ทำไมพระอรหันต์หัวเราะได้ ร้องไห้ได้ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 4 กรกฎาคม 2012.

  1. oynip_t

    oynip_t สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +15
  2. oynip_t

    oynip_t สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +15
    เทียบกันไม่ได้หรอก
    http://palungjit.org/threads/อัศจรรย์พระธาตุ-องค์หลวงตามหาบัว-ญาณสัมปันโน.348955/page-2
     
  3. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    กระดูกหมา เป็นพระธาตุ บ้าไปแล้ว

    55555555555+

    สงสัยจะแยกไม่ออก ว่า คำว่า พระธาตุ กระดูกของพระอรหันต์ คือ อะไร
     
  4. รีล มาดริด

    รีล มาดริด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +717

    อิอิ....มีเรื่องต้องคุยกัน เฉียวฟง((ลูก คนป่า นอกด่าน ตาม ชื่อในนิยายนะ 55+))
    เรื่อง พระ ที่เชือดคอตาย แล้วไม่ตกนรก...นั้น มันเกิด จาก ขณะที่ท่าน กำลังจะตาย ได้ ระลึกว่า สิ่งที่ทท่าน ทำ ดีมาตลอด การเป็น บรรพชิต นั้น คือ การ ถือศีลวัตร ครบถ้วน ไม่เคย ที่จะ ผิด พระวินัยเลย...ท่าน ภูมิใจมาก ตรงนี้ จิต ก้ เข้าจับ ปิติ มีกำลัง และด้วยบารมีธรรม ที่เต็มแล้ว จิตจึงสลัด กิเลส ขาดสูญ ณ. เวลา ที่ใกล้ตายยนั้น..บรรลุพระ สัมธรรม ขณะนั้นพอดี เข้าสู่ อุปาทิเสสนิพพาน..สำเร็จพระอรหันต์ แล้ว ก็ดับขันธ์ ไปพร้อม...และ เหตุ ที่ท่าน เชือด คอ ตนเองนั้น เพราะ เกิดจาก..ความหงุดหงิด ในใจ ที่ จิตตนยังไม่บรรลุธรรมสักที มีแต่เกือบๆ มาตลอด ขณะที่เป็น บรรพชิต ท่านจึงปลงใจว่า วันใดก็ตามที่จิตท่านเบิกบาน ท่านจะเชือดคอตนเอง ตายไป เพื่อให้ ขณะจิต นั้นๆที่กำลังเบิกบาน เป็น มรณาจิตสุดท้าย อันไปสู่ สุคติ...แต่ ท่านมาพิจารณา ศีลท่านก่อนเลย เกิด ปฏิกิริยา ดังที่ผม เล่าไป เบื้องต้น..ถึงต้นสายปลายเหตุ แห่งการไม่ตกนรก และ การเชือดคอตนเอง..ของท่าน..ว่ามีเหตุมาจากอะไร..นะๆๆๆ เฉียวฟง

    เรื่อง ที่ผม วิจารณ์ แล้วน่ากลัว ..นั้น จะกลัวอะไรครับ ผม อาจอยากไปเที่ยวนรก บ้างก็ ได้ พระโมคคัลลา และ พระ มาลัย ยัง ไป บ่อยๆ..ไม่เห้นท่าน เดือดร้อน...ว่า แต่ เฉียวฟง มีปัญญา ไปกับผม มั้ยเล่า....

    หุหุหุหุ..................
     
  5. รีล มาดริด

    รีล มาดริด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +717
    ผม กล่าวว่า ชาวนา เขาถือ มรณานุสสติ จนเขาถึง ซึ่งโสดาบัน..
    คุณ.. ของ มรณานุสสตินั้น ที่เด่นชัด คือ การปล่อยวางได้ ถึงความเป็นความตายของชีวิต...ซึ่งเป็นเรื่องปกติ ของกรรมฐาน แบบมรณานุสสติ...((ผมจะไม่พุดถึงฌาณวิสัยนะครับ มันจะดู ว่าเป็น อิทธิฤทธิ์ เกินไป))..ว่ากันแบบ เห็นๆ ดีกว่า ใครก็ตาม หาก เจริญ มรณานุสสติ สิ่งที่ได้ นั้น ย่อม ยับยั้ง ความ เสียใจ หรือ สะดุ้งจาก การเห็น คนที่รัก ตายไปต่อหน้าต่อตาได้...ซึ่งคุณธรรมแบบนี้
    ยังต่ำกว่า คุณธรรมแห่งพระ อรหันต์....

    แค่เจริญ มรณานุสสติได้ ก็ ไม่ร้องไห้ แล้ว..เว้นแต่ใคร เอานิ้วไปจิ้มตาท่าน..น้ำตามันจะไหลออกมาแน่นอน..แต่ใจท่านไม่ร้องไห้แน่ๆ

    การเอา นาง วิสาขา มาเปรียบเทียบนั้น.....
    มันคนละประเด้นเลย นางวิสาขามหาอุบาสิกานั้น...
    นางได้ โสดาบัน อันเกิดผล จาก การถวายทาน แบบศรัทธาเต็มเปี่ยม และ สิ่งที่ทำให้นางถึง โสดาบันนั้น เพราะ นาง ถื อมั่นใน พระรัตนตรัยอย่างแท้จริง..นาง เชื่อ คำสอนพระพุทธองค์ และ เชื่อมั่น ใน ศีล นางมีศีลครบถ้วน มี สติ รักษาศีลครบ..นางเป็น บุคคล อันปล่อยวาง ตัวตนได้ ละความเป็นตัวตนได้ อันเกิดจากการ เป็นคนที่เข้าได้กับทุกชชนชั้นใน สังคมขณะนั้น..ดำรงตน ด้วยความพอดี ในแบบสถานะแห่งนาง..ปฏิบัติ ต่อ บุคคล ทุกชนชั้นเสมอกันไม่มีถือ ตัว..นางจึงเป็นที่รัก แห่ง เมือง((สาวัตถี หรือไม่ ผมจำไม่ได้))..คนทั้งหลาย เรียกนางว่า แม่ ทั้งเมือง....

    3 ประเด้นนี้เอง...พระพุทธองค์ จึงทรงยกย่องนางว่า เป้น พระโสดาบัน..อันเกิด จาก การ ปฏิบัติตัว ..ของนาง...

    เรื่องที่นาง ร้องไห้นั้น เกิด จาก หลายสาวอันเป็นที่รัก ของนางช่วยงานนางสารพัด เป็นหลาเก่ง จัดการงานการอย่าง เรียบร้อย มาด่วนเสียชีวิตไป นางทำใจไม่ได้ง..จึงร้องไห้ หนักแต่ไม่วายไป พบพระพุทธองค์ เพื่อ ปรับทุกข์ ด้วยแรกนั้น นึกน้อยใจว่า ตัวนางทำกุศลมากมาย ทำไม แรงกุศลไม่ช่วย ให้คนที่นางรัก รอดปลอดภัย แต่ กลับ เสียชีวิตด้วยวัยอันน้อยนิด....

    พระพุทธองค์ เทศาโปรดนาง ให้เห้น ความจริง...ว่าด้วยเรื่องว่า คนในเมือง ทั้งหมด ล้วนเป้นที่รัก ของนาง วิสาขามิใช่หรือ และ จะมีคนตายทุกๆวัน ทำไม นางไม่ร้องไห้ ทุกๆวันล่ะ..สุดท้าย นางก็ เข้าใจว่า..ตัวนางนั้น ขาดสติไป ไม่รู้ตัว ที่ไปหลงกิเลส แห่ง อัตตาเข้า..ว่า ตน มีหลาน รัก อันพิเศษไปกว่าคนอื่น ทั้งที่จริๆง แล้ว..นางควร จะรัก คน ทุกคนเท่าเทียมกัน...อันเกิดจาก ความเลื่อมใส ในการปฏิบัติตนเสมอต้นเสมอปลาย..จนชาวเมือง ล้วนรักใคร่นาง..เพราะการที่นางละ สักกายทิฎฐิได้นั่นเอง
     
  6. รักคนอ่าน

    รักคนอ่าน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +94
    อุเหม่ เป็นอย่างนั้นไปได้ ก็ว่าไป
     
  7. รีล มาดริด

    รีล มาดริด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +717
    ผม เล่ามาทั้งหมด แต่จะบอกว่า..นางวิสาขา แม้ได้ โสดาบันแล้ว แต่ ยังมีกิเลส ครอบงำจิตใจบ้าง ไม่ได้ละได้ทั้งหมด ดังนั้นบางที จิตเผลอไป ย่อม มีการร้องไห้เสียใจเกิดขึ้นได้....

    หาก เมื่อใดที่สติเกิด การร้องไห้คร่ำครวญ ก็จะดับไปได้....

    ส่วนการเปรียบเทียบว่า การฆ่าตัวตาย กับพระร้องไห้ ผม ..ว่า คนละ ท่วงทำนองนะ เฉียวฟง...คุณ ยังแยกแยะ สภาวะไม่เป็น...เรื่องการฆ่าตัวตาย..มันมีเหตุให้ทำ และ ผลที่เกิด มันก็ พิสดาร..จน มีแต่พระพทธองค์ เท่านั้นที่รู้..และตอนที่ท่านเชือดคอตนเองนั้น ท่านยังไม่บรรลุอรหันต์ ด้วย...ง

    แต่ พระอรหันต์ ที่บรรลุธรรมแล้ว และ ยัง ไม่ ละขันธ์ ((ยังไม่ตาย))..ไม่มีทางร้องไห้ คร่ำครวญแน่ๆ เพราะท่านไม่มี อารมร์ ที่จะเสียใจแล้ว..แต่ หากใครไป เอานิ้วจิ้มตาท่านท่านจะ น้ำตาไหล แน่ๆ..

    เฉียวฟง คงฉลาดขึ้นบ้างนะ ผม อุส่า แต่งนิยายให้อ่าน ตั้ง 3 คอมเม้น..5555555
     
  8. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๕ หน้าที่ ๑๙๒/๔๑๘
    ๗. ธาตุสูตร
    [๒๒๒] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว
    พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว
    เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย นิพพานธาตุ ๒ ประการนี้ ๒ ประการเป็นไฉน
    คือ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ๑ อนุปาทิเสสนิพพาน ธาตุ ๑
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สอุปาทิเสสนิพพานธาตุเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพระอรหันตขีณาสพ
    อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงได้แล้ว มีประโยชน์ของตนอันบรรลุแล้ว
    มีสังโยชน์ในภพนี้ สิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ภิกษุนั้นย่อมเสวยอารมณ์ ทั้งที่พึงใจ
    และไม่พึงใจ ยังเสวยสุขและทุกข์อยู่ เพราะความที่อินทรีย์ ๕เหล่าใด เป็นธรรมชาติไม่บุบสลาย
    อินทรีย์ ๕ เหล่านั้นของเธอยังตั้งอยู่นั่นเทียว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไป
    แห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ ของภิกษุนั้น นี้เราเรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ
    ดูกรภิกษุทั้งหลายก็อนุปาทิเสสนิพพานธาตุเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้
    เป็นพระอรหันตขีณาสพอยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงได้แล้ว
    มีประโยชน์ของตนอันบรรลุแล้ว มีสังโยชน์ในภพสิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ
    เวทนาทั้งปวงในอัตภาพนี้แหละของภิกษุนั้น เป็นธรรมชาติอันกิเลสทั้งหลาย มีตัณหาเป็นต้น
    ให้เพลิดเพลินมิได้แล้ว จัก (ดับ) เย็น
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย นิพพานธาตุ ๒ ประการนี้แล ฯ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว
    ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า นิพพานธาตุ ๒ ประการนี้
    พระตถาคต ผู้มีจักษุผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยแล้ว ผู้คงที่ประกาศไว้แล้ว อันนิพพานธาตุอย่างหนึ่ง
    มีในปัจจุบันนี้ ชื่อว่าสอุปาทิเสส เพราะสิ้นตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพ ส่วนนิพพานธาตุ (อีกอย่างหนึ่ง)
    เป็นที่ดับสนิทแห่งภพทั้งหลายโดยประการทั้งปวง อันมีในเบื้องหน้าชื่อว่าอนุปาทิเสส
    ชนเหล่าใดรู้บทอันปัจจัยไม่ปรุง แต่งแล้วนี้มีจิตหลุดพ้นแล้วเพราะสิ้นตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพ
    ชนเหล่านั้นยินดีแล้วในนิพพานเป็นที่สิ้นกิเลส เพราะบรรลุธรรมอันเป็นสาระ เป็นผู้คงที่ละภพได้ทั้งหมด ฯ
    เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วฉะนี้แล ฯ
    จบสูตรที่ ๗

    ----
    คำสอนของพระพุทธเจ้า

    พระอรหันต์ประเภท สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ
    "หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ภิกษุนั้นย่อมเสวยอารมณ์ ทั้งที่พึงใจ
    และไม่พึงใจ ยังเสวยสุขและทุกข์อยู่"

    พระอรหัตต์ประเภท อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
    "หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ
    เวทนาทั้งปวงในอัตภาพนี้แหละของภิกษุนั้น
    เป็นธรรมชาติอันกิเลสทั้งหลาย
    มีตัณหาเป็นต้นให้เพลิดเพลินมิได้แล้ว จัก(ดับ)เย็น"

    ปุถุชนไม่รักษาศีล ไม่มีศรัทธาในธรรม ยึดถือสิ่งผิด ไม่ฟังธรรม ไม่จดจำธรรม เมื่อไม่จดจำธรรม จะเอาอะไรไปพิจารณาธรรมในธรรม นึกเอาเองคิดเอาเอง ความเห็นของข้าถูก ข้ารู้มากเก่งกว่าพระไตรปิฏก พระอรหันต์ต้องวางขันธ์ ๕ ได้ ต้องไม่ร้องไห้

    คำของพระพุทธเจ้าบอกสอนไว้ พระอรหันต์ประเภท สอุปาทิเสสนิพพานธาตุยังมีอารมย์พอใจไม่พอใจ ยังมีเวทนา(สุขทุกข์)อยู่ พิจาณากันดีนะครับ ถ้าไม่แน่ใจก็เฉยๆ ไปดีกว่า ดีไม่ดีจะเป็นการปรามาสพระอรหันต์ครับ
     
  9. รีล มาดริด

    รีล มาดริด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +717
    โอเค...คุณเก่ง..ผม แค่ คิดๆเอา .....

    พอใจ แล้วนะ ..ผม ไปละ ไม่ยุ่งกับ คุณ ละ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2012
  10. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    อยากเป็น “หนูผี” หรืออยากเป็น “หนูดี” ก็เลือกเอาครับ

    นายหนูกลับใจ จากหนังสือ บุญญฤทธิ์ พระโพธิญาณเถร
    หลวงพ่อชา สุภทฺโท วัดหนองป่าพง
    อำพล เจน บรรณาธิการ
    ผมไม่เคยรู้จักหรือมีความสัมพันธ์กับนายหนูเป็นการส่วนตัว แต่ก็รู้เรื่องของนายหนูได้ดีเท่า ๆ กับคนอื่น เนื่องจากว่านายหนูดูเหมือนจะเป็นผู้ เดียวเท่านั้นที่เป็นปฏิปักษ์กับหลวงพ่อชาอย่างชัดเจนที่สุด
    คนอื่นที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางปฏิบัติของหลวงพ่อ ก็อาจรู้สึกต่อต้านอยู่ในใจ ไม่ถึงกับแสดงอาการออกมาสู่ภายนอกอย่างเด่นชัดนัก โดยมากก็เฉยอยู่ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็อยู่ข้างใน ส่วนข้างนอกดูเรียบร้อยดี ไม่มีกิริยา ผิดกับนายหนู นั้นแสดงออกอย่างไม่จำเป็นต้องอำพรางความรู้สึกนึกคิดของตนเอง ว่ามีต่อหลวงพ่อชาอย่างไร จึงนับได้ว่าเป็นบุคคลพิเศษคนหนึ่งที่ใคร ๆ ก็กล่าวขวัญถึง
    นายหนูมีชื่อจริง ๆ ว่า หนู ศิริมา เป็นชาวบ้านก่อ บ้านเดียวกันกับหลวงพ่อชา ปัจจุบันอายุ 75 ปี เป็นคนขี้เหร่ ใบหน้ามีรอยปรุพรุนอยู่ทั่วไป จึงมีผู้เรียกว่า “หนูผี” อีกชื่อหนึ่ง เดิมเป็นคนไม่มีศาสนา ไม่เคยเชื่อว่าศาสนาเป็นของมีจริง ศาสนาคือเรื่องเหลวไหลที่มนุษย์สร้างขึ้นมาลวงกันเอง
    ก่อนที่นายหนูจะเชื่อว่าศาสนาเป็นเรื่องโกหก นายหนูได้ศึกษาค้นคว้าปรัชญาของศาสนาต่าง ๆ มามากแล้วเกือบทุกศาสนา ไม่ว่าคริสต์, อิสลาม, พราหมณ์ หรือแม้แต่พุทธ ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่า นายหนูเป็นคนไม่เคยเชื่ออะไรง่าย ๆ และออกจะเป็นผู้รู้จักใช้เหตุใช้ผลของตนเองสำหรับตัดสินว่าอะไรจริงไม่จริง อะไรเชื่อได้และเชื่อไม่ได้ ในที่สุดก็สรุปแก่ตนเองว่า ศาสนาเป็นเรื่องมดเท็จ ทั้งนั้น
    นายหนูเคยบวชในบวรพุทธศาสนามาครั้งหนึ่ง บวชไปตามประเพณีของผู้ชายไทย บวชแล้วก็ไม่ทำให้รู้หรือเห็นว่าพุทธศาสนาเป็นของดีวิเศษอย่างไร พุทธศาสนาก็เหมือนศาสนาทุกศาสนาในโลก เหลวไหลไม่ได้ความเหมือนกัน
    “ถ้าหากพุทธศาสนาดีจริง ทำไมประเทศไทยจึงมีผู้นับถือศาสนาหลายศาสนานัก”
    นายหนูคิดเห็นเช่นนี้ตลอดมา เมื่อพบเห็นนักบวชแต่ละศาสนา และมีโอกาสได้สนทนาด้วยเมื่อไหร่ นายหนูมักเข้าไปเบี้ยวนักบวชเหล่านั้นเสมอ และด้วยเหตุที่เป็นคนพูดเก่ง คล่องตัว นักบวชเหล่านั้นมักหงายท้องไปตาม ๆ กัน เนื่องจากว่า จะถกเถียงเอาชนะนายหนูได้ยาก
    นายหนูเคยได้พบพระกรรมฐานรูปหนึ่ง ปักกลดอยู่แถวสะพานรถไฟ ระหว่างสถานีวารินชำราบ (อุบลฯ) กับสถานีบุ่งหวาย สองสถานีมีระยะห่างกันประมาณ 9 กิโลเมตร นายหนูเข้าไปกราบสนทนาด้วย และได้โต้กันกลางแดดเปรี้ยงเป็นเวลานาน ผลสุดท้ายพระกรรมฐานรูปนั้นก็หมดทางจะแก้ข้อสงสัย หรือให้ความกระจ่างแก่นายหนูได้ จึงออกปากชวนให้ไปด้วยกัน เพื่อจะได้รู้เองเห็นเอง ด้วยตัวเอง จะดีกว่าจะให้ท่านพูด หรือบอกให้ฟัง แต่นายหนูกลับตอบว่า
    “ผมขอให้ท่านพูดมาเพื่อให้เข้าใจเท่านั้นก็พอ แต่ท่านแก้ความสงสัยไม่ได้ ก็ไม่จำเป็นที่ผมจะต้องไปกับท่าน”
    เลยต่างคนต่างแยกจากกัน
    นายหนูก็ยังคงอยู่อย่างคนไม่เชื่อในศาสนาใดๆ เรื่อยมา
    หลายปีต่อมา หลวงพ่อชาได้เดินทางกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดครั้งแรก โดยเข้ามาพักในป่าช้าบ้านก่อ ซึ่งเป็นคนละที่กับป่าพงที่ได้กลายมาเป็นวัดหนองป่าพงในปัจจุบัน เมื่อมาพักที่ป่าช้าบ้านก่อแล้ว พวกชาวบ้านที่รู้ ข่าวก็พากันไปกราบและฟังธรรมะจากท่าน ผู้ที่ฟังแล้วก็กลับมาเล่าให้ผู้ที่ไม่ได้ไปฟังอีกทอดหนึ่ง
    นายหนูอยู่ในกลุ่มที่ไม่ได้ไปฟัง แต่ก็สรุปใจความจากผู้ไปฟังมาแล้วได้ว่า
    “คนทุกคนเกิดมาต่างมีความหลง ถ้ายังอยู่ครองเรือนแล้วไม่ว่าหนุ่มหรือแก่หลงทั้งนั้น”
    นายหนูจึงคิดว่า ระหว่างนายทุนกับพระอาจารย์ชาใครหลงกันแน่ และใครจะหลงมากกว่าใคร ในเมื่อคนทุกคนล้วนมีความอยากกันทั้งนั้น ใครบ้างที่ไม่อยาก
    “อาจารย์ชานั่นแหละตัวหลง มีความเห็นผิดเอามาก ๆ อีกด้วย” นายหนูคิดอย่างนั้น
    สองปีให้หลัง คุณแม่พิมพ์ และผู้ใหญ่ลา โยมแม่และโยมพี่ชายได้ตามไปนิมนต์หลวงพ่อให้กลับมาอยู่ที่บ้านเกิด ตอนนั้นอยู่ในราวเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2497 เข้าใจว่าหลวงพ่อกำลังพำนักอยู่ที่วัดป่าตาว อ. คำชะอี จ.มุกดาหาร
    เมื่อหลวงพ่อชารับนิมนต์และเดินทางมาพักที่ป่าพงที่ได้กลายมาเป็นวัดในทุกวันนี้แล้ว พวกชาวบ้านได้พากันไปช่วยปลูกกุฏิที่พักถวาย นายหนูก็ไปช่วยปลูกกับเขาด้วย แม้ว่าจะไม่ได้มีความเลื่อมใสแต่อย่างใด หากแต่เพราะขัดเพื่อนชวนไม่ได้ และตนเองก็เป็นช่างไม้อีกด้วย จึงเป็นอันหมดทางปฏิเสธ
    เย็นวันหนึ่งคุณแม่พิมพ์ได้บอกแก่นายหนูว่า หลวงพ่อชากำลังคอยอยู่ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไร นายหนูก็ไปกราบนมัสการหลวงพ่อโดยไม่ขัดขืน เมื่อกราบแล้วเงยหน้าขึ้น หลวงพ่อก็พูดโต้ง ๆ ออกมาทันที
    “นายหนูมีความเห็น และความเข้าใจในศาสนาอย่างไรให้พูดกันอย่างเปิดอก”
    แต่นายหนูดูจะยังมีความเกรงใจหลวงพ่อชาอยู่บ้าง จึงหันไปสนทนาธรรมอื่น ๆ แทน เช่นเรื่องของกุศล อกุศล และข้อธรรมต่าง ๆ เท่าที่จะนึกขึ้นมาคุยได้ หลวงพ่อก็เมตตาอธิบายให้ฟังทั้งหมด
    การสนทนาธรรมครั้งแรกระหว่างนายหนูกับหลวงพ่อชาไม่ได้เป็นการสนทนากันอย่างง่าย ๆ พื้น ๆ หรือสั้น ๆ แต่เป็นมหกรรมสนทนากัน เพราะว่าใช้เวลาสนทนากันทั้งคืนยันรุ่งของวันใหม่จึงได้แยกจากกัน
    ถึงอย่างนั้นเรื่องคุยกันในคืนวันนั้นก็ยังไม่เข้าหัวของนายหนูสักเท่าไหร่
    ปีนั้นทั้งปี นายหนูไม่มาเหยียบวัดหนองป่าพงอีกเลย
    ปีต่อมา (พ.ศ. 2498) พวกชาวบ้านกล่าวหาหลวงพ่อชาว่าท่านหวงน้ำ คือไม่ยอมให้ชาวบ้านทั้งหลายเอาครุลงตักน้ำในบ่อน้ำของวัด
    ครุก็คือภาชนะสานด้วยไม้ไผ่เป็นรูปอย่างถังน้ำแล้วยาด้วยชันเพื่อให้ขังน้ำได้ โดยน้ำไม่รั่ว
    นายหนูได้ยินก็เป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที
    “พระอะไรกัน แค่น้ำในบ่อก็หวง ทีข้าวปลาอาหารของชาวบ้านกลับบิณฑบาตได้ทุกวัน” นายหนูว่า
    “ยังงี้ไม่เข้าท่าว่ะ จะต้องไปถามดู ไม่ได้เรื่องยังไงจะไล่ให้หนีไปจากที่นี่”
    นายหนูเดินบุกโครม ๆ เข้าไปจนถึงกุฏิหลวงพ่อชาอย่างปั้นปึ่ง
    “เขาว่าท่านหวงน้ำ”
    “หวงยังไง” หลวงพ่อสงสัย
    “ท่านไม่ยอมให้ชาวบ้านเข้ามาอาศัยตักน้ำในวัดไปใช้” นายหนูแจ้งข้อหา
    “อ้ออย่างนั้นหรือ” หลวงพ่อพยักหน้า “ที่ห้ามน่ะ ห้ามไม่ให้เอาครุมาตักน้ำในบ่อของวัดหรอก เอาครุขังปลาขังเขียดมาตักน้ำดื่มน้ำใช้ของพระ มันเกิดมลทินแก่น้ำ ทำให้ผิดระเบียบของสงฆ์ ถ้าใช้ครุหรือถังที่สะอาดตักใครจะไปห้าม”
    นายหนูจึงได้ข้อคิดในทันใดได้ยินอะไรอย่าเพิ่งเชื่อ ต้องรู้เห็นด้วยตาหูของตนเองเสียก่อนจึงค่อยเชื่อ
    “มีอะไรก็ให้พูดกันอย่างเปิดอก” หลวงพ่อกล่าวซ้ำเหมือนที่ได้กล่าวเมื่อปีที่แล้ว
    “พูดเปิดอกก็ได้ แต่กลัวว่าท่านจะโกรธ” นายหนูแย๊ปนำ
    “รับรองไม่โกรธ” หลวงพ่อยืนยัน “พูดมาเถอะ พูดตามสบาย”
    “ที่เคยว่าพวกผมหลงผิดนั้น ผมว่าอาจารย์ก็หลงผิดเหมือนกัน จะหลงผิดมากกว่าเสียด้วย เพราะศาสนาไม่มีจริง เป็นเรื่องที่คนสมมุติขึ้น แต่งขึ้น ทุกอย่างมันเป็นสมมุติทั้งนั้น เช่นควาย เราก็สมมุติเรียกมันว่า ควาย จะเรียกว่าหมาก็ได้ ไก่ก็ได้ หมูก็ได้ มันจะมาว่าอะไร คน สัตว์ วัตถุทุกอย่างก็สมมติกันเอาเองทั้งนั้น พระพุทธเจ้ากับศาสนาก็สมมติกันขึ้นมา ไม่มีตัวตนหรอกครับ”
    นายหนูได้โอกาสร่ายยาวและหลวงพ่อยังคงนั่งฟังเงียบ ๆ
    “อย่างอาจารย์นี่ผมสงสัยว่าทำไมจึงต้องกลัวบาป ถึงกับหนีเข้าป่าเข้าดง ทรมานร่างกายให้ลำบากไปเปล่า ๆ ปลี้ ๆ ผมไม่เชื่อเลยว่าบาปบุญมีจริง เป็นเรื่องหลอกเด็กเท่านั้น อาจารย์อยู่ตามวัดบ้านทำไป อยู่ไปเหมือนพระอื่นก็พอแล้ว จะเข้าป่าทำไม ไม่ก็เลือกทางที่ดีกว่านั้น คือสึกออกมารู้รสกามและรับความสุขอย่างพวกผมดีกว่าอยู่อย่างทรมานแก่ตนเอง”
    หลวงพ่อชายังคงนั่งอยู่ นายหนูรู้ สึกว่าตนเป็นต่อแล้วจึงรุกฆาต
    “ผมมีความเห็นอย่างนี้แหละ อาจารย์ล่ะ เห็นเป็นไง.
    “คนแบบโยมนี่พระพุทธเจ้าท่านทิ้ง” หลวงพ่อกล่าว “พระพุทธเจ้าตรัสว่าโปรดไม่ได้ เหมือนดอกบัวในตม”
    “ อ้าว ”
    “ถ้านายหนูไม่เชื่อเรื่องบาปและบุญ ทำไมไม่ไปลักทรัพย์เขา ปล้นฆ่าเขาล่ะ”
    “ผมกลัวว่ามันบางทีมันอาจจะมีมั่งก็ได้” นายหนูอึกอัก
    “อาตมาประพฤติอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ ถ้าบาปไม่มี บุญไม่มี ก็เสมอทุนไม่ได้กำไร แต่ถ้าบาปมี บุญมี อาตมาก็จะได้กำไร” หลวงพ่ออธิบาย “คนหนึ่งขาดทุนกับได้กำไร อีกคนหนึ่งเสมอทุนกับได้กำไร ใครจะดีกว่ากัน”
    “ไอ้เรื่องบาปเรื่องบุญนี่ผมปวดหัวมานานแล้ว จะเชื่อว่ามันไม่มีก็ยังไม่แน่ใจเสียทีเดียว แต่ถ้ามันไม่มีจริง อาจารย์จะให้ผมทำยังไง”
    “ทำยังไงก็ได้”
    “งั้นถ้าผมตาย และรู้ว่าบาปบุญไม่มี ผมจะไล่เตะท่านนะ”
    “ได้” หลวงพ่อรับคำ “ข้อสำคัญต้องละบาปบำเพ็ญบุญจริง ๆ ก็แล้วกัน”
    “นิมนต์อาจารย์เทศน์โปรดผมด้วย” นายหนูอ่อนข้อลง
    “คนเห็นผิดอย่างนี้โปรดไม่ได้” หลวงพ่อเมิน
    “คนในโลกนี้ใครล่ะจะมีวิชาความรู้ เป็นเลิศกว่าคนทั้งมวล พระพุทธเจ้าใช่ไหมครับ ถ้าพระพุทธเจ้าเลิศจริง ประเสริฐจริง อาจารย์เป็นศิษย์พระพุทธเจ้าต้องเทศน์โปรดผมได้ ผมเป็นศิษย์พระยามาร แต่ศิษย์พระพุทธเจ้าเทศน์โปรดไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็โง่กว่าพระยามารน่ะซี่”
    หลวงพ่อนั่งอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า
    “งั้นจงตั้งใจฟังธรรมสักสองข้อ”
    “เชิญเลยครับ”
    “เรื่องที่ครูบาอาจารย์สอนมาทั้งหมดนั้นไม่เชื่อใช่ไหม”
    “ ใช่ ครับ
    “โยมเป็นช่างไม้ใช่ไหม”
    “ ใช่ ครับ
    “เคยตัดไม้ผิดไหม”
    “เคยครับ”
    “เรื่องทั้งหมดที่ผ่านมาเคยคิดถูกทำถูกหมด หรือว่าเคยคิดผิดทำผิดเหมือนกัน”
    “ถูกก็มีผิดก็มี”
    “ตนเองยังเชื่อไม่ได้เสียแล้ว เพราะมันยังสามารถพาให้ทำผิดคิดผิด พูดผิดก็ได้ นี่เป็นข้อที่ 1 ” หลวงพ่อกล่าว
    “ต่อไปข้อที่ 2 อย่าเป็นคนคิดมาก พูดมากเท่านั้นแหละ”
    ปีนั้นทั้งปี นายหนูไม่เคยมากราบหลวงพ่อชาอีกเลย แต่คำพูดของหลวงพ่อกลับเหมือนคำสาป คอยสะกิดใจนายหนูอยู่ตลอดทั้งปี เรื่องความคิดที่ถูกห้ามเอาไว้ ก็ยังคงเผลอคิดไปเรื่อยไม่มีทางจะสิ้นสุดลงได้เลย เป็นเหตุให้ตามเห็นความคิดของตนเองตลอดมา
    ปีที่ 3 พ.ศ. 2500 นายหนูกลับมาหาหลวงพ่อชาและถามว่า
    “การเข้าถึงพระรัตนตรัยจะต้องทำอย่างไร”
    “ไม่ยาก ไปหาดอกไม้ธูปเทียนมาบูชาและกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณจะเข้าถึงพระรัตนตรัย รับศีล 5 ไปปฏิบัติ เลิกมงคลตื่นข่าว จะเชื่ออะไรต้องเชื่ออย่างมีเหตุผล ไม่เชื่องมงาย และให้ละทิฏฐิมานะออกเสียด้วย”
    คืนวันนั้น หลวงพ่อได้เทศน์โปรดนายหนูจนเที่ยงคืนตรง
    เลิกเทศน์แล้วหลวงพ่อก็ให้นายหนูไปนอนที่ใต้ต้นไม้กลางลานวัด ที่นั่นมีแคร่ไม้ไผ่อยู่อันหนึ่ง
    รุ่งเช้าหลวงพ่อถามว่า
    “เป็นไงนอนสบายดีไหม”
    “ไม่เป็นอันนอนทั้งคืนเลยครับ”
    “ทำไมล่ะ”
    “ผมฝันคล้าย ๆ กับว่า อาจารย์ทำให้แคร่ผมลอยไปทั่วทั้งบริเวณวัด ลอยไปไม่มีที่จะวางแคร่ลงได้ พอวางลง ก็วางบนตัวสามเณร มองเห็นสามเณรนอนอยู่ใต้แคร่ ต่อมาก็คันคายไปทั้งตัวไม่เป็นอันหลับอันนอน”
    “เอาเถอะ จะนอนบนหัวสามเณรก็ตามใจ” หลวงพ่อว่า
    นายหนูฟังแล้วก็งง ๆ
    ต่อมาอีก 5-6 วัน ในบ้านของนายหนูก็หาความสุขไม่ได้ทั้งลูกทั้งเมีย ดูร้อนรุ่มทุรนทุรายโดยไม่รู้สาเหตุ วัวควายใต้ถุนบ้านก็แตกตื่นตกใจอะไรไม่ทราบ เป็นเรื่องวุ่นวายแปลก ๆ ที่หาเหตุไม่พบ
    แต่เนื่องจากว่านายหนูเป็นคนเรียนวิชาอาคม ที่เรียกว่าวิชานอก หรือเดรัจฉานวิชามาโดยตลอด ดังนั้นบรรดาญาติพี่น้องของนายหนู จึงลงความเห็นว่า ที่มีเหตุวุ่นวายยุ่งเหยิงหาความสุขสงบไม่ได้อย่างเมื่อก่อนนั้น เป็นเพราะนายหนูไปเรียนวิชาอาคมมาจากหลวงพ่อชา
    “ไม่ได้เรี๊ยน ไม่ได้เรียน” นายหนูเถียง
    “อ้าว งั้นทำไมมันร้อนกันทั้งบ้านทั้งเรือนยังงี้เล่า”
    “ฉันแค่รับศีลและรับเอาพระรัตนตรัยเท่านั้นเอง”
    “นั่นแหละ เพราะอันนี้แน่ ๆ” ญาติของนายหนูสรุป
    “เลิกเสียนะที่รับมาน่ะ เอาไปคืนท่านซะ”
    แต่นายหนูไม่คืนศีล 5 และพระรัตนตรัย ตั้งใจมั่นคงเด็ดเดี่ยวจะถือต่อไปไม่สิ้นสุด
    ไม่ช้าเรื่องร้อนรนวุ่นวายก็ค่อยหายไป ความสุขสงบก็กลับคืนมาสู่บ้านอีกครั้งหนึ่ง
    ทำไมจึงมีเรื่องเช่นนี้เกิด
    ผมมีทางอธิบายได้ทางเดียวว่า เดิมนายหนูเป็นคนมีวิชาอาคม เรียกอย่างชาวบ้านก็คือ “เล่นของ” เมื่อนายหนูรับเอาของใหม่เข้ามายึดถือ ซึ่งก็คือพระรัตนตรัยและศีล 5 ของเก่าก็เกิดแรงต้าน ไม่ว่าจะเป็นวัตถุสิ่งของอะไรก็ตาม ที่สำเร็จฤทธิ์โดยวิชานอกพระพุทธศาสนา ซึ่งนายหนูนำเข้ามากราบไหว้บูชาในบ้านก็ล้วนแต่ออกแรงออกฤทธิ์ต้านทั้งนั้น เลยเป็นเรื่องร้อนรนวุ่นวายในบ้านไปพักหนึ่ง แต่ในที่สุดของเก่าเหล่านั้นก็เสื่อมไป เรื่องก็กลับมาสงบสุขเหมือนเดิม
    ผมเคยถามหลวงปู่อีกองค์หนึ่งที่ผมเคารพยิ่งเท่า ๆ กับหลวงพ่อชาว่า
    “วัตถุมงคลของครูบาอาจารย์องค์หนึ่ง เอาไปถวายให้อีกองค์เป่าช้ำเข้าไป พุทธคุณเดิมจะเปลี่ยนไปหรือไม่อย่างไร”
    “ไม่เปลี่ยน”
    “แล้วอย่างที่ผมมักได้ยินว่าวัตถุมงคลนั้นอ่อนกว่านี้หรือแรงกว่าโน้นล่ะครับ”
    “อันนี้ขึ้นอยู่กับพลังจิตของผู้อธิษฐานวัตถุมงคลนั้น ๆ ให้เป็นมงคล” หลวงปู่ว่า
    “ดูกระโถนใบนี้สิ ถ้าน้ำยังไม่เต็มก็สามารถเติมน้ำให้เต็มได้ แต่ถ้าน้ำเต็มกระโถนอยู่แล้ว น้ำใหม่ที่เติมเข้าไปจะล้นออกมาเปียกสิ่งของอื่น ๆ ภายนอกกระโถน จิตของพระอรหันต์เท่านั้นที่เต็มเปี่ยมอยู่อย่างนั้น ไม่มีเกินกว่าหรือน้อยกว่า เมตตาที่ล้นออกจากกระโถนก็จะแผ่ไปถึงสรรพสัตว์ทั้งหลายไปเอง ข้อที่ว่าเมื่อเสกช้ำลงไปแล้วจะเปลี่ยนหรือไม่นั้น ถ้าเป็นพุทธคุณแล้วไม่เปลี่ยน แต่ว่าเป็นวิชานอกหรือเดรัจฉานวิชาแล้วจะเปลี่ยนทันทีเมื่อพบพุทธคุณ”
    ผมคิดว่าคำอธิบายนี้คงใช้ได้สำหรับกรณียุ่งเหยิงอลหม่านในบ้านนายหนูที่ได้เกิดขึ้นดังกล่าวมา
    อย่างไรก็ตาม นายหนูนอกจากจะไม่เลิกเข้าถึงพระรัตนตรัยและถือศีล 5 แล้ว ยังเพียรปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง และประพฤติปฏิบัติเช่นนี้มาตลอดจนทุกวันนี้
    แต่เดิมเรียกว่า “หนูผี” พอมาคลุกคลีกับวัดก็เป็น “หนูดี” ต่อมาได้เป็นคนดูแลจัดการเรื่องการก่อสร้างในวัดก็เป็น “หนูสร้าง”
    จากปฏิปักษ์มาเป็นผู้พิทักษ์
    ไม่อาจบอกได้หรือวัดใจกันได้ ว่านายหนูรักและศรัทธาหลวงพ่อชาน้อยกว่าคนอื่นหรือเปล่า


    คัดลอกมาจาก http://www.dharma-gateway.com/monk/m...special-05.htm
     
  11. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    "โยมเป็นช่างไม้ใช่ไหม”
    “ ใช่ ครับ
    “เคยตัดไม้ผิดไหม”
    “เคยครับ”
    “เรื่องทั้งหมดที่ผ่านมาเคยคิดถูกทำถูกหมด หรือว่าเคยคิดผิดทำผิดเหมือนกัน”
    “ถูกก็มีผิดก็มี”
    “ตนเองยังเชื่อไม่ได้เสียแล้ว เพราะมันยังสามารถพาให้ทำผิดคิดผิด พูดผิดก็ได้ นี่เป็นข้อที่ 1 ” หลวงพ่อกล่าว
    “ต่อไปข้อที่ 2 อย่าเป็นคนคิดมาก พูดมากเท่านั้นแหละ”
    ปีนั้นทั้งปี นายหนูไม่เคยมากราบหลวงพ่อชาอีกเลย แต่คำพูดของหลวงพ่อกลับเหมือนคำสาป คอยสะกิดใจนายหนูอยู่ตลอดทั้งปี เรื่องความคิดที่ถูกห้ามเอาไว้ ก็ยังคงเผลอคิดไปเรื่อยไม่มีทางจะสิ้นสุดลงได้เลย เป็นเหตุให้ตามเห็นความคิดของตนเองตลอดมา
    ปีที่ 3 พ.ศ. 2500 นายหนูกลับมาหาหลวงพ่อชาและถามว่า
    “การเข้าถึงพระรัตนตรัยจะต้องทำอย่างไร”
    “ไม่ยาก ไปหาดอกไม้ธูปเทียนมาบูชาและกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณจะเข้าถึงพระรัตนตรัย รับศีล 5 ไปปฏิบัติ เลิกมงคลตื่นข่าว จะเชื่ออะไรต้องเชื่ออย่างมีเหตุผล ไม่เชื่องมงาย และให้ละทิฏฐิมานะออกเสียด้วย”

    ----
    อ่านเรื่อง "นายหนูกลับใจ" ให้จบครับ แล้วลองพิจารณาตัวท่านว่า ท่านเป็น "หนูผี" หรือ "หนูดี" หรือ "หนูสร้าง"
     
  12. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075

    บทว่า วิมุตฺโต ได้แก่ วิมุตติ ๒ อย่าง คือ จิตวิมุตติและนิพพาน.

    จริงอยู่ พระอรหันต์ชื่อว่าพ้นด้วยจิตวิมุตติบ้าง ชื่อว่าพ้นในนิพพานบ้าง เพราะพ้นจากกิเลสทั้งปวง ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า สมฺมทญฺญา วิมุตฺโต (พ้นเพราะรู้โดยชอบ).

    บทว่า ตสฺส ติฏฺฐนฺเตว ปญฺจินฺทริยานิ ความว่า อินทรีย์ ๕ มีจักขุนทรีย์เป็นต้นของพระอรหันต์นั้น ยังตั้งอยู่ตราบเท่ากรรมอันเป็นเหตุให้เกิดในภพสุดท้าย ยังไม่สิ้นไป.

    บทว่า อวิคตตฺตา ได้แก่ เพราะยังไม่ดับด้วยการดับคือความไม่เกิด.

    บทว่า มนาปามนาปํ ได้แก่ อารมณ์มีรูปที่น่าพอใจ และไม่น่าพอใจเป็นต้น.

    บทว่า ปจฺจนุโภติ ได้แก่ ย่อมเสวย คือย่อมได้.

    บทว่า สุขทุกฺขํ ปฏิสํเวเทติ ได้แก่ ย่อมเสวยสุขและทุกข์อันเป็นวิบาก คือย่อมได้ด้วยไตรทวาร.


    เรื่องทุกข์ของพระติสสเถระ
    เล่ากันว่า ในกรุงสาวัตถี บุตรของกุฏุมภีชื่อติสสะ ละทรัพย์ ๔๐ โกฏิ ออกบวชโดดเดี่ยวอยู่ในป่าที่ไม่มีบ้าน. ภริยาของน้องชายท่าน ส่งโจร ๕๐๐ ให้ไปฆ่าท่านเสีย. พวกโจรไปล้อมท่านไว้. ท่านจึงถามว่า ท่านอุบาสกมาทำไมกัน. พวกโจรตอบว่า มาฆ่าท่านนะซิ.
    ท่านจึงพูดขอร้องว่า ท่านอุบาสกทั้งหลาย โปรดรับประกันอาตมา ให้ชีวิตอาตมาสักคืนหนึ่งเถิด. พวกโจรกล่าวว่า สมณะ ใครจักประกันท่านในฐานะอย่างนี้ได้.
    พระเถระก็จับหินก้อนใหญ่ทุบกระดูกขาทั้งสองข้าง แล้วกล่าวว่าประกันพอไหม. เหล่าโจรพวกนั้นก็ยังไม่หลบไป กลับก่อไฟนอนเสียที่ใกล้จงกรม
    พระเถระข่มเวทนา พิจารณาศีล อาศัยศีลที่บริสุทธิ์ก็เกิดปีติและปราโมช.
    ลำดับต่อจากนั้น ก็เจริญวิปัสสนา ทำสมณธรรมตลอดคืน ในยามทั้งสาม
    พออรุณขึ้น ก็บรรลุพระอรหัต จึงเปล่งอุทานว่า

    อุโภ ปาทานิ ภินฺทิตฺวา สญฺญมิสฺสามิ โว อหํ
    อฏฺฏิยามิ หรายามิ สราคมรเณ อหํ
    เอวาหํ จินฺตยิตฺวาน ยถาภูตํ วิปสฺสิสํ
    สมฺปตฺเต อรุณุคฺคมฺหิ อรหตฺตํ อปาปุณึ

    เราทุบเท้าสองข้าง ป้องกันท่านทั้งหลาย
    เราเอือมระอาในความตายทั้งที่ยังมีราคะ เราคิด
    อย่างนี้แล้ว ก็เห็นแจ้งตามเป็นจริง พอรุ่งอรุณมา
    ถึง เราก็บรรลุพระอรหัต ดังนี้.


    .......................................

    เรื่องวิบากส่งผลนั้น หลีกเลี่ยงไม่ได้

    แต่คงไม่ได้ปรุงเป็นกรรมใหม่เพิ่มอะไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 กรกฎาคม 2012
  13. blank123

    blank123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +229

    อืม...ช่างอธิบายได้ อย่าง
    ชัดเจน และ แจ่มแจ๋ว มากมาย
    จนอยากกดไลค์ ให้เลยวุ้ย


    :cool::cool::cool:
     
  14. blank123

    blank123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +229

    จะ นู๋ผี หรือ นู๋ดี ก็ยังไม่เจ๋ง อ่ะ
    อิฉันขอเป็น นู๋บี งี้ อีกสัก 500 ชาติ คร้าาา
    เพราะอย่างน้อย คนอย่าง อินู๋บี
    มัน ก็ไม่เคยคิดจะเอา คำว่า ธรรมสังเวช มาเป็นไม้กันหมา
    เวลาที่ตัวเองนั้นต้องหลั่งน้ำตา :'(
     
  15. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    สมพรนิ๊ว ส๊าตุ๊
     
  16. blank123

    blank123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +229
    ก็ พ่อนู๋ผี ก๊ะ แม่นู๋ดี มัน กระจอกจริง ๆ นี่หว่า
    ถึงต้องมา เป็น ลูกกระจ๊อก เอ๊ย ลูกศิษย์ คนอื่นอย่างนี้
    พูดแล้วจะหาว่า คุย อาเหล่าม่านู๋บี น่ะนะ
    เป็นถึง แม่ยายพระยามารเชียว นะจ๊ะ


    ถ้าในเมื่อ เราไม่มีปัญญา
    ที่จะหลุดออกจากวงปฏิจ
    เราก็ต้อง เอากิเลส ตัด กิเลส
    รู้จัก หลอกใช้ พระยามาร มาเป็น บันไดเหยียบ
    เพื่อ เพิ่มพูน ภูมิศีล ภูมิธรรม อ่ะดิ
    เผื่อจะ ซาบซึ้งและเข้าถึง คำว่า ธรรมสังเวช ได้เร็ว ขึ้น :boo:
     
  17. prospervitna

    prospervitna สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +11
    จุดมุ่งหมายสูงสุดของ [พระพุทธศาสนา] คืออะไร?
    : ผมเชื่อว่าท่านทั้งหลายทราบดี...

    พระบรมศาสดา ตรัสว่า"เธอทั้งหลาย ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง และเธอทั้งหลายจงอย่างคิดว่า ความตายจะเข้ามาถึงเราในวันพรุ่งนี้" พระองค์ให้คิดว่าความตายอาจจะมาถึงเราวันนี้ไว้เสมอ ในตอนหนึ่งที่พระองค์ตรัสกับพระอานนท์ ถามพระองค์ว่า
    "อานันทะ ดูก่อนอานนท์ เธอคิดถึงความตายวันละกี่ครั้ง" ความจริงเวลานั้นพระอานนท์ท่านเป็นพระโสดาบัน พระอานนท์กราบทูลองค์สมเด็จพระภควันต์ว่า
    "ข้าพระพุทธเจ้า นึกถึงความตายวันละประมาณ ๗ ครั้งพระเจ้าข้า"
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า "อนันทะ ดูก่อนอานนท์ ความรู้สึกนึกถึงความตายวันละ ๗ ครั้งนี่ห่างเกินไป ตถาคตเองนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก"


    แค่ผมกำลังจะบอกว่า ท่านกำลังทำอะไรกันอยู่ เกิดท่านตายขณะที่ท่าน ถกเถี่ยงกัน
    ท่านคงไม่มีเวลาได้นึกถึง พระรัตนไตยหรอกอารมณ์ที่ท่านสนทนากันเป็นเช่นไร ท่านย่อมรู้ดี


    "ขอให้ท่านทั้งหลายถึงพระนิพพาน"
     
  18. action_jai

    action_jai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2007
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +241
    มิทราบได้ว่าผู้ใดเป็นพระอรหันต์... เพราะข้าพเจ้ายังไม่เป็นพระอรหันต์ จึงไม่อาจไปตัดสินใครได้...
    อีกทั้งไม่เกิดประโยชน์แก่ตนแต่อย่างใดในการจะไปสงสัยธรรมของผู้อื่น..
    รู้เพียงแต่เอาเวลาไปปฏฺิบัติตามหลักอริยมรรคมีองค์แปด ให้บริบูรณ์เสียดีกว่า...
    เมื่อเห็นธรรมในตนแล้ว จะได้เลิกสงสัยในธรรมของผู้อื่น...
     
  19. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระอรหันต์ยังร้องไห้ ยังโกรธอยู่หรือ

    (ลูกศิษย์หลวงพ่อซึ่งเป็นนักปฏิบัติได้นำกำไลหยกเลี่ยมทอง ไปถวายบูชาพระเจดีย์ที่บรรจุพระธาตุพ่อแม่ครูอาจารย์ แล้วเกิดปีติ ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างรุนแรง มีผู้ตำหนิว่า ปฏิบัติมาขนาดนี้ ทำไม ยังขาดสติ เกิดปีติรุนแรงแบบนี้ จึงมากราบเรียนถามหลวงพ่อว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ผู้ปฏิบัติจะเกิดปีติรุนแรงเช่นนี้)

    หลวงพ่อให้คำตอบว่า
    “เป็นไปได้ พระอรหันต์ก็ร้องไห้ได้ การร้องไห้มันเป็นกิริยา ของกายต่างหากเล่า ไอ้ตัวร้องไห้มันก็ร้องไป ไอ้ตัวที่นิ่งเฉยอยู่มัน ก็นิ่ง ใครไปทักอย่างนั้นแสดงว่าภาวนาไม่เป็น”
    พระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระปุถุชนโศกเศร้าเสียใจ พระอรหันต์ได้ธรรมสังเวช ธรรมสังเวชนี่แหละมันทำให้น้ำตาไหล ไม่ใช่ ว่าพอสำเร็จอรหันต์แล้ว มันจะไม่มีอะไร มันก็เหมือนกับปุถุชน ธรรมดานี่แหละ แต่สิ่งที่จะให้ท่านเกิดกิเลสเมื่อก่อนนี้มันหมดไป แต่ความตื้นตัน ความปีติต่างๆ นี่ มันเป็นองค์ประกอบของสมาธิ มันก็ ต้องมีอยู่เป็นเรื่องธรรมดา อาการปีตินี่เป็นอาการที่จิตได้ดื่มรสพระสัทธรรม

    “หลวงปู่โกรธเป็นไหม”
    “โกรธเป็น แต่ไม่เอา”

    อันนี้คือคำตอบของหลวงปู่ดูลย์ คือมันแสดงความรู้สึกขึ้นมาเฉยๆ ว่าโกรธ แล้วท่านก็ไม่เอา
    ผู้ที่เป็นพระอรหันต์จริงๆ เวลาท่านกำหนดจิตรู้อารมณ์นี่ จิตก็ปรุงแต่งเหมือนๆ กับคนธรรมดา ทีนี้ภายในสมาธินี่มันก็เกิด นิมิตขึ้นมา ถ้าท่านรู้เรื่องอดีตชาติ ท่านก็แสดงอาการร้องไห้ออกมา ร้องไห้ในสมาธิ แต่ร้องไห้น้ำตาไม่ออก
    ส่วนคนที่จิตยังไม่พ้นกิเลส พอได้นิมิตว่าชาติก่อนนี่เราไป เกิดเป็นอันนั้น ได้ไปทะเลาะตบต่อยตีกันที่ตรงนั้น พอรู้สึกอย่างนั้น ก็ลุกขึ้นมากระโดดโขมงโฉงเฉง
    ความรู้ของพระอรหันต์นี่ ท่านรู้ว่า ชาตินั้นท่านเป็นอย่างนั้น ได้ทะเลาะเบาะแว้งกับคนนั้นคนนี้ มันก็แสดงอาการโกรธเคียดขึ้นมา แต่ความโกรธ ความเคียด กับจิตของท่าน มันแยกกันเป็นคนละส่วน เหมือนๆ กับบางครั้งที่จิตของเรามีอารมณ์เกิดขึ้นๆๆ แต่มันเป็นกลาง เฉย สิ่งรู้เป็นแต่เพียงอารมณ์จิต แล้วตัวเองที่ไม่ได้ไปสวมสอดเข้าไป ในเรื่องนั้น มันแยกเป็นคนละส่วน ผู้ที่รู้ยังไม่ถึงแก่น พอรู้เข้ามาพั้บ ก็สำคัญว่าตัวเองอยู่ในปัจจุบันนั้น

    เช่นอย่างพระองค์หนึ่ง เป็นหัวหน้าพระ ๓๐ รูป อุบาสิกา คนหนึ่งเป็นอุปัฏฐากอยู่ ภายหลังอุบาสิกาฟังเทศน์ฟังธรรมจาก พระเหล่านั้นแล้วได้สำเร็จพระโสดาบัน พอท่านได้สำเร็จพระโสดาบัน ท่านก็ตรวจสอบดูพระของท่านว่าท่านองค์ไหนได้บรรลุคุณธรรมหรือ เปล่า พอเสร็จแล้วก็รู้ว่ายังไม่บรรลุ ขัดข้องอะไร ขัดข้องรสอาหาร บางท่านชอบเปรี้ยว ชอบเผ็ด ชอบมันอะไร ไม่ได้ตามใจ มันก็ไป ข้องอยู่ที่ตรงนั้น เมื่อท่านรู้แล้วว่าองค์ไหนชอบอะไร ท่านก็ทำให้ ถูกใจหมด พอตอนกลางคืนนึกขึ้นมาอยากฉันอย่างนั้น ตื่นเช้า มา แล้ว หนักๆ เข้าพระอาย พากันไปกราบทูลพระพุทธเจ้า
    พระพุทธเจ้าก็ถามว่า “ทำไมทิ้งอุบาสิกามาเสียเล่า”
    พระหัวหน้าก็ทูลพระพุทธเจ้าว่า “อยู่ด้วยไม่ได้หรอก คิดอะไรก็รู้หมด... อาย”
    พระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่า “เขาเป็นมารดาของพวกเธอมา หลายภพหลายชาติแล้ว มาชาตินี้ เขานั่นแหละจะช่วยให้พวกท่าน ได้สำเร็จพระนิพพาน กลับมาอยู่กับเขาเสีย”
    พระทั้งนั้นก็กลับไปอยู่กับอุบาสิกา พอกลับมาก็สำรวมจิต สำรวมใจพิจารณาปัจจเวกขณะ ขจัดความชอบหรือไม่ชอบออก ทำ จิตให้เป็นกลาง ไม่ให้ยินดียินร้ายในรสอาหาร จึงได้สำเร็จอริยมรรค อริยผลขึ้นมา ลูกน้องได้สำเร็จพระโสดาบัน อุบาสิกาได้สำเร็จพระสกทาคามี ไปๆ มาๆ พระทั้งหลายได้สำเร็จพระอรหันต์ อาจารย์ ใหญ่สำเร็จเพียงแค่พระโสดาบัน อุบาสิกาก็พิจารณาดูว่า พระเรา สำเร็จแล้ว แต่อาจารย์ใหญ่นี่สำเร็จหรือยัง... ยังไม่สำเร็จ
    อยู่มาวันหนึ่ง ภูมิจิตอาจารย์กำลังเริ่มก้าวหน้าจนได้บรรลุ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ก็ระลึกขึ้นมาได้ว่า ในชาติหนึ่งภพหนึ่ง อุบาสิกา คนนี้เป็นภรรยาของท่าน แล้วไปคบกับโจร พอท่านไปรู้อย่างนั้น ท่านก็โกรธขึ้นมาอย่างแรง โกรธชนิดที่ว่าจิตกับอารมณ์แยกกันไม่ ออก อุบาสิกาก็ส่งกระแสจิตไปเตือน “ระลึกต่อไปอีกชาติหนึ่ง พระคุณเจ้า” พอระลึกไปอีกชาติหนึ่ง ไปรู้ว่า ชาตินั้นท่านผู้นี้ถูกโจรจับ มันจะฆ่า อุบาสิกานี่ก็เป็นภรรยาของโจร พอโจรมันจะฆ่า ภรรยา ก็ขอร้องว่าอย่าไปฆ่าเขาเลย เขาไม่มีความผิด ก็ถูกปลดปล่อยไป ในเมื่อรู้อย่างนั้นก็มานึกถึงบุญคุณเขา ความโกรธมันก็ระงับลง
    แล้วในที่สุดก็ได้สำเร็จพระอรหันต์
    เพราะฉะนั้น เราโกรธด่าตีกันธรรมดานี่ มันไม่สำคัญหรอก โกรธในสมาธินี่มันร้ายแรงที่สุด ดีไม่ดีระงับไม่อยู่ กรรมฐานแตก

    ฐานิโยธรรม
    พระธรรมคำสอน พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
     
  20. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    โรณสูตร              

    ๕๔๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย การขับร้อง คือ การร้องไห้ในวินัย ของพระอริยเจ้า การฟ้อนรำ คือ ความเป็นบ้าในวินัยของพระอริยเจ้า การหัวเราะ จนเห็นฟันพร่ำเพรื่อ คือ ความเป็นเด็กในวินัยของพระอริยเจ้า เพราะเหตุนั้น แหละ จงละเสียโดยเด็ดขาดในการขับร้องฟ้อนรำ เมื่อท่านทั้งหลายเบิกบานใน ธรรม ก็ควรแต่ยิ้มแย้ม ฯ

    พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสว่าเป็นพระอรหันต์แล้วจะหัวเราะร้องไห้ไม่ได้ (แต่สำหรับพระพุทธเจ้านั้นไม่เคยปรากฏว่าท่านหัวเราะหรือร้องไห้ แต่มีการยิ้มแย้มในบางโอกาส) ท่านให้ละการขับร้องฟ้อนรำโดยเด็ดขาด แต่เรื่องการหัวเราะนี่ ท่านไม่ได้ห้ามแต่ท่านแนะนำว่า ควรแต่ยิ้มแย้ม ถ้าหัวเราะแบบเห็นฟันก็คงพอทำได้ แต่อย่าทำพร่ำเพรื่อเพราะไม่งาม

    อีกเรื่องคือที่เชื่อกันว่า พระอรหันต์หลับแล้วไม่ฝัน ไม่ละเมอ นี่ก็ไม่มีหลักฐานในชั้นพระไตรปิฎกกับอรรถกถาเช่นกัน

    ทั้งนี้ การฝันเป็นเรื่องของความคิดซึ่งจัดเป็นสังขารขันธ์ ส่วนการหัวเราะหรือร้องไห้ก็เป็นเรื่องของ ขันธ์ 5 คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เช่นกัน พระอรหันต์ดับกิเลสอวิชชา แต่ขันธ์ 5 ยังอยู่ไปจนถึงวันที่สิ้นอายุขัย ดังนั้นจึงฝัน หัวเราะได้ ร้องไห้ได้ ไม่ผิดอะไร แต่ท่านไม่ได้ร้องไห้ด้วยความเสียใจแบบไร้สติ แต่เป็นเพราะขันธ์มันกระเทือนเมื่อได้รับรู้เรื่องราวบางอย่าง เช่นการนิพพานของพระพุทธเจ้า หรือการนิพพานของอาจารย์ผู้ที่สอนจนท่านรู้ธรรม แต่ที่ท่านเรียกธรรมสังเวชก็เพราะไม่ให้คนทั้งหลายเข้าใจผิดคิดว่าพระอรหันต์เสียใจจึงใช้คำว่าธรรมสังเวช ทั้งนี้บางองค์เจริญมรณานุสสติเป็นประจำ การปลงธรรมสังเวสของท่านเหล่านั้น ก็จะเหมือนเฉยๆ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พระอรหันต์บางท่านอาจปลงธรรมสังเวชด้วยการปล่อยให้ขันธ์แสดงอาการของมันโดยไม่ไปยุ่งกับมันแต่มีจิตที่รู้ตัวเป็นผู้รู้ผู้ดูขันธ์มันทำงานไปโดยไม่ไปแทรกแซงมัน การปลงธรรมสังเวชของท่านเหล่านี้ ภายนอกก็จะเหมือนกับคนที่ร้องไห้ปกติ แต่ภายในใจท่านไม่ได้ยึดติดหรือเสียใจสักนิดเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มกราคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...