คือผมสงสัยเรื่อง วัดพระธรรมกาย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย surer, 24 มีนาคม 2012.

  1. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529

    ข้าไม่ใช่ไอ้เฒ่าธรรมบาลนะจ๊ะนะจ๊ะ ข้ามันแค่ลุงแก่ๆๆจ๊ะ รายนั้นเขาบวชเป็นลามะ ในริมโวเชธรรมสถานไปแล้ว
     
  2. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ผมเองก็เห็นด้วยครับว่าท่านเจ้าสำนักเป็นพุทธภูมิ สังเกตได้จากบริวารเยอะ ฉลาด มีความสามารถมาก แต่เสียดายที่ท่านเป็นมิจฉาทิฏฐิ คือ นำความรู้ความสามารถไปใช้ในทางที่ผิด คือ ใช้ในการหาลาภยศชื่อเสียงให้แก่ตนเอง

    พุทธภูมิมีข้อสังเกตอีกอย่าง คือ ไม่ว่าจะเป็นคนดีสุดๆ หรือ ชั่วสุดๆ ก็จะมีบริวาร หรือลูกน้องตามเป็นโขยง เยอะแยะมากมาย ถ้าเป็นคนดีก็ไม่แปลก แต่ถ้าเป็นคนชั่วนี่สิแปลก เช่น ฮิตเลอร์ ซัดดัม กัตดาฟี่ หรือ พระเทวทัต และอีกมากมาย น่าจะเพราะติดตามกันมาหลายภพหลายชาติ หัวหน้าไปทางไหน ลูกน้องก็ไปทางนั้น

    สำนักนี้มีหลักการตลาดที่เน้นไปทาง หรู เลิศ อลังการ สุดๆ เน้นเจาะตลาดกลุ่มไฮโซ ผู้มีการศึกษาสูง นักเรียนนอก เศรษฐี ผู้มีอันจะกินทั้งหลายโดยเฉพาะ ใครจนเหรอเขี่ยไปไกลๆเลย

    ต่างจากอีกสำนัก ที่เน้นการตลาดแบบเถื่อนดิบ กุ๊ย สลัมข้างถนน เน้นเจาะตลาดกลุ่มโลโซ ผู้มีการศึกษาต่ำ โง่ เถื่อน ชอบความรุนแรง แบบกุจะเหยียบ ตบ ทุบ เผา ทำลาย ด่าเถียง ปากจัด


    ดังนั้นทั้งสองสำนักนี้ผมขอบายครับท่านPhanudet เพราะลำพังความเลวในตัวผมมันก็มีมากอยู่แล้ว ขืนไปโมทนารับมาอีก ผมคงไม่ไหวล่ะครับ ลงแบบยาวๆแน่นอนครับท่าน

    กระผมขอแสดงความคิดเห็นด้วยความเคารพครับท่านPhanudet
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 เมษายน 2012
  3. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    ลุงขอแก้คำว่า สำนักหนึ่งเจาะกลุ่ม คนมีอันจะกินมีการศึกษาสูงๆๆจ๊ะ โดยถามว่าจริงหรอ เท่าที่ลุงรู้มันเป็นตรงกันข้ามเมื่อเทียบเป็นอัตราส่วนนั้นคือ คนมีเงิน หรือไม่มีมากนัก แต่มีการศึกษาสูงๆๆ เขาจะไม่สนใจหรอกจ๊ะ เพราะเขารู้ทัน บางพวกเข้าใจศาสนาดีเลยเห็นว่าไร้สาระ บางพวกไม่เข้าใจและก็ไม่นับถือ นับถือศาสนาอื่น ที่มีพระเจ้าชื่อว่าเงินจ๊ะ เลย ต้องวุ่นอยู่กับการแสวงหาพระเจ้าชนิดนี้

    มีแต่รวยแต่โง่ต่างหากจ๊ะ(คนพวกนี้เหลือกินใช้ แต่รู้ว่าความตายมีอยู่เลยต้องหาที่พึ่งทางจิตใจเพื่อรับประกันว่าตัวเองจะได้เสวยสุขต่อไป) ไม่ก็มีการศึกษาสูงรู้ทันแต่กูอยากไปร่วมมือกับเขาหากินพวกนี้จะกลายเป็นทีมงานในที่สุด กับคนจนๆๆทัวไป จนถึงชั้นกลางๆๆ(ค่อนข้างน้อยกลุ่มชั้นกลางนี้ จนเยอะกว่าและเยอะมากถึงมากที่สุด)พวกนี้มีแต่ศรัทธา แต่ขาดปัญญา เลยต้องเป็นเหยื่ออยู่ร่ำไป คณะสงฆ์กระแสหลักทำอะไรพวกนี้ไม่ได้เพราะมีผลประโยชน์ต่อกันอยู่จ๊ะ เรียกว่า พุทธพาณิชย์

    ส่วนอีกสำนักหนึ่งต้องแก้คำว่าเจาะตลาดกุ๊ยออกไป เพราะเท่าที่ลุงรู้สาวกเขาก็เหมือนคนธรรมดาๆๆ ไม่มีความรุนแรงใดๆๆทั้งสิ้นเพียงแต่คิดต่่างออกจากคนอื่นในสังคม เจ้าลัทธิเขาเจาะคนกลุ่มนี้ กลุ่มที่เบื่อหน่ายพวกกระแส วัตถุมงคล แต่ก็ไม่ปฏิเสธโดยสิ้นเชิง อยากทำแบบเจ้่าลัทธิแต่ไม่กล้าลงมือจ๊ะ สรุปคือ แก็งแรกเป็นพวก ยาจก ไร้การศึกษา รวมกับรวยแต่ไม่มีสมอง แก็งสองเป็นพวกยากจนไม่มีการศึกษาสูงๆ รวมกับชนชั้นกลางที่มีการศึกษาบ้างพอควร จ๊ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 เมษายน 2012
  4. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    อ้อ..เมื่อเช้าลุงเห็นภิกษุสายธรรมกายนับพันผ่านมา ให้เป็นที่รำคราญตาลุงยิ่งนัก จักเล่าให้ฟัง ระหว่างที่เหล่า นักบวชหัวโล้นได้ก้าวเดินนั้น เหล่าสาวกก้นำเอาดอกไม้โรยเป็นทางเดิน ดูขลังยิ่งนัก พระพันรูป เดินบนทางเดินที่โรยด้วยดอกไม้ น่าจักเป็นกุหลาบ ตลอดทางหลายสิบโล คำถามคือ ทำไมจึ่งต้องลงทุนมากมายขนาดนี้ ดอกกุหลาบนั้นถูกถอนทำลายมาเพียงใดกี่ต้นเล่า (ดอกกุหลาบนั้นก็มีชีวิตมิใช่หรือ ทำลายชีวิตมิใช่น้อย แลเงินค่ากุหลาบนับล้านนี้นำไปทำประโยชน์ให้สังคมได้มาเพียงใด) เพื่อมาให้พวกนี้เดินเหยียบหรือ ราวกับว่าจะจำลอง ตำนานในพุทธประวัติ ที่มีคนบางคนเอาตัวเองเป็นพรมให้ภิกษุ และ พระพุทธเจ้าดำเนินผ่านบนตัวไป

    อีกประเด็นที่น่าหัวเราะคือ แทนที่จะนำเอาพระพุทธรูปแห่ กลายมาเป็นรูปที่แห่ให้คนสรงน้ำกราบไห้ว กลายเป็นขรัวตาสดไป ลุงสงสัยว่านับถือพระพุทธเจ้าเป็นศาสดาหรือขรัวตาสดกันแน่ แลประกาศว่า มาร่วมทำบุญสืบต่ออายุพระศาสนา ช่างน่าหัวเราะยิ่งนัก นี่หรือสืบต่อ การทำแบบนี้ยิ่งเร่งให้ศาสนาพุทธให้พินาศฉิบหาย เร็วขึ้นอีกต่างหาก คิดดูเถิดนี่มันไม่เหลือปัญญาแล้ว มันเน้นศรัทธา และ พิธีกรรมใหญ่โต เวอร์เข้าไว้ โดยไม่ดูฐานะทางเศรษฐกิจเสียเลย หลักธรรมหายไปที่ใดกัน น่าเสียดายนักอีกประการเมื่อลุงสังเกตุภิกษุเหล่านั้นแค่การเดินลุงก็รู้แล้ว ราวกับว่ากำลังรีบไปจองตั๋วรถเที่ยวสุดท้าย แต่ละก้าวรวดเร็วยิ่งนัก ปราศจากอำนาจแห่งสัมมาสติ ลุงสงสัยยิ่งนักว่าเวลานั้นใจของภิกษุเหล่านั้นไปอยู่ที่แห่งใด สติไปไหน ทั้งที่พระพุทธองค์ทรงเน้นยิ่งนัก ก้าวเดินแต่ล่ะก้าวต้องช้าแต่ตื่นรู้ รู้ตัวทั่วพร้อมทุกขณะ เบิกบานเต็มที่ แม้เวลาตายพระองค์ก็ยังเป็นเช่นนี้ิ ยังรักษาสติไว้ได้ ดังที่พระองค์สามารถรู้ตัวได้ว่าบัดนี้ในอีกไม่กี่เพลาความตายก็จะเข้ามา พระองค์ตรัสว่าความเสื่องแห่งสังขารนี้เป็นเรื่องธรรมดา นี่จงตั้งตนบนทางแห่งความไม่ประัมาท แม้แต่จะตายก็ยังเน้นย้ำ สติเห็นไหม แต่พวกที่เรียกตัวว่าสาวกเล่า ช่างน่าขันยิ่งนัก



    ยังไม่นับประเด็นบิดเบือนพุทธธรรมเพื่อประโยชน์ตัวอีก เช่นสอนนิพพานเป็นอัตตา บิดเบือนถึงขั้นเมื่อถูกชี้มูลความผิด ก็ยังคงบิดเบิอนต่อไปครอบงำคนไม่รู้ให้หลงผิด บางพวกเป็นใหญ่เป็นโตก็ถึงขั้นจะเข้าไปเผาทำลายตำราทางพุทธศาสนาทั้งหมด(ของสำนักอื่น)ในองค์กรมหาลัย เพื่อให้เหลือแต่ฉบับของตน แปลความคัมภีร์ขึ้นมาใหม่บรรจุคำสอนของตนลงไปโดยที่สาวกไม่รู้แล นี่ยังไม่นับใช้อำนาจทำลาย ทำร้ายผู้หวังดีที่ออกมาเตือน เช่น ภิกขุปยุตโต

    เหตุไฉนคนพวกนี้ยังปั้นหน้าให้คนกราบไหว้ได้อีกในสังคมนี้ ช่างประหลาดใจลุงนัก<!-- google_ad_section_end -->
     
  5. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    [​IMG]


    สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชได้มีพระลิขิตกรณีวัดพระธรรมกาย ถึงผู้เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้

    ฉบับที่ ๑
    "ความบิดเบือนพระพุทธธรรมคำสอน โดยกล่าวหาว่าพระไตรปิฎกบกพร่อง เป็นการทำ ให้สงฆ์ที่หลงเชื่อคำบิดเบือน แตกแยกออกไปกลายเป็นสอง มีความเข้าใจความ เชื่อถือพระพุทธศาสนาตรงกันข้ามเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ทำสงฆ์ให้แตกแยก เป็นอนันตริยกรรม มีโทษทั้งปัจจุบันและอนาคตที่หนัก ส่วนที่มิใช่เป็นการลง โทษ แต่เป็นการกระทำที่ถูกต้อง คือ ต้องมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะ เป็นพระให้แก่วัดทันที

    หลังจากที่สมเด็จพระสังฆราช ได้มีพระลิขิตฉบับที่ ๑ ออกมาแล้วนั้น อดีตเจ้า อาวาสวัดพระธรรมกายก็ยังมิได้คืนทรัพย์ทั้งหมดแก่วัด
    สมเด็จพระสังฆราชจึงมี พระลิขิตฉบับอื่นๆ ตามมาดังต่อไปนี้

    ฉบับที่ ๒
    การไม่ยอมคืนสมบัติให้วัด ในขั้นต้นอาจมิใช่มีเจตนาถือเอาเป็นของตน แต่ เมื่อถึงอย่างไร ก็ยังไม่ยอมมอบคืนสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้ แก่วัดก็แสดงชัดแจ้งว่าต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะ โดย อัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับผู้ไม่ใช่พระปลอมเป็น พระ ด้วยการนำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง ทำความเศร้าหมองเสื่อมเสีย ให้เกิดแก่ สงฆ์ในพระพุทธศาสนา "

    ฉบับที่ ๓
    "การโกงสมบัติผู้อื่นตั้งแต่ 5 มาสกขึ้นไปคือประมาณไม่ถึง 300 บาทใน ปัจจุบัน ภิกษุนั้นต้องอาบัติปาราชิก ฐานผิดพระธรรมวินัยพ้นจากความเป็นพระ ทันที ในกรณีนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้รู้เห็นหรือไม่ ไม่ว่าจะมีการสั่งให้สึก ไม่ ว่าจะมีการจับสึกหรือไม่ก็ตาม ภิกษุผู้ละเมิดพระธรรมวินัยข้อนี้ต้องอาบัติ ปาราชิก พ้นจากความเป็นพระโดยอัตโนมัติ ที่ประกาศเป็นลายลักษณ์อักษรก็เพื่อ เตือนให้รู้ทั่วกันว่า ผู้ต้องอาบัติปาราชิกนั้นไม่ใช่พระในพุทธศาสนา เป็น เพียงผู้นำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง เป็นพระปลอม ต่อจากนั้นย่อมเป็นหน้าที่โดย ตรงของผู้รักษากฎหมาย หรือของผู้มีหน้าที่ในการพุทธศาสนา จะต้องรักษาพระ พุทธศาสนาไม่ให้มีพระปลอมมาทำลาย ทำให้เสื่อมเสีย เช่นที่ผู้รักษากฎหมายเคย ทำมาแล้ว เคยบังคับให้เป็นผู้ปลอมเป็นพระ ถอดผ้ากาสาวพัสตร์ออกจากตัว การ ปฏิบัติต่อพระปลอมต้องไม่มีแตกต่างกัน ต้องไม่มียกเว้นว่า คนนั้นปลอมได้คน นี้ปลอมไม่ได้ เป็นพระปลอมมีอยู่ในพุทธศาสนาไม่ได้ทั้งนั้น ประกาศนั้นเป็น คำบอกเล่าเป็นคำเตือนให้รู้ เป็นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องกับมหาเถรฯไม่ บังคับให้เชื่อ ไม่บังคับใครให้ทำอะไร แสดงความถูกผิดให้ปรากฏอยู่เท่า นั้น ในฐานะที่เป็นประมุขแห่งสงฆ์ในพระพุทธศาสนา จึงต้องทำหน้าที่ส่วนตนให้ เรียบร้อยถูกต้อง บอกความจริงด้วยความหวังดีมิได้บังคับ จงเข้าใจทั่วกัน"

    ฉบับที่ ๔
    "ในกรณีเกี่ยวกับเรื่องวัดพระธรรมกาย เราได้ทำหน้าที่ของสมเด็จพระสังฆราช สมบูรณ์ตามอำนาจแล้ว จึงไม่มีอะไรจะพูดอีกขณะนี้ ขออนุโมทนาทุกท่านที่สนใจ ห่วงใยพระพุทธศาสนา แสดงความเป็นคนดี ด้วยมีกตัญญูกตเวทิตาธรรม "

    ฉบับที่ ๕
    "ได้แจ้งให้เป็นที่เข้าชัดเจนดีทั่วกันแล้วก่อนหน้านี้ ว่าในตำแหน่งผู้เป็น สมเด็จพระสังฆราช สกลสังฆปริณายก ได้ทำหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องอดีตเจ้าอาวาส วัดพระธรรมกาย เพื่อเทิดทูนรักษาพระพุทธศาสนาให้พ้นถูกทำลาย สมบูรณ์ดีที่ สุดแล้วตามอำนาจ ท่านกรรมการมหาเถรสมาคมทั้งหลายจะทำอะไรต่อไปตามความต้อง การ จะไม่มานั่งฟัง รับรู้ในที่ประชุมวันนี้ ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2542 "
    ________________________________________
    หลังจากนั้นได้มีคำสั่งของมหาเถรสมาคม สั่งให้วัดพระธรรมกายดำเนินการปรับ ปรุงคำสอนที่บิดเบือนให้ถูกต้อง ส่วนกรณียักยอกทรัพย์นั้น ทางมหาเถรสมาคมก็ มีมติให้รอคำพิพากษาของศาลยุติธรรม
    และต่อมาในวันที่ 21 สิงหาคม 2549 สำนักงานอัยการสูงสุดจึงมีคำขอถอนฟ้องอดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายโดยให้เหตุผลว่า
    1. วัดพระธรรมกายได้ปฏิบัติตามคำสั่งและพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชในเรื่องการเผยคำสอนที่ถูกต้องตรงตามพระไตรปิฏกแล้ว
    2. อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายได้ยินยอมมอบคือทรัพย์สินที่ได้รับการกล่าวหาว่ายักยอกไป คืนแก่วัดทั้งหมดแล้ว
    ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่สำนักอัยการสูงสุดจะทำการฟ้องร้องอดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายและนายถาวรอีกต่อไป
    กรณียกฟ้องดังกล่าวทำให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยต่อฐานะของอดีตเจ้าอาวาสวัด พระธรรมกายในหมู่ประชาชนและนักวิชาการศาสนาเป็นอย่างมาก ฝ่ายหนึ่งให้ความ เห็นว่าท่านมีความบริสุทธิ์เนื่องจากสำนักอัยการได้ขอถอนฟ้องท่านจึงไม่มี ความผิดในกรณียักยอกทรัพย์ตามกฎหมาย ดังนั้นข้อกล่าวหาท่านว่าปาราชิกจึงไม่ มีมูล ในขณะที่นักวิชาการศาสนาอีกฝ่ายกล่าวว่า การยักยอกทรัพย์ของอดีตเจ้า อาวาสวัดพระธรรมกายได้สำเร็จแล้วตามหนังสือขอถอนฟ้องขอฝ่ายอัยการ ซึ่งยืน ยันถึงการคืนเงินให้แก่วัดในภายหลังของอดีตเจ้าอาวาสฯ ดังนั้นเมื่อมีการ คืน แสดงว่ามีการยักยอก และเมื่อมีการยักยอกจึงถือเป็นอาบัติปาราชิกขาดจาก ความเป็นพระตามที่สมเด็จพระสังฆราชมีพระราชวินิจฉัยไปก่อนหน้านี้ ถึงแม้ อดีตเจ้าอาวาสฯ จะนำทรัพย์มาคืนวัดในภายหลังเพื่อให้เกิดกระบวนการถอนฟ้องทำ ให้ไม่มีความผิดตามกฎหมาย แต่ตามพระธรรมวินัย ท่านได้ขาดความเป็นพระ แล้ว และไม่สามารถเรียกคืนสมณฐานะ ได้อีก

    ที่มาจาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 เมษายน 2012
  6. srlsrl

    srlsrl สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +2
    คิดดีๆ

    การให้ทานคือการสลัดคืนทุกสิ่ง
    น้อยคนที่จะทำได้
    เพราะคนส่วนใหญ่ไม่มีจาคะนั่นเอง
    ดังนั้นสรุปง่ายๆคือ
    คนที่ไปวัดพระธรรมกายนั้น
    อาจจะได้บุญ แต่คงน้อย เพราะพวกที่กล้าทำบุญปิดบัญชี
    นั้นเป็นเพราะว่าอยากจะได้ผลของการทำบุญที่ทางวัดโม้เอาใว้นั้นเอง
    เอาหละยังไงก็คงได้อ่ะน่ะ 55555

    จาคะคือการสละคืน ไม่อาลัยในสิ่งนั้น
    ไม่ใช่หวังผล จำใว้
    เอออีกอย่างนึงน่ะครับ
    สำหรับคนที่ไปนั่งที่ ธมก. ครั้งแรกหรือคิดจะไป ระวังนิดน่ะครับ
    เดี๋ยวจะเจอหน้าม้าได้น่ะ นั่งๆอยู่มาและ ....แต่ก่อนสามีชอบกินเหล้าแล้วทำร้ายร่างกายดิฉัน พอดีฉันทำบุญปิดบัญชีปุ๊ป สบายเลย สามีไม่ตีเลยอ่ะ แถมเลิกเหล้าอีก อิอิ ... ระวังนิดน่ะครับ
    บุญที่ทำง่ายที่สุดคือ อยู่กับลมหายใจตัวเอง แล้วบริกรรมว่า พุธ โธ อิอิ
     
  7. starcom1

    starcom1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +726
    ผิดถูกเป็นแค่สิ่งสมมติเท่านั้น
    ถาม : แล้วที่ท่านธุดงค์กันทำให้รถติด<wbr>?

    ตอบ : แล้วอย่างไร ? รถติดก็หน้าที่ของตำรวจสิจ๊ะ อย่าไปยุ่งกับท่านเลย โบราณท่านเก่ง ท่านกันตัวเองออกไปเลย เรื่องอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกั<wbr>บพระเถรเณรชี ท่านจะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เรียกว่าชั่วช่างชีดีช่างสงฆ์ คำว่า "ชี" สมัยก่อนก็คือพระ แม่ชีต่างหากที่หมายถึงชีในสมัย<wbr>นี้ อย่างสมัยก่อนเขาใช้ศัพท์บางคำว<wbr>่า "ชีบานาสงฆ์" เป็นต้น

    เมื่อเป็นดังนั้นเขาจะกันตัวเองออกไป ไม่ยุ่งเรื่องพระเถรเณรชีด้วย เพราะว่าคนเราเวลาวิพากษ์วิจารณ<wbr>์คนอื่น ถ้ากำลังใจไม่มั่นคงพอ ก็จะอยู่ในลักษณะใส่อารมณ์ร่วมไ<wbr>ปด้วย เกิดโทษกับตัวเองได้ง่าย แล้วอีกประการหนึ่ง ถึงจะว่ากันตรงไปตรงมาตามเหตุตา<wbr>มผลก็ตาม คนส่วนมากเขาเคารพเลื่อมใสบุคคล<wbr>เหล่านั้น เราไปพูดตรงไปตรงมา แต่ว่าอยู่ในลักษณะไปลดความน่าเ<wbr>ชื่อถือของเขาลง ก็มีโทษเหมือนกัน เพราะว่ากำลังใจคนส่วนใหญ่จะเสี<wbr>ย

    สมัยนี้ก็เลยมีประเภทพวกมากลากไ<wbr>ป ทำผิดจนกลายเป็นถูก กลายเป็นกาเมสุมิจฉาจารไป กาเมสุ เป็นสัตตมีวิภัตติ ก็คือวิภัตติที่ ๗ ของศัพท์คำว่ากามะ แปลว่าในกาม มิจฉาจาระ ก็คือความประพฤติผิด แต่คราวนี้เราดันไปกล่าวเป็นกาเ<wbr>มสุมิจฉาจาร ก็เลยกลายเป็นผิดแล้วดี เพราะ สุ แปลว่า ดี ถ้าพระที่ท่านเข้าใจศัพท์ตัวนี้<wbr> เวลาให้ศีลท่านจะว่า กาเมสุ มิจฉาจารา เวระมณี จะเว้นตรงสุไว้นิดหนึ่งให้คนรู้<wbr>ว่า เป็นศัพท์คนละตัว แต่โยมรับศีลเมื่อไรก็เป็น กาเมสุมิจฉาจารา เวระมณี ติดกันไปอีกจนได้ ฉะนั้น เมื่อเป็น สุมิจฉาจาร จึงแปลว่า ผิดแล้วดี..!

    แรกๆ พวกเราปฏิบัติธรรม กำลังใจของพวกเรามักจะไปแยกดีชั<wbr>่ว ขาวดำอย่างชัดเจน จริง ๆ แล้วเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่พอทำไปๆ ถึงระดับหนึ่งแล้วจะรู้ว่า ผิดถูกเป็นแค่สิ่งสมมติเท่านั้น<wbr> ไม่มีใครดี ไม่มีใครเลว มีแต่คนที่กำลังเป็นไปตามกรรม

    บุคคลที่ทำอกุศลกรรม ก็ตกในกระแสสีดำ ก็คือไหลลงไปเรื่อยๆ บุคคลที่ทำกุศลกรรม ก็ตกในกระแสสีขาว ก็คือไหลขึ้นไปเรื่อยๆ แต่คราวนี้ทั้ง ๒ กระแส ไปไม่ถึงที่สุดหรอก ถ้าจะหลุดพ้นได้จริงๆ ต้องผ่ากลางไปให้ได้ ก็คือ เว้นชั่วทำดี แล้วท้ายสุดเลิกเกาะดีก็จบ แต่กำลังใจกว่าจะเลิกเกาะดีได้น<wbr>ี่ยากมาก เพราะเราต้องอาศัยดีเป็นบันได เพื่อที่เราจะก้าวหลุดพ้นไป

    เพราะฉะนั้น..กว่าจะรู้ตัวว่า ดีก็ทำ ชั่วก็ละ ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว ก็ต้องเกิดตายกันจนนับชาติไม่ถ้<wbr>วน เพราะฉะนั้น..การที่เรามองอะไรข<wbr>าวดำ ชัดเจนนั่นดี แต่ให้เราเกาะขาว ทำด้านที่ขาวเอาไว้ ภาษาบาลีท่านใช้คำว่า สุกะธรรมะ ก็คือธรรมอันขาว ถ้าหากว่า กัณหะธรรมะ ก็คือธรรมอันดำ ก็คือบรรดาสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรม<wbr>ต่างๆ

    ท่านก็บอกว่า กัณหังธัมมัง วิปะหายะ สุกังพาเว จะ ปันฑิโต บัณฑิตย่อมละเว้นการกระทำกรรมอั<wbr>นดำ กระทำแต่กรรมที่ขาวเท่านั้น ก็คือเว้นจากความชั่ว ทำแต่ความดีเท่านั้น พอทำไปๆ ความดีเต็มอยู่ในจิตในใจของตัวเ<wbr>อง ปัญญาเกิดถึงที่สุด จะเห็นว่านี่ยังไม่ใช่ทางหลุดพ้<wbr>น ท้ายสุดก็วางความดีนั้นลง ก่อนที่จะวางได้ต้องทำให้เต็มที<wbr>่ก่อน ไม่ใช่ประเภททำนิดหนึ่งแล้วก็ไป<wbr>วาง แล้วเราจะมีอะไรให้วาง ? ต้องทำจนเต็มที่แล้วถึงจะปลดวาง<wbr>ลงไปเอง

    เมื่อเราเลิกเกาะดี ไม่ติดทั้งดีทั้งชั่วก็จะหลุดไป<wbr>ได้ เพราะฉะนั้น..ใครก็ตามในระยะแรก<wbr>เริ่ม ถ้าสามารถเอาคนเข้าวัดมารักษาศี<wbr>ลปฏิบัติธรรมได้ ถือว่าใช้ได้ทั้งหมด แม้ว่านานไปแล้ว สิ่งที่เขาทำอาจจะไม่ใช่ความดีท<wbr>ี่แท้จริง แต่คนที่ก้าวเข้ามาถึงจุดนี้แล้<wbr>ว เมื่อถึงเวลาก็เหมือนกับคนหิว คนหิวต้องรีบกินก่อน แต่พออิ่มแล้วต่อไปก็จะเลือกแล้<wbr>วว่าอะไรอร่อยถูกปากหรือเปล่า

    ถาม : ไม่มีถูกไม่มีผิด ต้องเว้นศีลไว้หรือเปล่าคะ ?

    ตอบ : ต่อให้ผิดศีล เขาก็ไม่ได้ทำผิด เพราะเขาคิดว่าดีเขาถึงทำ ถ้าเขารู้ว่าไม่ดี เขาก็พยายามที่จะเลิก ในเมื่อทำเพราะเห็นว่าดี เขาย่อมไม่คิดว่าเป็นความผิด เพราะฉะนั้น..ในความเป็นจริงแล้<wbr>วคนเราไม่มีถูกไม่มีผิดหรอก เพียงแต่ว่าให้พยายามทำในสิ่งที<wbr>่ถูก ที่เขาสมมติกันขึ้นมา ละเว้นในสิ่งที่ผิดเสีย พอถึงเวลาทำได้เต็มที่เมื่อไรก็<wbr>เป็นอันว่าพ้นไปได้

    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๕

    ที่มา : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๕ - กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

    ------------------
    จะมีเข้าใจกี่คน คมมากๆคำสอนนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 มิถุนายน 2012
  8. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,134
    ถ้าเรามีอารมณ์ในการคิดว่าคนอื่น "ดี" หรือ "ไม่ดี" เมื่อไหร่ เรากำลังปรุงแต่งเมื่อนั้น
    ในเมื่อทั้งหมดทั้งสิ้นเหล่านั้น ไม่ใช่อะไรเลย แค่เหล่าบุคคล ที่ถูกชักนำไปตามกระแสแรงบุญแรงกรรม เท่านั้นเอง ที่เป็นจิตที่เกิดมาในร่างมนุษย์ ถูกสัญญาแบบของมนุษย์ครอบงำเอาไว้ และทำทั้งหมดทั้งสิ้นไปโดยไม่ได้มีสติระลึกรู้ ว่า สิ่งที่ทำไปนั้น เป็นการขาดสติ กระทำไปโดยยืนพื้นฐานบนอวิชชา ความไม่รู้ โดยการยึดอุปาทาน

    หากเราเห็นแล้ว เราจะไม่วิจารณ์ว่า ใครชั่ว ใครดี เพราะนั่นก็คือสมมติ มีแต่ผู้ที่มีสติเห็นแจ้งแล้ว กับ ผู้ที่ยังไม่มีสติ ที่กระทำสิ่งต่างๆ ไปตามเหตุปัจจัยที่สั่งสมมาเก่าก่อน ตามบุญกรรมเก่าก่อนได้จัดสรรพื้นฐานเตรียมไว้ ก็เท่านั้นเอง

    ผู้ที่เห็นแล้ว จะพูดในสิ่งที่เป็นจริง ตามจริง เช่น การกระทำเช่นนี้ ดีเพราะจะเกิดประโยชน์กับคนหมู่มาก ช่วยคนหมู่มาก แต่จะไม่มีอารมณ์ปรุงแต่งว่า ถึงคำว่า ดี นั้น เล็งเห็นแต่ผลของการกระทำ
    สิ่งที่ไม่ดี ก็เช่นกัน เราจะไม่ประณามเขา เราจะเห็นแค่ผลของการกระทำ ว่าการกระทำนั้น จะไม่เกิดผลดีกับตัวเขา และคนหมู่มาก แต่เราจะไม่มีอารมณ์ส่วนตัวเข้าไปปรุง เข้าไปเล่น เข้าไปยึดติดกับดวงจิตดวงนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มิถุนายน 2012
  9. saturday_rainy

    saturday_rainy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    335
    ค่าพลัง:
    +957
    ถ้าถูกผิดดีชั่วแยกไม่ได้ นั่นควรจะเกี่ยวกับเรื่องปัญญาน่ะครับ สมมุติเป็นแค่คำที่ใช้เรียกสิ่งที่ไม่มีตัวตนจริง เพื่อให้ได้แยกแยะ แต่ดีเลวเป็นสัจธรรม เป็นเรื่องของศีล
    สมมุติควรใช้กับนามหรือรูปมากกว่า
     
  10. Chanseenak

    Chanseenak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    271
    ค่าพลัง:
    +506
    ลองศึกษาคำสอนของพระที่เราแน่ใจว่าเป็นพระอรหันต์หลายๆ องค์ดูครับ แล้วนำคำสอนเหล่านั้นมาเปรียบเทียบพิจารณาดู พระอรหันต์ในอดีตมีเยอะแยะครับ ท่านทิ้งคำสอนต่างๆ ไว้มากมาย เช่น หลวงพ่อโต หลวงปู่มั่น หลวงปู่แหวน หลวงปู่ดู่ หลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    หลวงปู่ขาว หลวงปู่เกษม และอีกหลายๆ องค์
    ล้วท่านจะเข้าใจเองครับ ว่าแนวทางใด เป็นแนวทางที่ถูกต้อง อะไรถูก อะไรผิด

    ขอโมทนาครับ
     
  11. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,134
    หากเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างแท้จริงแล้ว จะเข้าใจว่า ทำไม ดี เลว ถึงเป็นสมมติของมนุษย์ ครับ
    เพราะเคยทำกรรมไว้แบบนึง วิบากจะให้ผลในแนวทางนึง
    เพราะเคยทำกรรมไว้อีกแบบนึง วิบากจะให้ผลในอีกแนวทางนึง
    มันก็คือกฎแห่งกรรม ตามธรรมชาติ เท่านั้นเอง
    และผู้ที่ยังเวียนว่ายอยู่ ก็ยังจะต้องอยู่ภายใต้กฎนี้ ถูกชักนำไปตามกรรมที่ทำไว้ รับวิบากที่จะให้ผลตามที่ทำครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มิถุนายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...