เธอคือโพธิสัตว์ ว.วชิรเมธี

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 2 มิถุนายน 2012.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    [​IMG]

    ความรู้สึกลึกๆ ธรรมดาๆ ที่ว่า อยากจะช่วยเขาก่อน
    เห็นใครตกทุกข์ได้ยาก อยากจะช่วยเขา นี้คือหัวใจของ
    ความเป็นพระโพธิสัตว์ เห็นผู้ตกทุกข์ได้ยาก เรื่องของ
    ตัวเองเอาไว้ก่อน ใครก็ตามที่มีความรู้สึกอยากจะช่วย
    ผู้อื่นก่อน คนคนนั้นมีหัวใจแห่งความเป็นพระโพธิสัตว์
    อยู่ในเนื้อในตัวอยู่แล้ว
    สวนโมกขพลารามที่ไชยาก็ดี สวนโมกข์กรุงเทพฯ
    ก็ดี มีรูปปั้นพระปฏิมาพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร หรือ
    พระโพธิสัตว์กวนอิมตั้งอยู่ นี่ก็คือสัญลักษณ์แห่งหัวใจของ
    พระพุทธศาสนาประการหนึ่ง ที่เราเรียกกันว่าเมตตากรุณา
    แต่ถ้าเราไม่เข้าใจความหมายของพระปฏิมาของ
    พระโพธิสัตว์แห่งนี้ รูปปั้นนี้ก็จะทําหน้าที่เป็นเพียง
    แลนด์มาร์ค ซึ่งแขกไปใครมาก็มาถ่ายรูป แล้วก็บอกว่า
    ฉันมาถึงแล้วที่หอจดหมายเหตุพุทธทาส ฉันมาถึงแล้ว
    ที่สวนโมกข์กรุงเทพฯ ทุกคนกําลังมองกันในแง่ของ
    ศิลปะ นี่เป็นงานที่วิเศษ หาที่ไหนไม่ได้แล้วในประเทศไทย
    หรือในโลกนี้ ที่พระโพธิสัตว์สวยที่สุด มีลักษณะทาง
    พุทธศิลป์ที่สวยที่สุด เมื่อมาถึงก็มาถ่ายรูป สิ่งที่ได้ไปคือ
    รูปถ่ายคู่กับพระโพธิสัตว์ใบหนึ่ง ถ้านักศึกษาก็ศึกษาใน
    แง่ของพุทธศิลป์ กลับไปก็เขียนงานวิจัยได้ ๑ ชิ้น
    แต่ถ้ามีใครสักคนหนึ่งได้มาเห็นพระปฏิมาแห่งนี้
    พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร แล้วศึกษาให้ลึกซึ้งเข้าไปว่า
    หัวใจของการเป็นพระโพธิสัตว์ คือ การเห็นแก่คนอื่น
    หัวใจของพระโพธิสัตว์ คือ โลกทั้งผองพี่น้องกัน
    หัวใจของพระโพธิสัตว์ คือ ความเบิกบานในการได้รับใช้เพื่อนมนุษย์
    หัวใจของพระโพธิสัตว์ คือ เห็นคนอื่นตกทุกข์ได้ยากแล้วอดรนทนอยู่ไม่ได้
    หัวใจแห่งพระโพธิสัตว์ คือ ช่วยเขาก่อนแล้วช่วยตัวเองทีหลัง
    ถ้าใครจับเอาหัวใจของพระโพธิสัตว์ ๓ - ๔ ประการ
    ที่กล่าวมานี้ไปใช้ในชีวิตจริง พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร
    จะไม่ได้อยู่แค่ที่สวนโมกข์นี้อีกต่อไป แต่พระโพธิสัตว์จะ
    อวตารกลายเป็นพระโพธิสัตว์บนดิน นั้นก็คือ
    ใครก็ตามเป็นบุคคลที่ไม่เห็นแก่ตัว
    ใครก็ตามเป็นบุคคลที่มีความสุขกับการได้เกื้อกูลช่วยเหลือผู้อื่น
    ใครก็ตามเป็นบุคคลที่เบิกบานกับการน้อมรับใช้เพื่อนมนุษย์
    ใครก็ตามมีความสุขที่ได้ช่วยปลดเปลื้องความทุกข์
    ให้แก่ผู้อื่น มีความคิดว่า การช่วยเขาให้พ้นทุกข์นั้นคือ
    ความสุขของเรา หรืองานของเราคือการที่ให้เขามีความสุข
    ใครก็ตามที่ประพฤติปฏิบัติดั้งเช่นที่กล่าวมา เพราะ
    มีโลกทัศน์ว่า โลกทั้งผองคือพี่น้องกัน คนคนนั้นคือพระโพธิสัตว์
    ฉะนั้น เมื่อเรามีรูปปั้นพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์
    กระจายอยู่หลายแห่งทั่วโลก บางที่เมื่อเจดีย์เก่าพังลงมา
    ขุดไปขุดมายังพบรูปปั้นพระโพธิสัตว์ ที่ประเทศภูฏาน
    มีรูปพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ปางพันเนตรพันกร
    พันเนตรก็คือพันตา พันกรก็คือพันมือ อาตมาได้เห็นมี
    รูปเปรียบ รูปปั้น รูปเหมือนของพระอวโลกเตศวร
    กระจายอยู่ทุกหนทุกแห่งทั่วโลก
    แม้กระทั่งยูนิเวอร์แซลที่ลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา
    ซึ่งเป็นสถานที่ที่วงการฮอลีลวูดใช้เป็นศูนย์ถ่ายทำภาพยนตร์
    ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในโรงถ่ายแห่งหนึ่งอาตมาก็ได็เห็นรูปปั้น
    พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น
    แต่แล้วทําไมโลกนี้ยังมีคนที่ตกทุกข์ได้ยากกระจาย
    อยู่ทุกหนทุกแห่ง ทําไมโลกนี้ยังมีการรังเกียจเดียดฉันท์
    มีสงครามและการเข่นฆ่าซึ่งกันและกันกระจายอยู่ทั่วไป
    นั่นก็เป็นเพราะว่าคนจำนวนมากเอาแต่บูชาพระอวโลกเตศวร
    โพธิสัตว์ แล้วไม่ยอมเข้าใจหัวใจของพระโพธิสัตว์
    เราเอาแต่บูชา เราเอาแต่ยกย่อง เราเอาแต่สรรเสริญ
    เราเอาแต่ดูรูปโฉมภายนอก เราเอาแต่ศึกษา แต่เรา
    ไม่เข้าใจสิ่งที่อยู่กับเรา เมื่อไรก็ตามถ้าเราเข้าใจสิ่งที่อยู่
    กับเราอย่างยาวนาน เราเข้าใจลมหายใจของตัวเอง
    เราก็จะตื่นขึ้นมาเป็นพุทธะ หากเราไม่เข้าใจ ต่อให้โลกนี้มี
    รูปปฏิมาแห่งพระโพธิสัตว์กระจายอยู่ทั่วทั้งโลก โลกนี้ก็ไม่มีความสุข
    หากเราลุกขึ้นมาศึกษาแล้วจับเอาหัวใจของ
    พระโพธิสัตว์ออกมาประพฤติปฏิบัติในชีวิตจริงๆ โลกนี้
    จะพลิกโฉมหน้าใหม่ เพราะหัวใจของพระโพธิสัตว์คือ
    โลกทั้งผองพี่น้องกัน และเมื่อโลกทั้งผองเป็นพี่น้องกัน
    เราก็จะทนเห็นเพื่อนพี่น้องของเราตกทุกข์ได้ยาก โดยที่
    เราไม่ลุกขึ้นมาทําอะไรไม่ได้
    ที่สถาบันวิมุตตยาลัย มีเจ้าหน้าที่อยู่กันหลายคน
    เจ้าหน้าที่ทุกคนอาตมภาพตั้งชื่อว่า โพธิสัตวภาคี แปลว่า
    ผู้มีหัวใจแห่งความเป็นพระโพธิสัตว์ และเรียกชื่อย่อว่า
    พธส. ย่อมาจาก พระโพธิสัตว์ภาคี
    โพธิสัตว์ทุกองค์ หรือโพธิสัตว์ภาคีทุกองค์ที่ทํางาน
    อยู่กับอาตมานั้น เราถือปรัชญาว่า งานของเราคือการทําให้
    เขามีความสุข ส่วนอาตมภาพก็เขียนคติธรรมให้กับ
    ตัวเองเวลาทำงานทุกครั้งว่า ขอให้เธอเบิกบานกับการรับใช้
    เพื่อนมนษย์ เวลานี้สถาบันวิมุตตยาลัยจึงมีคำขัวญสำหรับ
    พระโพธิสัตว์ทุกองค์ หรือโพธิสัตว์ภาคีทุกคนว่า ขอให้เธอ
    เบิกบานกับการรับใช้เพื่อนมนุษย์

    คัดลอกมาจาก หนังสือเธอคือโพธิสัตว์ ว.วชิรเมธี
     
  2. vitcho

    vitcho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +748
    พระ ว. สำเร็จ ภาษาต่างประเทศ สาขา ภาษา บาลี ขั้น ที่ 9

    แต่คนไทยทั่วไป นึกว่า พระ ว. แตกฉาน คำสอน ของพระพุทธเจ้า..เวร กรรม...นัก..พระ ว. สอนว่า...

    ไตรลักษณ์ คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป...หุหุหุ
    ศรัทธา กันเต็มบ้าน เต็มเมืองงมงาย กับพระ รุ่นหนุ่มๆได้เปรียญ 9 ตั้งแต่ อายุน้อยๆ ก็เห่อกัน..ทั้งเมือง พระ ว. พูดอะไร มาที ก็ เชื่อ กันหัวปัก หัวปำ....แก่นธรรม สักกระผีก ลิ้น ก็ไม่มี...หา แต่เงิน บำรุงบำเรอ ตัวเอง ด้วยการ ขายศรัทธา ต่อ ประชาสชน.....หุหุ พระ ว.

    ทุกวันนี้ ไม่รู้ว่า...พระ ว. รู้หรือยังว่า ไตรลักษณ์ น่ะ แปลว่า อนิจจัง ทุกขัง และ อนัตตา...
    และ การ รู้ ธรรม แท้ๆ น่ะ เขารู้ด้วย จิต ไม่ใช่รู้ด้วยสมอง....

    จิต ที่แยกตัว ออกจาก ขันธ์ 5 น่ะ ทำเป็น ละยัง พระ ว. มาสอนธรรม หา แต่ สตัง นะ ..หุหุหุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มิถุนายน 2012
  3. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    คำว่า "ไตรลักษณ์" ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้าครับ ที่รวมเรียกกันว่า "ไตรลักษณ์" เป็นการบัญญัติเพิ่มครับ เปรียญ ๙ ก็บัญญัติเพิ่มครับ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน พระพุทธเจ้าสอน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าสอนเรื่องทุกข์ การเกิดทุกข์ การดับทุกข์ หนทางการดับทุกข์ นั่นคือ สิ่งใดที่มีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดย่อมดับไปเป็นธรรมดา การเกิดเป็นทุกข์ สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา ควรแล้วหรือที่จะเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัวตนของเรา

    อย่ากล่าวหาใครลอยๆ โดยเฉพาะพระสงฆ์ บาปจะตกกับตัวท่านเอง ธรรมะไม่มีสีเสื้อ ไม่มีสีเหลือง-แดงครับ
     
  4. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    ธรรม แท้ๆ น่ะ เขารู้ด้วย จิต ไม่ใช่รู้ด้วยสมอง

    อนุโมทนากับคำนี้นะครับ
    พอมาทางสายพระพยอมซะส่วนใหญ่นะครับ
     
  5. kitjang

    kitjang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2006
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +511
    น่าสงสารคนที่ไปกล่าวหาพระ (อีกแล้ว)
    ไม่ควรค่าแก่ความเป็นนักธรรมที่กล่าวมา
     
  6. vitcho

    vitcho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +748
    คุณ จขกท. มีสติหน่อยนะ..คุณ โพสว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน ไตรลักษณ์ เพราะเป็น บัญญัติเพิ่ม แต่ คุณ ก็ บอกว่า พระพุทธเจ้า สอน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา..คุณ โง่ ป่าว...อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ คือ ไตรลักษณ์

    แต่คุณ บอกว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน แต่ ก็ กลับมาพูด ว่า สอน ทีหลังอีก
    ป้ำๆเป๋อๆ..ไม่มี ความรู้ แต่ อยาก โพส อยากคุย ..นี่แหละ ผลจาการ บูชา พระ ที่ สรรหาแต่เงิน...อย่าง พระ ว..ผม ไม่กล่าวหา พระ ว. ลอยๆ แน่...
    พระ อย่าง พระ ว. เนี่ย..วันๆ พูด อะไร บางที ก็ ไม่ไตร่ตรอง..อย่าง ประโยค ที่ว่า ..ฆ่าเวลา บาปกว่าฆ่าคน....ไปหาดูได้ ใน วงการ อินเทอเน็ต มีคนกล่าวเรื่องนี้ กว้างขวาง....พระ ว. สติ ดีมั้ย ที่พูด แบบนี้

    มี 2 คนในนี้ บอกว่าผม กล่าวหาพะ ว. เป็นบาป..
    หาก คุณ 2 คน เป็น ตุลาการ ชี้ผืด ถูก เรื่องเวรกรรม..ได้
    โลกนี้ คง เต็มไป ด้วย อุจาระ ที่เนืองนอง และ คุณ 2 คน คงบอกว่า เป็น ของหอม..คุณ 2 คน มัน คนในโลก แมลงวัน ที่ชอบ ดม ขี้ แค่นั้น
     
  7. vitcho

    vitcho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +748
    พระ ว. กับ พระ สายธรรมกาย...

    ผม จะบอกให้ นะ..การ ดำเนิน ธุรกิจ คล้ายๆกัน..เอาคำสอน ของพระพุทธเจ้า มา ขยาย เพื่อ แลกเงินตรา และ ชื่อ เสียง...วันๆ เคยที่จะ ปฏิบัติธรรม แท้ๆมั้ย...เอาแต่ นั่งคิดๆๆ แล้วก็ลงบันทึกใน สมุด พอ ครบเล่ม ก็ พิมพ์ ความคิด ที่ตนเองคิดๆเอามา พิมพ์ ขาย..และเงิน..เสพ สุข..สร้าง อะไรต่ออะไร..เพื่อ ให้สังคมมองว่า เป็นพระนักพัฒนา

    ตอนบวชในโบสถ์ พระอุปัชฌาย์ เขาสอนอะไน ตอนบวช..เขา บอกหรอว่า เมื่อ เจ้าบวชแล้ว จงเรียนให้จบ เปรียญ 9 นะ แล้วจง เอาคำสอน ของพระพุทธเจ้า ไปแปลง ขายศรัทธาให้ ชาวบ้าน แลก สตางค์ นะ..ไป ถาม พระ ว. สิ ว่าอุปัชฌาย์ สอนแบบนี้หรอ ป่าว

    พระ ที่บวชเนี่ย เขา สอนตอนบวช ให้ พิจารณา มูลกรรมฐาน 5 อย่าง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ว่าไม่สวย และ เป็น อนัตตา เพื่อ ความเบื่อหน่าย...ใน ขันธ์ 5.เบื่อ ในรูป ขันธ์ เพื่อ การละวาง จะได้ง่ายขึ้น..เจตนา การบวช นั้น พึงทำพระนิพพานให้แจ้ง....ถามหน่อย พระ ว. ได้ ปฏิบัติ จิต จนแจ้งนิพพาน หรือไม่...

    น่ารังเกียจ สิ้นดี..ธรรม ก็ ไม่แจ้งใจ แต่ ดันออกมาสอนคน..หากิน กับศรัทธา ชาวบ้าน..ใน คิริมานนทสูตร พระพุทธองค์ ก็กล่าวไว้แล้ว

    ภายภาคหน้า พระ ส่วนมาก จะ เรียน ความรู้ทางธรรมเพื่อ มา หายศ หา เอกลาภ.กันมา เป้น มิจฉาทิฎฐิ และ เป็น หมาโจร ปล้นชาวบ้าน

    ไป หาฟัง ดู สิ คิริมานนทสูตร คนที่ กล่าวหาผม ว่า บาป ทีไป ว่า พระ ว.

    ใครนับถือ พระ ว. ก็นับถือไป ตามแต่ กุศลท่าน
    ส่วนเรื่อง สีเสื้อ อย่ามาคุยในนี้เลย..จะเหลือง จะแดง..มันก็ แค่รสนิยมการเมือง

    ใน เวบนี้ ไม่ควร พุด าก อยากคุย เรื่องการเมือง..ผม ก็ มีมุมมอง
    ของผม ..หา ที่ เหมาะๆมา..ผม จัดให้ได้ แน่ๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มิถุนายน 2012
  8. vitcho

    vitcho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +748

    พิจารณา ให้หนัก ถึงตัวคุณเองนะ..ว่า นับถือ พระ ดีจริงมั้ย สงสาร ตัวเองมากๆนะ...ที่ งมงาย หา ที่พึ่ง แบบผิดๆ...แน่ใจนะ ว่าคุณ ดีแล้ว..สบาย แล้ว.. มิจฉาทิฎฐิ เนี่ย บาปยิ่งกว่า อะไรๆในโลก ทั้งหมด ..เพระ มันเดินหลงทางซะแล้ว ยิ่งนานไป ยิ่งออกทะเล หาฝั่งไม่เจอ..

    ผม มาโปรด ในนี้ นับเป็น กุศล ของคุณแล้ว..ที่ มีคน มา กระตุก ให้ ฉุกคิด
    ในเมื่อ คุณ ไม่เห็น ค่า ความดีของผม แต่กลับ ต่อว่าด้วย..
    คุณ คิดว่า คุณเป็นคน แบบไหนล่ะ ลองนึกดู สิ ..สุนัข ยังรู้คุณ ข้าวปลา

    แต่ผม มา ชี้ ถูก ชี้ผิดให้ คุณ กลับ ไม่รู้ คุณ ผม..
    นึกเอาละกันว่า ตัวคุณ ยังเหลือ ค่า ความเป็น มนุษย์ มั้ย...
     
  9. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙
    ว่าด้วยความเป็นไตรลักษณ์แห่งขันธ์ ๕
    [๙๑] พระนครสาวัตถี ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้น
    เป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้น
    ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา. นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตน
    ของเรา. เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ จิตย่อมคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น
    จากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น. เวทนาไม่เที่ยง ... สัญญาไม่เที่ยง ... สังขารไม่เที่ยง ... วิญญาณ
    ไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา
    เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้น ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา.
    นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความจริงอย่างนี้ จิตย่อม
    คลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.
    [๙๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าจิตของภิกษุคลายกำหนัดแล้วจากรูปธาตุ หลุดพ้นแล้ว
    จากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น. ถ้าจิตของภิกษุคลายกำหนัดแล้วจากเวทนาธาตุ ... จาก
    สัญญาธาตุ ... จากสังขารธาตุ ... จากวิญญาณธาตุ หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือ
    มั่น. เพราะหลุดพ้นแล้ว จิตจึงดำรงอยู่ เพราะดำรงอยู่ จึงยินดีพร้อม เพราะยินดีพร้อม จึง
    ไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมดับรอบเฉพาะตนเท่านั้น ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว
    พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.

    ----
    พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเรื่องไตรลักษณ์ ไม่มีคำสั่งสอนเรื่องไตรลักษณ์ พระพุทธเจ้าสอนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อิทัปปัจจยตา การสังคายนาพระธรรม อรรถกถาจารย์นำคำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มารวมเรียกว่า "ความเป็นไตรลักษณ์แห่งขันธ์ ๕" เพราะเหตุนี้ทุกวันนี้จึงสอนกับแค่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สอนแค่นี้จึงรู้แค่นี้ตันอยู่แค่อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จริงแล้วเมื่อเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาแล้วต้องพิจารณาต่อให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งสักกายะว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา
     
  10. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    นับถือหรือไม่นับถือพระสงฆ์เป็นเรื่องของศรัทธา ห้ามกันไม่ได้ครับ พระสงฆ์ทุกรูปที่บอกสอนพระธรรม สอนถูกก็มี สอนผิดจากพระธรรมก็มี ผู้ฟังธรรมต้องพิจารณาใคร่ครวญกันเอาเอง รู้ได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องชื่อผู้อื่น(แม้แต่อาจารย์) เมื่อท่านไม่ศรัทธาก็อย่าไปห้ามคนที่เขาศรัทธา จะเป็นมิจฉาทิฏฐิกับตัวท่านครับ
     
  11. kitjang

    kitjang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2006
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +511
    จิตใจของคุณคงจะมีแต่ความทุกข์ละมั้ง ที่ต่อว่าคนโน้นคนนี่ไปทั่ว ตัวเองดี อยากจะบอกว่า พระ ว. หนะเขาทำประโยชน์ให้พระศาสนา สอนคนให้ ทำดี คิดดี พูดดี ทีนี้คุณลองส่องกระจกมองดูตัวเองว่าเป็นยังไง ที่ใช้คำว่ากล่าวหา เพราะ เป็นคำกล่าวออกมา หาความ. ผมนับถือพระสงฆ์นี่นะคุณว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ เรานับถือพระ เราเป็นสัมมาทิฏฐิ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ส่วนพระที่ว่าจะดีจะชั่วก็แล้วแต่จิตของท่านผู้นั้น ส่วนคนนับถือก็เป็นจิตของคนนับถือ คนละจิตกัน ถ้าจะเปรียบคงเหมือนกับ เขานำน้ำใสมาให้เราดื่ม คนนึงดื่มและอิ่มคลายกระหาย ส่วนอีกคนบอกว่าไม่ควรดื่ม เป็นน้ำไม่สะอาด แต่ไม่ได้ลองดื่มแต่บอกว่าไม่สะอาด เพราะมองที่คนนำมาให้ว่าไม่สะอาด คุณแหละต้องคิดถึงคำผมที่ได้บอกได้เตือนคุณ ที่บอกด้วยจิตเมตตา อย่าให้ถึงขั้นอุเบกขาเลยครับ
     
  12. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    หัวใจของการเป็นพระโพธิสัตว์ คือ การเห็นแก่คนอื่น
    หัวใจของพระโพธิสัตว์ คือ โลกทั้งผองพี่น้องกัน
    หัวใจของพระโพธิสัตว์ คือ ความเบิกบานในการได้รับใช้เพื่อนมนุษย์
    หัวใจของพระโพธิสัตว์ คือ เห็นคนอื่นตกทุกข์ได้ยากแล้วอดรนทนอยู่ไม่ได้
    หัวใจแห่งพระโพธิสัตว์ คือ ช่วยเขาก่อนแล้วช่วยตัวเองทีหลัง
    ถ้าใครจับเอาหัวใจของพระโพธิสัตว์ ๓ - ๔ ประการ
    ถ้าทำตามนี้แล้วเป็นพระโพธิสัตว์ ใครเชื่อตามนั้นก็แล้วแต่ อยากจะกด dislike ก็ตามใจ
    มันก็เป็นสิทธิของใครที่จะอยากศรัทธาใครและไม่ศรัทธาใคร
    ช่วยเขาก่อนแล้วช่วยตัวเองทีหลัง
    ในบางครั้ง การช่วยตัวเองก่อนก็ย่อมดีกว่า อย่างเช่น การจสั่งสอนคนอื่นให้รู้แจ้งตามนั้น
    ต้องอาศัยบารมีมากมากมาย มาฝึกฝนตนแล้วดับกิเลสเป็นพระพุทธเจ้า ถึงจะสามารถสอนได้
    ดังที่มีพระท่านมาเม้นกระทู้ว่า หากจะสอนคนอื่น ให้สอนด้วยการปฏิบัติ มิใช่คำพูด
    หากใครศรัทธาอะไรก็ไปตามนั้น ถ้าทำดีเพื่อศาสนาหรืออะไร ก็ควรที่จะอนุโมนา
    ก็อย่างที่ท่านกล่าวว่า พระก็มีอยู่2สายคือ สายนักปฏิบัติ กับนักเทศ หากชอบเช่นไรก็เดินตามพระรูปนั้น แต่สำหรับผม ผมชอบพระนักปฏิบัติมากกว่านะครับ
     
  13. EterNalStaR

    EterNalStaR Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2011
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +86
    สุดท้ายเราก็ได้แต่นั่งมองดูคนหลายๆคนในที่แห่งนี้เอาพระไตรปิฎกมาฟาดหัวกัน มันน่าเบื่อเสียนี่กระไร พวกเราเป็นแค่ฆราวาสเท่านั้น ไม่ใช่สมณะสักหน่อย เรื่องของท่าน ว. หรือพระหลายๆท่านถ้าท่านยังไม่ขาดจากความเป็นสงฆ์ต่อให้ผิดมากน้อยแค่ไหนเราก็ไม่มีสิทธิ์ไปว่าท่านนะคะ ถ้าทำแบบนั้นเราสิจะลงอบายเอง จะผิดหรือถูกก็มองดูอยู่ห่างๆจะดีกว่าค่ะ เรื่องที่จะเชื่อคำสอนของใครก็ต้องพิจารณากันเอาเอง แต่สำหรับเรานั้นเชื่อฟังแค่คำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นค่ะ

    เรื่องเอาพระไตรปิฎกมาโต้เถียงกัน เราว่าพวกท่านทั้งหลายน่าจะหยุดดีกว่านะคะ เพราะเราเห็นอารมณ์แต่ละคนที่โต้เถียงกันมีแต่ขึ้นไม่ยอมลงทั้งนั้นเลย จะว่าจะกล่าวอะไรเรามาก็ได้ เรายินดีรับฟัง จะไม่โต้เถียงอะไร ขอแค่พวกท่านหยุดแค่นั้นก็เพียงพอแล้วล่ะ
     
  14. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นข้อความลึกยากที่จะเข้าใจได้โดยง่าย ปุถุชนไม่ศึกษาพระไตรปิฎกย่อมไม่เห็นธรรม ปุถุชนผู้ศึกษาพระธรรมโต้เถียงกันด้วยธรรมไม่เสียประโยชน์ พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้แล้ว ปัญญาของปุถุชนห่างไกลแสนไกลกับพระอริยะ บางคนฟังธรรมแค่พระสูตรเดียวก็บรรลุธรรม เช่น พาหิยทารุจีริยะ พระนันทะ บางคนฟังธรรมแล้วต้องใช้เวลาทั้งชีวิตบรรลุธรรมตอนใก้ลตายเช่น โคธิกกุลบุตร บางคนฟังธรรมมาก จดจำธรรมได้มาก บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ช้าเช่น พระอานนท์ ถ้าเคยอ่านพระไตรปิฏกจะรู้ สมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าก็ตอบโต้พวกพราหมณ์ด้วยธรรม จนพราหมณ์ยอมแพ้พระพุทธเจ้าและขอบวชในพระศาสนา บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ก็หลายคน เป็นฆราวาสหรือนักบวชก็ศึกษาธรรมได้ แต่เป็นแค่ผู้เดินตาม เป็นผู้ศึกษาพระธรรม เป็นผู้เดินตามทางที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ดังนั้นการตอบโต้กันด้วยธรรมไม่เสียประโยชน์ เพราะไม่มีใครมีความสามารถรู้ทุกเรื่องครับ
     
  15. joolong

    joolong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +283
    ในฐานะที่ผมก็เป็นอดีตมหาเปรียญเหมือนกัน บอกตามตรงว่าพระสไตส์ ท่าน ว.นี่เยอะมากๆ ครับ บางองค์ไม่ต้องเป็นมหาเปรียญหรอก แค่บวช 3-4 พรรษาแต่ว่ามีพื้นฐานเป็นนักฟัง นักอ่าน นักพูดมาก่อน ขยันอ่านตำรา หนังสือธรรมะฟังธรรม ครูบาอาจารย์สายปฏิบัติเยอะๆ แค่นี้ก็เป็นนักคิด นักเทศน์ระดับอ๋องได้แล้ว หลายๆองค์ที่บวชไม่ถึง 5 พรรษาเทศน์เก่ง มีแต่ธรรมะดีๆทั้ง (เพราะอ่านเพราะจำมา) แต่ไม่ดัง อย่างท่าน ว. เพราะไม่มีไครมาทำโปรโมชั่นให้แค่นั้นเอง

    แต่ข้อวัตรปฏิบัติของท่านเหล่านี้อย่าให้พูดเลยครับ บางองค์ก็แค่พอถูๆไถๆ บางองค์ศีล 10 ของเณรยังไม่ครบ แต่เวลาเทศน์พูดโน้นธรรมขั้นสูงการหลุดพ้น วิปัสสนา การจะดูว่าพระองค์ไหนดีต้องดูทีวัตรปฏิบัติครับ ไม่ใช่แค่ฟังสิ่งที่ท่านพูดอย่างเดียว พุทธทำนายที่ว่าต่อไปสาวกของพระองค์จะเอาธรรมะไปขายกิน มันเกิดขึ้นมาตั้งนานแล้ว
     
  16. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Y12219594-6.jpg
      Y12219594-6.jpg
      ขนาดไฟล์:
      123.5 KB
      เปิดดู:
      537
  17. joolong

    joolong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +283
    ที่ผมพูดไม่ได้ตำหนิท่าน ว. แต่อย่างไรนะครับ เพียงแต่จะบอกว่าพระจะดีไม่ดีอยู่ที่ข้อวัตร การปฏิบัติ ศีลของภิกษุบริบูรณ์หรือไม่ จะเทศน์เก่ง หรือไม่เก่ง ไม่ได้มีสาระอะไร
     
  18. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    ถ้าหลาวงปู่ชา ผมศรัทธานะครับ ผมชอบการปฏิบัติของท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มิถุนายน 2012
  19. vitcho

    vitcho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +748
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=rnjVIdWsQpc&feature=BFa&list=PL5688B8A770566E61"]คิริมานนทสูตร 1 [Girimananda Sutta] - YouTube[/ame]


    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=OT3lv52PfCo&feature=BFa&list=PL5688B8A770566E61"]????????????? 2 [Girimananda Sutta] - YouTube[/ame]

    ลองฟังกันก่อน ครับพุทธศาสนิกชนทังหลาย พระ ว. เข้าข่าย ที่พระพุทธองค์ ท่านท รงเทศนา ไว้ เมื่อ เกือบ 2600 ปีก่อน...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มิถุนายน 2012
  20. vitcho

    vitcho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +748
    พระธรรมเทศนา..คิริมานนทสูตรนี้..เป็น พระธรรมเทศนา..ที่พระพุทธองค์ ทรงเทศนา แก่พระอานนท์..มีเนื้อหามากมาย..ที่สำคัญ ทุกๆ คำ เทศนาเลยทีเดียว..

    แม้แต่เรื่อง การ กล่าวหาพระ..นั้น..มีหลายๆคน กลัวว่า ไปว่าพระ เข้าจะตกนรก.หาก พระนั้นยังไม่ ถึง ปราชิก...

    ลองฟังได้ครับ จริงๆ แล้วพระพุทธองค์ ท่าน กล่าวว่า หาก ใครจับ พระสึกโดยที่ยังไม่ถึงแก่ ปราชิก...อันนี้ บาปนักหนา..พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ ส่วนเรื่อง กล่าวหา พระ ว่า ทำไม่ดี หรือ ประพฤติไม่เหมาะสม ท่านไม่ได้พูด ถึงไว้...หาก แต่ว่า

    เราพบเห็นพระ มี พฤติกรรม เยี่ยง เดียรถีย์ บวชมา แสวงหา โชคลาภ จาก ศรัทธา ชาวบ้าน..การนิ่งเฉย แล้วบอกว่า กลัวบาป ผมว่า จะบาปหนา ยิงกว่า เพระ การเทศน์ ของพระ ที่แสวงหาเอกลาภ ..นั้นเท่ากับทำลาย พระพุทธศาสนทให้ยิ่ง เสื่อม เร็วมากขึ้น เพราะ มันเป็น พระสัทธรรมปฏิรูป...

    มีหลายๆคนในนี้ คง ไม่ชอบผมนัก เพระ ไปต่อ ว่า ไอดอล คุณๆ เข้า...
    หุๆๆ โง่กันเข้าไป ไม่ต้อง มา แสดงความเห็น ต่อต้าน ผม หรือ ด่าผมหรอก
    ความ เป็น มิจฉา ทิฎฐิ ที่ท พวกคุณ ชื่นชอบตัวบุคคล โดยไม่ มอง แก่นศาสนา และ
    ความถูก ต้อง เป็นหลัก จะพา พวกคุณ ให้จมปลัก หนักยิ่งขึ้น...

    บ้ากันไป กับพระ ดารา เทศนา ที ฮากันเอามันส์ มี อีก คลิปในยูทูป ผม หาไม่เจอ ที่
    พระ ว. เทศน์ เรื่อง ผัวๆ เมียๆ งี้ ตาเยิ้ม เชียว มือไม้ ก็ กรีดไปมา อย่างกับเป็น ตุ๊ด

    เทศนา เกี่ยวกับ เมียอยากได้แหวนเพชร และออกอุบายให้ ผัว ซื้อให้..เทศน์ ไป ยิ้มน้อบยิ้มใหญ่ ผมนั่งดู แล้ว อยาก อ้วก..พาคนฟังงมงายไป กับเอง ผัวๆ เมียๆ

    เนี่ยหรือ พระโพธิสัตว์ ที่ คน ตังกระท้ เอามายกย่อง..หุหหุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มิถุนายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...