ช่องประตูพระนิพพาน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย moondark999, 5 มิถุนายน 2012.

  1. moondark999

    moondark999 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2010
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +41
    ดูก่อนอานนท์ ธรรมดาบุคคลผู้ที่เป็นนักปราชญ์มีปรีชาทั้งหลาย ย่อมไม่ถือเนื้อถือตัวว่า เรารู้เราดีอย่างนั้นอย่างนี้ ท่านจะมีความรู้มากมายเท่าใด ก็มิได้ถือเนื้อถือตัวเหมือนกับผาลบุถุชน พวกผาลบุถุชนที่เขาห่างไกลจากพระนิพพาน ก็เพราะเหตุที่เขาถือเนื้อถือตัว การถือเนื้อถือตัวมีมากเท่าใด ก็ยิ่งทำให้ห่างไกลจากพระนิพพานมากเท่านั้น เหตุว่า ประตูเมืองพระนิพพานนั้นแคบนักหนา ผมเส้นเดียวผ่าออกเป็นสามเสี้ยว เอาแต่เสี้ยวเดียวไปแยงเข้าที่ประตูพระนิพพาน ก็ยังคับแคบเข้าไม่ได้ เพราะฉะนั้น เมื่อท่านต้องการพระนิพพานแล้ว ไม่ควรจะถือตัวว่าเป็นผู้รู้เป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้สูงศักดิ์กว่าท่าน ยิ่งถือตัวถือตนขึ้นมากเท่าใด ก็ยิ่งให้คับประตูพระนิพพานเข้าไปเท่านั้น จึงว่า ผาลบุถุชนทั้งหลายเป็นผู้ห่างไกลพระนิพพาน ด้วยเหตุที่เขามัวถือเนื้อถือตัวว่าตัวรู้ตัวดีอยู่

    หากเราพิจารณา..ช่องประตู..การเกิดของรูปร่างกายสังขาร ก็จะพบว่า
    ช่องประตูทางเข้า ก็คือ ช่องคลอด
    และช่องประตูทางออก ก็คือ ช่องคลอด
    ทางเข้าและทางออกคือช่องทางเดียวกัน แตกต่างกันที่ระยะเวลา...เก้าเดือน

    แล้วถ้าหากความเป็นสิ่งมีชีวิตสองด้านของเราระหว่าง ตื่นนอนกับนอนหลับ ความเป็นกับความตาย โลกียะกับโลกุตระ
    การมาเกิดกับการกลับไปหลังความตาย หรือที่ที่เรามากับที่ที่เราจะไปหลังความตาย
    เป็นไปได้หรือไม่ ช่องประตูเส้นทางระหว่างชีวิตสองด้านนั้น จะมีช่องประตูช่องทางเดียวกัน
    ถ้าเป็นไปได้ ช่องประตูนั้นคืออะไรและอยู่ที่ไหน?


    ดูก่อนอานนท์ บุคคลทั้งหลายถึงที่สุดโลกออกจากโลกได้แล้ว จึงชื่อว่าถึงพระนิพพาน และรู้ตนว่าเป็นผู้พ้นทุกข์แล้ว และอยู่สุขสำราญบานใจทุกเมื่อ หาความเร้าร้อนโศกเศร้าเสียมิได้ ถ้าผู้ใดยังไม่ถึงที่สุดโลก ยังออกจากโลกไม่ได้ตราบใด ก็ชื่อว่ายังไม่ถึงพระนิพพาน จะต้องทนทุกข์น้อยใหญ่ทั้งหลาย เกิดๆตายๆกลับไปกลับมา หาที่สุดไม่ได้อยู่ตราบนั้น บุคคลทั้งหลายเป็นผู้ต้องการพระนิพพาน แต่หารู้ไม่ว่าพระนิพพานนั้นเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหน ชันแต่ทาง ศีล สมาธิ ปัญญา อันเป็นทางไปสู่พระนิพพาน ก็ไม่เข้าใจ เมื่อไม่รู้ไม่เห็นไม่เข้าใจแล้ว จะไปสู่พระนิพพานนั้นเป็นการลำบากยิ่งหนักหนา เปรียบเหมือนคนสองคน ผู้หนึ่งตาบอดผู้หนึ่งตาดี จะว่ายข้ามน้ำมหานทีอันกว้างใหญ่ในคนทั้งสองนั้น ผู้ใดจะถึงฝั่งข้างนู้นก่อน คนผู้ตาดีต้องถึงก่อนส่วนคนผู้ตาบอดนั้น จะว่ายข้ามไปถึงฝั่งฝากนู้นได้แสนยาก แสนลำบาก บางทีจะตายเสียท่ามกลางแม่น้ำ เพราะไม่รู้ว่า ฝั่งอยู่ที่ไหน พออุปมานี้ฉันใด คนไม่รู้ไม่แจ้งว่าพระนิพพานอยู่ที่ไหนเป็นอย่างไร ชันแต่ทางที่จะไปก็ไม่เข้าใจ เป็นแต่อยากได้ อยากถึง อยากไปพระนิพพาน เมื่อเป็นเช่นนี้ การได้ถึงของผู้นั้นก็ต้องเป็นของลำบากอยากแค้นอยู่เป็นธรรมดา บางทีจะตายเสียเปล่า จะไม่ได้เห็นเงื่อนเค้าของพระนิพพานเลย ผู้ศึกษาพึงเข้าใจว่า พระนิพพานอยู่ที่สุดของโลก ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นทางไปพระนิพพาน ถ้ารู้อย่างนี้ยังมีทางที่จะถึงพระนิพพานได้บ้าง แม้เมื่อรู้แล้วอย่างนั้น ก็จำต้องพรากเพียรพยายามจนสุดกำลัง เหมือนคนตาดีว่ายข้ามน้ำก็ต้องพยายามจนสุดกำลังจึงจะข้ามพ้นได้ มีอุปมัยเหมือนกันฉะนั้น

    ดูก่อนอานนท์ อันว่าบุคคลทั้งหลาย ผู้ปรารถนาซึ่งพระนิพพาน ควรแสวงหาซึ่งครูที่ดี ที่อยู่เป็นสุขสำราญ มิได้ประมาท เพราะพระนิพพานไม่ได้เหมือนของสิ่งอื่น อันของสิ่งอื่นนั้น เมื่อผิดไปแล้วก็มีทางแก้ตัวได้ หรือไม่สู้เป็นอะไรนัก เพราะไม่ละเอียดสุขุมมาก ส่วนพระนิพพานนี้ละเอียดสุขุมที่สุด ถ้าผิดแล้วก็เป็นเหตุให้ได้รับความทุกข์เป็นหนักหนา ทำให้หลงโลก หลงทาง ห่างจากความสุข ทำให้เสียประโยชน์เพราะอาจารย์ ถ้าได้อาจารย์ที่ถูกที่ดี ก็จะได้รับผลที่ถูกที่ดี ถ้าได้อาจารย์ที่ไม่รู้ ไม่ดี ไม่ถูก ไม่ต้อง ก็จะได้รับผลที่ผิดเป็นทุกข์ พาให้หลงโลกหลงทาง พาให้เวียนว่ายตายเกิด อยู่ในวังวนแห่งวัฏสงสารสิ้นกาลนาน เปรียบเหมือนผู้ที่จะพาเราไปในตำบลใดตำบลหนึ่ง แต่ผู้นั้นไม่รู้จักตำบลนั้น แม้เราเองก็ไม่รู้ เมื่อกระนั้นไฉนเขาจึงจะพาเราไปให้ถึงตำบลนั้นได้เล่า อุปมานี้ฉันใด อาจารย์ผู้ไม่รู้พระนิพพานและจะพาเราไปพระนิพพานนั้น ก็จะพาเราให้หลงโลก หลงทาง ไปๆมาๆตายๆเกิดๆ อยู่ในวังวนแห่งวัฏสงสาร ไม่อาจจะถึงพระนิพพานได้ เหมือนคนที่ไม่รู้จักตำบลที่จะไป และเป็นผู้พาไปก็ไม่อาจจะถึงได้ มีอุปมัยฉันนั้น ผู้คบครูอาจารย์ที่ไม่รู้ดีและได้ผลที่ไม่ดี มีในโลกนี้มิใช่น้อย เหมือนดั่งพระองคุลีมาลเถระไปเรียนวิชาในสำนักครูผู้มีทิฐิอันผิด ได้รับผลที่ผิด คือเป็นมหาโจรฆ่าคนล้มตายเสียนับด้วยพัน หากเราตถาคต รู้เห็นมีความสงสารเวทนามาข้องในข่ายสยัมภูมิญาณ จึงได้ไปโปรด ทรมานให้ละเสียซึ่งพยศอันร้าย เป็นการลำบากมิใช่น้อย ถ้าไม่ได้ตถาคตแล้ว พระองคุลีมาลก็จะได้เสวยทุกข์อยู่ในวัตรสงสารสิ้นชาติเป็นอันมาก

    ทำไม เราจึงมักเรียกคนที่ตายไปแล้วว่า...กลับบ้านเก่า
    เป็นไปได้มั้ยว่า ความเป็นสิ่งมีชีวิตของๆเรา มันมีบ้านเก่าจริงๆ หรือมันมีสถานที่ที่เราจากมาจริงๆ


    .....พระจันทร์มืด999.....
     
  2. ทะเลลึก

    ทะเลลึก Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    126
    ค่าพลัง:
    +80
    ถ้าชอบแนวนี้ ต้องอ่านหนังสือฟิสิกส์ยุคใหม่ จำพวก รูหนอน มิติของจัรวาล เวลา มวลและอนุภาค แม่เหล็กไฟฟ้า พลังงาน แรงโน้มถ่วง แสง สตริง เมมเบรน เมื่อพินิจพิเคราะห์ให้ดี จะเชื่อมโยงถึงเรื่องภพภูมิ ปาฏฺิหารย์ต่างๆ ในพุทธศาสนาได้อย่างกลมกลืน
     
  3. เราวันนี้

    เราวันนี้ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +2
    จขกท. ทราบช่องประตูพระนิพพานแล้วใช่ไหมครับ
     
  4. moondark999

    moondark999 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2010
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +41
    หากเราสังเกตการมองเห็นของเรา เราจะพบว่า เรามีการมองเห็นสองด้าน
    คือ มองออกไปภายนอกตัวตน กับ มองเข้าไปภายในตัวตน
    แล้วมิติภาพเหตุการณ์ทั้งสองด้านของชีวิตจะแตกต่างกัน ดั่งนี้

    มิติภาพเหตุการณ์ปัจจุบันที่เรากำลังสัมผัสอยู่นี้ จะเป็นมิติที่เป็นระเบียบเป็นระบบมีรูปแบบ และมีเวลาที่เดินไปอย่างตายตัว หรือแม้กระทั้งกฎแห่งกรรมที่ตายตัวของมิติปัจจุบัน

    แต่มิติอีกด้านคือ มิติภาพนึกคิดภาพจินตนาการจะเป็นมิติภาพเหตุการณ์ที่ปราศจากความมีระเบียบ ปราศจากความมีระบบ ปราศจากความมีรูปแบบและปราศจากเวลาที่เดินตายตัว เหตุนี้ภาพเหตุการณ์นึกคิดจินตนาการของเราจึงสามารถวกไปวนมา ซ้ำไปซ้ำมา คิดไปนู้นคิดไปนี้อย่างไม่มีระเบียบได้

    หรือมิติภาพเหตุการณ์ความฝันเมื่อเรานอนหลับ เราจะสังเกตเห็นว่าตลอดชีวิตของเราจะมีภาพเหตุการณ์ความฝันที่ไม่ซ้ำ แม้จะกลับหมอนไปมาอย่างไรก็ไม่ซ้ำ ตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วนอนต่อภาพเหตุการณ์ความฝันก็แปรเปลี่ยน
    อย่างเช่น ผมเป็นช่างตัดผม ผมมักจะฝันเห็นตัวเองเป็นช่างตัวผมบ่อยมาก แต่ภาพเหตุการณ์แต่ละครั้งไม่ซ้ำกันเลย บางที่ฝันเห็นตนเองเป็นช่างตัดผมอยู่ในเมือง บางที่อยู่บนเกาะกลางทะเลหรือไม่ก็บนยานอวกาศลำใหญ่มหึมาในห่วงอวกาศที่เวิ้งว้างไปนู้น

    เหตุนี้ จึงเป็นไปได้หรือไม่ มิติภาพเหตุการณ์สองด้าน มิติภาพเหตุการณ์ภายนอกตัวตนกับมิติภาพเหตุการณ์ภายในตัวตน มิติภาพเหตุการณ์ตื่นนอนกับนอนหลับ มิติความเป็นกับความตาย มิติรูปสังขารสองด้านกายเนื้อกับกายทิพย์หรือผี มิติโลกวงนอกกับมิติโลกวงใน และมิติจักรวาลสองด้านโลกียะกับโลกุตระ จะแตกต่างกันระหว่างความมีระเบียบมีระบบมีรูปแบบ กับความไม่มีระเบียบไม่มีระบบและไม่มีรูปแบบเท่านั้นเอง

    นักวิทยาศาสตร์มีเหตุผลทำให้เชื่อได้ว่า สรรพสิ่งต่างๆที่มีความแตกต่างและความหลากหลายมากมายมหาศาลนั้น มีความแตกต่างกันเพียงแค่การก่อตัวเรียงตัวของ..มวลอะตอม..เท่านั้นเอง

    จึงเป็นไปได้มั้ยว่า ภาพนึกคิดจินตนาการและภาพเหตุการณ์ความฝันเมื่อยามนอนหลับของเรานั้น จะเกิดจากการก่อตัวเรียงตัวของมวลอะตอมเช่นกัน ต่างกันก็เพียงแต่..มวลอะตอม..ที่สร้างสรรค์ภาพนึกคิดจินตนาการและภาพความฝันเมื่อยามนอนหลับของเรานั้น มันแออัดยัดเหยียดอยู่กันอย่างปราศจากความมีระเบียบมีระบบและปราศจากความมีรูปแบบ

    เหตุนี้ ภาพนึกคิดจินตนาการมันจึงไม่มีระเบียบ
    และภาพเหตุการณ์ความฝันเมื่อยามนอนหลับ...มันจึงไม่ซ้ำ

    เพราะฉะนั้น คำว่า นรก สวรรค์ และพระนิพพาน จึงแตกต่างกันเพียงแค่การก่อตัวเรียงตัวของมวลอะตอมเพื่อสร้างภาพสร้างเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดสุขทุกข์ เท่านั้นเอง

    และด้วยเพราะ เรามีการมองเห็นสองด้าน มองออกไปภายนอกตัวตนกับมองเข้าไปภายในตัวตน
    ความน่าจะเป็น ช่องประตูนรก สวรรค์ และพระนิพพาน ก็คือ..ตา..ตาที่เรากำลังใช้มองภาพนึกคิดจินตนาการ และเป็นตาดวงเดียวกันที่เราใช้มองภาพความฝันเมื่อยามนอนหลับ นั้นเอง

    และความน่าจะเป็น ตาที่เราใช้มองภาพนึกคิดและมองภาพความฝันเมื่อยามนอนหลับ ก็คือ จุดศูนย์กลางเกลียวขวัญ
    หรือจุดศูนย์กลางตัวพลังงานขับเคลื่อนชีวิต ที่เป็นเหตุทำให้ร่างกายสังขารของเราเกิดร่ิองรอยลายเส้นเช่นเดียวกับสุริยะ
    ก็คือ ลายเส้นหมุนวนเป็นเกลียวสว่านของเส้นผม หรือลายเส้น เกลียวขวัญ
    กับลายเส้นวงแหวนบนปลายนิ้วมือนิ้วเท้า
    จุดศูนย์กลางตัวพลังงานขับเคลื่อนชีวิตของเรานั้นเองคือ ตา ดวงตาตรงกลางระหว่างมิติภาพเหตุการณ์สองด้านของชีวิต
    และตาหรือดวงตาระหว่างมิติสองด้านของชีวิตนั้นเองที่เป็นช่องประตูทางเข้าและทางออก หรือช่องประตูทางไปและทางมาของๆเรา

    เหตุนี้ ธรรมชาติ จึงให้เราเีีรียกเกลียว..ขวัญ..บนศีรษะเป็นคำๆเดียวกับคำว่า..ขวัญเอ๋ยขวัญมา
    เพราะ..ขวัญ..ด้านหนึ่งคือ รูปธรรม ก็คือ เกลียวขวัญ
    และ..ขวัญ..อีกด้านหนึ่งก็คือ นามธรรม ก็คือ ขวัญเอ๋ยขวัญมา

    ต่อให้เทคโนโลยีทางการแพทย์จะทันสมัยขนาดไหน ถ้่า..ขวัญ..ไม่มา คนตายก็ไม่มีวันฟื้น

    เพราะ..ขวัญ..นั้นเองคือ..ตา..หรือ..ช่องประตูพระนิพพาน

    กระทู้แนะนำ ลองพิจารณาดูนะครับ
    http://palungjit.org/threads/ถอดรหัสลับพระสูตร-คิริมานนทสูตร-พระยาธรรมมิกราช.338424/


    ......พระจันทร์มืด999.....
     
  5. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    [​IMG]

    จากรูปประกอบ

    สังเกตว่า จะมี เกลียวขวัญอยู่สองเกลียว

    สรุปว่า ...............................................
     

แชร์หน้านี้

Loading...