร่วมบุญต่างๆ วันแรกท่านจะเมตตาสนทนาธรรมทั่วไปให้ปฏิบัติภาวนาในอุโบสถ หรือ วันที่สองท่านพาขึ้นไปนั่งสมาธิภาวนาในถ้ำกัน หาที่นั่งกันเอาตามสะดวก

    แต่ตอนกลับจากถ้ำช่วงเย็นท่านบอก โยมสองคนน่ะเย็นนี้เตรียมเก็บกระเป๋านะเด๋วจะให้ลุงโยมอุปัฏฐากขับรถพาขึ้นไปที่วัดในป่าช้า คืนนี้จะให้ไปนั่งสมาธิภาวนากันที่นั่น ค่ำๆ พระอาจารย์ก็เมตตาตามขึ้นไปสอนปฏิบัติ พร้อมกับลูกศิษย์และลุงโยมอุปัฏฐาก สอนปฏิบัติ ภาวนา แผ่เมตตา เสร็จแล้วโยมทั้งสองนอนพักที่วัดในป่าช้าเลย ไม่ต้องกลับมาพักที่วัดหน้า ที่นั่นมีที่พักสะดวกสบาย ...ตอนนั้นคิดว่าพระอาจารย์คงพูดเฉยๆ ก็เลยมิได้ปฏิเสธท่านอันใด ได้แต่หันไปมองหน้ากันทำตาปริบๆ ในใจเราคิด ท่านคงพูดเล่นเฉยๆ มั๊ง :'( แต่โห ของจริง...อ่ะ :':)'(­

    จ๊ากกกกกกกก......ยังจำได้ หนูยังจำได้แม่น เลยค่ะ พระอาจารย์
    แหล่ว ถ้าขึ้นไปรอบนี้ท่านจะให้เราไปพักที่ไหนอีกคะ ก็วัดในป่าช้าอากาศมันเย็นน อ่ะค่ะ ;ปรบมือ;ปรบมือ
     
  4. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
     
  5. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ไปเจอบทความที่น่าสนใจเลยนำมาแชร์พี่น้อง


    บทความ คลื่นกระแสจิต พลังงานแห่งจิต

    โดย NOOKFUFU2

    บทความนี้ขอเกริ่นก่อนว่าไม่ค่อยเป็นประโยชน์เท่าไหร่สำหรับนักปฏิบัติกรรมฐานทั่วไป เพราะมันเป็นของที่เอาไว้เล่นกัน แต่ที่พิมพ์ขึ้นมา เพราะคิดว่าอาจจะมีประโยชน์บ้างในเรื่องของความรู้เพิ่มเติม สำหรับคนที่ยังไม่รู้จัก

    คลื่นกระแสจิต คืออะไร?
    มนุษย์ทุกคนย่อมมีพลังงานแห่งจิตอยู่ในตัว เพียงแต่จะช่ำชองมากน้อยแค่ไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับการชั่วโมงฝึกฝนและการสั่งสมประสบการณ์ คลื่นพลังงานที่กล่าวถึงนี้ เป็นคลื่นชนิดหนึ่งที่สามารถใช้ส่งต่อหากันได้ คล้ายคลื่นไฟฟ้าในอากาศ ผู้ส่งไม่จำเป็นต้องนั่งใกล้ผู้รับ ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องมือรับส่งหรือตัวกลาง และไม่จำเป็นต้องเห็นหน้า ขอเพียงผู้รับๆเป็นและผู้ส่งๆเป็น

    ทำไมต้องเรียกว่าเป็นคลื่น?
    เพราะกระแสจิตที่กล่าวมานี้มีลักษณะการเดินทาง คล้ายการแผ่กระจายตัวของระลอกคลื่นน้ำ หรือคลื่นเสียง และคลื่นแสง

    (ขอแทรกอธิบายวิชาการนิดนึง คลื่นแสงมีอนุภาค phyton มีความเร็ว 300,000 กม.ต่อวินาที นักวิทยาศาสตร์เคยชื่อกันว่า แสงมีความเร็วสูงสุดในโลก ใช้เวลาเดินทางจากดวงอาทิตย์มาสู่โลกเพียงในเวลา 8 นาทีโดยประมาณ แต่ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์แขนงควอนตัม(พลังงานและอณูสลาร) ยอมรับว่าคลื่นสมองขณะทรงสมาธิจะมีความเร็วเหนือกว่าคลื่นแสง เพราะคลื่นสมองขณะทรงสมาธิในขณะที่จิตไม่มีนิวรณ์ จะมีอนุภาพพลังงานแผ่กระจายออกมาเป็นกลาง จึงไม่มีประจุไฟฟ้า สามารถวิ่งผ่านสนามแม่เหล็กหรือพลังงานทั้ง 4 แรงใหญ่ได้โดยไม่การถูกบั่นทอนหรือถูกรบกวน)
    <O:p</O:p
    คลื่นชนิดต่าง ๆ เช่น คลื่นแสง คลื่นเสียง จะมีสมบัติสำคัญ 2 ประการ คือ ความยาวคลื่นและความถี่

    ความแตกต่างระหว่างผู้ส่งและผู้รับกระแสจิต
    การส่งกระแสจิตก็คล้ายๆกับการส่งความคิดถึงไปหากัน ซึ่งเป็นการส่งกระแสจิตในระดับเบาบาง แต่ในทีนี้การจะทำให้กระแสจิตที่ส่งไปนั้นมีพลังเหนือกว่า จำเป็นต้องใช้กำลังของสมาธิหรือแรงมุ่งหวังเป็นตัวขับเคลื่อน ยิ่งผู้ส่งอยู่ในระดับสมาธิฌานขั้นสูง คลื่นพลังงานรอบตัวก็แผ่กระจายก็ยิ่งมีความหนาแน่นสูง และความแรงในการส่งกระแสจิตออกไปก็จะมีมากขึ้นตามไปด้วย แต่อย่างว่า ถ้าใจของผู้รับเต็มไปด้วยนิวรณ์ จิตเต็มไปด้วยความหยาบที่ไม่ได้รับการฝึกมา ต่อให้ผู้ส่งมีกำลังส่งมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถส่งกระแสจิตทะลวงผ่านเข้าไปถึงจิตใจที่เต็มไปด้วยนิวรณ์ที่ปิดกั้นได้

    และเพราะเหตุนี้ผู้ที่จะสามารถส่งคลื่นกระแสจิตไปหาบุคคลที่ต้องการ และรับคลื่นกระแสจิตจากบุคคลที่ต้องการได้นั้น จำเป็นต้องมีสมาธิอยู่ในระดับอุปจารสมาธิเป็นขั้นต่ำ

    การส่งกระแสจิตไปย่อมง่ายกว่าการรับกระแสจิตของฝ่ายตรงข้ามมา เพราะเวลาส่งกระแสจิต ผู้ส่งต้องอยู่ในสมาธิระดับอุปจารสมาธิเป็นอย่างต่ำ ไม่จำเป็นว่าผู้ส่งจะต้องทรงอุปจารสมาธิไว้ตลอดเวลาทั้งวัน ขอเพียงตอนส่งอยู่ระดับอุปจารสมาธิเป็นอย่างต่ำก็เพียงพอ อยากจะส่งตอนไหน ตอนนั้นก็เข้าอุปจารสมาธิ

    แต่ในฝ่ายผู้รับกระแสจิตนั้นจะต่างออกไป การจะรับกระแสจิตของฝ่ายตรงข้ามได้ ผู้รับจำเป็นต้องทรงอยู่ในอุปจารสมาธิเป็นอย่างต่ำตลอดเวลา จึงจะสามารถรับกระแสจิตของฝ่ายตรงข้ามได้ทันทีและฉับพลัน เมื่อมีกระแสจิตผู้ใดส่งหรือผ่านมากระทบใจ

    แต่อีกกรณีหนึ่ง ผู้ที่จะรับกระแสจิตได้ ไม่จำเป็นต้องทรงอุปจารสมาธิตลอดเวลาทั้งวันก็ได้ ถ้าผู้ส่งกับผู้รับมีการนัดแนะกันล่วงหน้า เช่น ฉันจะส่งล่ะนะ เธอเตรียมตัวรับด้วย เป็นต้น แต่ในการใช้งานจริง จะไม่มีการนัดแนะล่วงหน้ากันแบบนั้น ผู้รับควรมีความพร้อมและสามารถทรงสมาธิได้ตลอดเวลา

    ส่วนกรณีสุดท้าย ผู้ที่จะรับกระแสจิตได้ ไม่จำเป็นต้องทรงอุปจารสมาธิตลอดเวลาทั้งวันก็ได้ ขอเพียงช่วงขณะใดขณะหนึ่งที่จิตเข้าสู่สมาธิระดับอุปจารสมาธิขึ้นไป ก็สามารถรับกระแสจิตย้อนหลังได้เช่นกัน (แต่มันก็เป็นเพียงการรับได้ย้อนหลัง ยังไงการรับได้ฉับพลันทันทีย่อมดีกว่า)

    (ในกรณีหลังนี้ ครั้งหนึ่งเพื่อนนักกรรมฐานท่านหนึ่ง ได้เคยส่งกระแสจิตมาให้ฉันตอนบ่าย แต่เพราะช่วงกลางวัน ฉันไปเที่ยวเดินห้างสรรพสินค้าทั้งวัน จึงมารับได้เอาตอนกลางคืน อุปมาอุปมัยเหมือนกระแสน้ำที่ไหลมาจ่อประตูฝายกั้นน้ำที่ถูกปิดอยู่ เมื่อจิตเข้าสู่สมาธิก็คือการเปิดอ้ารับสิ่งต่างๆรอบตัว นั้นก็คือการเปิดประตูฝายให้กระแสน้ำไหลผ่านเข้ามา แต่มันก็เป็นการรับได้ที่ล่าช้าเกินไป ไม่ทันการ)


    เดี๋ยวมีต่อ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2012
  6. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    จะส่งกระแสจิตยังไงและจะรับกระแสจิตยังไง?
    การส่งกระแสจิตมี 2 แบบ คือ การส่งแบบไม่ตั้งใจ และการส่งแบบตั้งใจ
    <O:p</O:p

    1. การส่งแบบไม่ตั้งใจ หรือไม่เจาะจง
    การส่งแบบนี้คือการที่ผู้ส่งไม่ได้ต้องการจะส่งกระแสจิตไปให้ใคร เพียงแต่ขณะนั้น สภาวะจิตของผู้ส่งกำลังทรงอยู่ในสมาธิ ทำให้เกิดคลื่นพลังงานกระจายเปล่งออกรอบตัว และแผ่กระจายออกไปกระทบจิตของผู้ที่สามารถรับได้ในขณะนั้นพอดี เช่นนี้เรียกว่าเป็นการแผ่กระจายคลื่นแบบปรกติ ซึ่งเป็นไปได้ทั้งคลื่นสมาธิทั่วไป คลื่นด้านบวกที่แผ่ออกมาในรูปของคลื่นความเมตตาทรงพรหมวิหาร 4 และคลื่นด้านลบที่เรียกว่าจิตสังหารณ์

    การส่งแบบไม่ตั้งใจ หรือไม่เจาะจง ถ้าเป็นคลื่นสมาธิทั่วไป(ผู้ส่งไม่ได้ทรงอยู่ในพรหมวิหาร 4 และไม่ได้คิดอาฆาตพยาบาทใคร) ถ้าผู้ที่รับได้ มีกำลังสมาธิอ่อนกว่าจะมีผลให้ผู้ที่รับได้เกิดอาการปวดหัวเวียนศีรษะได้ถ้าคลื่นนั้นมีความหนาแน่นและความถี่สูง

    ในทางกลับกันถ้าผู้ที่รับได้มีกำลังสมาธิสูงกว่าผู้ส่งหรือมีกำลังเสมอกัน อาการเหล่านั้นจะไม่มีปรากฏ กลายเป็นอาการเฉยๆแทน เรียกว่าคลื่นกระแสจิตมีการหักล้างกัน

    2. การส่งแบบตั้งใจ
    การส่งแบบตั้งใจมีทั้งการส่งแบบปรารถนาดี และการส่งแบบมุ่งร้าย จะมีหลายวิธีในการส่ง ถ้าพวกที่เล่นกันแรงๆให้คลื่นมีความเสถียรและหนักหน่วง ส่วนมากมักจะไม่ใช้กำลังของตนเองอย่างเดียว แต่จะพึ่งพาสิ่งต่างๆมาเพิ่มความแรงของกระแสคลื่น สิ่งต่างๆที่ว่าก็เช่น การขอกำลังจากครูบาอาจารย์ตามสายวิชาของตน การพึ่งพาวัตถุฯที่ผ่านการเข้าพิธีประจุพลังจิตโดยผู้ที่มีกำลังจิตเข้มแข็ง และการรวมกลุ่มกันหลายๆคนเพื่อรวมกำลังช่วยกันส่งกระแสจิตมุ่งตรงไปยังคนๆเดียว(เพื่อการบำบัดรักษาเยียวยา) อุปมาอุปมัยก็เหมือนกฏการรวมแสงทางวิทยาศาสตร์(การสอดแทรก) เช่นการส่องไฟฉายไปบนกำแพง ลำพังแค่การนำไฟฉายหนึ่งกระบอกไปส่องไฟบนผนังกำแพง แสงอาจจะไม่เข้มเท่าไหร่ แต่ถ้ามีไฟฉายหลายๆกระบอกมาส่องรวมแสงไปที่จุดๆเดียวกันบนกำแพง แสงนั้นก็จะเพิ่มความสว่างขึ้นมาอีกหลายเท่าตัว

    (แต่ในกรณีที่ต้องการรวมหัวกันกลั่นแกล้งอีกฝ่าย ไม่ใช่ทำเพื่อความปรารถนาดี อันนี้จะเรียกว่าพวกหมาหมู่นะ)

    ส่วนวิธีส่งนั้น โดยปรกติฉันจะถนัดส่งแบบไม่เห็นหน้ากันมากกว่า เพราะไม่ชอบทำสมาธิให้ใครเห็น ขอเพียงเห็นชื่อของอีกฝ่ายที่ปรากฏในสมุด ตามบอร์ดเว็บไซต์ หรือห้องแชทออนไลท์ในอินเตอร์เน็ต อะไรก็ได้ที่สามารถใช้ยืนยันการมีตัวตนอยู่จริงของอีกฝ่ายได้แค่นั้นก็เป็นอันพอ บางกรณีก็ใช้เพียงแค่เบอร์โทรมือถือหรืออีเมลล์ก็ได้ ถ้ายืนยันได้ว่าถูกต้องและเป็นของตัวเจ้าของจริงๆ จะเป็นชื่อปลอมหรือนามแฝงก็ให้ผลเท่ากัน (ถ้าได้เห็นรูปตัวจริงด้วยก็จะดีมาก ส่งตรงถึงตัวได้ง่ายไม่ต้องไปจินตนาการนึกเอง)

    วิธีที่ฉันฝึกให้คนอื่นๆ ส่วนใหญ่ ในกรณีที่ฝ่ายตรงข้ามที่จะส่งกระแสจิตไปให้นั้น มีเพียงชื่อกับนามแฝง ไม่เคยเห็นใบหน้า หรือไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ฉันจะแนะนำให้คนที่ฉันฝึกให้ นึกชื่อหรือสิ่งแทนตัวผู้รับ และจินตนาการให้บุคคลที่ต้องการจะส่งกระแสจิตไปหานั้น เป็นภาพเงาคนสีดำแทน ถ้าไม่ถนัดในการนึกภาพจำลอง จะเพ่งกระแสจิตไปที่เจ้าของชื่อหรือไอดีของคนๆนั้นก็ได้ไม่มีปัญหา เพียงแต่ถ้ากำหนดภาพขึ้นมาเป็นรูปตัวแทนมันจะง่ายกว่า(ในความรู้สึก) เหมือนการยิงปืน มันก็ต้องมีภาพเป้าล่อให้ส่องลำกล้องเล็งยิง ยิงโดนหรือไม่โดนมันก็มองเห็นได้ง่ายๆ ประมาณนั้น

    ตัวผู้ส่งจะต้องเข้าสมาธิในระดับอุปสมาธิเป็นอย่างต่ำก่อน (ในกรณีที่ผู้ส่งสามารถทำสมาธิได้สูงกว่าคือระดับปฐมฌานขึ้นไป ก็ให้เข้าระดับสมาธิที่คิดว่าตนเองทำได้สูงที่สุดก่อนแล้วค่อยลดระดับลงมาจนอยู่ในระดับอุปจารสมาธิ) แล้วให้รวมสั่งสมกระแสจิตให้เป็นกลุ่มก้อน ส่งพุ่งไปยังจุดกลางหน้าผากที่ของฝ่ายตรงข้ามในทันที เหมือนการยิงปืนควงสว่าน ความแรงของกระสุนปืนขึ้นอยู่กับกำลังของสมาธิ

    การส่งกระแสจิตไปหาเป้าหมายนั้น การส่งไปครั้งแรก ฉันจะส่งไปแบบเหมือนการส่งเล่นๆ เบาๆไม่รุนแรง เหมือนเด็กปาหมอนใส่กัน ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันเวลากระแสจิตที่ส่งไป ถูกดีดสะท้อนกลับมา จะได้ไม่รับผลกลับมารุนแรงนัก เพราะเคยกระอักมาแล้ว ดันไปเล่นพวกที่มีอวิชชาคุณไสย์ที่มีครูบาอาจารย์ของฝ่ายเขากำลังคุ้มกันอยู่ การส่งเล่นๆแบบนี้ เรียกว่าส่งเพื่อหยั่งเชิงว่าบุคคลที่เป็นเป้าหมายนั้น มีเกราะป้องกันตัวอะไรบ้าง กระแสจิตที่ส่งไปนั้นทะลวงผ่านเข้าไปได้แค่ไหน เบาบางหรือร้อยเปอร์เซ็นต์ ให้เอาจิตติดตามตรวจดู หากเข้าไปได้ร้อยเปรอ์เซ็นต์ก็ถือว่าโชคดีมาก แปลว่าฝ่ายตรงข้ามไม่มีเกราะอะไรกันคุ้มตัวอยู่เลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2012
  7. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    มาต่อกันดีกว่า...

    แล้วในกรณีที่อีกฝ่ายมีเกราะคุ้มกันตัวอยู่ล่ะ จะทำยังไง?
    ฉันจะแบ่งออกเป็นสามกรณี

    กรณีแรกคือต้องการส่งจิตแบบมุ่งร้าย
    จัดเป็นคลื่นกระแสจิตด้านลบ ตรงนี้จะไม่ขอกล่าวถึงให้ละเอียดนัก วิธีจะเจาะผ่านทะลุเกราะป้องกันของฝ่ายตรงข้ามมันมีวิธีอยู่ เพราะเกราะที่ว่าจะไม่ได้คุ้มกันฝ่ายตรงข้ามตลอดเวลา ถ้าเขาถอดพระเครื่องหรือเครื่องรางป้องกันตัวออก ลืมไหว้พระฯไหว้ครูบาอาจารย์ก่อนนอน หรือจิตเคลื่อนออกจากสมาธิขั้นสูง แล้วแต่กรณี เกราะที่ว่าก็จะมีกำลังอ่อนลง หรือหายไปทันที เป็นช่องโหว่ทำให้กระแสจิตแบบมุ่งร้ายของผู้ส่ง ส่งเข้าไปหาตัวผู้รับได้ทันที (ผู้ส่ง สามารถส่งมาจ่อตัวผู้รับไว้ล่วงหน้า หรือจะส่งทันทีเมื่อตรวจรู้ว่าผู้รับกำลังเผลอ ก็ได้ทั้งสองแบบ)

    ในกรณีการส่งกระแสจิตแบบนี้ ผู้รับไม่จำเป็นต้องทรงอุปจารสมาธิก็สามารถรับได้ เพราะการส่งกระแสจิตแบบมุ่งร้าย จะมีความรุนแรงกว่ากระแสจิตแบบทั่วไป เพราะมักมีสิ่งของต่างๆที่เป็นรูปธรรมหยิบจับได้ เช่นตะปู เลื่อย งูพิษ ตะขาบ บ้านพร้อมที่ดิน(อันนี้ก็เว่อร์ไป) แนบส่งผ่านไปทางกระแสจิตของผู้ส่งไปด้วย ถึงผู้รับไม่ได้อยู่ในอุปจารสมาธิก็สามารถรับได้ทันที ถ้าไม่มีเกราะคุ้มกันตัว (เพราะไม่ใช่การส่งแบบจิต-จิต แต่เป็นการส่งแบบ จิตแนบสิ่งของ-จิต) ส่วนผู้รับจะรู้ตัวหรือไม่ ว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในตัว ก็อีกเรื่องหนึ่ง

    ที่ฉันอยากบอกก็คือ ถึงฝ่ายตรงข้ามจะมีเกราะคุ้มกันแน่นหนาแค่ไหน มันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลยสำหรับผู้ส่ง ถ้าส่งเป็น และส่งถูกเวลา

    กรณีที่สอง เป็นการส่งแบบกลางๆ ไม่ดี และไม่ร้าย
    เป็นแบบที่นักเล่นส่งคลื่นส่วนใหญ่ใช้เล่นส่งหากัน คือแบบ จิต-จิต การส่งกระแสจิตเบบกลางๆนี้ ส่วนใหญ่ไม่มีพิษภัย แต่ทำไมเกราะคุ้มกันของฝ่ายตรงข้ามถึงบล๊อคเราไว้ไม่ให้ส่งกระแสจิตผ่านเข้าไปล่ะ? คำตอบก็คือ การส่งแบบนี้จะเป็นการทำให้อีกฝ่ายปวดมึนศีรษะในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เป็นการทำให้ฝ่ายผู้รับได้เกิดผลเสีย แต่ก็แค่ระยะหนึ่งสั้นๆเท่านั้น เพียงเดินไปนอนหลับพักสักตื่น หรือเดินไปกินมาม่า อ่านการ์ตูนตลกชวนหัวไม่กี่หน้าก็หาย

    แล้วทำไมต้องส่งให้อีกฝ่ายปวดศีรษะ ส่งแบบดีๆหากันไม่ได้หรือไง? คำตอบคือ ถ้าไม่ทำให้อีกฝ่ายปวดศีรษะ ผู้ส่งก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองส่งไปถึงหรือไม่ คือเป็นการส่งแบบมือสมัครเล่น ต้องคอยถามกัน และการทำให้เกิดอาการทางกาย คือการทำให้อีกฝ่ายปวดศีรษะ มันเป็นวิธีที่ทำให้รู้ผลได้ง่ายกว่า ว่าผู้รับสามารถรับได้หรือไม่ และผู้ส่งสามารถส่งไปถึงได้หรือไม่ เป็นการส่งแบบนี้ มักเป็นการส่งแบบนัดแนะ คือผู้ส่งและผู้รับนัดแนะกันมาก่อนแล้ว และไปตกลงกับครูบาอาจารย์ของตนเองเอาเองว่าขออนุญาตซักซ้อม ผลัดกันส่ง-รับ เพื่อให้เกิดความชำนาญ

    ในกรณีที่ผู้ส่งสามารถรับและส่งได้จนคล่องแล้ว แต่ผู้รับมีเกราะคุ้มกันตัวอยู่ ผู้ส่งมีเจตนาต้องการฝึกให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดความคล่องตัวในการรับ การส่งในกรณีนี้จะไม่มีการบอกผู้รับให้รู้ตัวล่วงหน้า ทางตัวผู้ส่งก็ต้องเจรจาอนุญาตกับทางครูบาอาจารย์ของฝ่ายตรงข้ามเสียก่อน แล้วค่อยส่งไป คือมันเป็นมารยาทที่ดีอย่างหนึ่งด้วย และส่วนใหญ่ครูบาอาจารย์ของฝ่ายตรงข้ามเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์จะอนุญาตเปิดทางให้ ดีไม่ดีช่วยย้ำซ้ำให้แรงหนักกว่าเดิมอีกต่างหาก

    และกรณีสุดท้ายการส่งกระแสจิตด้านบวก
    คล้ายกับการส่งแบบกรณีที่สองทุกอย่าง แต่กระแสจิตที่ส่งมานั้น จะไม่ทำให้ผู้รับเกิดอาการปวดศีรษะ จัดเป็นกระแสจิตที่สูงขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ผู้ที่รับได้จะมีสภาวะหัวโล่งโปรงสบาย เบาเหมือนไม่มีสมอง หากผู้รับปวดศีรษะอยู่ก็สามารถหายจากอาการปวดศีรษะที่เป็นอยู่ได้ทันที แล้วทำไมการส่งแบบนี้ถึงยังมีการบล๊อคจากเกราะคุ้มกันล่ะ? ตรงนี้อยากให้เข้าใจก่อนว่า เกราะคุ้มกันก็ไม่ต่างอะไรกับภูมิคุ้มกันในร่างกายมนุษย์ ภูมิคุ้มกันนี้จะรีบป้องกันทันทีเมื่อตรวจพบสิ่งแปลกปลอมปะปนเข้ามาในร่างกาย เกราะคุ้มกันภัยก็เช่นเดียวกัน

    การจะทำให้เกราะคุ้มกันนั้นเปิดทางให้ก็คล้ายกับกรณีที่สอง นั่นก็คือการขออนุญาตให้ช่วยเปิดทาง ตามมารยาทที่ควรทำ แต่ถ้าเกราะที่คุ้มกันอยู่เป็นแค่วัตถุประจุพลังจิตระดับธรรมดา หรือเกิดจากสมาธิของตัวผู้รับเอง ถ้าตัวผู้ส่งไม่รู้จะไปขออนุญาตใคร ก็เจาะเกราะคุ้มกันเข้าไปเลยก็แล้วกันง่ายดี (= _=" )



     
  8. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ต่อไปจะขอคั่นเรื่อง...

    # ดาราลูกครึ่งชื่อดังในอดีต นำทีมนักพลังจิต มาทดสอบแอบลักลอบทำร้ายพระอาจารย์

    ลองมาตามฟัง มาอ่านกันดูชิ ว่าผลสุดท้ายมันคือ...?
     
  9. siritonmo

    siritonmo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +159
    ปูเสื่อคอย พร้อมด้วยข้าวเหนียว ส้มตำ ไ่ก่ย่าง แซบแซบ
     
  10. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ขอบคุณครับคุณ siritonmo (ไม่แน่ว่าชื่ออ่านออกเสียงภาษาไทยว่าอย่างไรดี?)
    ที่เป็นแรงใจกันเสมอมา มีเวลาจะทะยอยเขียนไปเรื่อยๆ ถึงมีคุณรออ่านคนเดียวในกระทู้นี้ผมก็จะเขียน..ก็คนมันมึนซะอย่าง
    ที่อุตส่าห์มารอ ปูเสื่อปั้นข้าวเหนียวจิ้มส้มตำ..เคี้ยวไก่ย่างแบบสบายใจๆกันทุกม้วนฟิล์ม..

    (สำหรับอาหารประเภทเนื้อไก่ เราขอเตือนด้วยความเป็นห่วงว่า ให้ระวังอย่ากินเยอะนัก ยุคนี้สมัยนี้ตามฟาร์มเลี้ยงเขาฉีดยาโฮโมนเร่งโตกันอุตลุต...อันตรายผ่อนส่งระยะยาว เด็กๆเล็กๆที่พ่อแม่ตามใจ ชอบกินไก่ทอด ทีละมากๆบ่อยๆตามห้างดังทั้งหลาย เคยมีผลทำให้เกิดอาการข้างเคียงกับเด็ก เช่นเด็กหญิงมีประจำเดือนตั้งแต่ยังอายุ7-8 ขวบ จนต้องให้หมอฉีดยาเพื่อปรับระดับโฮโมนกันมาหลายรายแล้วรวมทั้งลูกคุณหมอในโรงพยาบาลใหญ่..ยาก็แพงมากๆซะด้วย เขาเรียกว่า.. ยาปรับสภาพความรวย อิ.. อิ คือยานี้มันทำให้จนลงได้ ..ด้วยความปารถนาดี )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2012
  11. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ขอบคุณครับคุณ supatorn

    ต้องขอขอบคุณในน้ำใจดีๆให้กันนะครับ..

    ที่มาอนุโมทนากันในหลายๆโพสของกระทู้นี้
    มองเห็นครับ..มองดูอยู่ ขอให้เจริญในเส้นทางธรรมเป็นกำลังของพระศาสนายิ่งๆสืบไป

    ไอ้เรามันก็มึน..สู้ แบบบ้าๆ
    ..สู้เขียนไปเรื่อย..ก็ตั้งจิตตั้งใจเพื่อถวายให้ศาสนานี่แหละ..ครับ
    ช่างมัน!ทำได้เท่าที่ทำ

    ทำดี..ทำยากให้ผลยาก..ต้องทำหลายๆครั้ง ต้องอดทนและใช้เวลานานเพื่อพิสูจน์คุณความดี กว่าจะรู้และยอมรับกันว่าดี


    ความเลว...นั้นทำง่ายให้ผลไว...และไม่ต้องอดทน และไม่ต้องใช้เวลานาน
    เพราะมันเป็นเรื่องง่ายๆที่ใครก็ทำได้..
    ทำเลวครั้งเดียว คนก็รู้แล้วว่า..เลว

    คนเกิดชั้นสามัญท่านว่า...
    กว่าจะให้รวยล้นเป็นเศรษฐี..นั้นเหนื่อยยากสาหัส แสนลำบาก ทุ่มเททั้งสมอง ทั้งกายใจ ทั้งชีวิตกว่าจะร่ำรวยขึ้นมาได้
    แต่จะให้ยากจน ทุกข์ยาก มันลำบากใช้เวลานานสักเท่าใด แค่อึดใจ หากอยากจนแค่นอนหลับเสี้ยวนาที มันก็จนเลย..ว่างั้น

    เฉกเช่นการทำความดีและการทำชั่วนี่แหละท่านเอ๋ย

    เห็นมั๊ยท่าน?มันใช้เวลาผิดกันจริงๆ

    ขึ้นสวรรค์ ขึ้นชั้นเทพพรหม ชั้นนิพพาน นั้นยากต้องสั่งสมบารมี

    แต่จะลงนรก ลงอบายภูมิ นั้นรึ!ก็ง่าย...แสนง่าย
    แค่แปร๊บเดียวเอง.. แค่ชั่วลัดอึดใจก็ลงได้ดังใจสมปารถนา
    ใช่/ไม่ใช่..

    ++++++
    ทำดี..ย่อมดี
    ทำเลว..ย่อมเลว

    พระอาจารย์ท่านสอนสั่งมาว่างั้น..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2012
  12. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    การสร้างชาติบ้านเมืองทุกชนชั้นอริยะชาติ ในอดีตบรรพบุรุษล้วนต้องเสียสละ เสียสละ เลือดเนื้อชีวิต ลัมตายลงทาแผ่นดิน

    ผู้นำชาติเอง...ก็ต้องยอมเสียสละความสุขส่วนตัวมากมาย..อยู่ในทศพิธราชธรรมอันดีเล็งเห็นประโยชน์สุขของสาธารณชนเป็นหลักใหญ่ และต้องดำรงแห่งคุณธรรมนี้เป็นเวลาอันนานเพื่อพิสูจน์..ธรรมชาตินี้<O:p</O:p
    เหล่าประชาจึ่งยอมรับว่าดี..ว่าประเสริฐประเทศนั่นจึงผาสุข ตามสภาพอันพึงมี
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ส่วนคนหลงอำนาจ หลงวาสนา หลงในศักดาตนอันเห็นแก่ประโยชน์ตน เห็นแก่พวกพ้อง สั่งเผาบ้านเผาเมืองให้บรรลัยได้..และใช้เวลาอันสั้น ในชั่วเวลาค่ำคืน<O:p</O:p
    แม้คนหมู่มากล้วนทุกข์ร้อนทุกข์ยากสักเพียงใดก็มิได้นำพา
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    คนเหล่านี้จึงได้ชื่อว่าเป็นคนชั่ว..เพราะเขาทำชั่วแห่งประกาศตนแล้วนั่นเอง..<O:p</O:p
    <O:p</O:p
     
  13. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    มาอนุโมทนากันในหลายๆโพสของกระทู้นี้

    อ่านมาตั้งแต่หน้าแรกค่ะ ถูกกับสายตา และจิตใจ ขอบพระคุณอีกครั้งในธรรมทานและentertainment ปุ่มอนุโมทนาเพิ่งจะใช้ได้ พรุ่งนี้จะมากดต่ออีกตั้งแต่หน้าแรกเลย เอาใจช่วยนะคะทั้งในและนอกเวป:cool:
     
  15. ตึงได

    ตึงได เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    99
    ค่าพลัง:
    +730
    อย่ามัวแสวงหาสิ่งที่ไม่ใช่ของของเราต่อไปเลย<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ที่แห่งใดจะอยู่รอดปลอดภัย รู้ไปใช่ทางพ้นทุกข์<o:p></o:p>
    เราท่านทั้งหลาย รู้หรือไม่ว่าพรุ่งนี้จะเกิดเหตุการณ์ใดที่แห่งใด<o:p></o:p>
    เหตุใดเล่า เราท่านทั้งหลาย ไม่คิดพิจารณาว่า<o:p></o:p>
    เรามีความแก่เป็นธรรมดา เรามีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดา <o:p></o:p>
    เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่อาจล่วงพ้นความตายไปได้<o:p></o:p>
    เราต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งหลายทั้งปวง<o:p></o:p>
    ที่เรายึดมั้่นถือมั่นว่าเป็นของของเรา<o:p></o:p>
    เราท่านทั้งหลาย <o:p></o:p>
    เรามีกรรมเท่านั้นที่เป็นของของเรา <o:p></o:p>
    เราเท่านั้นจะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น<o:p></o:p>
    พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สะระณังคัจฉามิ<o:p></o:p>
     
  16. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
     
  17. tossapon15

    tossapon15 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +417
    อันนี้ขอค้านครับ สายตาอาจจะแย่แต่วัยนะ่หนุ่มตอนปลายนะคร้าบ(kiss)
     
  18. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    มาต่อกันอีกเรื่องก็แล้วกัน ลองมาตามฟัง มาอ่านกันดูชิว่าผลลงเอยสุดท้ายมันคือ...?


    <!-- google_ad_section_end -->ในบ่ายวันหนึ่งย้อนถอยหลังไปเมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา

    ..มีกลุ่มชายวัยกลางคนอายุระหว่าง 40-50 ปีเศษ จำนวน 3-4 คน ได้เดินทางมาพร้อมรถเก๋งหรูออกตะลุยตามเส้นทางกันดาร ดั้นด้นเดินทางไกลจากเมืองหลวงฝ่าถนนลูกรังดงฝุ่นแดงตลบในแถบเทือกเขาอำเภอมวกเหล็ก หลังจากที่ได้รับคำบอกนำเส้นทางจากหญิงกลางคนผู้มีอาชีพค้าขายและอีกนัยหนึ่งอาชีพเสริมคือรับทำนายดวงชะตาชีวิตจากญาณทรรศนะแก่บุคคลรู้จักทั่วไป


    หญิงผู้นี้ได้มีโอกาสพบปะกับภิกษุท่านหนึ่งเข้า หลังจากนั้นจึงเกิดความเคารพศรัทธาธรรม ในคุณธรรมความดีของพระบ้านนอกกลางป่า ผู้มีฌานกำลังจิตเข้มแข็งและมีญาณหยั่งรู้ที่น่าเคารพนับถือท่านนี้ที่ถ้ำแห่งหนึ่งเข้า จึงเป็นเรื่องราวที่ไปที่มาของเหล่ากลุ่มบุรุษนี้เกิดความสนใจอย่างมาก หลังจากที่ได้มีโอกาสได้คุยสนทนากับหญิงร่างทรงผู้นี้เข้าในวันหนึ่งว่า

    "..เอาล่ะตอนนี้ เราเจอบุคคลที่กำลังต้องการทดสอบที่น่าสนใจเข้าให้แล้ว"
    (นี่พระป่า พระบ้านนอกนะเว้ย..ไม่ใช่หนูตะเภาเอาไว้ทดลองของพวกแก)

    <O:p</O:p
    เรื่องราวบอกต่อในครั้งนั้น จึงเป็นสิ่งตกลงใจบางอย่าง และได้แผนงานเพื่อไปทำการทดสอบพิสูจน์และทดสอบบางอย่างทีตนได้ศึกษาร่ำเรียนฝึกฝนมาจนช่ำชองในระดับที่น่าพอใจอย่างมากทีเดียวชองกลุ่มชนพันธมิตรนี้
    กลุ่มบุคคลเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีฐานะการเงิน ทางสังคมที่เรียกว่าดีเยี่ยม จบวุฒิการศึกษาจากต่างประเทศแถบยุโรป อเมริกาในสาขาวิทยาศาสตร์และการแพทย์
    และหนึ่งในชายกลุ่มดังกล่าว เป็นบุคคลที่คนทั่วประเทศรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดีในนามอดีตพระเอกหนังลูกครึ่งไทยฝรั่ง พูดไทยไม่ชัดเจนนักรวมอยู่ด้วย ไม่บอกล่ะว่าชื่ออะไร..ให้คาดเดากันเอาเองดีกว่า

    ส่วนสาขาความรู้วิชาชีพเพื่อการดำรงในสังคมก็เป็นไปตามปกติชนทั่วไปของคนกลุ่มนี้

    แต่อีกสาขาวิชาที่กลุ่มคนเหล่านี้ ได้ให้ความสนใจและฝึกฝนเพิ่มเติมเป็นพิเศษ เป็นอีกวิชาที่ว่าด้วยสาขาทางด้านการใช้พลังงานจิตในรูปแบบต่างๆ ทั้งการสะกดจิต การเพ่งมองย้อนดูอดีตชาติ และการเพ่งพลังจิตบีบบังคับวัตถุธาตุต่างๆให้เปลี่ยนแปลสภาพไปจากเดิม เช่น การหักช้อนให้งอ การบีบรัดกระป๋องให้ลีบแบน การมองภาพวัตถุให้ไปปรากฏได้ในแผ่นฟิล์ม การส่งคลื่นพลังจิต รวมทั้งศาสตร์แห่งใช้พลังจิตต่างๆเพื่อทำลายศัตรูฝั่งตรงข้าม


    ซึ่งเป็นหลักสูตรที่มีการฝึกฝนทางจิตขั้นสูงแบบลับๆเพื่อการต่อสู้กันของทั้งในอเมริกาและรัสเซีย
    ที่ต่างก็จ้องเอาชนะ ในการพยายามที่ล้วงความลับทางการทหารและ การทำลายล้างกันเพื่อชัยชนะในทุกรูปแบบต่างๆของอีกฝั่งตรงข้าม ของขั้วประเทศมหาอำนาจทั้งสองที่นอกเหนือจากการรบด้วยยุทโธปกรณ์ทางทหาร ที่บางท่านอาจไม่เคยรับรู้มาก่อน

    แล้วกลุ่มคนเหล่านี้กำลังวางแผนกระทำการสิ่งใดกันอยู่..
    การเดินทางมาในครั้งนี้คงมาด้วยเจตนาบางอย่างเคลือบแฝงภัยร้ายอย่างแน่นอน...


    วุ้ย...จบตอนซะล่ะ เซ็งเป็ด~!<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 กรกฎาคม 2012
  19. Rasri

    Rasri Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2010
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +37
    ;ปรบมือ¸­­­chearr..>>> :cool:
     
  20. ขอทาง

    ขอทาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2010
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +167
    โดยรวมแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นจริง 50% และไม่เกิดขึ้นจริง 50% แต่สำหรับส่วนตัวผมเชื่อว่าเกิดขึ้น 80% อีกยี่สิบไม่เกิดแน่นอน หากปีนี้รอดจากน้ำท่วม ปลายปีหน้า56 ไม่มีทางรอดแน่ ทุกสิ่งไม่มีความแน่นอน ฝ่ายธรรมเตรียมพร้อม ฝ่ายอธรรมก็พร้อมจะเปลี่ยนแปลงเสมอ คนดีชอบแก้ไข คนจัญไรชอบแก้ตัว อะไรทำนองนี้
     

แชร์หน้านี้

Loading...