ใครมีประสบการณ์วัตถุมงคลหลวงพ่อเณร วัดทุ่งเศรษฐีบ้างครับ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย ura, 23 พฤศจิกายน 2010.

  1. กินลม

    กินลม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    646
    ค่าพลัง:
    +776
    ของใหม่ดีจริงๆครับ ผมเก็บจนเกือบครบทุกอย่างแล้วครับพี่น้อย:cool:
     
  2. jukac

    jukac เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    598
    ค่าพลัง:
    +132




    rabbit_scary เจอกับตัวเอง เพราะใจร้อน หนาวเลยครับ พระหล่อหลวงพ่อปี43มีเก๊แล้ว เห็นด้วยกับพี่น้อย 1.รักของเก่าต้ิองใจเย็นๆ 2.เก็บของปััจจุบัน
    ปีหน้าก็เก่า ทุกรุ่นทุกที่วัดถ้าหมดจากตู้ที่วัดหายากทันที
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2012
  3. กินลม

    กินลม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    646
    ค่าพลัง:
    +776
    มาเล่าประสบการณ์หน่อยครับผม

    มีช่วงหนึ่งบ้า อยากมีเสน่ห์มากๆ
    เลยจัดเต็ม เสกแป้งผัดหน้า น้ำมันว่านเสยผม สีผึ้งแต้มปากนิดๆ ปลุกยันต์3ยันต์สักที่วัดทุ่ง
    ห้อยพญาเขาคำ เอวเหน็บยันต์ ตบ. ปลัดดำ
    ใช้คาถา นะพุทธะสังอิติ.....
    อธิษฐานขอครูบาอาจารย์ ขอบรมครูทุกพระองค์ ปู่ชื่น พ่อเณร ขอให้ลูกมีเมตตา....ก็ว่าไปตามช่วงบ้าๆ
    พอไปเที่ยวนั่งไม่ถึงสิบนาที ปวดฉี่ไปเข้าห้องน้ำ ออกมานั่งหน้าห้องน้ำปุ๊บ
    สาวมาเลยสามคน คนแรกขอเบอร์ คนสองขอพินบีบี คนสามถามโต๊ะอยุ่ไหนไปนั่งด้วยได้มั้ย
    แต่ผมก็ไม่ได้อะไรต่อนะครับ เพราะว่าช่วงนั้นบ้าเสน่ห์ก็จริงแต่เบื่อถ้าให้คบใคร

    มันน่าแปลกใจไหมละครับ ที่เข้ามาสามคนตามพิมพ์ของพญาเขาคำเป๊ะ
    ผมเชื่อว่าครูบาอาจารย์ท่านมาทำให้ดู ว่าที่เรามีมันของจริง!! จบแล้วครับผม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG-2.jpg
      IMG-2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      70.4 KB
      เปิดดู:
      86
  4. rulaw

    rulaw Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2012
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +52
    ผมอ่ะเสียดายรุ่นเก่า พี่ผมชวนไปสมัยก่อน ไม่เคยเอะใจไปเลย เฮ้อ
    ที่สำคัญ พี่เค้าไม่เล่นสายเสน่ห์ เฮ้อๆๆๆๆ
    ตอนนี้ได้แต่เก็บรุ่นใหม่ๆ
     
  5. ura

    ura เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    4,438
    ค่าพลัง:
    +4,818
    งามครับ :cool:
     
  6. ura

    ura เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    4,438
    ค่าพลัง:
    +4,818
    ยินดีต้อนรับครับ:cool:
     
  7. pon20042003

    pon20042003 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +4
    ถามพี่ๆหน่อยคับ
    พอดีจะโมดิฟายขุนแผนไก่แก่ ทาสีผึ้งปากเข็ด แล้วแช่น้ำมันว่าน

    แต่ปัญหาจะเอาไปให้ช่างเลี่ยมกรอบพลาสติก
    แล้วให้เขาผสมน้ำมันว่านไปด้วยได้ไหมครับ
     
  8. กินลม

    กินลม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    646
    ค่าพลัง:
    +776
    จริงๆไม่ต้องแช่ก็ได้ครับ อธิษฐานแล้วเอานิ้วแตะๆน้ำมัน ลูบพ่อขุนแผนนิดหน่อยก็ใช้ได้แรงเท่ากัน

    เลี่ยมรวมกับน้ำมันได้ครับ แต่ก็คงต้องแล้วแต่ผีมือช่าง
     
  9. pon20042003

    pon20042003 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +4
    ชอบแบบ เลี่ยมน้ำมันมากกว่าคับ ดูขลังมาก สำหรับผม อิอิ :cool:
     
  10. Artorius

    Artorius เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +313
    เรียนถามพี่ๆครับ
    รูปยันต์เทวดาหลงห้อง ที่ได้อยู่ในชุด CDสอนกัมมัฎฐาน กับพระผงกัมมัฎฐานนั้น
    หลวงพ่อได้ปลุกเสกด้วยหรือไม่ครับ จะสามารถนำมาใช้อย่างไรได้บ้างครับ
    แล้วมีพุทธาณุภาพอย่างไรครับ
    ขอบคุณครับ
     
  11. ura

    ura เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    4,438
    ค่าพลัง:
    +4,818
    พ่อปลุกเสกเเล้วครับ ไม่ต้องห่วงครับของทุกชิ้นพ่อเสกหมดครับ แต่ต้องออกในวัดเท่านั้นครับ ส่วนการอาราธนาพระผงกรรมฐานรอศิษย์พี่ลูกกรอกมาตอบให้นะครับ รอแป๊ปนึง:cool:
     
  12. แควใหญ่

    แควใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,271
    ค่าพลัง:
    +10,008
    แก้วหนุนดวงมีบูชา ที่วัดมั้ยครับ

    ขอทราบราคาเช่าบูชา แก้วหนุนดวงเนื้อปรอท ด้วยครับว่าที่วัดราคาบูชาเท่าไหร่ ขอบคุณครับ และขอขอบคุณพี่uraด้วยครับ(ที่ผมรบกวนถามทางpmน่ะครับ)
     
  13. หมีลันล้า

    หมีลันล้า Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2010
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +30
    ขอโชว์พระหลวงพ่อรุ่นเก่าที่เก็บไว้ครับ มีเหรียญ ปี 29 กับเหรียญ หลวงปู่ป่าน และพระเนื้อผงหลังเสือ กับผ้ายันต์ เกาะเพชร ผ้ายันต์แม่พันธุรัต ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_3312.JPG
      IMG_3312.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2 MB
      เปิดดู:
      85
    • IMG_3313.JPG
      IMG_3313.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2 MB
      เปิดดู:
      86
    • IMG_3314.JPG
      IMG_3314.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.3 MB
      เปิดดู:
      95
  14. scoopynoi

    scoopynoi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,116
    ค่าพลัง:
    +727
    4 ร้อย พร้อมเลี่ยมจากวัด ช้าหมด!ของเหลือน้อยแล้ว
     
  15. แควใหญ่

    แควใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,271
    ค่าพลัง:
    +10,008
    ขอบคุณมากครับที่แจ้งราคาให้ทราบ พอดีผมอยู่ต่างจังหวัด(เมืองกาญฯ)ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าถ้าส่งธนาณัติไปบูชาจะยังทันอยู่หรือเปล่าน่ะครับ
     
  16. Lukkrok

    Lukkrok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    912
    ค่าพลัง:
    +1,123
    ก่อนจะบอกวิธีใช้พระผงกรรมฐาน เราน่าจะทำความเข้าใจในเบื้องต้นก่อนว่าเรานั่งสมาธิไปเพื่ออะไร แล้วแก้ความเข้าใจผิดบางประการในการทำสมาธิเพื่อเจริญรอยตามพระพุทธองค์ จนเข้าสู่ความหลุดพ้นจริงๆ<O:p</O:p
    การเจริญรอยตามพระพุทธองค์ซึ่งมีเป้าหมายสูงสุดคือการหลุดพ้นจากวัฏสงสาร ซึ่งเป็นเป้าหมายของศาสนาพุทธเช่นกัน สิ่งใดก็ตามไม่เป็นไปเพื่อการนี้สิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่เป็นคำสอนของพระพุทธองค์ พระองค์ทรงอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความสุขมาตลอดจากการที่พระราชบิดาไม่ทรงต้องการให้ออกบวชแต่ทรงต้องการให้เสวยสมบัติจักรพรรดิ แต่วันหนึ่งพระองค์ทรงเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตายและสมณะ จึงคิดได้ว่าความสุขนั้นไม่เที่ยงคนเรามีแต่ความทุกข์และเห็นสมณะน่าเลื่อมใสจึงทรงสละความสุขแสวงหาความหลุดพ้น โดยศึกษาในสำนักต่างๆ เช่นจากอาจารย์ทั้งสอง อาฬารดาบส และอุทกดาบส บำเพ็ญจนได้ฌาน 8 ก็ทรงพบว่านี่ยังไม่ใช่ทางหลุดพ้น จึงทรงหันมาบำเพ็ญทุกขรกิริยาด้วยวิธีต่างๆแม้จะเป็นขั้นอุกฤษฏ์ก็ยังไม่หลุดพ้น จนได้ยินเสียงพิณที่ขึงพอดีที่ทำให้เสียงไพเราะจึงฉุกคิดได้ว่าต้องเดินทางสายกลาง การทรมานกายไม่ใช่ทางที่ถูก จึงหันกลับมาเสวยภัตตาหาร และเน้นบำเพ็ญเพียงทางจิต<O:p</O:p
    พระองค์ทรงเจริญสมถะภาวนา จนได้ฌาณ จากนั้นแล้วใช้สติปัญญาพิจารณาจนเกิดความรู้แจ้ง (ญาณ) คือ <O:p</O:p
    1.) เวลาปฐมยาม ทรงได้ปุพเพนิวาสานุสติญาณ คือ ความรู้เป็นเหตุให้ระลึกชาติย้อนหลังได้ นับแต่ก่อนมาสถิตย์บนบัลลังก์ใต้มหาโพธิ์จนถึงพระชาติไกลโพ้น พร้อมรายละเอียดในพระชาตินั้นๆ<O:p</O:p
    2.) เวลามัชฌิมยาม ทรงได้จุตูปปาตญาณ(ทิพยจักษุญาณ)คือรู้เรื่องเกิด-ตายของสัตว์ทั้งหลายว่า เป็นไปตามกรรมที่ตนกระทำไว้ ตามอำนาจทุจริตกรรมบ้าง ตามอำนาจสุจริตกรรมบ้าง<O:p</O:p
    3.) เวลาปัจฉิมยาม ทรงได้ อาสวักขยญาณ คือ ความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะหรือกิเลส หมายถึง ตรัสรู้อริยสัจ4 <O:p</O:p
    อาสวักขยญาณ ที่ทรงได้ทำให้ทรงพิจารณาถึงขันธ์ 5 และใช่แห่งความเป็นเหตุที่ เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท อันเป็นต้นทางให้เขาถึงอริยสัจ 4 เมื่อพระองค์ทรงรู้เห็นแล้ว จึงละอุปาทานและตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า<O:p</O:p
    ในวันอาสาฬหบูชา ขึ้น ๑๕ เดือน ๘ จึงทรงปฐมเทศนา " ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร (แปลว่าสูตรของการหมุนวงล้อแห่งพระธรรมให้เป็นไป)" ซึ่งมีใจความ ๓ ตอน คือ
    1.) ทรงชี้ทางผิดอันได้แก่กามสุขัลลิกานุโยค (การประพฤติโดยหมกมุ่นอยู่ด้วยกาม) และอัตตกิลมถานุโยค(การทรมานตนทางกายให้ลำบาก) ว่าเป็นส่วนสุดทั้งสองที่ไม่ควรดำเนิน แต่เดินทางสายกลางที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา คือ มรรคมีองค์แปด เป็นไปเพื่อพระนิพพาน <O:p</O:p
    2) ทรงแสดงอริยสัจ 4 โดยละเอียด อริยสัจ คือความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ ได้แก่<O:p</O:p
    ทุกข์ คือ ความไม่สบายการ ไม่สบายใจ ... ควรกำหนดรู้<O:p</O:p
    สมุทัย คือ ความอยากอันเป็นเหตุของทุกข์ ... ควรละ<O:p</O:p
    นิโรธ คือ ความดับทุกข์ ... ควรทำให้แจ้ง<O:p</O:p
    มรรค คือ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์<O:p</O:p
    ๓.) ทรงปฏิญญาว่าทรงตรัสรู้พระองค์เอง และได้บรรลุธรรมวิเศษแล้ว<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    มรรคที่มีองค์แปดนั้นเป็นข้อพึงปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์นั้นสามารถแบ่งเป็นการปฏิบัติสามขั้นคือ ศีล สมาธิ ปัญญา ดังนี้<O:p</O:p
    · การปฏิบัติขั้นต้น “ศีล” ความสำรวมตั้งมั่นในความดี ประกอบด้วย สัมมาวาจา (เจรจาชอบ), สัมมากัมมันตะ (การงานชอบ) และสัมมาอาชีวะ (เลี้ยงชีพชอบ)<O:p</O:p
    · การปฏิบัติขั้นกลาง “สมาธิ” อนุสติ 10 ประการและการสวดมนต์เจริญจิตตภาวนา ประกอบด้วย สัมมาวายามะ (ความเพียรชอบ), สัมมาสติ (ระลึกชอบ) และสัมมาสมาธิ (ตั้งจิตมั่นชอบ)<O:p</O:p
    · การปฏิบัติขั้นปลาย “ปัญญา” พิจารณาไตรลักษณ์ ประกอบด้วย สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) และสัมมาสังกัปปะ (ดำริชอบ)<O:p</O:p
    ทางสายกลางอันเป็นหนทางอันประเสริฐนี้พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ทรงค้นพบเหมือนกันและเป็นทางสายเดียวกัน เป็นทางเดียวที่จะนำไปสู่ความหลุดพ้นอย่างแท้จริง<O:p</O:p
    สำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานทางธรรมมาก่อนจะทรงเทศน์ เรื่อง คุณของการให้ทาน การรักษาศีล, สวรรค์ (การแสวงสุขเนื่องจากการให้ทาน การให้ศีล), โทษของกามและการปลีกตัวออกจากกาม จากนั้นจึงทรงเทศน์ อริยสัจ 4<O:p</O:p
    จากความรู้แจ้ง (ญาณ) ที่ได้จากการตรัสรู้นั้นทำให้พระองค์รู้ว่าการเวียนว่ายตายเกิดล้วนเป็นไปตามกรรมทั้งสิ้น การทำกรรมทั้งกาย วาจา ใจ ล้วนส่งผลต่อสัตว์โลกในชาตินี้ ชาติหน้าหรือชาติถัดๆไป ทำกุศลกรรม นำไปสู่สุขคติภูมิ อกุศลกรรมจะนำไปสู่ทุคติภูมิ ทุกคนควรกระทำบุญ (ทาน ศีล ภาวนา) บุญเท่านั้นเป็นที่พึ่งของสัตว์ในปรโลกเบื้องหน้า ทรงสอนเรื่องสวรรค์ (สุขคติภูมิ) เพราะเป็นการน้อมให้สร้างบุญ เป็นภพภูมิที่เสวยสุขจากการทำกุศลกรรม และทำให้หลีกเลี่ยงการไปสู่ทุคติภูมิ ไม่ว่าจะเป็น นรกภูมิ เปรต อสูรกาย สัตว์เดรัจฉาน การหลีกเลี่ยงจากกามซึ่งเป็นตัวขวางในการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น เป็นหนึ่งในสิ่งที่ขวางการเจริญสมาธิ และให้เข้าใจเรื่องการปฏิบัติตามทางสายกลางก็จะนำให้จิตถึงพร้อมมากขึ้นเพื่อเข้าสู่ความหลุดพ้น
    <O:p</O:p
    สุดท้ายแล้วเราก็ไม่ควรทำบุญเพื่อหวังบุญ อย่าไปติดบุญเพราะเมื่อเสวยบุญหมดแล้วก็ต้องไปรับกรรมอยู่ดี ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าเมื่อเราไปเกิดในสวรรค์ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าชั้นใดเราจะเป็นเทวดาที่ดีหรือไม่ เราจะบำเพ็ญต่อเพื่อเข้าสู่กระแสนิพพานหรือไม่ การเวียนว่ายตายเกิดจึงไม่ใช่เรื่องที่สนุก<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    จากความย่อข้างต้นมีหลายสิ่งที่ควรทำความเข้าใจ
    <O:p</O:p
    สติและสมาธินั้น ให้พึงระลึกอยู่เสมอว่าเป็น สัมมาสติและสัมมาสมาธิ ไม่ใช่สติและสมาธิทางโลกียะ (เป้าหมายทางโลกที่ไม่เป็นอกุศลกรรม) และไม่ใช่สติและสมาธิที่เป็นมิจฉาคือ ไม่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นเช่น เพื่อลาภ ยศ สรรเสริญ ทำอกุศลกรรมต่างๆ
    <O:p</O:p
    ภาวนา หมายถึง “ การอบรมจิตให้เจริญ“ <O:p</O:p
    สมาธิภาวนา หมายถึงการอบรมจิตให้เป็นสัมมาสมาธิ (เป็นไปเพื่อความหลุดพ้น และไม่ใช่เพื่อทางโลก) กรรมฐานภาวนาโดยสภาวธรรมจัดว่าเป็นสมาธิภาวนา<O:p</O:p
    กรรมฐานภาวนา แบ่งเป็น 2 ประเภท<O:p</O:p
    · สมถะกรรมฐานภาวนา – การอบรมจิตเป็นไปเพื่อให้เกิดสภาวธรรมของความสงบจากอกุศลธรรมเพื่อให้เกิดความประณีตของจิตยิ่งขึ้น<O:p</O:p
    · วิปัสสนากรรมฐานภาวนา - เป็นไปเพื่อบังเกิดขึ้นแห่งปัญญาญาณ (ในทางพุทธศาสนา)<O:p</O:p
    จิตที่สงบระงับเป็นขณิกะ อุปจาระ อัปปนา ปฐมฌาน ทุติยฌาน ..... ก็คือสมถะ สมถะแห่งจิตคือความละเอียด ประณีตของจิต ซึ่งมีหลายระดับ เมื่อความละเอียดของจิตสูงขึ้นกิเลสจะลดลง และเมื่อบรรลุ รูปฌาน 4 และอรูปฌาน 4 รวมเป็นสมาบัติ 8 เมื่อถึง “สัญญาเวทยิตนิโรธฌาณ” หรือ ฌาน 9 ความดับลงแห่งอาสวะพร้อมบริบูรณ์ จึงบรรลุมรรคผลนิพพาน เรียกว่า “เจโตวิมุติ” ในทางพระพุทธศาสนา ฌาน 9 นี้ผู้ที่บรรลุจะไม่มีเชื้อของอวิชชาที่เป็นเหตุให้เกิดกระแสปฏิจจสมุปบาท ดังนั้นฌานนี้ไม่อาศัยนิมิตอารมณ์กรรมฐาน

    <O:p</O:p
    สิ่งที่มักเข้าใจผิดคือ ซึ่งควรที่จะทำความเข้าใจ<O:p</O:p
    การบำเพ็ญทางสมถะกรรมฐานนั้น บางคนเข้าใจว่าเป็นสมาธิแข็งทื่อสงบนิ่งไม่เกิดปัญญาไม่หลุดพ้น ต้องใช้วิปัสสนาอย่างเดียว คิดพิจารณาสภาวธรรมพิจารณาไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ในความจริงแล้วถ้าเราใช้ความคิดคือใช้สมองคิดพิจารณาอย่างนั้นไม่ใช่ วิปัสสนากรรมฐานในทางพระพุทธศาสนา ทั้งนี้เพราะวิปัสสนา เป็นการรู้แจ้งโดยมีสภาวธรรมของจิตที่มีปัญญาในทางพระพุทธศาสนาและเกิดความดับลงแห่งอาสวะ วิปัสสนามีหลายระดับเช่นเดียวกับสมถะ และการมองเห็นความจริงต้องเป็นความจริงขั้นสูงสุดในทางพระพุทธศาสนาคือ ในระดับปรมัตถสภาวธรรม จิตที่เกิดปัญญาญาณในทางพระพุทธศาสนาจะเป็นเหตุให้ความดับลงของอาสวะทั้งหลาย การเจริญวิปัสสนาในอดีตคือการกำหนดรู้อุปาทานขันธ์ 5 โดยธรรมธาตุ โดยอาการของอิทัปปัจยตา โดยความเป็นอริยสัจ 4 โดยไตรลักษณ์ นี่คือการเจริญวิปัสสนากรรมฐานตามรอยพระพุทธเจ้า
    <O:p</O:p
    เราปฏิบัติเพื่ออะไร ก็เพื่อให้เรามีวาระจิตที่เป็น “ผู้รู่ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน” ในทางพุทธศาสนานั้นจะต้องประกอบด้วยสภาวธรรมทั้ง 2 เสมอ คือ 1. ความสงบเป็นสมถะของจิต และ2. มีปัญญาเป็นวิปัสสนาของจิตดังนั้นทั้งสมถะและวิปัสสนา นั้นจะเกื้อกูลกันไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ผู้ที่จะเข้าสู่กระแสความหลุดพ้นต้องปฏิบัติทั้งสองอย่าง
    <O:p</O:p
    วิปัสสนา ไม่ใช่ทำกันโดยอาศัยความคิดพิจารณา อันนั้นเป็น “วิปัสสนึก” ไปเพราะวิปัสสนาต้องใช้จิตรู้ หรือถ้าจะให้จำง่ายๆคือ “ความคิดไม่ใช่การรู้ ถ้าจะรู้ต้องหยุดคิด แต่เมื่อใดที่รู้ จะได้ทั้งรู้ทั้งคิด
    <O:p</O:p
    ญาณนั้นก็เป็นสภาวธรรมหยั่งรู้ด้วยใจ ไม่ใช่สมอง และต้องเป็นไปเพื่อความดับทุกข์ เช่นบุพเพนิวาสานุญาณ หรือความหยั่งรู้การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ในระดับปรมัตถธรรมเพื่อความดับทุกข์ (ด้วยจิต ไม่ใช่นึกคิดเอา) เป็นต้น<O:p</O:p
    ฌาน คือสภาวธรรมของจิตที่เสวยอารมณ์ของความสงบระงับจากอกุศลกรรมโดยเป็นสัมมาสมาธิในระดับอัปปนาสมาธิ (ถ้าเป็น ขณิกสมาธิหรืออุปจารสมาธิ ยังไม่ใช่ฌาน) มีรูปฌาน 4 และอรูปฌาน 4 ฌานจึงเป็นส่วนหนึ่งของสมถะ เพราะสมถะนั้นขณะจิตเสวยอารมณ์อาจเป็นได้ทั้ง ขณิก อุปจาระและอัปปนา<O:p</O:p
    เวลาบำเพ็ญสมถะกรรมฐานนั้นก็เพื่อการบังเกิดของฌาน เพื่อให้สัมมาสติ จิตให้มีกำลังกล้าแข็งไม่สั่นไหวและได้บารมีธรรมที่สามารถติดตัวข้ามภพข้ามชาติได้ เพื่อสามารถแสดงอภิญญาได้ อีกทั้งอรหันต์นั้นดับขันธ์ในฌานทั้งสิ้นเพื่อเข้าสู่นิพพาน
    <O:p</O:p
    ให้เจริญสมถะจนจิตละเอียดยิ่งขั้นจนเกิดตัวรู้ แล้วน้อมเพื่อให้รู้แจ้ง (ญาณ) เมื่อตัวรู้เกิดแล้วน้อมจิตเพื่อพิจารณา กระแสแห่งความรู้จะไหลมาให้เห็นด้วยจิตแต่เราต้องปล่อยให้กระแสนั้นไหลผ่านเราตลอดอย่าไปจดจ่อ เปรียบง่ายๆคือเรามองไปในกระแสน้ำที่ไหลผ่านหน้าจะเห็นสิ่งต่างลอยผ่านมาตลอดเวลา ถ้าเรามองอยู่กับที่จะเห็นสิ่งต่างๆที่ผ่านเราไปทั้งหมดแต่ถ้าเมื่อใดเรามองสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วตามดูสิ่งนั้นไปเรื่อยๆเช่นผักตบชวาลอยผ่านมาเราจะพลาดสิ่งต่างๆที่ลอยตามตามมา <O:p></O:p>
    สภาวะที่ใช้จิตรู้นั้นจะเร็วมากเราจะเข้าใจและรู้สิ่งต่างๆได้ในเวลาอันสั้นมากเป็นเสี้ยววินาที เมื่อเทียบกับต้องใช้สมองคิดเป็นเวลานานอาจเป็นชม. วัน เดือน ปี ด้วยซ้ำ
    <O:p</O:p
    การเพ่งฌานก็คือสภาวธรรมของจิตที่ตั้งมั่น เป็นการเพ่งด้วยจิต ไม่ใช่เพ่งด้วยสายตา การดูลมหายใจก็ใช้จิตดู การเพ่งกสิณใดๆกก็เป็นการใช้จิตเพ่งดูดวงกสิณต่างๆ ดังนั้นเมื่อนิมิตเกิดจนแนบแน่นแล้ว ยามหลับตาก็เห็น เมื่อลืมตาก็ยังเห็นอยู่ซ้อนกับสิ่งที่ตาเห็น สิ่งที่เราใช้เป็นเครื่องหมายสำหรับให้จิตกำหนเดนั้นเราเรียก “นิมิตอารมณ์กรรมฐาน” ซึ่งมีทั้งรูปธรรม (ลมหายใจ ดิน น้ำ ลม ไป ฯลฯ) และอรูปธรรม (ความว่างเปล่า ฯลฯ) ยังมีนิมิตอารมณ์กรรมฐานอื่นอีกเช่น มรณานุสติ (อาศัยความตายเป็นอารมณ์) พุทธานุสติ (อาศัยพระพุทธเจ้า) ธัมมานุสติ (อาศัยพระธรรม) สังฆานุสติ (อาศัยอริยสาวก) หรือตามสติปัฏฐานสูตร (ใช้กาย เวทนา จิต ธรรม) ฯลฯ เป็นนิมิตอารมณ์เพื่อความตั้งมั่นของสัมมาสติ ซึ่งเราต้องเลือกนิมิตให้เหมาะสม ตามความกล้าแข็งของสัมมาสติ แต่โดยความสะดวกใช้ อานาปานสติ (ลมหายใจ) เพราะคนเราหายใจตลอดเวลา ทำได้ทุกที่ทุกเวลา ในกรณีฝึกกสิณ 10 จะมีผลพลอยได้คือฤทธิ์ แต่ก็อย่าไปยึดติดในฤทธิ์จะไม่สามารถยกระดับจิตสูงขึ้นต่อไปได้ ถ้าจะฝึกกสิณควรฝึกอานาปานสติให้ได้ ฌาน 4 และคล่องก่อนจึงเริ่ม<O:p</O:p

    ดังนั้นจงอยู่ในสายบุญหมั่นสร้างบุญ ทาน ศีล ภาวนา) สร้างกุศลกรรม งดอกุศลกรรม เดินตามมรรคที่มีองค์ 8 ขั้น ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อยกระดับจิตจนเข้าสูกระแสนิพพาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤษภาคม 2012
  17. มารูโจ้

    มารูโจ้ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +10
    รบกวนศิษย์พี่คับ อยากทราบว่าพุทธคุณเหรียญดร.เตอร์ นี้ด้านไหนคับและใช้คาถาอะไรกำกับ
     
  18. oOKongkehaOo

    oOKongkehaOo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    443
    ค่าพลัง:
    +576
    ครอบจักรวาลครับ ของได้ทุกเรื่อง เหรียญนี้แรงมากๆ
     
  19. scoopynoi

    scoopynoi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,116
    ค่าพลัง:
    +727
    ใครที่เห็นห้องวัตถุมงคลรูปโฉมใหม่ด้วยสายตาตนเองที่วัดหรือรูปในบอรด์นี้อย่าดูที่ความสวยความแปลกใหม่ของห้อง ดูหมวดหมู่ของวัตถุมงคลหรือเครื่องรางกันหรือเปล่าว่าแบ่งโซนแบบไหน
    -โซนต้นงิ้ว อิ อิไม่ใช่สิโซนเสน่ห์ รวมพลขุนแผนมีจิ้งจก ขาแต๊ปไม่ควรพลาด
    -โซนเมตตามาเป็นกลุ่มเยอะมาก ๆตรงนี้มีของเก่าปนอยู่เล็กน้อย
    -โซนรูปเหมือนของพ่อ ไม่ว่าล๊อกเก๊ต เหรียญพัดยศ ผงรูปเหมือน 50 ปี
    -โซนสมเด็จมาเลยไม่ว่า ไกเซอร์ สมเด็จญาณวินโย
    -โซนเครื่องราง มาเพียบ ตะกรุด หนุมาน เบี้ยแก้
    -โซนค้าขายเรียกทรัพย์ก็มี พระสังข์เด่นมาเลย แม่นางกวักอีก
    -โซนเทพ พระพิฆเนศ องค์พ่อจตุคาม เทพทันใจ
    ตามความคิดผมสิ่งที่พ่อสร้างทุกชิ้นมีดีและเด่นในแต่ละอย่าง แต่โดยภาพรวมนั้นเมตตา แคล้วคลาด กันลมเพลมพัด คุณไสยต่าง ๆ ได้หมด ไม่ว่าอะไรที่อยู่ในตู้ เพียงแต่ว่าเราถูกชะตาและชอบอย่างไหนเป็นพิเศษเท่านั้น ดูอย่างพระสังข์นั้นเรียกเนื้อเรียกปลาบวกแรงเสริมแม่นางกวัก กวักเงินทองกวักลูกค้านี่ไม่รวมนกสาริกาเจรจาพาที จิ้งจกอีกล่ะ
    เราได้อะไรจากวัตถุมงคล เครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เครื่องเตือนสติคอยฉุดหยุดรั้งที่จะทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม เพื่อระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พ่อ แม่ ครูอาจารย์และผู้มีพระคุณต่าง ๆ
    สมัยนี้สิ่งที่ผมเห็น "ลูกพาพ่อพาแม่มาวัดในวันหยุดในวันสำคัญต่าง ๆ"
    สมัยก่อน "พ่อแม่ต้องลากลูกบังคับลูกมาวัด"
    ยุคสมัยเปลี่ยนไปจริง ๆ
     
  20. oOKongkehaOo

    oOKongkehaOo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    443
    ค่าพลัง:
    +576
    พอทำบุญเสร็จก็ให้พ่อแม่บูชาวัตถุมงคลให้เราต่อใช่ไหมครับ 5555555 ล้อเล่นนะครับๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...