[[***2013***]] = โลกเปลี่ยนเป็นมิติ5 ??? หรือ โลกยังเหมือนเดิม ???

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Gold, 23 เมษายน 2012.

  1. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    พอดีเหลือบไปเห็นท่านพี่ phudit999 ถามมาว่ามิติที่ 5 คืออะไรกันแน่
    ใจเย็นครับท่านพี่ เพราะว่าช้าเร็ว ผมก็จะนั่งตอบคำถามอยู่หน้าคอมฯนี่แหละคืนนี้
    จนกว่าจะถึงเวลาอาบน้ำและนั่งสมาธิของผม คือราวๆ 4 ทุ่มโน่นแหละครับ
    เพราะวันนี้ผมไม่ทานข้าวเย็นครับ เพราะว่ากำลังดื่มน้ำปั่นล้างพิษสูตร Popatus ของคุณหมอแกนอยู่ครับ

    ว่าแล้วก็ต้องขอขอบคุณ คุณหมอแกนท่านนี้ด้วยนะเนี่ย ที่เผยแพร่สูตรนี้เอาไว้
    เพราะว่ามีประโยชน์มากจริงๆครับ และก็ได้ผลระดับหนึ่งแล้วหละครับ

    แต่ช้าก่อน..หมอแกนคนนี้..แม้ว่าจะทำประโยชน์ให้คนอื่นเห็นว่า และ พูดว่า "ขอบคุณมากนะครับ/คะ" แค่ไหนก็ตามแต่
    แต่ก็ยังไม่วายโดนคนบางประเภทด่าเละตุ้มเป๊ะไม่มีชิ้นดีเหมือนกันครับ..

    แล้วจะประสาอะไรกับผมเล่า? ผมจะมีอภิสิทธิ์อะไร ที่จะต้องไม่ถูกด่าหละครับ?
    พระศาสดาแท้ๆ ก็ยังมีคนไปด่าพวกท่านได้เลย แล้วประสาอะไรกับผมคนเดินดินกินข้าวแกงคนนี้หละ?

    มาต่อเรื่องของเรากันดีกว่านะครับ..

    แม้ว่าการมาถึงของ "ยุคพลังงานใหม่" หรือที่เรียกกันเป็นภาษาอังกฟษว่า ยุค "New Age" นี้
    จะถูกพยากรณ์เอาไว้แล้ว โดยภูมิปัญญาของคนโบราณหลายชนเผ่า เช่น เผ่ามายาเป็นต้น
    แต่ลักษณะของการมาถึงของวันสิ้นยุค และ ของยุคใหม่นั้น จะเป็นอย่างไร ก็ยังไม่มีใครรู้แน่ชัด
    นอกจากข้อมุลที่มาจาก "ผู้ที่อาศัยอยู่ใต้พื้นโลก" คืออยู่ในเมืองทีลอส และ เมืองอากาธา และเมืองอื่นๆเท่านั้น
    ที่จะรู้ เพราะว่าพวกเขาเป็น "คนทิพย์" ที่มีร่างกายกึ่งกายเนื้อไปแล้ว และก็อายุยืนเป็นพันๆปีด้วย
    ซึ่งเดี๋ยวเรื่องของการมีตัวตนอยู่ของพวกเขานี้ ก็คาดว่าจะได้รับการเปิดเผย และพิสูจน์ให้ชาวโลก
    ที่อยู่บนพื้นผิวโลกอย่างเรานี่แหละ ได้รับรู้ในอีกไม่นานนี่แหละครับ น่าจะพร้อมๆกับ หรือไล่เลี่ยกับ
    การเปิดเผยตัวตนของพวกมนุษย์ต่างดาว และ พวกต่างมิติด้วยนะครับ

    ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น ผมยังนึกถึงสีหน้าของคนที่ปฏิเสธเรื่องมนุษย์ต่างดาวแบบหัวชนฝาไม่ออกเลยนะเนี่ย
    ว่าพวกเขาจะทำหน้าอย่างไร? เพราะว่า ผมใช้ส่วนไหนของร่างกายคิด ก็ยังคิดไม่ออกเลยว่า
    ทำไมมันถึงจะไม่มีรูปธรรมชีวิตอื่นๆ อาศัยอยู่บนดาวดวงอื่น หรือในส่วนอื่นๆของจักรวาลเลย
    เพราะว่ามันมีดวงดาวอยู่จำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ในแกแล็กซี่แห่งนี้ แล้วเหตุผลอะไรที่จะมีเพียงโลกใบนี้เท่านั้น
    ที่จะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ ผมนึกไม่ออกจริงๆ ว่าทำไมพวกเขาถึงปักใจเชื่อเช่นนั้นได้

    นี่ถ้าให้ผมจัดลำดับสิ่งมหัศจรรย์ของโลกใหม่นะ ผมก็จะจัดเอากลุ่มคนที่เชื่อว่า
    ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นงอาศัยอยู่บนดาวดวงอื่นนี่แหละ มาเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอย่างหนึ่งด้วยหละ

    เออ..แปลกจริงๆ..คิดได้ยังไงนะ..นึกไม่ออก และก็ไม่เข้าใจจริงๆครับ สาบานได้..

    อีกข้อมุลด้านหนึ่งที่สื่อสารมาให้ทราบเกี่ยวกับลักษณะของยุคพลังงานใหม่ที่ว่านี้ ก็คือข้อมูลจากต่างมิติครับ
    ที่หลายท่านก็ได้อ่านไปแล้ว จากการแปลและโพสต์ของพวกผมนั่นแหละครับ แต่อย่าถามอีกนะ
    ว่าแล้วเชื่อได้มากน้อยแค่ไหน ผมก้จะตอบอีกว่า ใช้วิจารณญาณเอาเองครับ เพราะว่าผมเอง
    ก็ไม่สามารถพิสุจน์อะไรให้ท่านได้ ไม่ว่าจะพิสูจน์ว่า ไมันไม่จริง" หรือว่า "มันจริง" ก็ตาม
    เพียงแต่ว่า มีสิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจ และยืนยันได้แน่นอนก็คือว่า

    มันเป็นข้อมูลที่น่าสนใจมากๆ และก็มีประโยชน์มากๆด้วย
    ถ้าใครรู้จักหยิบเอาประโยชน์ของมันมาใช้เป็น พวกเขาก็จะได้ประโยชน์แน่ๆ

    ข้อมูลที่พวกเขาบอกมา โดยสรุปก็คือ เมื่อเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่นี้แล้ว โลกใบนี้ และสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย
    ที่อยู่บนโลกใบนี้ ก็จะเข้าสู่มิติที่ 5 คือออกจากมิติที่ 3 ไปสู่มิติที่ 4 ก่อน แล้วค่อยไปถึงมิติที่ 5 หนะนะครับ

    แล้วไอ้เจ้าคำว่า "มิติ" นี่ มันคืออะไรหละ? มันเหมือนกับที่นักฟิสิกส์บอกเอาไว้ไหมว่า
    มิติที่ 3 คือการมีทั้งความกว้าง ความยาว และความสูง ส่วนมิติที่ 4 นั้น คือบวกมิติแห่งกาลเวลาเข้าไปด้วย

    คำตอบคือ มองไปรอบๆตัวสิครับ เห็นถังขยะอยู่ตรงไหนไหม๊ ..นั่นแหละ..โยนข้อมูลแบบนั้นลงไปเลยครับ
    เพราะว่าตามนัยยะของข้อความจากต่างมิติทั้งหลายแล้ว มันไม่ใช่แบบนั้นเลย เพราะว่า
    พวกเขาพูดถึงระดับของความสั่นสะเทือนของสิ่งต่างๆที่แตกต่างกันต่างหากหละครับ

    เช่นผมจะสมมุติตัวเลขขึ้นมาให้เข้าใจง่ายๆเฉยๆนะครับ ไม่ใช่ตัวเลขจริง เช่น มิติที่ 3 คือ
    มิติที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นวัตถุธาตุที่เราจับต้องได้อยู่นี้ มีระดับความสั่นสะเทือนของแสง
    อยู่ในช่วง visible light คือเท่าไหร่หละ จากระดับความสั่นสะเทือนของสีแดง ไปจนถึงของสีม่วง เป็นต้น

    ส่วนมิติที่ 4 นี่ก็ตัวเลขสมมุติอีกเหมือนกันนะครับ ก็คือ สิ่งที่มีระดับความสั่นสะเทือนสูงกว่าระดับ visible light ขึ้นไปอีก
    ตั้งแต่ระดับของรังสีเหนือม่วงขึ้นไปจนถึงระดับรังสีแกรมม่า อะไรแบบนั้นเป็นต้น

    ส่วนมิติที่ 5,6,7...ฯลฯ ก็จะเป็นอะไรแบบนั้นเหมือนกันครับ..แต่อย่างไรก็ตาม ที่ผมอธิบายมานี้
    เป็นแค่การสมมุติเท่านั้นนะครับ ไม่ได้หมายความว่า มันคือค่านั้นจริงๆ และไม่ได้หมายความว่า
    มิติต่างๆ มันจะต้องเรียงลำดับตามความถี่แบบนั้นขึ้นไปเรื่อยๆจริงๆ..อ้าว..ทำไมหละ..

    ก็เพราะว่า มิติต่างๆ ที่สูงๆขึ้นไปแล้ว พวกมันอยู่เหนือช่องว่างและกาลเวลาของพวกเราหนะสิครับ
    จึงไม่อาจระบุแห่งหนตำบลใดให้แก่พวกมันได้..ซึ่งถ้าผมจะยกตัวอย่างว่า เช่น บนโลกของเรานี้
    ก็มีมิติต่างๆซ้อนทับกันอยู่มากมาย มากกว่า 1 มิติ พวกท่านจะเชื่อกันไหมเนี่ย..

    พวกเขาบอกว่า ขนาดเฉพาะบนโลกของเรานี้ก็เถอะ ยังมีมิติต่างๆทับซ้อนกันอยู่นับไม่ถ้วนเลยนะครับ
    เช่น เก้าอี้ที่คุณกำลังนั่งอยู่นั่นหนะ แม้ว่ามันจะกำลังปรากฎอยู่ในมิติทางกายภาพนี้ด้วยก็ตาม
    แต่ตัวตนของมัน ก็ยังไปปรากฎอยู่อีกในมิติอื่นๆด้วย จนนับไม่ถ้วน
    ตัวตนของพวกคุณเอง ของพวกเราเองก็เหมือนกันด้วย ยังมีไปปรากฎอยูในมิติอื่นๆอีก จนนับไม่ถ้วน

    โอ้ว..นั่นหนะขัดแย้งกับคำสอนของศาสนาพุทธแล้ว..ถูกต้องที่สุดแล้วครับ เพราะมันขัดแย้ง 100% เลย
    และแม้แต่เรื่องที่พื้นฐานที่สุด ที่พวกเขาทั้ง 100% พูดตรงกันหมด ไม่ว่าจะสื่อสารมาถึงใคร ชาติไหน
    หรือในปีไหนก็ตามแต่ ถ้ากล่าวถึงกาลเวลาแล้วหละก็ พวกเขาก็จะบอกว่า
    ในระดับความจริงที่จริงยิ่งกว่าความจริงในระดับของพวกเรา คือของโลกหนะนะครับ

    "กาลเวลาหนะมันไม่มีอยู่จริงหรอก เพราะว่าในมิติที่สูงกว่าแล้ว
    ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต มันมีอยู่เป็นอยู่ พร้อมกันหมด
    มันจึงมีแต่ ที่นี่ และ เดี่ยวนี้เท่านั้นเอง"

    เพราะฉะนั้น คำว่า "อดีตชาติ" "ปัจจุบันชาติ" และ "อนาคตชาติ" จึงไม่มีอยู่จริงด้วย
    เพราะว่าพวกมันทั้งหมด "กำลังมีอยู่และเป็นอยู่พร้อมๆกันหมด ที่นี่ และ เดี๋ยวนี้ด้วย"

    โอ๊ย!! มั่วไปกันใหญ่แล้ว..นั่นมันขัดแย้งกับคำสอนของศาสนาพุทธอีกแล้ว..
    ประทานโทษเถอะครับ อย่าว่าแต่ศาสนาพุทธเลย ไม่ว่าจะเป็นคำสอนของศาสนาไหนในโลกนี้
    มันก็ขัดแย้งหมดนั่นแหละครับ..

    อ้าว..แล้วทำไมถึงยังคิดว่าข้อมุลพวกนี้มันน่าเชื่อถืออยู่อีกหละ.?.

    งั้นคุณก็ลองหาคำอธิบายของการระลึกชาติดูสิครับ คุณจะอธิบายว่ายังไง เอาให้เป็นวิทยาศาสตร์นะ
    และอีกอย่างหนึ่ง คุณเคยซื้อหวย หรือว่าไปขอหวยกับนางตานี หรือกับเจ้าแม่เจ้าพ่ออะไรบ้างไหม
    หรือแม่แต่กับญาติพี่น้องที่ตายไปแล้วของคุณก็ตาม มันต้องมีบ้างหละที่พวกนั้นหนะบอกหวยถูกจริงๆ
    อันนี้ตัดประเด็นเรื่องฟลุ๊กออกไปหนะนะครับ เพราะว่า ในจำนวนที่ฟลุ๊กนี้ มันก็ต้องมีบ้างหละที่เขาบอกจริงๆ

    แล้วคุณสงสัยกันไหมว่า แล้วไอ้เจ้าผี หรือ วิญญาณที่มันตายไปแล้ว มาบอกหวยถูกนั่นหนะ
    มันบอกถูกได้อย่างไร ทั้งๆที่ตัวมันเองก่อนตายหนะ ก็ไม่ใช่พระอริยเจ้าที่จะได้อนาคตังสญาณแต่ประการใดเลย
    เออ..ลืมไป ลองหาคำอธิบายปรากฎการณ์ของ "อนาคตังสญาณ" เล่นๆ แต่แบบเป็นวิทยาศาสตร์ดูด้วยนะครับ

    มันจะ..จะสมมุติยังไงดีหละ..จะประมาณว่า ทุกเหตุการณ์ มันวางแบบอยู่กับพื้นหน้ากระดานที่อยู่ตรงหน้าเรานี่หมดแล้ว
    สมมุติว่าเป็นตาหมากรุกก็แล้วกันนะครับ..สมมุติว่าช่องโน้น คือชาติโน้น ช่องนี้ คือชาตินี้อะไรแบบนั้น
    นั่นแหละ คือสิ่งที่พวกเขาเห็นหละ พวกเขาจะเห็นแต่กระแสพลังงานที่หลั่งไหลไปมาอยู่แบบไม่ขาดสาย
    กระแสพลังงานนี้ก็คือกระแสพลังงานที่เป็นแสงสว่างรูปแบบหนึ่ง ที่ปรากฎออกมาเป็นต่างๆกัน
    เช่น เป็นกระแสความคิดของมนุษย์เป็นต้น พวกเขาจะรู้ได้ว่าเหตุการณ์ไหนมันกำลังจะเกิดขึ้นหรือไม่
    ก็โดยดูจากแนวโน้มของระดับพลังงานที่กำลังไหลไปสู่เหตุการณ์นั้นๆอยู่ตลอดเวลานั่นเอง

    ซึ่งถ้ามันไหลไปไม่หยุด ก็แสดงว่าโอกาสแห่งความเป็นไปได้ที่มันจะหลุดออกมาสู่มิติทางกายภาพนี้ มันก็สูง

    อ้าว..ก็สรุปว่า แม้แต่พวกเขาเอง ก็ไม่รู้แน่ชัดหนะสิ ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่?
    ถูกต้องแล้วครับ เพราะว่า ถ้าเป็นเหตุการณ์ต่างๆที่เกี่ยวกับโลกของเรา มันก็จะขึ้นอยู่กับ
    "จิตสำนึกมวลรวมของคนทั้งโลก" ที่มีต่อเหตุการณ์นั้นๆเป็นหลักครับ
    และนี่แหละคือ Key word หละ คือ ไม่ว่าเราจะพากันไปจดจ่อกับเหตุการณ์ใดๆ ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
    ก้จะไปทำให้โอกาสที่เหตุการณ์นั้นๆมันจะกลายเป็นจริงขึ้นมาได้ มันจะมากขึ้นตามไปด้วยครับ

    เช่น คนไทยทั้งประเทศ ไม่ชอบนายกคนหนึ่ง ก็เลยพากันเดินขบวนขับไล่เสีย และ/หรือพากันนั่งสมาธิ
    ส่งกระแสจิตไปสาบแช่งเขาเสีย อะไรแบบนั้นเป็น ต้น นั่นหนะ ในแง่ของต่างมิติแล้ว
    พลังของกระแสจิต จะมีความสำคัญไม่แพ้การกระทำเลย ไม่เหมือนนิยามของศีลแบบพุทธเรานะ
    ที่ว่าคิดหนะไม่ผิดหรอก แต่ทำสิถึงจะผิดศีล มันต่างกันครับ เพราะว่าแค่คิดหนะ ก็เกิดสิ่งที่เราคิด
    ไปปรากฎอยุ่ในมิติใดมิติหนึ่ง ซึ่งเป็นโลกคู่ขนานเรียบร้อยแล้ว และถ้าคิดบ่อยๆ ซ้ำๆเข้า จนมันมีพลังงานมากพอ
    มันก็จะปรากฎออกมาสู่มิติทางกายภาพนี้ในที่สุด

    และพวกเขาก้บอกว่า ไม่มีกระแสความคิดใดเลย ของมนุษย์คนใดเลย ไม่ว่าจะเล็กน้อยสักแค่ไหนก็ตามแต่
    ที่จะไม่มีผลกระทบต่อคนอื่น หรือ ต่อโลก และต่อจักรวาลเลย พวกเขาถึงบอก และ ย้ำอยู่เสมอไงครับว่า

    "อย่าดูถูกพลังอำนาจแห่งความคิดของตัวเอง"

    เพราะว่ามันไปได้ไกล และ เร็ว ยิ่งกว่าความเร็วของแสง มากมายนัก

    ..เดี๋ยวค่อยมาต่อนะครับ...
    ...........................................................................
     
  2. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    เรามาลองสมมุติกันอีกสักครั้งเถอะนะครับว่า สมมุติว่าเราคือแมลงอะไรซักอย่าง
    ที่มีอายุแค่ไม่กี่วันก็ตาย แล้วก้บังเอิญโชคร้าย มาเกิดใน "ฤดูร้อน" พอดี

    และพอดีว่า ช่วงเวลานั้น โลกกำลังจะเปลี่ยนเป็น "ฤดูฝน" ที่ชุ่มฉ่ำพอดี
    ก็มีมนุษย์คนหนึ่งเดินไปบอกพวกมันว่า เฮ๊ย..อดทนหน่อยนะ เดี๋ยวฝนก็ตกแล้ว
    แมลงพวกนั้น ก็คงจะงงกันใหญ่ ว่าไหมครับ เพราะว่าชั่วชีวิตของมัน
    เคยอยู่แต่กับความแห้งแล้ว และร้อนอบอ้าวของฤดูร้อน พอมีใครมาบอกว่า
    อีกไม่นานก็จะมีฝนตกแล้วนี่ ..จะให้เชื่อได้อย่างไร..
    แล้วฝนคืออะไรก็ยังไม่รู้จักด้วยซ้ำไป..พวกมันก็เลยพากันแปลกใจมาก
    และก็พากันวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนาๆ..คุ้นๆไหมครับ..เหตุการณ์แบบนี้

    ทั้งๆที่พวกเรา ในฐานะที่เป็นมนุษย์ผู้มีอายุยืนยาวกว่าพวกมัน
    และก็เคยผ่านฝนผ่านหนาวไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แล้วนี่
    ออกมายืนยัน และประกาศอยู่ปาวๆทุกเมื่อเชื่อวันนี่ พวกมันส่วนใหญ่ก็ยังจะไม่เชื่ออยู่ดี
    เพราะว่าเรื่องแบบนี้นั้น มันเกินสติปัญญาและเกินกว่าจินตนาการของพวกมัน

    เพราะว่าครูบาอาจารย์ของพวกมันไม่เคยสอนเอาไว้ และศาสนาของพวกมันก็ไม่เคยพูดถึงด้วย

    มีสิ..ทำไมจะไม่มีศาสนาไหนพูดถึง..อันนี้เป็นคำพูดของผมเองนะครับ
    ผมกำลังจะบอกว่า แทบจะทุกศาสนามีการพยากรณ์ถึงการมาของ
    "ยุคพลังงานใหม่" นี้เอาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ในแบบที่แตกต่างกัน

    เช่น พุทธ ก็จะออกมาในรูปแบบของยุคพระศรีอารย์ แต่ว่า ก็ต่อเมื่อหลังจากอายุขัยมนุษย์
    ลดลงและเพิ่มขึ้นขึ้นใหม่อีกครั้งจนถึง 80,000 ปีแล้ว และผ่านยุคว่างไปแล้วโน่นแหละ
    อะไรแบบนั้น ถึงจะถึงยุคพระศรีอารย์ได้..ดังนั้น ถ้าใครจะมาบอกว่า เนี่ยพระศรีอารย์ลงมาเกิดแล้ว
    เป็นคนนั้นคนนี้..รับรองว่าเละครับ..แล้วก้เห็นเละกันมาหลายคนแล้วด้วย
    เพราะว่าข้อมุลแบบนั้นมันไม่สอดคล้องกับที่เขียนเอาไว้ในตำราที่พวกเขาเคยรู้มา

    ขอโทษนะครับ..ลองถามคำถามนี้กับตัวเองดูหน่อยไหมครับว่า
    ระหว่างคำพยากรณ์เรื่องยุคใหม่ ที่ชาวมายาคำนวณไว้ กับเรื่องยุคพระศรีอารย์
    มันมีความน่าเชื่อถือต่างกันเพราะอะไร?

    เพราะว่าเราสามารถพิสูจน์เรื่องยุคพระศรีอารย์ได้ ใช่ไหม?
    หรือว่าเราเราพิสูจน์ได้ว่า ตำราเล่มนั้นหนะ เขียนถูกต้องทั้ง 100% แล้ว
    เอ..ถ้างั้นทำไมท่านพุทธทาสถึงออกมาบอกแบบนั้นนะ?
    เอ..ตรงบันทัดไหนของตำราชุดนั้นนะ ที่บอกว่า โลกมันกลมหนะ?
    แล้วตรงไหนที่บอกว่า "โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์" ไม่ใช่ดวงอาทิตย์หมุนรอบโลกหนะ?

    เออ..แล้วก็ เรื่องไดโนเสาร์นี่ก็เรื่องใหญ่นะ..มีการขุดพบโครงกระดูกกันเยอะแยะด้วย
    เอ..แล้วตรงไหนนะที่มีการพูดถึงไดโนเสาร์หนะ?

    แล้วในตำราระบุว่า จักรวาลหนึ่งมีความกว้างเท่าไหร่โยชน์นะ และยาวเท่าไหร่โยชน์นะ
    ลองจดเอาไว้นะ แล้วไปเปิดดูเวปไซต์ทางดาราศาสตร์เวปไซต์ไหนก็ได้
    เพื่อดูระยะทางระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ดูนะ แล้วคำนวนความกว้างของจักรวาล
    ตามตำราทางศาสนาอันนั้น ออกมาเป็นกิโลเมตรดูซิ แล้วเอามาเทียบกันดูกับข้อมูลจากเวปไซต์นั้นซิ

    ผมทำมาแล้ว และก็พบว่า ความกว้างของจักรวาล มันน้อยกว่าระยะทางจากโลกถึงดวงอาทิตย์ด้วยซ้ำไป
    แล้วแบบนี้ ดวงดาวดวงอื่นๆ มันจะไปอยู่ที่ไหนหละ?

    หรือว่า พระองค์เคยกล่าวเอาไว้จริงๆว่า

    "สิ่งที่ตถาคตสอนนี้ เปรียบเสมือนใบไม้เพียงกำมือเดียวเท่านั้น
    เมื่อเทียบกับสัจธรรมทั้งหมด ที่เหมือนกับใบไม้ทั้งป่านี้"

    แล้วมันหมายความว่า "สิ่งที่ไม่มีอยู่ในตำรา คือสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง" ใช่ไหม?
    แล้วถ้าเป็นเช่นนั้นจริง งั้นตอนนี้โลกก็แบนอยู่หนะสิ เพราะตำรากล่าวไว้ทำนองนั้น
    นี่เราไปดูถูกพระศาสดาของตัวเองขนาดว่าท่านไม่รู้ว่าโลกกลมอย่างนั้นเลยเหรอ?

    มันเป็นไปไม่ได้ที่พระพุทธองค์จะไม่รู้ แต่สิ่งที่ผมกำลังจะโทษอยู่ในเดี่ยวนี้ก็คือ
    ตำรามันถูกบิดเบือนไปอย่างแน่นอน ไม่มากก็น้อย ใครจะเถียงว่ายังไงก็เถียงเถอะ

    ตำราของคริสต์ก็ยิ่งแล้วใหญ่ อย่างที่เคยกล่าวไปแล้ว และจะปล่าวประโยชน์อะไร
    ที่จะไปกล่าวถึงอิสลาม และศาสนาอื่นๆอีกเล่า..

    สรุปว่า ผมกำลังจะชี้ประเด็นให้ท่านเห็นอยู่ว่า อะไรก็ตามที่ปรากฎอยู่ในตำรา
    ไม่ใช่ว่าเราจะเอาแต่ศรัทธาแบบมืดบอด รับเอามาเป็นความเชื่อซะอย่างเดียว
    จนออกมาปกป้องตะพรึดไปหมด แล้วแบบนี้ อะไรที่ผิดอยู่ มันก็จะต้องผิดอยู่ต่อไปหนะสิ
    เพราะว่าทุกๆคนออกมาปกป้องไว้ ว่ามันถูกหมดแล้ว

    แล้วแบบนี้ การสังคยนาที่มีมาร่วม 10 ครั้งแล้วนี่ มันจะทำไปเพื่ออะไรหละ
    ถ้าทุกคนคิดว่า เล่มนั้นๆ ชุดนั้นๆหนะ ถูกหมดอยู่แล้ว ไม่มีอะไรน่าสงสัยเลย

    แล้วหลักกาลามสูตร เราจะเอาไว้บนหิ้งนั่นทำไมหละ หรือว่าเอาไว้เพื่อยกขึ้นมาอ้าง
    เวลาเถียงกับคนอื่นๆ ที่เขาไม่เชื่อเหมือนอย่างที่เราเชื่อ?
    เพราะดูขลังดีออกใช่ไหมหละครับ เวลาที่ได้ไปคัดลอกข้อความจากพระไตรฯมาโพสต์อ้างอิงเนี่ย

    ไม่รู้ว่าใครได้อ่านพระไตรฯเล่มที่ 19 เหมือนผมไหม เพราะว่าผมอ่านเล่มนี้กับทีมงาน
    เพื่อร่วมสร้างพระไตรปิฎกฉบับเวปเวอร์ชั่นของเวปพลังจิตนี่แหละไป เมื่อราวๆ 3 ปีที่แล้ว
    สังเกตเห็นความชอบมาพากลอะไรในนั้นบ้างไหม?

    ตัวอย่างเช่น คำว่า โสดาบันนี่ ตกลงว่า จะได้มาเพราะอะไร ในเล่มที่ผมอ่านนั่นหนะ
    มันบอกเอาไว้ทั้ง 2 แบบ คือ แบบแรกประมาณว่าต้องเป็นผู้ที่ยึดมั่นในพระรัตนไตร
    และอะไรอีกเล็กๆน้อยๆผมก็จำไม่ได้แล้ว รู้สึกจะเกี่ยวกับศีลด้วยหรือไงนี่แหละ
    ผมก็ขี้เกียวจจะค้นแล้ว..เหมือนจะบอกว่า..ถ้าใครก็ตาม ที่ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ
    ก็หมดสิทธิเป็นโสดาบันได้ เพราะว่ามันเหมือนเป็นตำแหน่งมากกว่า
    หรือเป็น "ลิขสิทธิ์" เฉพาะซะมากกว่าที่จะเป็น

    "ระดับของจิต ที่บรรลุธรรมแล้วขั้นหนึ่ง"

    พูดยากครับ เพราะหลายคนก็จะตอบว่า ก็ใช่หนะสิ เพราะว่าศาสนาอื่นหมดสิทธิที่จะมีพระอริยเจ้า
    เพราะว่าศาสนาเหล่านั้น ไม่มี "อริยสัจ 4" แล้วพอเปิดย้อนไปดูซิว่า อริยสัจ 4 นี่มีอะไรบ้าง
    ก็จะได้ ทุกขฺ สมุทัย นิโรธ และ มรรค และก็อีกนั่นแหละ ถ้าคนจะเชื่อ ยังไงมันก็เชื่ออยู่ดี
    ไม่กล้าแม้จะสงสัยด้วยซ้ำไป ว่า เอ..ถ้าสมมุติว่ามีใครคนหนึ่ง ที่เป็นคนดีมากๆจริงๆคนหนึ่ง
    แต่บังเอิญว่า เขาอยู่ในประเทศอื่น แต่ก็นั่งสมาธิ และปฏิบัติภาวนาจนได้ระดับจิตสูงระดับหนึ่งแล้ว
    ก็ยังไม่สามารถที่จะบรรลุอะไรได้บ้างเลยเหรอ เมื่อเทียบกับภูมิจิตภูมิธรรมในทางพุทธเรา

    คำตอบก็จะมาในแนวว่า ใช่แล้ว เพราะว่าพวกนั้นหนะเน้นสมาธิแบบโยคี คือเข้าฌาณ แล้วหลงฌาณ
    ไม่มีวิปัสสนา ก็เลยไม่มีวันได้บรรลุมรรคผลแบบของเราอย่างเด็ดขาด

    อ้อ..อย่างนั้นเหรอ? เอ๊ เรารู้ได้ยังไงหละว่าระดับจิตเขาจะไม่ได้ถึงระดับเดียวกับเราอย่างแน่นอน
    เรามีเครื่องมืออะไรไปวัดระดับจิตคนไหม๊ แบบวัด จ่อไปที่คนนั้นปั๊บ รู้ได้เลยว่า อ้อ..คนนี้โสดาบันหนะ

    มีใครเคยลองเอา ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และ มรรค มาแจกแจงและเทียบเคียงกับปฏิปทาที่ศาสนาอื่น
    เขาปฏิบัติกันอยู่ไหม ว่ามันเข้าเกณฑ์มากน้อยแค่ไหน?

    อ้อ..แล้วก็ เราเคยรู้จักคนที่เขาปฏิบัติจิตแบบอื่น ศาสนาอื่น หรืออะไรอื่นๆก็ตามแต่
    แบบเป็นการส่วนตัว จนพอจะรู้จักระดับจิตของเขาอย่างถูกต้อง แท้จริง ซักกี่คน
    ถึง 5 คนไหม๊ หรือว่าไม่มีเลย ไม่รู้จักเลยซักคน แต่เขาพาว่ามาอย่างนั้น ตำราเขียนเอาไว้อย่างนั้น
    ก็เลยต้องก้มหน้าก้มตาเชื่อตามเท่านั้นเอง ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้แล้ว เดี๋ยวถูกหาว่าเป็นกบฎต่อศาสนาตัวเอง

    เอาไปเอามา..ก็เลยจะกลายเป็นบ่นไปแล้วนะเนี่ย..
    พอดีกว่านะครับ..ได้เวลาแล้ว..อีก 3 นาที 4 ทุ่มครับ

    ...............................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2012
  3. รักคนอ่าน

    รักคนอ่าน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +94
    Chayutt
    เริ่มจากข้อความสื่อสารทางโทรจิตของนาย Ivo Benda กับผู้ที่เขาเรียกว่า Ashtar Sheeran
    เกี่ยวกับเรื่อง "การเลื่อนระดับขึ้น" หรือ Ascension ของโลก

    ถ้าหยุดตรงนี้ แล้ว ถามผมว่า แล้วไอ้เจ้าข้อความสื่อสารทางโทรจิตที่ว่านี่
    มันเชื่อถือได้แค่ไหนกันหนะ..ทำไมถึงคิดว่ามันน่าจะเป็นความจริงอยู่บ้าง?

    ขออนุญาตตอบตามความเห็นส่วนตัวนะครับ..อย่าโกรธนะครับ..ผมก็จะบอกว่า
    มันก็เชื่อถือไม่ได้พอๆกับข้อความที่ถูกถ่ายทอดต่อๆมาหลายพันปีแล้วนั่นแหละ
    เพราะว่าเราพิสูจน์ไม่ได้ทุกอย่างที่ข้อความนั้นบอกเอาไว้ แม้ว่าในใจเรา
    จะยกย่องเชิดชูตำราเหล่านั้นมากแค่ไหนก็ตาม..
    ตอบว่า อ่านแล้วอดขำไม่ได้ เอาข้อมูลจากฝรั่งที่ได้จากประสพการณ์ทางจิตเริ่มมีมานานเท่าไรแล้วนะ เกินกว่า500ปีหรือยัง มาเปรียบเทียบกับศาสนา โดยเฉพาะ พุทธ ว่าเชื่อไม่้ได้พอๆกัน:'(

    อันนี้..ผมหมายโดยรวมของทุกประเภทตำราหนะนะครับ รวมถึงตำราทางศาสนาด้วย
    ตอบว่า ไหน ลองยกตัวอย่างตำราที่มีอายุยาวนานราว2500ปีมาสักหน่อยสิว่า มีตำราไหนบ้างที่จะอยู่ยืนยาวมาอย่างพระไตรปิฏก
    นั่นแหละตัวดีเลยหละ..เพราะไม่รู้ถูกบิดเบือนไปมากเท่าไหร่แล้ว
    เพราะว่า อ่านดีๆนะครับ..ถ้าไม่ถูกบิดเบือนไปบ้างแล้ว
    ทำไมการตีความของแต่ละ "นิกาย" ลัทธิ สำนัก ครูบาอาจารย์ และอื่นๆ
    ในเรื่องเดียวกัน ถึงไม่เหมือนกันหละ
    ตอบว่า เป็นความจริงที่คำสอนในตำราย่อมต้องมีเปลี่ยนแปลงไปบ้างก็เวลาผ่านมามากกว่า2500ปีแล้ว ไม่เปลี่ยนเลยสิแปลกพระศาสดาก็ตรัสไว้แล้วว่า โลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ เปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดเวลา
    แต่คุณจะเอาของที่มีมานานกว่า2500ปีมาเปรียบกับอาการทางจิตของฝรั่งนั้นนะรึ แน่ใจแล้วรึ


    อย่างของพุทธนี่เป็นต้น ไหนลองเอาข้อสรุปของคำว่า "นิพพาน" ออกมาดูซิ
    ว่าแต่ละนิกาย สำนัก ลัทธิ ครูบาอาจารย์ สายวัดป่า สายธรรมกาย สายธรรมยุติ
    สายมโนมยิทธิ สายหลวงพ่อจรัญ สายท่านโกเอ็นก้า และสายอื่นๆ เหมือนกันไหม
    ตอบว่า ถึงข้อสรุปที่เป็นรูปธรรมอาจจะไม่เหมือนกัน แต่ผลของการปฏิบัติำตามคำสอน ตามตำรานั้นมีจริง พิสูจน์ได้ถ้าต้องการดูข้อสรุปของนิพพานรึ งั้นก็จงก้มลงอ่านที่ด้านล่างสุด ของทุกๆข้อความที่คุณโพส แล้วบอกหน่อยสิ ว่าเห็นข้อสรุปของนิพพานหรือยัง!!!
    ร่วมบริจาคโครงการผ้าป่าช่วยชาติกับหลวงตามหาบัวฯ Luangta.Com - ��ǧ����Һ�� �ҳ����ѹ��

    ป่านนี้..ก็ยังเถียงกัน..และสรุปกันไม่ได้เลย เพราะใครๆก็คิดว่าของตัวเองถูกต้องที่สุดแล้ว
    ใครๆก็คิดว่า ครูบาอาจารย์ของตัวเองหนะ เจ๋งสุดแล้ว รู้ดีที่สุดแล้ว เป็นพระอริยะเจ้าแน่แท้แล้ว จริงไหมครับ?
    จนท่านพุทธทาสภิกขุ ท่านเคยกล่าวเอาไว้ และเขียนเอาไว้ด้วยว่า พระไตรฯของเถรวาทเรา
    น่าจะต้องฉีกทิ้งไปซะ 70% เพราะว่ามันเฝอมากกๆ มันมีแต่น้ำ ซ้ำไปซ้ำมา
    มีเนื้อหาอยู่จริงๆก็แค่ 30% เท่านั้นเอง อันนี้ท่านพูดนะครับ ไม่ใช่ผมพูด
    ไม่เชื่อก้ลองไปหาอ่านดูได้ ในเวปไซต์ก็มีด้วย
    ตอบว่า ก็เป็นเรื่องธรรมดามากๆ ของสิ่งที่สืบทอดยืนยาวมานานกว่า2500ปี แต่แม้จะผ่านมานานถึง2500ปีและมีผู้นับถือมากมาย จนแตกออกเป็นหลายนิกาย แต่ก็ยังมีคนที่เพียรปฏิบัติจนถึงนิพพานได้อยู่ ส่วนที่รองจากนิพพานลงมาก็มีมากมา ตั้งแต่การทำสมาธิตามหลักคำสอน จนได้ผลที่พิสูจน์ได้ บ้างได้ชาน บ้างก็ได้ อภิญญา

    หากไม่เชื่อ ก็ลองก้มหน้าลง แล้วอ่านที่ด้านล่างสุดข้อความของคุณเองทุกๆข้อความ แล้วยอมเสียเวลาแปลหนังสือ มาลองศึกษาคำสอนของท่านดูบ้างก็ได้นะ แล้วตอบในใจตัวเองก็ได้ว่ากูไม่เชื่อ


    ส่วนของทางคริสต์หนะหรือ..หนักกว่าเราอีก..เพราะมันเกี่ยวข้องกับอำนาจของศาสนจักร
    และอาณาจักรในสมัยนั้น ที่ช่วงชิงความเป็นใหญ่กันอยู่ เพราะฉะนั้นแล้ว
    เนื้อหาดั้งเดิมก็เลยไม่รู้ว่าเหลืออยุ่สักเท่าไหร่แนะ..
    ตอบว่า อันนี้ก็เรื่องของปัญาของแต่ละคนแล้วละว่าจะมองหาเนื้อหาดั้งเดิมของศาสนาออกหรือไม่ แต่เฉียวฟงจะบอกให้ลองคิดดูเอาเอง เนื่อหาดั้งเดิมของทุกศาสนาที่เฉีัยวฟงเห็นก็คือ สอนให้เป็นคนดี เป็นหลัก

    แต่สรุปท้ายที่สุดแล้ว ผมก้จะบอกว่า แม้ว่าทุกๆตำราที่ว่ามานี้ จะมีความบิดเบือนอยู่ก็ตาม
    แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า มันไม่มีของจริงของแท้หลงเหลืออยู่เลยนะครับ แน่นอนว่ามันมี
    เพียงแต่ว่ามันมีไม่ครบเท่าต้นฉบับดั้งเดิมแท้เท่านั้นเอง
    ตอบว่า ของมีมานานกว่า2500ปี เนื้อหาเปลี่ยนแปลงไปเป็นเรื่องธรรมดา ที่ควรจะดูคือ แก่นของศาสนาพุทธตะหากว่า ยังมีอยู่หรือไม่ สิ่งสำคัญคือ พระอริยะบุคคลในพระศาสนายังมีหรือไม่ แม้ไม่ถึงแก่น แต่เรื่องเปลือกๆอย่างสมาธิ ชา่น อภิญญา ก็ยังมีอยู่ตามคำสอนใช่หรือไม่
    อย่าเอามาเปรียบกันเลย กับเรื่องที่คุณแปลมาหนะ มัีนต่างกันเยอะ


    และผมก็ไม่เชื่อด้วยว่า ใครก็ตามที่เรียบเรียงหนังสือแล้วใช้ชื่อว่า "พระไตรปิฏกจากพระโอษฐ์" นั้น
    จะมาจากพระโอษฐ์จริงๆ เพราะไม่เห็นมีใครเกิดทันได้ไปฟังธรรมจากพระโอษฐ์จริงๆเลย
    ฉไนเลยถึงกล้าใช้คำว่าจากพระโอษฐ์หละ เพราะว่านั่นหนะ
    แค่เรียบเรียงหรือสรุปเอามาจากตำราอีกทีเท่านั้นเอง
    ตอบว่า นั้นแหละ ที่คุณไม่เชื่อก็ถูกต้องแล้วหนิ และก็เหมือนกับที่มีคนเห็นต่าง ไม่เชื่อกับเรื่องที่คุณแปลมาก็ไม่ต่างกับที่คุณไม่เชื่อ ๆ นั้นเลย
    (ย้ำนะ ว่าเรื่องที่คุณแปลมา ไม่ใช่เรื่องของคุณเอง)


    เดี๋ยวมาต่อครับ..คงจะอีกหลายสิบโพสต์อยู่..
    แต่ก็นะ..ไม่เป็นไรครับ จัดให้ได้เสมอ จนกว่าจะไม่มีอะไรจะโพสต์แล้วโน่นแหละ
    ตอบว่า ผมอ่านโพสคุณล่วงหน้านี้ไปแล้วเดี๋ยวจะตอบเหมือนกัน
     
  4. HLC

    HLC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    466
    ค่าพลัง:
    +259
    มิติแห่งความติงต๊อง เพ้อเจ้อละเมอฝันของข้า ใครอย่าแตะ

    555


    (||)(||)(||)
     
  5. kongyai3

    kongyai3 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +162
    ศีลห้าเป็นศีลประจำจักรวาล

    ถึงคุณchayutt
    ไปอัดอั้นตันใจมาจากไหน นะ เห็นถามความเหมือนและความต่าง อืมน่าสนใจ เลยอยากเสนอไอเดีย ในความเหมือน ว่าศีลห้านี่แหละ เป็นศีลประจำจักรวาลนี้เลย
    ดูจากกฎหมายในโลกใบนี้ ไม่ว่าเชื้อชาติ ศาสนาใด ก็มีกฎหมายเหมือนกันนะ
    1 ห้ามฆ่ากัน
    2 ห้ามขโมย
    3 ห้ามแย่งลูกเมียจากชาวบ้าน
    ส่วนในรายละเอียด
    4 ห้ามโกหก ก็ทั่วโลกอีแหละทุกครอบครัวสอนไม่ให้โกหกกัน แต่ว่ามีที่ชอบโกหกกันมากมายตามแต่กิเลส ไม่เลือกชาติใดศาสนาใด
    5 ห้ามกินเหล้า ก็ทั่วโลกอีกแหละทุกครอบครัวสอนลูกหลานห้ามกินเหล้าของเสพติดมึนมัว แต่เมื่อโตขึ้นทำกันได้มัย
    ส่วนมนุษย์ต่างดาวหลายกลุ่มเขาก็ไม่ทำกันอยู่แล้ว แต่ก็มีบางกลุ่มที่ทำก็มี ก็ตามที่คุณนำเสนอนั้นแหละตามอ่านตลอด
    ทั้งๆที่ทุกคนบนโลกนี้ทำแบบเดียวกัน ชอบแบบเดียวกัน และเกลียดในสิ่งเดียวกัน แต่ก็ไม่รู้ทำไหมยังแยกว่าเป็นศาสนาของตูอยู่ร่ำไป มีแต่คิดต่าง ทำไมไม่คิดเหมือนกันนะ ว่าของเธอก็มีเหมือนฉัน ของฉันก็มีเหมือนเธอ เราต่างมีเหมือนกัน เราเป็นพี่น้องร่วมโลกกันนะ ถึงชื่อศาสนาต่างกัน แต่ว่าข้อความศีลห้าก็เหมือนกัน รักกันนะ ก็เพราะว่ารักกันไม่ได้ ให้อภัยกันไม่ได้ มนุษย์ต่างดาวถึงต้องส่งข้อความมาสอนให้ยกระดับจิตใจ ก่อนที่จะมีการปรับปรุงใหญ่ ด้วยภัยพิบัติไปทั่วโลกนี่แหละ
     
  6. แสนคำ

    แสนคำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 เมษายน 2012
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +93
    เช่น คนไทยทั้งประเทศ ไม่ชอบนายกคนหนึ่ง ก็เลยพากันเดินขบวนขับไล่เสีย และ/หรือพากันนั่งสมาธิ
    ส่งกระแสจิตไปสาบแช่งเขาเสีย อะไรแบบนั้นเป็น ต้น นั่นหนะ ในแง่ของต่างมิติแล้ว
    พลังของกระแสจิต จะมีความสำคัญไม่แพ้การกระทำเลย ไม่เหมือนนิยามของศีลแบบพุทธเรานะ
    ที่ว่าคิดหนะไม่ผิดหรอก แต่ทำสิถึงจะผิดศีล มันต่างกันครับ เพราะว่าแค่คิดหนะ ก็เกิดสิ่งที่เราคิด
    ไปปรากฎอยุ่ในมิติใดมิติหนึ่ง ซึ่งเป็นโลกคู่ขนานเรียบร้อยแล้ว และถ้าคิดบ่อยๆ ซ้ำๆเข้า จนมันมีพลังงานมากพอ
    มันก็จะปรากฎออกมาสู่มิติทางกายภาพนี้ในที่สุด

    และพวกเขาก้บอกว่า ไม่มีกระแสความคิดใดเลย ของมนุษย์คนใดเลย ไม่ว่าจะเล็กน้อยสักแค่ไหนก็ตามแต่
    ที่จะไม่มีผลกระทบต่อคนอื่น หรือ ต่อโลก และต่อจักรวาลเลย พวกเขาถึงบอก และ ย้ำอยู่เสมอไงครับว่า

    "อย่าดูถูกพลังอำนาจแห่งความคิดของตัวเอง"

    เพราะว่ามันไปได้ไกล และ เร็ว ยิ่งกว่าความเร็วของแสง มากมายนัก

    ..เดี๋ยวค่อยมาต่อนะครับ...
    ...........................................................................[/QUOTE]
    ที่ท่านว่า...
    "ไม่เหมือนนิยามของศีลแบบพุทธเรานะ
    ที่ว่าคิดหนะไม่ผิดหรอก แต่ทำสิถึงจะผิดศีล"
    ....................................................

    ไม่ค่อยมีความรู้เท่าไหร่ แต่ที่พุทธบอกว่า
    กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม
    พอจะเทียบเคียงได้มั้ยท่านๆ
    ในกรรมบท 10 บอกไว้คลุมทีเดียว
    ...พุทธน่าจะดูดีขึ้นบ้างมั้ยท่าน
    ทุกศาสนาน่าจะสอนให้ดี :cool:
    หากคนศาสนาอื่น>>
    ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่โกหก ไม่ติดสุราสิ่งมึนเมา(มัวเมา)
    ก้อถือว่าไม่ผิดศีล5และถือว่าเป็นคนดีแบบไม่จำกัด..ไม่จำกัดศาสนาพอจะได้มั้ย..ท่านๆที่มีความรู้
    Copy มา..

    <TABLE border=1 cellSpacing=2 borderColor=#0000ff cellPadding=2 width="90%"><TBODY><TR><TD align=middle>
    กรรมบถ 10

    </TD></TR><TR><TD align=left>กรรมบถ 10 มีอะไรบ้าง กรรมบถ 10 ญาติโยมบางคนไม่เข้าใจ ยังไม่ทราบ ก็จะบอกให้ทราบ
    กรรมบถ 10 ทางกายมี 3 คือ
    1. ไม่ฆ่าสัตว์
    2. ไม่ลักทรัพย์
    3. ไม่ประพฤติผิดในกาม
    ทางวาจา มี 4 คือ
    1. ไม่พูดปด
    2. ไม่พูดคำหยาบ
    3. ไม่พูดส่อเสียดยุยงให้เขาแตกร้าวกัน ไม่นินทา
    4. ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล
    ทางใจ มี 3 คือ
    1. ไม่คิดอยากได้ทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่น โดยไม่ชอบธรรม
    2. ไม่จองล้างจองผลาญใคร คือ ไม่พยาบาท ความโกรธยังมี
    3. มีความเห็นถูกคือ สัมมาทิฏฐิ มีความเห็นตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอน ไม่คัดค้าน
    นี่ กรรมบถ 10 แบ่งไปตาม กาย วาจา ใจ ก็เอาสติเข้าไปควบคุมว่า ศีล 5 ก็ดี กรรมบถ 10 ก็ดี มีกี่สิกขาบท มีอะไรบ้าง คุมไว้ไม่ยอมลืม ใหม่ ๆ ก็ลืมบ้าง เป็นของธรรมดา
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2012
  7. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ศาสนาพุทธ สอนเรื่อง ขันธิ์ 5 ถ้า เข้าใจ ขันธิ์ 5 คืออะไร...จะไม่เขียนความคิดเห็นออกมาลักษณะ ที่ เหมือนข้างบน นี้หรอก...แต่ เป็นเพราะไม่เข้าใจ ไม่เชื่อ ว่าตนมีอุปาทานขันธิ์5เลย ต่อยอดไปกันใหญ่:cool:
     
  8. HLC

    HLC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    466
    ค่าพลัง:
    +259
    บ้าวิชา

    (||)(||)(||)

    หมกมุ่น

    (||)(||)(||)

    หลงตัวเอง


    (||)(||)(||)

    [​IMG]

    (||)(||)(||)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 เมษายน 2012
  9. Thrinai

    Thrinai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +555

    จริงๆกะจะขอดูมาม่าเฉยๆนะ แต่เจอข้อความนี้
    เรื่องมิติมันขัดแย้งศาสนาพุทธ...เหรอ
    ท่านแค่ไม่กล่าวถึง... เคยอ่านชาดกมั๊ยครับ คำว่า "สมัยกาลคาบหนึ่ง..." มันตีได้หลายแบบนะ...
    โลกหลังความตาย อยู่ที่ไหน...
    กัลป์และอสงค์ไขย ตีความกันยังไม่จบเลย...
    ความบิดเบือนของพระไตรปิฏก...มันแน่นอนอยู่แล้ว...มีสมัยหนึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่าในกาแล็กซี่หนึ่งมีดวงดาวไม่เกินพันดวง...ต้นฉบับเขียนไว้ว่าในดาราจักรมีดาราเป็นอนันต์(ประมาณนั้น)... เพราะอะไรกลัวขี้ปากชาวบ้าน...ยุคต่อมานักวิทยาศาสตร์มีความรู้มากขึ้นก็แก้ไขอีก...เพราะกลัวขี้ปากชาวบ้าน 555+
    "ใบไม้นอกกำมือ" คือ ไม่สำคัญต่อการบรรลุมรรคผลนิพพาน ไม่จำเป็นต้องสอนรู้ไปก็เท่านั้น...รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์ต่อมรรคผลนิพพาน
    พระพุทธศาสนาสอนให้เรารู้ เรื่อง "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"..
    วิปัสสนา คือการเจริญปัญญาให้แก่จิต(ในเซ็นเรียกว่า "จิตเดิมแท้" ผมเรียกไม่ถูก คือจิตต้นกำเนิดนั่นแหละ) ให้จิตเข้าใจ "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" เพื่อละขันธ์ 5 เพราะขันธ์ 5 คือตัวทุกข์ คือตัวทำให้ เกิด แก้ เจ็บ และตาย นี่คือหลัก
    ศาสนาโบราณ(คัมภีร์มรกตของโธท์) สอนเรื่อง 7 สิ่ง มีอย่างนึงคือกฏของเพศ กฏการเป็นคู่ เช่น หญิงคู่กับชาย ทุกข์คู่กับสุข เป็นต้น สอนให้เราเข้าใจว่าทุกอย่างมีของเป็นคู่ๆ เยอะแยะมากมาย
    เรื่องพระศรีอารยเมตไตร มีอายุ 80,000 ปี มีความเป็นไปได้ครับเพราะ "โธท์" มีอายุมากกว่า 32,000 ปี ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่ในอดีตมีสงคารมนิวเคลียร์จริง ตามสถานที่โบราณ(จำชื่อไม่ได้ยังมีกัมมัตภาพรังสีตกค้างอยู่) ผลของสารกัมมันตภาพรังสีมีผลต่อ DNA มนุษย์จึงเป็นไปได้ที่มันจะเปลี่ยนพันธุกกรมมนุษย์ให้อายุยืนขึ้นและลดลงได้ อันนี้เขาทำวิจัยกันอยู่นะ
    สรุป เอาเป็นว่าพระพุทธศาสนามีคำตอบครบอยู่แล้ว อยู่ที่จะเรียกว่าอะไร และขึ้นอยู่กับความเข้าใจของผู้ปฏิบัติ ผู้ปฏิบัติจริงจึงรู้จริงครับ
    ปล. การทำสมาธิน่ะครับ หรือ วิปัสสนาสำหรับบางคน ระวังทำผิดนะครับภาวนาพลาด หลงไปหลายคนแล้วหลุดโลกไปเลย เพราะผมเคยโดนพระอาจารย์เตือนมา ตอนปฏิบัติช่วงบวช
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2012
  10. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    --ไอ้ที่ว่าจะชวนไปออกทีวี คนแปลก็แปลมา เขาไม่เสียงไปยืนยันหรอก
    -- ทางภาครัฐก็ไม่ยอมให้ออกเพราะกลัวคนตกใจ แค่ไฟใหม้อยู่ใต้ดิน เพราะมีแก๊สไวไฟ ก็ว่าเกิดอาเภทอะไรต่างๆ --เพราะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์นั้น คนทั่วไปมีน้อย
    --ถ้ารอ 21-22ธค.2012 ก็ไม่กี่เดือนแล้วครับ
     
  11. haha4959

    haha4959 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +85
    คน ไทย นี่ เนอะ ครับ
    อยาก รู้ ก็ เอา แต่ ถาม
    ไม่ ยอม ค้น คว้า ก่อน
    ผม ว่า ผม เคย อ่าน นะ ว่า แต่ ละ ขั้น มัน คือ อะไร
    อ่าน แล้ว ถ้า ไม่ ยึด ติด ตำ รา ที่ เคย อ่าน มา หรือ เคย ฟัง มา
    น่า จะ ได้ อะ ไร อะ ไร บ้าง ไม่ มาก ก็ น้อย
    มัน เป็น เรื่อง ที่ น่า จะ เหมาะ กับ ช่วง เวลา นี้ ที่ สุด แล้ว นะ

    มัน เป็น สาส์น ที่ ส่ง ตรง ถึง คน ที่ ได้ อ่าน นะ
    มันน่าจะเปลี่ยนแปลงความคิด วิธีที่เขามองโลกได้ ไม่มากก็น้อย
    การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่มันเกิดจากติ่งเล็กๆที่ผุดขึ้นมาทั้งนั้นแหละ
    ทำไม ทำไม แล้วก็ทำไม
    ถ้าไม่มีคนแรกที่คิดว่า ทำไมต้องตาย ทำไมต้องเจ็บ
    แล้วก็เริ่มคิดต่อไปว่า ทำยังไง ถึงจะไม่ ตาย ทำยังไง ถึงจะไม่เจ็บ
    แล้วก็เริ่มลงมือทำตามที่คิดเอาไว้ เพื่อไม่ให้ตาย เพื่อไม่ให้เจ็บ
    จนสุดท้าย ก็ตกผลึก พบหนทางที่จะ ไม่ตาย และไม่เจ็บ อีก
    แก่นมันคือ เรื่องที่เรียบง่าย
    แต่เรามายัดเยียดนุ่นนี่นั่นเข้าไปเอง เอาเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องนั้น แต่เกี่ยวเนื่องกันมารวมเป็นเรื่องเดียวกัน มันเลยใหญ่ขึ้นพองขึ้นเรื่อยๆ

    ถ้าจะเอาเรื่องนั้นจริงๆ มันก็แค่.............ง่ายๆ

    แต่ทำยากชิป
     
  12. รักคนอ่าน

    รักคนอ่าน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +94
    Chayutt

    พอดีเหลือบไปเห็นท่านพี่ phudit999 ถามมาว่ามิติที่ 5 คืออะไรกันแน่
    ใจเย็นครับท่านพี่ เพราะว่าช้าเร็ว ผมก็จะนั่งตอบคำถามอยู่หน้าคอมฯนี่แหละคืนนี้
    จนกว่าจะถึงเวลาอาบน้ำและนั่งสมาธิของผม คือราวๆ 4 ทุ่มโน่นแหละครับ

    ตอบว่า ทำดีไม่ต้องคุยก็ได้คุณ คนอื่นเขาก็นั่งกัน

    เพราะวันนี้ผมไม่ทานข้าวเย็นครับ เพราะว่ากำลังดื่มน้ำปั่นล้างพิษสูตร Popatus ของคุณหมอแกนอยู่ครับ

    ว่าแล้วก็ต้องขอขอบคุณ คุณหมอแกนท่านนี้ด้วยนะเนี่ย ที่เผยแพร่สูตรนี้เอาไว้
    เพราะว่ามีประโยชน์มากจริงๆครับ และก็ได้ผลระดับหนึ่งแล้วหละครับ

    แต่ช้าก่อน..หมอแกนคนนี้..แม้ว่าจะทำประโยชน์ให้คนอื่นเห็นว่า และ พูดว่า "ขอบคุณมากนะครับ/คะ" แค่ไหนก็ตามแต่
    แต่ก็ยังไม่วายโดนคนบางประเภทด่าเละตุ้มเป๊ะไม่มีชิ้นดีเหมือนกันครับ..

    ตอบว่า อันนี้มันเรื่องโลกธรรม ธรรมดาน่า

    แล้วจะประสาอะไรกับผมเล่า? ผมจะมีอภิสิทธิ์อะไร ที่จะต้องไม่ถูกด่าหละครับ?
    พระศาสดาแท้ๆ ก็ยังมีคนไปด่าพวกท่านได้เลย แล้วประสาอะไรกับผมคนเดินดินกินข้าวแกงคนนี้หละ?

    [B]ตอบว่า พอๆเริ่มนางเอกละ ไอ้พวกที่มันด่าคุณก็เรื่องนึง ที่ถามหรือยกเรื่องอื่นมาเปรียบเทียบก็เรื่องนึง ที่สำคัญผมเน้นวิจารณ์ฝรั่งต้นเรื่อง เป็นหลัก คุณก็แค่คนแปลเท่านั้นจะเดือดร้อนไปทำไมนักหนา ถ้าวิจารณ์ไม่ได้ ก็ประกาศออกมาซะเลยสิว่า ข้อความที่ข้าแปลนี้ ตรงกับความเชื่อของข้า ใครไม่เชื่อห้ามคัดค้าน เงียบๆไปซะ[/B] (ไม่เกี่ยวกับพวกเกรียนตามด่านะ)

    มาต่อเรื่องของเรากันดีกว่านะครับ..

    แม้ว่าการมาถึงของ "ยุคพลังงานใหม่" หรือที่เรียกกันเป็นภาษาอังกฟษว่า ยุค "New Age" นี้
    จะถูกพยากรณ์เอาไว้แล้ว โดยภูมิปัญญาของคนโบราณหลายชนเผ่า เช่น เผ่ามายาเป็นต้น
    แต่ลักษณะของการมาถึงของวันสิ้นยุค และ ของยุคใหม่นั้น จะเป็นอย่างไร ก็ยังไม่มีใครรู้แน่ชัด

    ตอบว่า ไม่มีใครรู้แน่ชัด ไม่มีใครรับรองได้ว่าจริงเท็จ เพราะฉะนั้น คนอ่านข้อความที่พวกคุณแปลมา มีสิทธิ์ใหม ที่จะแสดงข้อคิดเห็นที่แตกต่าง มุมมองที่แตกต่าง

    นอกจากข้อมุลที่มาจาก "ผู้ที่อาศัยอยู่ใต้พื้นโลก" คืออยู่ในเมืองทีลอส และ เมืองอากาธา และเมืองอื่นๆเท่านั้น
    ที่จะรู้ เพราะว่าพวกเขาเป็น "คนทิพย์" ที่มีร่างกายกึ่งกายเนื้อไปแล้ว และก็อายุยืนเป็นพันๆปีด้วย
    ซึ่งเดี๋ยวเรื่องของการมีตัวตนอยู่ของพวกเขานี้ ก็คาดว่าจะได้รับการเปิดเผย และพิสูจน์ให้ชาวโลก
    ที่อยู่บนพื้นผิวโลกอย่างเรานี่แหละ ได้รับรู้ในอีกไม่นานนี่แหละครับ น่าจะพร้อมๆกับ หรือไล่เลี่ยกับ
    การเปิดเผยตัวตนของพวกมนุษย์ต่างดาว และ พวกต่างมิติด้วยนะครับ

    [B]ตอบว่า เรื่องนี้ไม่มีตำรา ไม่มีใครรู้แน่ชัด ไม่มีใครรับรองได้ว่าจริงเท็จ เพราะฉะนั้น คนอ่านข้อความที่พวกคุณแปลมา มีสิทธิ์ใหม ที่จะแสดงข้อคิดเห็นที่แตกต่าง มุมมองที่แตกต่าง (ไม่เ้กี่ยวกับเกรี๋ยน)[/B]

    ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น ผมยังนึกถึงสีหน้าของคนที่ปฏิเสธเรื่องมนุษย์ต่างดาวแบบหัวชนฝาไม่ออกเลยนะเนี่ยว่าพวกเขาจะทำหน้าอย่างไร?
    ตอบว่า สำหรับผมผมพอจะนึกหน้า หรือคำแก้ตัวของพวกที่เชื่อแบบหัวชนฝาว่าจริง แต่กลับ ไม่จริงออกไม่ยากคับ:cool:

    เพราะว่า ผมใช้ส่วนไหนของร่างกายคิด ก็ยังคิดไม่ออกเลยว่า
    ทำไมมันถึงจะไม่มีรูปธรรมชีวิตอื่นๆ อาศัยอยู่บนดาวดวงอื่น หรือในส่วนอื่นๆของจักรวาลเลย
    เพราะว่ามันมีดวงดาวอยู่จำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ในแกแล็กซี่แห่งนี้ แล้วเหตุผลอะไรที่จะมีเพียงโลกใบนี้เท่านั้น
    ที่จะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ ผมนึกไม่ออกจริงๆ ว่าทำไมพวกเขาถึงปักใจเชื่อเช่นนั้นได้

    ตอบว่า ผมก็เชื่อว่ามี แต่ก็ยังมีเหตุผลที่เห็นต่างกับคุณอยู่ดี ซึ่งก็ได้บอกไปบ้างแล้วว่าเห็นต่างยังไง ปฏิกริยาตอบกลับจากพวกคุณก็หลากหลายดี:cool:

    นี่ถ้าให้ผมจัดลำดับสิ่งมหัศจรรย์ของโลกใหม่นะ ผมก็จะจัดเอากลุ่มคนที่เชื่อว่า
    ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นงอาศัยอยู่บนดาวดวงอื่นนี่แหละ มาเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอย่างหนึ่งด้วยหละ

    เออ..แปลกจริงๆ..คิดได้ยังไงนะ..นึกไม่ออก และก็ไม่เข้าใจจริงๆครับ สาบานได้..

    [B]ตอบว่า ในโลกมีคนมากมาย ทัศนะคติก็มีแตกต่างหลากหลาย จะเอาความคิดตัวเองเป็นศูนย์กลาง หรือมาตรฐานโลกจน โดยไม่ยอมรับฟังความเห็นแตกต่างได้อย่างไร [/B]


    อีกข้อมุลด้านหนึ่งที่สื่อสารมาให้ทราบเกี่ยวกับลักษณะของยุคพลังงานใหม่ที่ว่านี้ ก็คือข้อมูลจากต่างมิติครับ
    ที่หลายท่านก็ได้อ่านไปแล้ว จากการแปลและโพสต์ของพวกผมนั่นแหละครับ แต่อย่าถามอีกนะ
    ว่าแล้วเชื่อได้มากน้อยแค่ไหน ผมก้จะตอบอีกว่า ใช้วิจารณญาณเอาเองครับ เพราะว่าผมเอง
    ก็ไม่สามารถพิสุจน์อะไรให้ท่านได้ ไม่ว่าจะพิสูจน์ว่า ไมันไม่จริง" หรือว่า "มันจริง" ก็ตาม

    ตอบว่า พิสูจน์ไม่ได้ ยืนยันไม่ได้ คิดกันเอาเองแต่อย่ามาค้านคุณหรือเปล่า
    คุณนี้ก็แปลกนะ สิ่งที่คุณเองก็รู้ว่ายืนยันอะไรไม่ได้ กลับเชื่อสนิทใจ
    แต่สิ่งที่มีหลักฐานมายาวนานกว่า2500ปี คุณกลับเชื่อน้อยกว่านั้น


    เพียงแต่ว่า มีสิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจ และยืนยันได้แน่นอนก็คือว่า

    มันเป็นข้อมูลที่น่าสนใจมากๆ และก็มีประโยชน์มากๆด้วย
    ถ้าใครรู้จักหยิบเอาประโยชน์ของมันมาใช้เป็น พวกเขาก็จะได้ประโยชน์แน่ๆ

    ตอบว่า ก็จริงอยู่ แต่ทุกอย่างในโลกมันมีสองด้านเสมอละคับ

    ข้อมูลที่พวกเขาบอกมา โดยสรุปก็คือ เมื่อเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่นี้แล้ว โลกใบนี้ และสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย
    ที่อยู่บนโลกใบนี้ ก็จะเข้าสู่มิติที่ 5 คือออกจากมิติที่ 3 ไปสู่มิติที่ 4 ก่อน แล้วค่อยไปถึงมิติที่ 5 หนะนะครับ

    แล้วไอ้เจ้าคำว่า "มิติ" นี่ มันคืออะไรหละ? มันเหมือนกับที่นักฟิสิกส์บอกเอาไว้ไหมว่า
    มิติที่ 3 คือการมีทั้งความกว้าง ความยาว และความสูง ส่วนมิติที่ 4 นั้น คือบวกมิติแห่งกาลเวลาเข้าไปด้วย


    คำตอบคือ มองไปรอบๆตัวสิครับ เห็นถังขยะอยู่ตรงไหนไหม๊ ..นั่นแหละ..โยนข้อมูลแบบนั้นลงไปเลยครับ
    เพราะว่าตามนัยยะของข้อความจากต่างมิติทั้งหลายแล้ว มันไม่ใช่แบบนั้นเลย เพราะว่า
    พวกเขาพูดถึงระดับของความสั่นสะเทือนของสิ่งต่างๆที่แตกต่างกันต่างหากหละครับ

    เช่นผมจะสมมุติตัวเลขขึ้นมาให้เข้าใจง่ายๆเฉยๆนะครับ ไม่ใช่ตัวเลขจริง เช่น มิติที่ 3 คือ
    มิติที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นวัตถุธาตุที่เราจับต้องได้อยู่นี้ มีระดับความสั่นสะเทือนของแสง
    อยู่ในช่วง visible light คือเท่าไหร่หละ จากระดับความสั่นสะเทือนของสีแดง ไปจนถึงของสีม่วง เป็นต้น

    ส่วนมิติที่ 4 นี่ก็ตัวเลขสมมุติอีกเหมือนกันนะครับ ก็คือ สิ่งที่มีระดับความสั่นสะเทือนสูงกว่าระดับ visible light ขึ้นไปอีก
    ตั้งแต่ระดับของรังสีเหนือม่วงขึ้นไปจนถึงระดับรังสีแกรมม่า อะไรแบบนั้นเป็นต้น

    ส่วนมิติที่ 5,6,7...ฯลฯ ก็จะเป็นอะไรแบบนั้นเหมือนกันครับ..แต่อย่างไรก็ตาม ที่ผมอธิบายมานี้
    เป็นแค่การสมมุติเท่านั้นนะครับ ไม่ได้หมายความว่า มันคือค่านั้นจริงๆ และไม่ได้หมายความว่า
    มิติต่างๆ มันจะต้องเรียงลำดับตามความถี่แบบนั้นขึ้นไปเรื่อยๆจริงๆ..อ้าว..ทำไมหละ..

    ก็เพราะว่า มิติต่างๆ ที่สูงๆขึ้นไปแล้ว พวกมันอยู่เหนือช่องว่างและกาลเวลาของพวกเราหนะสิครับ
    จึงไม่อาจระบุแห่งหนตำบลใดให้แก่พวกมันได้..ซึ่งถ้าผมจะยกตัวอย่างว่า เช่น บนโลกของเรานี้
    ก็มีมิติต่างๆซ้อนทับกันอยู่มากมาย มากกว่า 1 มิติ พวกท่านจะเชื่อกันไหมเนี่ย..

    พวกเขาบอกว่า ขนาดเฉพาะบนโลกของเรานี้ก็เถอะ ยังมีมิติต่างๆทับซ้อนกันอยู่นับไม่ถ้วนเลยนะครับ
    เช่น เก้าอี้ที่คุณกำลังนั่งอยู่นั่นหนะ แม้ว่ามันจะกำลังปรากฎอยู่ในมิติทางกายภาพนี้ด้วยก็ตาม
    แต่ตัวตนของมัน ก็ยังไปปรากฎอยู่อีกในมิติอื่นๆด้วย จนนับไม่ถ้วน
    ตัวตนของพวกคุณเอง ของพวกเราเองก็เหมือนกันด้วย ยังมีไปปรากฎอยูในมิติอื่นๆอีก จนนับไม่ถ้วน

    ตอบว่า เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่ผมแสดงความเห็นโต้แย้ง แต่เรื่องเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็ยังไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร เพราะหลายเรื่องหาอ่านได้จากหนังสือเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เรื่องไอสไตส์ เรื่องอื่นๆ หรือจากภาพยนต์ก็เคยได้ดูได้ฟังมาบ้างแล้ว


    โอ้ว..นั่นหนะขัดแย้งกับคำสอนของศาสนาพุทธแล้ว..ถูกต้องที่สุดแล้วครับ เพราะมันขัดแย้ง 100% เลย
    ตอบว่า ผมไม่ได้พูดนะว่าขัดแย้งกันหนะ
    แต่ถึงจะขัดแย้งจริงๆก็ไม่แปลกอะไรเลยเรื่องที่มีหลักฐานพิสูจน์ได้ มีผู้ประกาศยืนยันรับรองผล มีผู้รู้ตามได้ กับเรื่องที่ไม่มีใครรับรองอะไรได้เลยมันก็ต่างกันอยู่มากโขแล้วละ



    และแม้แต่เรื่องที่พื้นฐานที่สุด ที่พวกเขาทั้ง 100% พูดตรงกันหมด ไม่ว่าจะสื่อสารมาถึงใคร ชาติไหน
    หรือในปีไหนก็ตามแต่ ถ้ากล่าวถึงกาลเวลาแล้วหละก็ พวกเขาก็จะบอกว่า
    ในระดับความจริงที่จริงยิ่งกว่าความจริงในระดับของพวกเรา คือของโลกหนะนะครับ

    "กาลเวลาหนะมันไม่มีอยู่จริงหรอก เพราะว่าในมิติที่สูงกว่าแล้ว
    ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต มันมีอยู่เป็นอยู่ พร้อมกันหมด
    มันจึงมีแต่ ที่นี่ และ เดี่ยวนี้เท่านั้นเอง"

    [B]ตอบว่า เวลาไม่มีอยู่จริงผมก็เชื่ออย่างนั้น และที่จริงแล้วพระศาสนาก็แสดงหลักฐานให้ดูได้นานมาแล้วกว่า2500ปี

    แต่นอกจากตรงนั้น เหมือนเดิมไม่มีใครยืนยันรับรองได้ ใครจะเห็นต่างเชื่อต่างกับคุณในส่วนนั้น ผิดใหมละ(ยกเว้นเกี๋ยน)
    [/B]


    เพราะฉะนั้น คำว่า "อดีตชาติ" "ปัจจุบันชาติ" และ "อนาคตชาติ" จึงไม่มีอยู่จริงด้วย
    เพราะว่าพวกมันทั้งหมด "กำลังมีอยู่และเป็นอยู่พร้อมๆกันหมด ที่นี่ และ เดี๋ยวนี้ด้วย"

    ตอบว่า เคยอ่านเจอมาแล้วในหนังสือมีอยู่2เล่ม ไม่แน่ใจว่าเล่มไหนแต่มีคนพูดไว้ก่อนบ้างแล้วละ และก็เหมือนเดิม ไม่มีใครมีหลักฐานรับรองยืนยันสิ่งเหล่านี้ได้ นอกจาก สมุติฐานเท่านั้น

    โอ๊ย!! มั่วไปกันใหญ่แล้ว..นั่นมันขัดแย้งกับคำสอนของศาสนาพุทธอีกแล้ว..
    ประทานโทษเถอะครับ อย่าว่าแต่ศาสนาพุทธเลย ไม่ว่าจะเป็นคำสอนของศาสนาไหนในโลกนี้
    มันก็ขัดแย้งหมดนั่นแหละครับ..

    ตอบว่า ที่จริงอาจจะไม่ขัดก็ได้นะ แต่อาจจะอยู่ในเรื่องลึกๆลับๆอย่างจิต


    อ้าว..แล้วทำไมถึงยังคิดว่าข้อมุลพวกนี้มันน่าเชื่อถืออยู่อีกหละ.?.
    ตอบว่า นั้นสินะ ไม่มีใครยืนยันรับรองได้เลย ไม่มีตำรา มีแต่อาการทางจิต

    งั้นคุณก็ลองหาคำอธิบายของการระลึกชาติดูสิครับ คุณจะอธิบายว่ายังไง เอาให้เป็นวิทยาศาสตร์นะ
    และอีกอย่างหนึ่ง คุณเคยซื้อหวย หรือว่าไปขอหวยกับนางตานี หรือกับเจ้าแม่เจ้าพ่ออะไรบ้างไหม
    หรือแม่แต่กับญาติพี่น้องที่ตายไปแล้วของคุณก็ตาม มันต้องมีบ้างหละที่พวกนั้นหนะบอกหวยถูกจริงๆ
    อันนี้ตัดประเด็นเรื่องฟลุ๊กออกไปหนะนะครับ เพราะว่า ในจำนวนที่ฟลุ๊กนี้ มันก็ต้องมีบ้างหละที่เขาบอกจริงๆ


    แล้วคุณสงสัยกันไหมว่า แล้วไอ้เจ้าผี หรือ วิญญาณที่มันตายไปแล้ว มาบอกหวยถูกนั่นหนะ
    มันบอกถูกได้อย่างไร ทั้งๆที่ตัวมันเองก่อนตายหนะ ก็ไม่ใช่พระอริยเจ้าที่จะได้อนาคตังสญาณแต่ประการใดเลย
    เออ..ลืมไป ลองหาคำอธิบายปรากฎการณ์ของ "อนาคตังสญาณ" เล่นๆ แต่แบบเป็นวิทยาศาสตร์ดูด้วยนะครับ

    ตอบว่า ขอโทษนะถ้าพระศาสนาตอบเรื่องนี้ไม่ได้ก็ไม่ได้แปลว่าไม่รู้ เพราะพระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้แล้วว่าเรื่องใดบ้าง เป็นอจินไตยไม่ควรคิด เรื่องที่คุณสนใจคิดอยู่นี้นะ จัดอยู่ในอจิตไตย4 เข้าไป3ข้อแล้ว เพราะอะไรถึงทำไมจึงไม่ควรคิด พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าอย่างไรรู้ใหมคับ คิดมากจะบ้าไงละครับ ไม่เชื่อก็ไม่ว่ากันหรอก:cool:
    ที่จริงก็ไม่ถึงกับรู้ไม่ได้หรอก แต่มันไม่ได้รู้ได้ด้วยปัญญาจากการศึกษาแล้วคิด
    พระพุทธเจ้่าเรียกว่า สุตมะยะปัญญากับจินตมะยะปัญญา มันต้องรู้ด้วยภาวนามยะปัญญาเท่านั้น รู้แล้วก็บอกใครไม่ได้ด้วยเพราะคนฟังมันไม่เข้าใจมันรู้เฉพาะตนเท่านั้น พระพุทธเจ้าตรัสแสดงสอนไว้อธิบายไว้ชัดใหมคับ มีเหตุผลใหมละคับ


    มันจะ..จะสมมุติยังไงดีหละ..จะประมาณว่า ทุกเหตุการณ์ มันวางแบบอยู่กับพื้นหน้ากระดานที่อยู่ตรงหน้าเรานี่หมดแล้ว
    สมมุติว่าเป็นตาหมากรุกก็แล้วกันนะครับ..สมมุติว่าช่องโน้น คือชาติโน้น ช่องนี้ คือชาตินี้อะไรแบบนั้น
    นั่นแหละ คือสิ่งที่พวกเขาเห็นหละ พวกเขาจะเห็นแต่กระแสพลังงานที่หลั่งไหลไปมาอยู่แบบไม่ขาดสาย
    กระแสพลังงานนี้ก็คือกระแสพลังงานที่เป็นแสงสว่างรูปแบบหนึ่ง ที่ปรากฎออกมาเป็นต่างๆกัน
    เช่น เป็นกระแสความคิดของมนุษย์เป็นต้น พวกเขาจะรู้ได้ว่าเหตุการณ์ไหนมันกำลังจะเกิดขึ้นหรือไม่
    ก็โดยดูจากแนวโน้มของระดับพลังงานที่กำลังไหลไปสู่เหตุการณ์นั้นๆอยู่ตลอดเวลานั่นเอง


    ซึ่งถ้ามันไหลไปไม่หยุด ก็แสดงว่าโอกาสแห่งความเป็นไปได้ที่มันจะหลุดออกมาสู่มิติทางกายภาพนี้ มันก็สูง
    [B]ตอบว่า ก็เชิญคิดไปตามสบายระวังที่พระพุทธเจ้าเตือนไว้บ้างก็แล้วกัน[/B]

    อ้าว..ก็สรุปว่า แม้แต่พวกเขาเอง ก็ไม่รู้แน่ชัดหนะสิ ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่?
    ตอบว่า แต่สำหรับทางศาสนาแล้ว คนที่รู้ชัดมีใช่ใหมละ

    ถูกต้องแล้วครับ เพราะว่า ถ้าเป็นเหตุการณ์ต่างๆที่เกี่ยวกับโลกของเรา มันก็จะขึ้นอยู่กับ
    "จิตสำนึกมวลรวมของคนทั้งโลก" ที่มีต่อเหตุการณ์นั้นๆเป็นหลักครับ
    และนี่แหละคือ Key word หละ คือ ไม่ว่าเราจะพากันไปจดจ่อกับเหตุการณ์ใดๆ ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
    ก้จะไปทำให้โอกาสที่เหตุการณ์นั้นๆมันจะกลายเป็นจริงขึ้นมาได้ มันจะมากขึ้นตามไปด้วยครับ

    [B]ตอบว่า มีคนบอกไว้นานแล้ว(ไม่แน่ใจว่าพระพุทธเจ้าหรือไม่)ครับว่า โลกจะเป็นไปอย่างไร ดีขึ้น หรือเลวลง ขึ้นอยู่กับจิตของมนุษย์ ข้อมูลทางจิตของฝรั่งต้นเรื่องจึงไม่ใช่เรื่องใหม่อีกตามเคย:'([/B]

    เช่น คนไทยทั้งประเทศ ไม่ชอบนายกคนหนึ่ง ก็เลยพากันเดินขบวนขับไล่เสีย และ/หรือพากันนั่งสมาธิ
    ส่งกระแสจิตไปสาบแช่งเขาเสีย อะไรแบบนั้นเป็น ต้น นั่นหนะ ในแง่ของต่างมิติแล้ว
    พลังของกระแสจิต จะมีความสำคัญไม่แพ้การกระทำเลย ไม่เหมือนนิยามของศีลแบบพุทธเรานะ
    ที่ว่าคิดหนะไม่ผิดหรอก แต่ทำสิถึงจะผิดศีล มันต่างกันครับ เพราะว่าแค่คิดหนะ ก็เกิดสิ่งที่เราคิด
    ไปปรากฎอยุ่ในมิติใดมิติหนึ่ง ซึ่งเป็นโลกคู่ขนานเรียบร้อยแล้ว และถ้าคิดบ่อยๆ ซ้ำๆเข้า จนมันมีพลังงานมากพอ
    มันก็จะปรากฎออกมาสู่มิติทางกายภาพนี้ในที่สุด

    ตอบว่้า ถ้าจริงก็คงดีน่าดูเลยนะ กับสิ่งที่บางพวกบางคน พยายามทำให้่คนคิดเหมือนกันว่า โลกกำลังจะเจอสาระพัดภัยคุกคามหนะ ถ้าจริงทำไมข้อความต่างมิติไม่พยายามทำให้คนคิดบวกละโลกจะได้เป็นไปทางบวก

    และพวกเขาก้บอกว่า ไม่มีกระแสความคิดใดเลย ของมนุษย์คนใดเลย ไม่ว่าจะเล็กน้อยสักแค่ไหนก็ตามแต่
    ที่จะไม่มีผลกระทบต่อคนอื่น หรือ ต่อโลก และต่อจักรวาลเลย พวกเขาถึงบอก และ ย้ำอยู่เสมอไงครับว่า

    "อย่าดูถูกพลังอำนาจแห่งความคิดของตัวเอง"

    เพราะว่ามันไปได้ไกล และ เร็ว ยิ่งกว่าความเร็วของแสง มากมายนัก

    ตอบว่า ทางศาสนาเรียกความคิดว่า สังขารแปลว่าการปรุงแต่งเกิดขึ้นที่วิญญาณ หรือปัจจุบันนี้ก็มีคนเรียกว่าอาการของจิตไงละครับ นานมาแล้วด้วยนะครับ กว่า2500ปี และมีคนแสดง ยืนยัน รับรอง รู้ตาม ครบแล้วด้วย
    ต่างกันแยะ กับอาการทางจิต ซึ่งไม่รู้เลยว่าเป็นมายังไำง ไม่มีใครรับรอง เชื่อได้แค่ไหนกลับเชื่อหัวชนฝา ใครค้านไม่ได้ อ่อนใจ
    :'(

    ..เดี๋ยวค่อยมาต่อนะครับ...
    ...........................................................................
    [/COLOR][/B][/QUOTE]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 เมษายน 2012
  13. แสนคำ

    แสนคำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 เมษายน 2012
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +93

    งั้นก้อยังพิสูจน์ไม่ได้
    เรื่องภัยพิบัติ ต่างดาวนั้นไม่เถียง ครูบามีระบุไว้อยู่แล้ว
    แต่ที่งานนี้สะดุ้งเพราะกล่าวในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรา คือพุทธศาสนา ศาสดา คำสอนฯ
     
  14. 00ann_00

    00ann_00 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +2
    มีความรู้สึกดีพิเศษกับผู้โพสท่านนี้ค่ะ สัมผัสได้ว่าเราคงมีประสบการณ์อะไรบางอย่างคล้ายๆกันและตั้งแต่เด็กด้วย ข้าพเจ้าก็ก็รักและเคารพบูชาในองค์พระพุทธเจ้าเช่นกันเพราะคำสอนของพระพุทธองค์ไม่ได้ให้รับฟังแล้วเกิดความเื่ืชื่อ ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองปฏิบัติเองแล้วจะรู้ว่าอะไรจริงไม่จริง และอีกหลายๆศาสนา หลายศาสดา และแม้แต่คำสอนในหลายๆรูปแบบจวบจนปัจจุบันนี้ต่างก็มีสายใยเชื่อมโยงเกี่ยวดองกันอยู่แต่จะให้อธิบายในรูปแบบเดียวกันไปในทุกยุคทุกสมัยคงจะเป็นไปไม่ได้ วิธีที่จะสั่งสอนในปัจจุบันเลยอาจดูแปลกไม่คุ้นหูคุ้นตากับผู้ที่ปักใจอยู่แต่ในรูปแบบการสอนในอดีต สมัยนี้วิวัฒนาการด้านวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าไปมากทำให้วิธีติดต่อสื่อสารกับจิตวิญญาณต่างมิติต้องเปลี่ยนแปลงตามกันไป แต่หากว่าได้เจาะลึกเข้าจริงๆท้ายที่สุดแล้วก็เพียงแต่จะนำไปสู่ความเจริญทางด้านจิตวิญญาณสูงสุดเฉกเช่นเดียวกัน น่าเสียดายที่ทำไมบางคนไม่เลือกแต่จะรับข้อมูลสิ่งดีๆเข้ามาจรรโลงจิตใจทั้งที่มีผู้สละเวลาคอยประเคนให้มากมายดีว่าแต่มาคอยนั่งจับผิดกัน ตราบใดที่ยังอยู่ในโลกเดียวกันก็ควรคิดบ้างว่าทุกคนต่างก็เป็นมนุษย์เหมือนเราๆ การที่ใครบางคนหรือบางกลุ่มออกมาแสดงความคิดหรือป้อนข้อมูลใดๆก็ตามหากเปิดใจสัมผัสดูแล้วพวกเค้าไม่ได้นำเสนอข้อมูลด้านลบเพียงแต่สนับสนุนให้คนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในทางที่ดีขึ้นแค่นี้ก็คงจะเป็นที่น่ายินดีแล้วไม่ใ่ช่หรือ? เข้าใจในเจตนารมณ์ของคุณชยุต "ผู้แปลสาสน์จะให้อธิบายได้ดีเหมือนผู้รับสาสน์โดยตรงย่อมไม่ได้ และผู้รับสาสน์จะเข้าใจความหมายทุกอย่างได้ดีเหมือนผู้ส่งสาสน์ก็คงไม่ได้เช่นกัน" เปิดใจกว้างๆรับในส่วนที่ดีแล้วเรียนรู้ไปพร้อมๆกันไม่ดีกว่าหรือคะ?? และการที่จะให้คุณชยุตไปออกข่าวคุณสรยุทธนั้นเพื่อ...?!!!? เพียงเพื่อ..ป่าวประกาศว่าอันตัวเรานั้นมีเส้นสายอยู่ในทีวีมิได้ธรรมดาเชียว..? หรือ ถ้าจะบอกว่าอยากให้คนที่ไม่ได้ใช้เน็ตเป็นนั้นได้รับรู้เรื่องนี้ก็ดูไม่มีเหตุผลนัก เพราะทีมแปลได้ทำเต็มความสามารถอย่างที่ถนัดในแบบที่พวกเค้าควรจะทำแล้ว หากคุณบางคนเห็นว่าควรเผยแพร่ในรูปแบบอื่นแล้วทำไมไม่รับงานด้านนั้นเองเสียล่ะไม่เห็นต้องคอยจับจดรอผลงานคนอื่นแล้วยังสั่งๆให้เค้าไปทำนู่นนี่อยากทำเพื่อผู้อื่นในรูปแบบที่คุณบอกก็ต้องเริ่มกระทำเองทั้งนี้ต้องแปลจากต้นฉบับเองด้วยจักได้ไม่ละเมิดซึ่งกันและกัน ทีมแปลของคุณชยุตเค้าอยู่ถูกที่ถูกเวลา ณ ตรงนี้ก็ดีอยู่แล้วเพราะเค้าหวังแค่ใครที่ผ่านมาและสนใจจะอ่านเป็นวิทยาทานหรือถ้าอ่านแล้วไม่ใช่เรื่องที่เราเห็นด้วยก็ควรจะเดินไปอย่างเงียบๆแบบมีมารยาทและเคารพในสิทธิของผู้อื่นค่ะ. หรือมองอีกนัยนึงหากคุณเชื่อเรื่องผลกรรมนำส่งก็ให้คิดเสียว่า "ไม่วันใดวันหนึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องที่ต้องรับรู้เรื่องนี้ก็จะต้องมีผลกรรมนำให้มาพบเจอข้อความต่างๆเข้าจนได้" ข้าพเจ้าเพียงแต่เสนอความเห็นไม่อยากให้กระทบกระทั่งกัน ลองมองหาข้อดีในทุกๆเรื่องตลอดจนทุกๆที่แล้วคุณจักไม่ต้องได้ชื่อว่าคนพาล เพราะโลกใบนี้ก็เปรียบเหมือนห้องเรียนห้องนึงที่เราอาศัยเรียนรู้ไปด้วยกันจะเลื่อนชั้นไปเรียนต่อระดับที่สูงขึ้นหรือเลือกซ้ำชั้นก็ตัวเรานี่แหละที่ทำตัวเราเอง

    กลับมาที่คุณบัวบูชา ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ขออนุญาตพูดคุยทักทายกันบ้างนะคะปกติก็ไม่ค่อยแสดงความเห็นเหมือนกัน แต่บางครั้งมันทนไม่ไหวค่ะเห็นใจในกลุ่มของผู้ที่ทำงานเพื่อผู้อื่น
    เรามาถือโอกาสนี้พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสกับผู้ที่ไม่ค่อยได้แสดงความเห็นตามแบบปกติแต่ตอนนี้เริ่มมีการแสดงตัวตนออกมากันบ้างแล้วให้มาทำความรู้จักกันจับมือรักกันดีกว่ามั้ยคะ^^
     
  15. seniorgolf18

    seniorgolf18 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    70
    ค่าพลัง:
    +63
    มัวแต่เถียงกัน พระพุทธเจ้าสอนธรรม ยังไงก็ไม่หมดหรอกครับมันเยอะมายมาย
    ท่านก็สอนที่เท่าที่จะสอนได้ แก่ตายก่อนละ ใบไม้ในกำมือ อ่ะ
    ที่มาเถียงกันเนี่ยเป็นความรู้นอกกำมือ มีใบไม้ในป่าก็ เรียนรู้ไว้ก็ไม่เสียหาย มาเถียงนั้นผิดนั้นถูก ถ้าความรู้นั้นมันไม่มีในพระพุทธศาสนา ก็อคติกันละ นั้นมันไม่ถูกได้ไง ความรู้ใบไม้นอกกำมือก็หัดเรียนรู้สะบ้าง หยิบปัญหามาเป็นปัญญาสิท่าน....
     
  16. brotherpray

    brotherpray เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    137
    ค่าพลัง:
    +177
    เรื่องข้อความจากต่างมิติ กับพุทธศาสนามัน ขัดแย้งกัน ตรงไหนง่า
    ไม่เห็นเหรอคุณชยุต ก็นั่งสมาธิ อยู่นะ แต่คงไม่ใช่เพื่อบุญหรือกุศลอะไรหรอกนะ
    ไม่เห็นคุณชยุตไม่สวด อ้อนวอน พระเจ้า เทวดา ที่ไหนนิ
    ผมก็ศึกษาเรื่องนี้มานานนะ
    และขอบอกเลยว่า ผมอยู่ในจุดที่ผ่านสิ่งที่เรียกว่า "ความเชื่อ" มาแล้ว

    ผมรู้ว่า

    เจ้าชายสิทธัตถะสอนความจริง
    เยซูคริสต์ สอนความจริง
    เรื่องข้อความจากต่างมิติ เป็นความจริง

    สิ่งเหล่านี้ผมเลิกสงสัยไปแล้ว ไม่มีความสงสัยผุดขึ้นในเซลล์ใดของหัวสมองผมเลย


    ผมใช่เชื่อในศาสนาใดเลย

    คุณอาจจะเห็นว่า ศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี แต่ผมอยู่จุดนี้ผมมองเห็นศาสนาเป็นความงมงาย คือตัวโกงในคาบพระเอก ตัวอักษรเหล่านั้นที่เขียนอยู่ในตำราของศาสนามันก็เขียนไม่ถูกต้อง ปิดหูปิดตามนุษย์ไม่ให้พบความจริง

    ศีล ไม่ทำให้มนุษย์เป็นคนดีหรอก ความ เข้าใจ ที่ว่า มนุษย์คืออะไร สิ่งต่างๆรอบรอบๆตัวคืออะไร ต่างหาก ที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากพวกเข้าใจเขาจะ เลิก
    ทำร้ายกัน คิดร้ายต่อกัน เลิกเบียดเบียนเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอกว่า แม้ข้อมูลที่ผมศึกษาจะมีไม่เอ่ยถึงเรื่องนิพพาน แต่ผมก็รู้ว่า นิพนาน ไม่ใช่สภาวะที่เป็น ศูนย์ 0
    zero อย่างแน่นอน

    มันไม่มีความบังเอิญในจักรวาลนี้หรอกน่า
    ท่านน่าจะมาศึกษาเรื่องพวกนี้ หรือจะมาจับผิดข้อมูลก็ดี
    ถ้าหากท่านศึกตำราทางศาสนามามาก ก็จะเป็นสิ่งที่ดีมาก นำข้อมูลเหล่านั้น มาเปรียบเทียบกัน แต่ต้องเข้าใจด้วยว่า ศัพท์บางคำเป็นของฝรั่ง พระเจ้า มันก็หมายถึง จิตต้นกำเนิด ภาษาศาสนา ท่านเรียกว่าอะไรน้า
    จิตประภัสสร หรือเปล่า ส่วนคำว่าเทพ ก็หมายถึง เทวดา ตามศาสนาบ้านเรา แต่ไม่ใช่เทวดาที่ใส่ชุดไทย นะ แท้จริงแล้ว พวกเขาเป็นอารยธรรมต่างดาว พวกเขาวิวัฒนาการไปไกลแ้ล้ว ทั้งเทคโนโลยีและจิตวิญญาณ การโทรจิต เหาะเหินเดินอากาศเป็นเรื่องปกติของพวกเขา พวกเขามีอยู่ก่อนที่มนุษย์จะเกิดขึ้นมาเสียอีก

    สิ่งที่ท่านทำอยู่ตอนนี้ แรงผลักดันมันมาจาก ความกลัวในจิตใจของท่าน ท่านเคารพพ่อของท่านมาก วันหนึ่งมีไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้ มาประกาศปาวๆ อยู่กลางตลาดๆ ว่าพ่อของท่านเป็นคนลวงโลก เที่ยวโกหกชาวบ้าน ไปทั่ว ท่านก็ย่อมโต้แย้งเป็นธรรมดา หากสิ่งที่ไอ้บ้าคนนั้นพูดมาเป็นความจริงหละ ท่ามกลางวันเวลาแห่งความสับสนนี้ ท่านไม่อยากรู้หรือว่าคำพูดของไอ้บ้าคนนั้นจริงหรือเปล่า ท่านจะไม่พิสูจมันหรือ ท่านอาจจะไปหาไอ้บ้าคนนั้นต่อยเขาให้ตายไปเลยด้วยความโมโห หรือว่าจะไปสอบถามข้อเท็จจริงจากไอบ้าคนนั้น แต่ความจริงของความจริงท่านจะรับมันได้หรือเปล่า........
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2012
  17. Thrinai

    Thrinai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +555
    โอ้.....นั่งสมาธิเนี่ยนะ ถือว่าเป็นพุทธแล้ว 555+
    มีมาก่อนพระพุทธเจ้าประสูติแล้วครับ...
    พราหมณ์ก็มีการนั่งสมาธิ...ฤาษีเนี่ยก็พราหมณ์...มีฤาษีมาก่อนพระพุทธเจ้าอีกนะ
    โธท์ก็ไม่ใช่พุทธ ก็มีสอนเรื่องสมาธิ...โหะโหะ+
     
  18. seniorgolf18

    seniorgolf18 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    70
    ค่าพลัง:
    +63
    ความตายมันมีอยู่กันทุกวัน คุณจะตายก่อนใครจะรู้
    ออกไปข้างนอกโดนรถชนตายใครจะรู้
    ไม่ต้องมาภัยพิบงพิบัติ หรือโลกแตก อะไรทั้งสิ้น ถ้าโลกแตกคุณจะทำอะไรได้ถ้ามันแตกจริง
    คุณจะอยู่ถึงวันนั้นรึป่าว อยู่กับปัจจุบันดีที่สุด คิดแต่เรื่องอนาคต ก็เป็นทุกข์กันป่าวๆ
    มันขาดทุนในชีวิตน่ะจะบอกให้ คิดให้ปวดกระบาลทำไม
     
  19. รักคนอ่าน

    รักคนอ่าน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +94
    ประเด็นคือหลักๆคือ แปลมาเผยแพร่ แต่ทนฟังความเห็นต่างมุมไม่ได้ เอาข้อมูลด้านอื่นมาเปรียบเทียบกับเรื่องที่แปลมา ทนไม่ได้ ปรี๊ดแตก
    เรื่องอื่นจะยังไม่พูดถึงก็ได้ ถามแค่เรื่องนี้จะตอบว่ายังไง
     
  20. แสนคำ

    แสนคำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 เมษายน 2012
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +93
    ประเด็นคือ...
    จะเผยแผ่ก้อเผยแผ่ไป แต่การกล่าวถึงศาสนาเปรียบเทียบ
    โดยหยิบศาสนาพุทธมาพูดเพียงนิดหน่อยไม่ครอบคลุม
    จำเป็นที่จะต้องหาข้อมูลมาแจ้งเหมือนกัน
    สิ่งดีๆใครๆก้อยากรู้อยากได้ กายกับจิตแยกกันใครๆก้อรู้
    ก้อกำลังทะยอยตามอ่านกระทู้การเลื่อนระดับเหมือนกัน
    อ่านเพราะกำลังหาแก่นของสิ่งนั้นอยู่ คงเหมือนหลายๆคนมั้ง
     

แชร์หน้านี้

Loading...