สงสัยเรื่องสัมผัส หู ตา จมูก ลิ้น

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย tins007, 21 มิถุนายน 2012.

  1. tins007

    tins007 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +38
    "ผู้ใดมี "สติ" ... อยู่ทุกเวลา
    ผู้นั้นก็จะได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้า...อยู่ตลอดเวลา
    เพราะว่า เมื่อตามองเห็นรูป...ก็เป็นธรรมะ
    หูได้ยินเสียง...ก็เป็นธรรมะ
    จมูกได้กลิ่น...ก็เป็นธรรมะ
    ลิ้นได้รส...ก็เป็นธรรมะ
    ธรรมารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ นึกขึ้นได้เมื่อใด...เป็นธรรมะเมื่อนั้น

    ที่มา : หลวงพ่อชา สุภทฺโท วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี

    ผมอยากเข้าใจแบบง่าย ๆ อ่านแล้ว หูได้ยินเสียงก็เป็นธรรมะ คือ ยังไงครับ สมมุติตอนนี้ รถขับผ่านบ้านผมเสียงดังมาก มันเป็นธรรมะยังไงครับผมอาจมองภาพไม่ออกทุกอย่างบางอย่างก็มองออก

    ผมอยากได้ยินคำอธิบายจากผู้เข้าใจครับผม
     
  2. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    ก็ทุกอย่างมันเป็น อนิจจัง ทุกข์ อนัตตา หากไปยึดมันไว้

    ลองหัดมองลงที่กระแส ปฏิจจสมุปบาท ซิครับ
    ครับ
     
  3. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ก็ต้องเอา บทว่าด้วย "วิตก3" มาพิจารณา

    กามวิตก พยาบาทวิตก และ วิหิงสาวิตก

    ทำไมต้องเอา 3 วิตก นี้มาพิจารณา เพราะว่า มันเป็นเครื่องกั้นไม่ให้เรา ได้ยินธรรมะ

    เช่น

    คุณได้ยินเสียงดังมากแต่จิตใจคุณเคลิ้บเคลิ้มกับเสียงนั้น มีกามวิตก หากมีกามวิตกอยู่
    จิตใจคุณจะไม่ได้ยินธรรมะ

    คุณได้ยินเสียงดังมากแต่จิตใจคุณไม่พอใจ ไม่ชอบใจ มีพยาบาทวิตก หากมีพยาบาทวิตก
    อยู่ จิตใจคุณจะไม่ได้ยินธรรมะ

    หรือ

    คุณได้ยินเสียงดังมากแต่จิตใจแล่นไปด้วยเรื่องของการเบียดเบียน รู้สึกว่าถูกเบียดเบียน
    อยู่ จิตใจคุณจะไม่ได้ยินธรรมะ

    ดังนั้น

    ต้องตามพิจารณา เวลาได้ยินเสียงกระทบ แล้ว ทำการรู้จักสภาพธรรม กามวิตก พยาบาท
    วิตก และ วิหิงสาวิตก ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะทันอาการวิตกเหล่านี้ เห็นสภาพวิตกเหล่านี้ว่า
    ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของๆเรา หรือ กำหนดรู้ว่าเป็นทุกขสัจจ เป็นเครื่องกั้น จิตใจคุณจะค่อยๆ
    คลาย วิตก3 นี้ออก ที่ละเล็กละน้อย เหมือน ริบกิ่งไม้ออกจากต้นไม้เพื่อโค่นล้มต้นไม้ไป
    เรื่อยๆ

    พอกิ่งก้าน สาขา หมด ก็จะเริ่มเป็นเรื่องของ เปลือกไม้ กระพี้ไม้ แก่นไม้ ต่อไป

    .................

    กว่าจะถึง จังหวะฟังธรรมได้ จะต้องลงไปถึง แก่นไม้ นะ ก็เรียกว่า มีหลายซับหลาย
    ซ้อน แต่ทว่า เครื่องมือที่ใช้ มีตัวเดียวตลอดสาย คือ กำหนดรู้ทุกขสัจจ ไปเรื่อยๆ
    นั่นแหละ ( สติปัฏฐาน 4 ก็เรียก )
     
  4. tins007

    tins007 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +38
    ครับผมเมื่อมีสติรู้แล้วว่ามันทุกข์ แต่มันก็ไม่ถึงกับมีความสุข เหมือนว่ามันเฉยๆ แบบนี้มันเฉยชาไร้วิญญาณรึป่าวครับ เช่น โทรหาแฟนหลายๆครั้งแล้วไม่รับเริ่มหงุดหงิด เริ่มโมโห แล้วระลึกสติได้ว่าเริ่มมีความโกรธเข้ามาเราต้องหยุดพอละรึกได้เราก็ปล่อยวาง ทำแบบนี้กับหลายๆสิ่ง มันจะเย็นชาไปรึป่าวครับ
     
  5. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    อย่าไปดูเป็นเรื่องๆ อย่าจับปลาซิวปลาสร้อย

    ให้ดู องค์รวม เพราะ เรากำลังศึกษาสิ่งที่เรียกว่า ทุกขสัจจของวัฏฏ

    พูดง่ายๆ เรียกว่า ตามดูความผันแปร ความไม่เที่ยง เนืองๆ

    เช่น

    ก่อนโทรหาแฟน เสียงยังไม่มาเลย แต่ เจื้อยแจ้วจำนรรจา เล่นเอาคนคอยยิ้ม
    น้อยยิ้มใหญ่ หลังจากนั้น ก็ตกใจนิดๆ เรียกให้เพราะๆว่า เกรงใจหน่อย เสร็จ
    แล้วก็ยิงไป กริ้งที่หนึ่งตื่นเต้นโทรติด กริ้งที่สองไม่ทันไรเริ่มร้อนใจ กริ้งที่สาม
    เอะไม่มาหรือคุยอยู่กับใคร กริ้งที่สี่ไม่ได้ดูหน้าจอหรือถึงไม่กดรับ กริ้งที่ห้าชัก
    สงสัยระคนใจ กริ้งที่หกใครหนอใครจะมาพรากดวงใจไปหรือหนอ กริ้งที่เจ็ด
    เธอไม่รับสาย...............

    เนี่ยะ แค่จังหวะโทรศัพท์ดัง ช่วงเวลาไม่ถึงนาที จิตใจเรา แปรปรวนไปมา

    ให้พิจารณาเห็น ความแปรปรวนเหล่านั้น เป็นองค์รวมไปเลย ไม่ต้องแยก
    เป็นเรื่องๆ

    แต่คุณคงเถียงหน่อยๆ ก็ตะกี้ ให้พิจารณา วิตก3

    ก็ต้องเฉลยแบบนี้ ไม่ว่าจะ โทษะ โมหะ โลภะ วิตก3 ตัณหา วิตก วิจาร ปิติ สุข
    อุเบกขา เอกัคคตา เหล่านี้ ล้วนแต่ กำหนดมาเป็น อุบายผูกจิต ให้คุณปริวิตก
    เรื่องราวให้มันน้อยๆ( เทคนิคริบกิ่งก้านใบไม้นั่นแหละ แต่ ใช้ความเป็น super set
    ทำลาย sub set ให้เหลือเป็น univers ในที่สุด)

    พูดง่ายๆ มันแค่ อุบายฝึกจิตให้สนใจเข้ามาฟัง

    ฟังอะไร

    ฟัง ธรรมหนึ่ง

    ธรรมหนึ่ง ก็คือ พุทธมนต์เป้าหมาย ที่คุณถาม
     
  6. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ทีนี้ เวลาปฏิบัตธรรม ต้อง ลงมือปฏิบัติเอา อย่ารีบร้อนเอาผล

    หากรีบร้อนเอาผล ความคิดจะแล่นนำหน้า

    เช่น

    บอกว่า สุดท้ายริบกิ่งก้านแลใบ จนเหลือ หนึ่งเดียว เอ...อย่างนี้ เราก็จับมันหนึ่ง
    เดียวเลยสิ ไม่ต้องเสียเวลา

    อะไรแบบนี้ไม่ได้ ต้องค่อยๆปฏิบัติ ฝึกฝนอบรมไปทีละน้อย หากสับสน ก็ต้อง
    เลือกกลุ่มของธรรม มาให้เข้ากับสมัย เช่น กำลังเจอเสียงดัง ก็เอาวิตก3 กำลัง
    เจอเรื่องราวนิ่งๆว่างๆ ให้หยิบกายคตาหู ขน เล็บ ฟัน หนัง หากกำลังล่องลอย
    อยู่ในทิพย์วิมานให้หมั่นรู้กายรู้ใจอย่าทิ้งอย่าให้หาย ลมหายใจเข้าออกอย่าให้หาย
    เป็นต้น
     
  7. tins007

    tins007 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +38
    ฮ่า ๆ ๆ ครับผม เริ่มเข้าใจบ้างแล้ว ทุกสิ่งที่มันเกิดมันมาเล่นงานเราโดยจิตไม่ทันระลึก 5555 แต่ถ้าระลึกได้มันจะรู้ทัน ถ้ารู้ทันแล้ว ผมเข้าใจว่าถ้ารู้ทันแล้วเราจะปล่อยวางเฉย ผมอยากให้ยกตัวอย่างเหตุการณ์สัก ตัวอย่างได้ไหมครับว่าจะทำอย่างไร เช่น ถ้าคุณเห็นคนโดนรถชนตายซึ่งคนนั้นคุณอาจรู้จักจะทำอย่างไรหรอครับ เราต้องระลึกแล้วปล่อยวางหรืออย่างไรครับผมจะได้เอาไปใช้ในชีวิตประจำวัน

    ผมเด็กใหม่ที่อยากรู้ อยากถาม และสงสัยมาก กรุณาช่วยอธิบายหน่อยนะครับ ผมอาจจะสื่อสารไม่คล่อง
     
  8. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ก็ต้องทราบก่อนว่า หากคุณ เห็นรถชนคนตายแล้วใจคุณกระเดิดออก
    เช่น เสียใจ ส่วนใหญ่จะเสียใจ จิตคุณจะเศร้าหมองทันที และ ผลกรรม
    นั้นทำให้จิตคุณกระสับกระส่าย ปวดหัว ตัวร้อน นอนไม่หลับ ไตไม่ขยับ
    กรามพิการ อาหารไม่ย่อย ...........บางราย ของเก่าออกทางปาก

    พูดง่ายๆ หากยินร้าย ก็ มีโทษ

    หรือกรณี คนที่ถูกชนเป็น โจร เป็น เสื้อ..........(ออกไปดูก่อน)

    แล้วเกิดดีใจ ที่ตายเสียได้ หรือ เห็นขอทานโดนชนตาย รู้สึกว่า เฮ้อพ้นเวรพ้น
    กรรมไป ไอ้แบบนี้ก็คือกัน ไม่ต่างกัน คือ จะ ต้องได้รับกรรม มีไข้ กระส่ายกระสับ
    ปวดหัว ตัวร้อน ............

    หรือ เห็นแล้วทำจิตเป็นเฉยๆ แต่ก็ดู ดูแล้วก็ทำเป็นว่า กูเฉย ไอ้แบบนี้ ร้ายกว่าเดิม
    ในแง่ที่ว่า อาจจะเป็นคนดีสุดๆก็ได้ เป็นที่พึ่งหรือนายใหญ่ของเทวดาเลยก็ได้ แต่
    ในเวลาเดียวกันก็สามารถผลิกเป็นมารร้ายสุดๆในหมู่เทวดาก็ได้ เรียกว่า พวก
    ปรมินวัสวัตตี(อาจจะสะกดไม่ถูก สววรคิ์ชั้น 7 นั่นแหละ )

    เนี่ยะ

    หากเราไม่ได้ภาวนา แล้วเกิดผัสสะกระทบ ยินดีก็เสียหาย ยินร้ายก็เสียหาย ทำเฉย
    ก็เสียหาย ไม่มีทางรอดจาก วัฏฏสงสาร ได้ ยากมาก

    แต่...............พุทธมนต์ที่คุณถามถึงนั้น เป็นทางออก และ คำตอบของทั้งหมด


    *****************

    ปล. ..........(ออกไปดูก่อน) เป็นแสลงใหม่ของเด็กห้องวิทย์เว็บพลังจิต
    หมายถึง อาการรูดซิปปาก ใส่เข้ามาเพื่อให้เห็น ความไม่เที่ยงของผู้พูดที่พึ่ง
    ไม่ได้เท่ากับ คุณปฏิบัติเองลงมือเอง รู้เองเห็นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2012
  9. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413

    เห็นโกรธโลภหลง แล้วลดละได้ ทำให้มาก ลดอนุสัยได้ดีนักแล
     
  10. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413

    เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เลือกใช้ ซิ ทำให้มาก ได้ส่วนที่มี นำสู่ส่วนที่ไม่มี
     
  11. tins007

    tins007 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +38
    ครับผม ผมคงต้องปฎิบัติให้เยอะขึ้น ต้องทำจนเข้าใจ ผมคงจะเห็นทางไปได้ง่ายกว่านี้ ขอบคุณมากครับ

    สาธุครับ
     
  12. tins007

    tins007 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +38
    ครับคุึณ somchai_eee ที่ผมได้มาศึกษาธรรมะก็เพราะความ โมโห โกรธของผม วันนึงผมเกิดสงสัยว่าปัญหา และ สิ่งที่ไม่พอใจที่เกิดกับเรามาจากอะไร ผมก็นั้งคิดพิจาณา คำตอบคือมันเป็นอารมณ์ร้อน โมโห โกรธ หลง ความต้องการ ผมจึงคิดว่าผมจะต้องเป็นคนไม่โกรธ แต่มันก็ทำได้ยากหากขาดธรรมะมาช่วย ผมจึงได้ศึกษาก็พยายามนั่งสมาธิ กำหนัดจิตเป็นปัจจุบันเรื่อย ๆ แต่ทำไปเรื่อยๆบางทีก็ ปวดหัว แล้วก็ยังมีความคิดมาก ผมคงต้องหัดไปเรื่อยๆ
     
  13. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    ทั้งชีวิตพระพุทธองค์สอนแต่เรื่อง อริยสัจจ์4 ทุกคำสอน ให้มองลงในอริยสัจจ์4 ทุกการกระทำ มีผลของมันเสมอ
    เริ่มต้น ขอแค่
    ปฏิบัติเพื่อ ละ ไม่ได้ปฏิบัติเพื่อ เป็น เพื่อ มี
    เอา ทาน ศิล ภาวนา เป็นเบื่องต้น
     
  14. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    นั่นแหละๆ เนี่ยะ เริ่มฟังธรรมเป็นละ

    เป็นตรงที่ ฟังจากข้างใน เป็นใหญ่

    เอา ธรรมเป็นใหญ่

    ก็คือ ฟังจากข้างในเป็นใหญ่

    แล้วก็ อย่าลืม ตามเห็น จังหวะสะดุด แบบ "...ออกไปดูก่อน" ไว้ด้วย

    เรียก การตามดูการสะดุด ในสิ่งที่เคยข้ามว่า ความไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย
     
  15. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    เนี่ยะๆ แบบนี้ก็ได้

    หากเราพบว่าเราเป็นคนมักโกรธ ก็ปรารภว่า ต่อไปเราจะไม่โกรธ
    หากเราพบว่าเราเป็นคนตระหนี่ ก็ปรารภว่า ต่อไปเราจะไม่ตระหนี่
    ...................................................

    แบบนี้ พระพุทธองค์ก็ตรัสรับรองว่า ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ เรียกว่า
    กำจัดที่ วิหิงสาวิตก ( จำชื่อพระสูตรไม่ได้ รู้แต่ว่า มีสอนอย่างนี้)

    ส่วนที่ คุณปรารภว่า ภาวนาไปบางทีก็ปวดหัว

    อันนี้ มันก็เหมือน เห็น คนอื่นตายนั่นแหละ

    แต่ กลับกัน เอาธรรมภายนอกมาเป็นธรรมภายใน คือ การภาวนา
    แบบยินดี ยินร้าย ทำเฉย ต่อ ผลงานการปฏิบัติของตนเอง อันนี้
    แหละ เป็นเวรกรรมเหมือนกัน ไม่ต่างกันกับ เห็นคนอื่นตาย

    ดังนั้น อย่าให้คะแนนตัวเอง อย่าตัดแต้ม อย่าทำเฉย เราต้อง
    "ไม่เพียร ไม่พัก ก็จะถึงมหาสมุทรได้"
     
  16. tins007

    tins007 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +38
    ครับผมขอบคุณมากๆครับ ผมคงต้อง "...ออกไปดูก่อน" 55555
     
  17. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253

    อะจึ๋ยยส์

    ยังไงก็อย่าเอา มุข นี้ไปใช้สอนใครต่อหละ ถือเสียว่า ว.5 fl.4 ละกาน

    ใช้คำของ ตถาคต ดีที่สุด ใครบอกให้ โกยตำราใส่ตู้ เราฟังหูไว้หูก็ได้เนาะ
     
  18. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413

    เป็นแค่แรงผลักดัน ที่ยังไม่สุด....เท้า ท่านอยากอยู่อย่างมีสุข มากกว่า ทุกข์ ใช่มั้ยครับ

    อุบายธรรม ระงับ โกรธ มีเยอะ เอามาปฏิบัติรวมๆกัน เคยอ่านที่ครูบาร์อาจารย์มาสอน มี ประมาณ 10 ข้อ ลองหาดู ทาง นาย กูเกิล นะครับ

    ทุกคำสอน ทุกอย่างที่นึกได้ เอามาระงับได้ ถือว่าใช่ได้ ไม่ต้องไปยึดว่าต้องใช้ ธรรมนี้ อุบายนี้ มีสติ จิตจะหยิบ จากสัญญา ออกมาเอง

    ที่ท่านทำอยู่ ก็เจ๊งมากแล้ว เจริญสติ นี้แหละ บาทฐานของ ทุกธรรม
    อย่าลืมเอาความเพียรมาด้วยนะครับ

    สาธุครับ
     
  19. tins007

    tins007 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +38
    ขอบคุณทุกท่านมากเลยครับ ที่ชี้แนะผม ที่เหลือผมต้องปฎิบัติเสียแล้ว
     
  20. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846


    ลองดู

    " ปัจจุปันนัง จะ โยธัมมัง "
    " ผู้ใดเห็นธรรมในปัจจุบัน ผู้นั้นเป็นผู้ไม่ง่อนแง่นคลอนแลนในธรรมทั้งหลาย "​


    ตากระทบรูป หูได้ยินเสียง ย่อมรู้ที่จิต ​

    หากเกิดยินดี ก็มีแนวโน้มให้เกิดกามตัณหา
    ยินร้ายก็มีแนวโน้มเกิดวิภวตัณหา
    เกิดยึดไว้ ก็มีแนวโน้ม เกิดภวตัณหา​

    ทีนี้ หากเรา รู้ทัน ในลักษณะที่ว่า ตากระทบรูป หูกระทบเสียง แล้วรู้ทันที่จิตว่า สภาพจิต เกิด ยินดีหรือ ยินร้าย นั่นแสดงว่า เรารู้ทันในปัจจุบัน​

    จึงเรียกว่า ตากระทบรูป หูได้ยินเสียง ก็เป็นธรรมมะ เมื่อเรารู้ทันที่จิตในปัจจุบัน​

    แต่ว่า การที่จะรู้ทันในปัจจุบันแบบนี้ได้ จึงต้องฝึก ตามรู้ให้ชำนาญ ให้ได้บ่อยๆ
    จนจิตสามารถรู้ทันในปัจจุบันจริงๆได้ ​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 มิถุนายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...