เรื่องเด่น แนวคำสอนสมเด็จโตเรื่องกายทิพย์สมาธิ

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย KWANPAT, 14 เมษายน 2012.

  1. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ประโยชน์ของพลังจิต

    จะได้ผลประโยชน์มากน้อยขึ้นอยู่กับกำลังสมาธิ พลังจิตเกิดขึ้นจากอำนาจ
    พละกำลังของการฝึกสมาธิจนบรรลุ "ฌาน" พลังจิตจึงเกิดเป็นประโยชน์ได้
    มากน้อยขึ้นอยู่กับความแน่วแน่แข็งแกร่งของจิตใจที่ได้จากการรวบรวม
    อารมณ์เดียวของสมาธิ ที่ฝึกได้ในภาวะนั้นมีประสิทธิภาพอยู่ในระดับสูง
    เพียงใด ขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นสูง พลังจิตสูงส่งเพียงใด ก็จะยังประโยชน์
    ให้สิ่งที่ทำไปนั้นสำเร็จผลมากเพียงนั้น พลังจิตที่อ่อนแอ ย่อมไม่สามารถ
    ทำให้เกิดผลสมดังที่ใจปรารถนา

    สังวรก่อนฝึกอิทธิฤทธิ์-บุญฤทธิ์

    ใครที่บังอาจใช้อำนาจพลังจิต ในทางผิดศีลธรรม ไม่ว่าจะทำด้วย ความโลภ
    โกรธ หลง ขอให้พลังจิตที่ฝึกได้นั้น เสื่อมสลายโดยฉับไวและกรรมจงตามทัน
    ท่านควรสังวรว่า การที่ท่านมีพรสวรรค์ในฌาณอันวิเศษมากนี้ จงสงวนความดี
    เหล่านี้ไว้ให้อยู่เพื่อความดี อย่าให้จิตใจหลงตกอยู่ภายใต้พลังอำนาจมืดที่จะใช้
    พรสวรรค์ในทางที่ผิด อย่าลืมว่า การกระทำชั่วร้ายไม่ใช่ความผิดของร่างกาย
    จิตใจซิเป็นใหญ่ ความผิดอันชั่วร้ายจะบดเบียดเข้ามาทีจิตใจเท่านั้น ท่านจะต้อง
    ตั้งสติด้วยดวงจิตอันบริสุทธิ์ที่แกร่งด้วยความดี ติดตามอย่างใกล้ชิดกับภาวะช่อง
    ความชั่วร้ายที่จะเข้าแทรก ในดวงจิตของเราอยู่เสมอ เมื่อรู้เท่าทันต่อเหตุการณ์
    นั้นแล้ว จิตย่อมคงทนต่อการบังคับของพลังความชั่วร้าย สามารถชนะกิเลสมาร
    เหล่านั้นได้
     
  2. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ข้อห้ามและข้อควรระวังในการฝึกอิทธิฤทธิ์บุญฤทธิ์

    ท่านที่จะศึกษาเรื่องโลกทิพย์ ท่านจะต้องปฏิบัติตามกฎข้อห้ามข้อบังคับ
    ดังต่อไปนี้อย่างเข้มงวดซื่อสัตย์ ต่อคำเตือนนี้ ท่านก็จะพ้นจากอันตราย
    อันอาจจะเกิดขึ้นกับท่านได้ มิฉะนั้นแล้ว ขอให้ท่านถอยไปห่างๆ อย่าแตะ
    ต้องบทเรียนต่อไปอย่างเด็ดขาด

    ข้อห้ามและข้อควรระวัง

    ๑.จะต้องเป็นบุคคลไม่คุยโวโอ้อวด เรียนไม่ถึงจุดแห่งความสำเร็จแล้ว
    มานั่งทดสอบและอวดดี อาจจะถูกคนอื่นที่เก่งกว่าทดลองก็คงเจ็บไป
    หลายวันและถ้าอวดดีทั้งๆ ที่ตนยังเรียนไม่ถึงดี คนจะหาว่าเราบ้า
    มากกว่าดี เพราะท่านไม่มีความแม่นยำ

    ๒.จะต้องมีความพอใจศรัทธา พากเพียร กล้าหาญอย่างยิ่ง กล้าต่อสู้
    กับอุปสรรคอยู่เนืองนิจ จะต้องใคร่ครวญพิจารณาในข้อวัตรปฏิบัตินั้น
    ให้ถูกต้อง ท่านก็จะเข้าถึงจุดแห่งความสำเร็จตามเป้าหมายที่ขีดขั้นไว้

    ๓.พิสูจน์อำนาจพลังงงานแห่งทิพย์ หลังจากท่านสำเร็จตามข้อ ๒ แล้ว
    เพื่อเก็บข้อมูลสำหรับค้นคว้าต่อไป โดยอย่าได้มีการเปิดเผยตัว ขอให้
    เป็นการพิสูจน์แบบปิดเงียบรู้เฉพาะในหมู่คนสนิทเท่านั้น

    ๔.ทุกครั้งที่มีการใช้อำนาจจิตแล้ว จะต้องฝึกสมาธิอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง
    เพื่อสร้างเสริมกำลังภายในกาย เหมือนหม้อแบตเตอรี่ที่ใช้งานแล้ว
    ต้องคอยชาร์ทเสริมไฟเพิ่มเติมอยู่เสมอ มิฉะนั้นแล้วหม้อไฟนั้นก็เสื่อม
    คุณภาพไร้ค่าถึงขั้นเสียหายใช้การไม่ได้อีก ตัวเราก็เหมือนกัน ถ้าใช้พลัง
    จิตแล้วกายทิพย์จะเสื่อม อ่อนอำนาจพลังลง และถ้าเสื่อมมากๆแล้ว
    อาจจะถึงตายได้ง่ายๆ โดยตายก่อนอายุขัย

    ๕.ระหว่างพิสูจน์นั้น พยายามอย่าริอ่านเป็นคนสอดรู้สอดเห็นเต็มไปด้วย
    ความอยาก เพราะจะเป็นทางพาท่านไปตายได้ง่ายๆ แม้ว่าท่านฝึกจน
    สำเร็จตามขั้นที่ขีดที่วางไว้ ขอร้องขอวิงวอนว่าอย่าโอ้อวดผลงาน
    แก่คนทั่วไป มิฉะนั้น ท่านอาจจะได้รับปัญหานานาประการจากชาวบ้าน
    และรับราชการขัดขวางและทำลายจากฝ่ายที่ไม่หวังดีต่อท่าน อย่าลืมว่า
    ถ้าตัวเราทรนงองอาจ ครูบาอาจารย์ไม่ร่วมด้วย
     
  3. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ผู้ฝึกสมาธิควรสนใจในการฝึกลมปราณ
    จะมาเขียนต่อในภายหลัง
     
  4. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    นี่ของ แสง อรุณกุศล รึปล่าวคับ ถ้าใช่ ทำไมไม่ใส่เครดิตไว้
     
  5. ชัยบวร

    ชัยบวร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2011
    โพสต์:
    928
    ค่าพลัง:
    +1,642
    ดีครับ เป็นประโยชน์ มิน่า ผมนั่งสมาธิแล้วบางทีรู้สึกเหมือนอะไรมันดันระหว่างคิ้ว เหมือนมันจะหลุดออกมาแต่ยังไม่หลุดนะครับ....อืม
     
  6. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูง

    เชิญแวะอ่านธรรมะของหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง ที่
    เฟสบุ๊ค ศูนย์พุทธศรัทธา
    และร่วมกันแบ่งปันธรรมะของหลวงพ่อฯ ไปยังกระดานของท่านเพื่อเป็นธรรมทาน

    เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น<O:p
    ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p
    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่www.tangnipparn.com<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    <O:p>ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา

    [​IMG]</O:p>
     
  7. อยากเห็นผี

    อยากเห็นผี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +46
    อนุโมทนา สาธุ
    ขอคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ ดลใจให้ข้าพเจ้ามีความมานะ อดทน ไม่กลัว ซึ่งเป็นหนทางของการถอดจิตสำเร็จด้วยเถิด
     
  8. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ของท่านแสง อรุณกุศลค่ะ
    ที่เขียนไม่ได้ต้องการอะไรค่ะ
    ก็อยากนำความรู้เนื้อหาดีของท่าน
    มาปฏิบัติให้ถูกทางตามที่บางท่านเกิดความสงสัย
    สำหรับผู้ปฏิบัติที่ต้องการหาความรู้เพิ่มเติม
    ที่ยังไม่เคยอ่านหนังสือของท่าน
    เนื่องจากมีคนเคยมาสอบถามเรื่องดั่งกล่าว
    ข้าพเจ้าเองไม่ได้มีความรู้มากพอ
    เป็นผู้ปฏิบัติในระดับหนึ่งก็ค้นคว้า
    หาความรู้เพิ่มเติมเพราะเกิดจากความสงสัย
    ในการปฏิบัติเช่นกันเหมือนกับทุกท่าน
    จึงต้องนำความรู้มาแชร์ให้ทุกท่านศึกษา
    หากยังไม่ได้อ่านหนังสือดีดีซักเล่มค่ะ
    fairy3เพื่อให้ทุกคนหันมาปฏิบัติธรรมกันมากขึ้นค่ะ
    มิมีประสงค์สิ่งใดเป็นพิเศษค่ะ ต้องกราบขอโทษทุกท่านด้วย
    หวังว่าคงเป็นความรู้กับบางท่านที่ยังไม่เคยได้อ่านค่ะ

     
  9. โอภาส

    โอภาส Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +29
    ขอบพระคุณมากครับ หลายเรื่องที่มากระจ่างหลังจากอ่านจบ ทีแรกก็สงสัยว่าทำไมครูที่สอนอยู่เค้าถึงให้ไปหาเค้าตลอด แต่ทำได้เพียงเต็มที่สิบนาทีโดยประมาณ ยังมีเรื่องสงสัยสองข้อครับ ข้อแรกทำไมเวลาไปแบบเต็มตัวที่ผ่านออกทางกระหม่อมถึงเดินได้ลำบากครับต้องคอยมองหากำแพงพิง ไม่ก็ลงคลาน บางทีนั่งฟังเทศน์ ยังรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเราคล้ายจะโดนลมค่อยๆพัดเหมือนเราจะหมุนหัวทิ่ม และถ้าฝืนก็กลับกายเนื้อทันที ถ้าไม่ฝืนก็อยู่ได้นานขึ้น ข้อสองทำไมเราถึงแสดงออกทางสีหน้าไม่ได้เลย เพียงสงสัย คิ้วขมวด ก็กลับกายเนื้อ แต่ยกมือยกไม้ได้ โดยปรกติทุกครั้งที่ไป ก็จะพนมมือลงกราบก่อนเสมอ แต่รู้สึกแม้กระทั่งว่า การจะเอามือประกบกัน ยังกะแรงไม่ถูกเลยครับ เหมือนจะขาดจะเกินประจำ และการก้มตัวลงกราบก็ยากลำบาก เหมือนหลังมันไม่ยอมงอตามลงมา เลย ไม่ค่อยชอบไปแบบนี้ ไปแบบมองอย่างเดียวค่อนข้างสบายใจกว่า
    รบกวนเสนอแนะด้วยครับ เพราะครูบาอาจาร์ยที่ท่านมาสอน ท่านมุ่งเน้นให้รู้ทันใจตัวเอง และมักต่อว่าเสมอเมื่อไปที่อื่นโดยลำพัง เพราะไปหาท่านทีไรก็วัดเสียทุกที สิบนาทีก็หลุดกลับ แม้ไปหาแม่ที่บ้านท่านยังบอกว่าไม่ดี เหมือนจะทำให้ยึดติด บางครั้งก็ติดเจ้าที่ที่บ้านพานั่งดูบ้านไม้ท่าน ที่แม่ทำไว้ให้ท่านอยู่ โดยส่วนตัวท่านสอนมาได้ 1ปีครับ ครั้งแรกที่ท่านสอน จนมีการเปลี่ยนแปลง คือบังคับอะไรสักอย่างที่อยู่ในตัว ให้ไปตามจุดต่างๆ ในร่างกายตามแนวตรง บนสุดก็ตรงกระหม่อม ก็แปลกใจ แต่ปัจจุบัน สามารถกำหนดให้ร่างกายทำอะไรก็ได้ เพียงคิดโดยไม่ออกแรง หรือแสดงความรู้สึกได้ตามสั่ง นี่ใช่ผลของการฝึกถอดกายทิพย์ด้วยหรือปล่าวครับ. ขอโทษด้วยนะครับที่พิมพ์ยาวไป เพราะปรกติจะอ่านครับ ไม่ค่อยได้แสดงความคิดเห็น กลัวคนในเวปนี้มากครับ กลัวมีเวรกรรมต่อกันเพราะคำพูด. ขอบพระคุณอีกครั้งครับ
     
  10. ทางสวรรค์

    ทางสวรรค์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +347
    ขอขอบคุณ และขออนุโมทนาด้วยครับ ได้ความรู้มากจริงๆครับ
     
  11. เล็กชิ้นสด

    เล็กชิ้นสด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +178
    การอนุโมทนา

    การอนุโมทนา ให้กับเรื่องใด ๆ ท่านควรพิจารณาไตรตรอง ให้ถี่ถ้วนก่อน
    เพราะท่านอาจจะไป รับรอง เรื่อง ที่ไม่ถูกต้อง เป็นมิจฉาทิฏฐิ ให้คนอื่นเขาเชื่อตาม ไม่มีประโยชน์หรอกครับ ที่คุณจะไปพิมพ์ อนุโมทนาให้เปลือง พื้นที่เวป
    ถ้าคุณเห็นด้วย คุณก็อ่านเฉย ๆ ก็ได้ เขาไม่ว่าอะไรหรอก

    สำหรับกระทู้นี้ ควรลงที่มาของ เนื้อหาเหล่านี้ด้วย ไปเอามาจากไหน

    ที่บอกว่าเป็นคำสอนของ สมเด็จโต คงจะไม่ใช่ แล้ว ละหนา

    ถ้าไม่ใช่ หรือไม่รู้ หรือ คัดลอกเขามาอีกที ก็ได้โปรดอย่าไปแอบอ้าง เลยหนา
    เป็นห่วง คุณ

    มาว่ากันที่เนื้อหากันครับ

    ขอถามหน่อย กายทิพย์ อยู่หมวดไหนของขันธ์ ๕

    ๑ รูป
    ๒ เวทนา
    ๓ สัญญา
    ๔ สังขาร
    ๕ วิญญาณ
     
  12. เล็กชิ้นสด

    เล็กชิ้นสด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +178
    ขออนุญาต ครับ

    บางส่วนจาก
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔
    มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์

    ๘. มหาตัณหาสังขยสูตร
    ว่าด้วยสาติภิกษุมีทิฏฐิลามก

    [๔๔๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวันอารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
    เขตพระนครสาวัตถี สมัยนั้น ภิกษุชื่อสาติ ผู้เกวัฏฏบุตร (บุตรชาวประมง) มีทิฏฐิอันลามก
    เห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ
    ย่อมท่องเที่ยว แล่นไปไม่ใช่อื่น.
    ภิกษุมากรูปด้วยกันได้ฟังว่า ภิกษุสาติ ผู้เกวัฏฏบุตร มีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า
    เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป
    ไม่ใช่อื่น จึงเข้าไปหาสาติภิกษุแล้ว ถามว่า ดูกรท่านสาติ ได้ยินว่า ท่านมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้
    เกิดขึ้นว่า เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อม
    ท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริงหรือ?
    เธอตอบว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ข้าพเจ้าย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาค
    ทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป มิใช่อื่นดังนี้ จริง.
    ภิกษุเหล่านั้นปรารถนาจะปลดเปลื้องภิกษุสาติ ผู้เกวัฏฏบุตรจากทิฏฐินั้นจึงซักไซ้ ไล่เลียง
    สอบสวนว่า ดูกรท่านสาติ ท่านอย่ากล่าวอย่างนี้ ท่านอย่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาค การกล่าวตู่
    พระผู้มีพระภาค ไม่ดีเลย เพราะพระผู้มีพระภาคมิได้ตรัสอย่างนี้เลย ดูกรท่านสาติ วิญญาณอาศัย
    ปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วโดยปริยายเป็นอเนก ความเกิดแห่งวิญญาณ
    เว้นจากปัจจัยมิได้มี.
    ภิกษุสาติ ผู้เกวัฏฏบุตร อันภิกษุเหล่านั้น ซักไซ้ ไล่เลียง สอบสวนอยู่อย่างนี้
    ก็ยังยึดมั่น ถือมั่นทิฏฐิอันลามกนั้นรุนแรง กล่าวอยู่ว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ข้าพเจ้าย่อมรู้
    ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่
    อื่น ดังนี้.
    ภิกษุทั้งหลายไม่อาจเปลื้องสาติภิกษุจากทิฏฐิ
    [๔๔๑] เมื่อภิกษุเหล่านั้น ไม่อาจปลดเปลื้องสาติภิกษุ ผู้เกวัฏฏบุตรจากทิฏฐินั้นได้
    จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายอภิวาทแล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้ทูลว่า ข้าแต่
    พระองค์ผู้เจริญ สาติภิกษุมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มี
    พระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น ครั้งนั้น พวก
    ข้าพระองค์เข้าไปหาสาติภิกษุแล้วถามว่า ดูกรท่านสาติ ได้ยินว่า ท่านมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้
    เกิดขึ้นว่า เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่อง-
    *เที่ยว แล่นไป มิใช่อื่น ดังนี้ จริงหรือ? เมื่อพวกข้าพระองค์ถามอย่างนี้ สาติภิกษุได้บอกพวก
    ข้าพระองค์ว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ข้าพเจ้าย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า
    วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป มิใช่อื่น ดังนี้ จริง ในลำดับนั้น พวกข้าพระองค์
    ปรารถนาจะปลดเปลื้องสาติภิกษุจากทิฏฐิอันลามกนั้น จึงซักไซ้ ไล่เลียง สอบสวนว่า ดูกรท่าน
    สาติ ท่านอย่าได้กล่าวอย่างนี้ ท่านอย่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาค การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาค ไม่ดี
    เลย เพราะพระผู้มีพระภาคมิได้ตรัสอย่างนี้เลย ดูกรท่านสาติ วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิด
    ขึ้น พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วโดยปริยายเป็นอเนก ความเกิดแห่งวิญญาณ เว้นจากปัจจัยมิได้มี
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สาติภิกษุอันพวกข้าพระองค์ซักไซ้ ไล่เลียง สอบสวนอยู่ แม้อย่างนี้ ก็ยัง
    ยึดมั่น ถือมั่นทิฏฐิอันลามกนั้นรุนแรง กล่าวอยู่ว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ข้าพเจ้าย่อมรู้ทั่วถึง
    ธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป มิใช่อื่น
    ดังนี้ จริง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อพวกข้าพระองค์ไม่อาจปลดเปลื้องสาติภิกษุจากทิฏฐิอันลามก
    นั้น จึงมากราบทูลเรื่องนี้แด่พระผู้มีพระภาค.
    [๔๔๒] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุรูปหนึ่งมาแล้วตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอจง
    มา เธอจงเรียกสาติภิกษุ ผู้เกวัฏฏบุตร ตามคำของเราว่า ดูกรท่านสาติ พระศาสดารับสั่งให้หา
    ท่าน ภิกษุนั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว จึงเข้าไปหาสาติภิกษุ แล้วบอกว่า ดูกรท่านสาติ
    พระศาสดารับสั่งให้หาท่าน.
    สาติภิกษุรับคำภิกษุนั้นแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับถวายอภิวาทแล้ว
    จึงนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
    พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรสาติ ได้ยินว่า เธอมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า
    เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป
    ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริงหรือ?
    สาติภิกษุทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาค
    ทรงแสดงว่า วิญญาณนี้แหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริง.
    พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรสาติ วิญญาณนั้นเป็นอย่างไร?
    สาติภิกษุทูลว่า สภาวะที่พูดได้ รับรู้ได้ ย่อมเสวยวิบากของกรรมทั้งหลาย ทั้งส่วนดี
    ทั้งส่วนชั่วในที่นั้นๆ นั่นเป็นวิญญาณ.
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรโมฆบุรุษ เธอรู้ธรรมอย่างนี้ที่เราแสดงแก่ใครเล่า ดูกรโมฆ-
    *บุรุษ วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น เรากล่าวแล้วโดยปริยายเป็นอเนกมิใช่หรือ ความ
    เกิดแห่งวิญญาณ เว้นจากปัจจัย มิได้มี ดูกรโมฆบุรุษ ก็เมื่อเป็นดังนั้น เธอกล่าวตู่เราด้วย
    ขุดตนเสียด้วย จะประสพบาปมิใช่บุญมากด้วย เพราะทิฏฐิที่ตนถือชั่วแล้ว ดูกรโมฆบุรุษ
    ก็ความเห็นนั้นของเธอ จักเป็นไปเพื่อโทษไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน.
    ตรัสสอบถามเรื่องสาติภิกษุผู้มีความเห็นผิดนั้น
    [๔๔๓] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายพวกเธอจะ
    สำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน สาติภิกษุผู้เกวัฏฏบุตรนี้ จะเป็นผู้ทำความเจริญในพระธรรมวินัยนี้บ้าง
    หรือไม่?
    ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า ข้อนี้จะมีได้อย่างไร ข้อนี้มีไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า.
    เมื่อภิกษุทั้งหลายทูลอย่างนี้แล้ว สาติภิกษุ ผู้เกวัฏฏบุตร นั่งนิ่ง กระดาก คอตก ก้มหน้า
    ซบเซา หมดปฏิภาณ.
    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า สาติภิกษุ ผู้เกวัฏฏบุตร มีความเป็นดังนั้นแล้ว
    จึงตรัสกะเธอว่า ดูกรโมฆบุรุษ เธอจักปรากฏด้วยทิฏฐิอันลามกของตนนั้น เราจักสอบถามภิกษุ
    ทั้งหลายในที่นี้ ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอ
    ย่อมรู้ทั่วถึงธรรมที่เราแสดงแล้วเหมือนสาติภิกษุ กล่าวตู่เราด้วย ขุดตนเสียด้วย จะประสพบาป
    มิใช่บุญมากด้วย เพราะทิฏฐิที่ตนถือชั่วแล้ว ดังนี้หรือ?
    ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า ข้อนี้ไม่มีเลย พระพุทธเจ้าข้า เพราะวิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกัน
    เกิดขึ้น พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วแก่พวกข้าพระองค์ โดยปริยายเป็นอเนก ความเกิดแห่งวิญญาณ
    เว้นจากปัจจัย มิได้มี.
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดีละ พวกเธอรู้ทั่วถึงธรรมที่เราแสดงอย่างนี้
    ถูกแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้นเรากล่าวแล้ว โดยปริยายเป็น
    เอนก ความเกิดแห่งวิญญาณ เว้นจากปัจจัย มิได้มี ก็แต่สาติภิกษุ ผู้เกวัฏฏบุตรนี้ กล่าวตู่เรา
    ด้วย ขุดตนเสียด้วย จะประสพบาปมิใช่บุญมากด้วย เพราะทิฏฐิที่ตนถือชั่วแล้ว ความเห็นนั้น
    ของโมฆบุรุษนั้น จักเป็นไปเพื่อโทษไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน.
    ปัจจัยเป็นเหตุเกิดแห่งวิญญาณ
    [๔๔๔] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิญญาณอาศัยปัจจัยใดๆ เกิดขึ้น
    ก็ถึงความนับด้วยปัจจัยนั้นๆ วิญญาณอาศัยจักษุและรูปทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า จักษุ
    วิญญาณ วิญญาณอาศัยโสตและเสียงทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า โสตวิญญาณ วิญญาณ
    อาศัยฆานะและกลิ่นทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ฆานวิญญาณ วิญญาณอาศัยชิวหาและรส
    ทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่าชิวหาวิญญาณ วิญญาณอาศัยกายและโผฏฐัพพะทั้งหลายเกิดขึ้น
    ก็ถึงความนับว่ากายวิญญาณ วิญญาณอาศัยมนะและธรรมารมณ์ทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า
    มโนวิญญาณ เปรียบเหมือนไฟอาศัยเชื้อใดๆ ติดขึ้น ก็ถึงความนับด้วยเชื้อนั้นๆ ไฟอาศัยไม้
    ติดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ไฟไม้ ไฟอาศัยป่าติดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ไฟป่า ไฟอาศัยหญ้าติดขึ้น
    ก็ถึงความนับว่า ไฟหญ้า ไฟอาศัยโคมัยติดขึ้น ก็ถึงความนับว่าไฟโคมัย ไฟอาศัยแกลบติดขึ้น
    ก็ถึงความนับว่า ไฟแกลบ ไฟอาศัยหยากเยื่อติดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ไฟหยากเยื่อ ฉันใด ดูกร-
    *ภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล วิญญาณอาศัยปัจจัยใดๆ เกิดขึ้น ก็ถึงความนับด้วยปัจจัยนั้นๆ
    วิญญาณอาศัยจักษุและรูปทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า จักษุวิญญาณ วิญญาณอาศัยโสตและ
    เสียงทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า โสตวิญญาณ วิญญาณอาศัยฆานะและกลิ่นทั้งหลายเกิดขึ้น
    ก็ถึงความนับว่า ฆานวิญญาณ วิญญาณอาศัยชิวหาและรสทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า
    ชิวหาวิญญาณ วิญญาณอาศัยกายและโผฏฐัพพะทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า กายวิญญาณ
    วิญญาณอาศัยมนะและธรรมารมณ์ทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า มโนวิญญาณ.
    [๔๔๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายย่อมเห็นขันธปัญจกที่เกิดแล้วหรือไม่?
    ภ. เห็นพระพุทธเจ้าข้า.
    พ. เธอทั้งหลายย่อมเห็นว่า ขันธปัญจกนั้นเกิดเพราะอาหารหรือ?
    ภ. เห็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
    พ. เธอทั้งหลายย่อมเห็นว่า ขันธปัญจกนั้นมีความดับเป็นธรรมดา เพราะความดับแห่ง
    อาหารนั้นหรือ?
    ภ. เห็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
    พ. ความสงสัยย่อมเกิดขึ้น เพราะความเคลือบแคลงว่า ขันธปัญจกนี้ มีหรือหนอ?
    ภ. เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
    พ. ความสงสัยย่อมเกิดขึ้น เพราะความเคลือบแคลงว่า ขันธปัญจกเกิดเพราะอาหารนั้น
    หรือหนอ?
    ภ. เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
    พ. ความสงสัยย่อมเกิดขึ้น เพราะความเคลือบแคลงว่า ขันธปัญจกนั้น มีความดับเป็น
    ธรรมดา เพราะความดับแห่งอาหารนั้น หรือหนอ?
    ภ. เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
    พ. บุคคลเห็นอยู่ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า ขันธปัญจกนี้เกิดแล้ว ย่อมละ
    ความสงสัยที่เกิดขึ้นเสียได้หรือ?
    ภ. เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
    พ. บุคคลเห็นอยู่ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า ขันธปัญจกเกิดเพราะอาหารนั้น
    ย่อมละความสงสัยที่เกิดขึ้นเสียได้หรือ?
    ภ. เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
    พ. บุคคลเห็นอยู่ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า ขันธปัญจกนั้น มีความดับ
    เป็นธรรมดา เพราะความดับแห่งอาหารนั้น ย่อมละความสงสัยที่เกิดขึ้นเสียได้หรือ?
    ภ. เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
    พ. เธอทั้งหลายหมดความสงสัยในข้อว่า ขันธปัญจกนี้เกิดแล้ว แม้ดังนี้หรือ?
    ภ. เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
    พ. เธอทั้งหลายหมดความสงสัยในข้อว่า ขันธปัญจกเกิดเพราะอาหารนั้น แม้ดังนี้หรือ?
    ภ. เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
    พ. เธอทั้งหลายหมดความสงสัยในข้อว่า ขันธปัญจกนั้นมีความดับเป็นธรรมดา เพราะ
    ความดับแห่งอาหารนั้น แม้ดังนี้หรือ?
    ภ. เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
    พ. เธอทั้งหลายเห็นดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า ขันธปัญจกนี้เกิดแล้ว
    ดังนี้หรือ?
    ภ. เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
    พ. เธอทั้งหลายเห็นดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า ขันธปัญจกเกิด
    เพราะอาหารนั้น ดังนี้หรือ?
    ภ. เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
    พ. เธอทั้งหลายเห็นดีแล้วปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า ขันธปัญจกนั้น มีความ
    ดับเป็นธรรมดา เพราะความดับแห่งอาหารนั้น ดังนี้หรือ?
    ภ. เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
    พ. หากว่า เธอทั้งหลาย พึงติดอยู่ เพลินอยู่ ปรารถนาอยู่ ยึดถือเป็นของเราอยู่
    ซึ่งทิฏฐินี้อันบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างนี้ (ด้วยตัณหาและทิฏฐิ) เธอทั้งหลายพึงรู้ทั่วถึงธรรมที่เปรียบด้วย
    ทุ่น อันเราแสดงแล้ว เพื่อประโยชน์ในอันสลัดออกมิใช่แสดงแล้ว เพื่อประโยชน์ในอันถือไว้
    บ้างหรือหนอ?
    ภ. ข้อนี้ไม่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
    พ. หากว่า เธอทั้งหลาย ไม่ติดอยู่ ไม่เพลินอยู่ ไม่ปรารถนาอยู่ ไม่ยึดถือเป็นของเรา
    อยู่ ซึ่งทิฏฐิอันบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างนี้ เธอทั้งหลายพึงรู้ธรรมที่เปรียบด้วยทุ่นอันเราแสดงแล้ว
    เพื่อประโยชน์ในอันสลัดออก ไม่ใช่แสดงแล้ว เพื่อประโยชน์ในอันถือไว้ บ้างหรือหนอ?
    ภ. เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
    ปัจจัยแห่งความเกิด
    [๔๔๖] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาหาร ๔ อย่างเหล่านี้ เพื่อความ
    ตั้งอยู่แห่งเหล่าสัตว์ที่เกิดแล้วบ้าง เพื่อความอนุเคราะห์เหล่าสัตว์ที่แสวงหาภพที่เกิดบ้าง อาหาร
    ๔ อย่าง เป็นไฉน? อาหาร ๔ อย่าง คือ กวฬิงการาหาร อันหยาบ หรือละเอียด (เป็นที่ ๑)
    ผัสสาหารเป็นที่ ๒ มโนสัญเจตนาหารเป็นที่ ๓ วิญญาณาหารเป็นที่ ๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อาหาร
    ๔ อย่างเหล่านี้ มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นชาติ มีอะไรเป็นแดนเกิด? อาหาร
    ๔ เหล่านี้ มีตัณหาเป็นเหตุ มีตัณหาเป็นสมุทัย มีตัณหาเป็นชาติ มีตัณหาเป็นแดนเกิด. ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย ก็ตัณหานี้ มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นชาติ มีอะไรเป็นแดนเกิด?
    ตัณหา มีเวทนาเป็นเหตุ มีเวทนาเป็นสมุทัย มีเวทนาเป็นชาติ มีเวทนาเป็นแดนเกิด.
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เวทนานี้ มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นชาติ มีอะไร
    เป็นแดนเกิด? เวทนามีผัสสะเป็นเหตุ มีผัสสะเป็นสมุทัย มีผัสสะเป็นชาติ มีผัสสะเป็น
    แดนเกิด. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผัสสะนี้ มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นชาติ
    มีอะไรเป็นแดนเกิด? ผัสสะ มีสฬายตนะเป็นเหตุ มีสฬายตนะเป็นสมุทัย มีสฬายตนะเป็นชาติ
    มีสฬายตนะเป็นแดนเกิด. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สฬายตนะนี้มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย
    มีอะไรเป็นชาติ มีอะไรเป็นแดนเกิด? สฬายตนะมีนามรูปเป็นเหตุ มีนามรูปเป็นสมุทัย มีนาม
    รูปเป็นชาติ มีนามรูปเป็นแดนเกิด. ดูกรภิกษุทั้งหลาย นามรูปนี้มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไร
    เป็นสมุทัย มีอะไรเป็นชาติ มีอะไรเป็นแดนเกิด? นามรูป มีวิญญาณเป็นเหตุ มีวิญญาณ
    เป็นสมุทัย มีวิญญาณเป็นชาติ มีวิญญาณเป็นแดนเกิด. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็วิญญาณนี้ มีอะไร
    เป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นชาติ มีอะไรเป็นแดนเกิด? วิญญาณ มีสังขารเป็น
    เหตุ มีสังขารเป็นสมุทัย มีสังขารเป็นชาติ มีสังขารเป็นแดนเกิด. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สังขาร
    ทั้งหลายนี้ มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นชาติ มีอะไรเป็นแดนเกิด? สังขาร
    ทั้งหลาย มีอวิชชาเป็นเหตุ มีอวิชชาเป็นสมุทัย มีอวิชชาเป็นชาติ มีอวิชชาเป็นแดนเกิด.
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายมี เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย วิญญาณมี เพราะสังขารเป็นปัจจัย
    นามรูปมี เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย สฬายตนะมี เพราะนามรูปเป็นปัจจัย ผัสสะมี เพราะ
    สฬายตนะเป็นปัจจัย เวทนามี เพราะผัสสะเป็นปัจจัย ตัณหามี เพราะเวทนาเป็นปัจจัย
    อุปาทานมี เพราะตัณหาเป็นปัจจัย ภพมี เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ชาติมี เพราะภพเป็นปัจจัย
    ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสมี เพราะชาติเป็นปัจจัย ด้วยประการ
    ฉะนี้แล ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้อย่างนี้.



    �����ûԮ�������� �� - ����ص�ѹ��Ԯ�������� �
     
  13. a5g1aeka

    a5g1aeka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    728
    ค่าพลัง:
    +1,578
    เป็นเรื่องที่ดีมากครับ ใครสามารถนำไปฝึกได้โดยมีอ.ที่มีความรู้จริงอยู่ดูแลก็จะเป็นการดี เพราะวิชาเหล่านี้เปรียบเหมือนดาบสองคมหากใช้ในทางดีก็เป็นประโยชน์ตนและท่านหากใช้ในทางมิจฉาฯก็อันตรายอย่างยิ่ง มีหลวงตาแนะนำให้สวดมนต์แผ่เมตตาทุกเช้าค่ำ ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง อนุโมทนาสาธุๆๆครับ...
     
  14. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    เพื่อไม่ให้เกิดความขุ่นข้องในใจ สำหรับทุกท่าน ก็คิดว่าถ้าผู้ใดสนใจก็
    ไปหาหนังสือศึกษาต่อเพิ่มเติมได้ค่ะ เพราะข้าพเจ้าไม่ต้องการจะให้
    เป็นเรื่องผิดใจกันหรือกระทบกระทั่งกันภายในเว็บทำให้เกิดผลเสียในทุกด้าน
    เกิดเวรกรรมต่อกรรมทางกาย วาจา และใจ หากท่านใดคิดว่า ท่านเป็นผู้มีความ
    รู้มากมายขอให้เป็นผู้มีจิตเมตตาให้ความรู้กับผู้ปฏิบัติท่านอื่นในทางที่ถูกต้อง

    เป็นวิทยาทานช่วยส่งเสริมพระพุทธศาสนาอีกทางหนึ่ง ให้คนหันมาปฏิบัติ
    กันมากขึ้นและแนะนำการปฏิบัติที่ถูกต้อง เพื่อไขข้อสงสัยภายในจิตใจ
    และหันมาทดลองและปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ความจริง จากการปฏิบัติ
    อนึ่งข้าพเจ้าไม่ได้มีเจตนาสิ่งใดที่ไม่ดี และเป็นผู้หนึ่งทีปฏิบัติไปด้วย
    แล้วค้นหาความรู้เพิ่มเติมจากการปฏิบัติ และตำราของผู้มีความรู้ว่าเหตุใด
    จึงเป็นเช่นนั้น เพื่อแก้ข้อสงสัยในจิต และเมื่อมีคำถามจากบางท่านถามเข้ามา
    แต่ต้องการปฏิบัติแล้วเกิดความกลัว แต่มีจิตศรัทธาจึงช่วยแนะนำได้ในระดับ
    หนึ่งจึงนำความรู้มาได้อ่านมา นำมาให้ผู้ปฏิบัติที่เกิดความสงสัยหายข้อสงสัย
    และปฏิบัติได้ดีขึ้น มิหวังสิ่งใดในเว็บหรือในกระทู้เพียงอยากให้ความรู้สำหรับ
    ผู้ปฏิบัติมือใหม่ ที่ไม่มีใครให้คำแนะนำที่ถูกทาง จะได้ทราบถึงผลดีผลเสีย
    ที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติ ส่วนตัวข้าพเจ้าก็คงยังเขียนต่อไปเพื่อเก็บไว้
    สำหรับตัวเองและแจกจ่ายเป็นธรรมทาน หากมีผู้สนใจเรื่องของธรรมะ

    จึงกราบขออภัยทุกท่านหากได้ล่วงเกินผู้ใดก็ตาม
    เพราะข้าพเจ้าไม่อยากมีเวรกรรมติดตัวไป
    ทั้งในภพนี้และในภพหน้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2012
  15. เล็กชิ้นสด

    เล็กชิ้นสด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +178
    คุณ เจ้าของกระทู้ ผมไม่ได้ว่าอะไรคุณหรอก ขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้ไม่สบายใจ แค่แลกเปลื่ยนความคิดเห็น
    เสนอแนะ เท่านั้นแหละครับ จุดประสงค์ก็เพื่อแบ่งปัน ความรู้ ความคิดเห็น
    เรามาทางเดียวกัน เป้าหมายเดียวกัน คือฝั่ง เห็นอะไรผิดพลาด ก็บอกเตือนกัน ได้ อย่าไปคิดมาก ขอให้เจริญในธรรมครับ




    ผมติงที่เนื้อหาครับ ธรรมะปัจจุบันมีคนเอาไปขยายปรุงแต่งจนเลอเทอะ
    เอาอะตงตะตอมเข้าไปปนมั่วไปหมด พยามจะใช้วิทยาศาสตร์อธิบายพุทธศาสนาให้ได้
    ต่อให้วิทยาศาสตร์เจริญแค่ไหน ก็อธิบาย ไม่ได้หรอก คนละชั้นกันเลย เทียบกันไม่ได้

    ยิ่งอธิบายยืดยาว ยิ่งเป็นสัญญา อารมณ์ ปฏิบัติได้ยาก
    ไม่ต้องไปค้นหาตำรา อาจาย์ที่ไหน ๆ หรอก

    พระไตรปิฏก นี่แหละครับ
    ถ้าบอกว่า เข้าใจยาก ถูกต้อง เพราะ ต้องเข้าถึงครับ ไม่ใช่เข้าใจ แบบสัญญา
    อารมณ์

    ปัจจุบัน คนเข้าถึงธรรมยาก เพราะ สัญญาอารมณ์จากตำรา นี่แหละ
    พอเข้าสมาธิถึงจุดๆหนึ่ง เกิดปรากฏการณ์แปลก ๆ อะไรขึ้นมา ก็อดไม่ได้ทีจะไปเทียบเคียงกับตำรา ว่า นี่ ฌาน 1 2 3 4 วิตก วิจารณ์
    พอไปนึกปับ มันก็ถอนสิ ทำสมาธิหวัง ฌาน หวัง ฤทธิ์ ถอดด้ามถอดกาย

    ทำสมาธิ แบบไหน ก็จดจ่อแต่สิ่งนั้น
    อย่าไปคาดหมาย แล้วผลจะเกิด เอง

    โชคดีครับ
     
  16. thontho

    thontho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    398
    ค่าพลัง:
    +612
    วิญญาณที่ออกจากมนุษย์ธรรมดา เป็นกายหยาบ เปล่งรูปร่างให้เห็นแบบที่เราเห็นผี เปล่งไปแล้วต้องพักฟื้นระยะหนึ่ง จึงจะเปล่งใหม่ได้ แต่ผู้ที่เป็นพรหม เรียก กายทิพย์ มนุษย์จะเห็นได้ยากมาก เพราะละเอียดมาก ส่วนพระอรหันต์ละลายกายทิพย์แล้ว เหลือแต่จิตวิญญาณ เห็นได้ในสมาธิขั้นสูงเท่านั้น รายละเอียดไปหาอ่านจาก สำนักปู่สวรรค์ที่สมเด็จโตเทศน์ไว้ สุดยอด.....เพราะเข้าใจง่ายกว่ามนุษย์อธิบาย
     
  17. sarloasarlea

    sarloasarlea สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +16
    สนุกมากๆๆขอบคุณครับ
     
  18. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ขอให้อนิสงค์ผลบุญที่ข้าพเจ้ากระทำดี
    ในทุกด้านช่วยส่งผลให้ท่าน

    และครอบครัวประสพแต่ความสุขในทุกๆด้าน
    เจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ
    ธนสมบัติ พิพัฒน์สมบัติ นิพพานสมบัติ
    เจริญด้วยทางโลกและทางธรรมเทอญสาธุ
    ;aa27

     
  19. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ขอให้อนิสงค์ผลบุญที่ข้าพเจ้ากระทำดี
    ในทุกด้านช่วยส่งผลให้ท่าน

    และครอบครัวประสพแต่ความสุขในทุกๆด้าน
    เจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ
    ธนสมบัติ พิพัฒน์สมบัติ นิพพานสมบัติ
    เจริญด้วยทางโลกและทางธรรมเทอญสาธุ
    ;aa27

     
  20. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ขอให้อนิสงค์ผลบุญที่ข้าพเจ้ากระทำดี
    ในทุกด้านช่วยส่งผลให้ท่าน

    และครอบครัวประสพแต่ความสุขในทุกๆด้าน
    เจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ
    ธนสมบัติ พิพัฒน์สมบัติ นิพพานสมบัติ
    เจริญด้วยทางโลกและทางธรรมเทอญสาธุ
    ;aa27

     

แชร์หน้านี้

Loading...