ใครเคยเจอวิปัสสานูปกิเลศ แล้วผมคิดว่าตัวเองมันเลวแสนจะเลวจริงๆ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ballbeamboy2, 14 เมษายน 2012.

  1. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    วิปัสสนูปกิเลส - วิกิพีเดีย

    เข้าไปอ่านนะครับ เพื่อท่านเข้ามาอ่านเฉยๆ ว่าจะได้รู้นี่คืออะไร เพราะไม่แน่อนาคตท่านอาจจะเกิดแบบผม แต่มีทางป้องกันทันที แต่ผมป้องกันไม่ทันทีมารู้อีกทีก็อ่านมาแล้วดันเจอแล้วใช่เลย มันเป็นอย่างงี้จริงๆ (ขอยืนยันได้ว่าพระพุทธเจ้า ท่านรู้จริงๆ ท่านเก่งจริงสิ่งนี่ผมขอยอมรับนับถือแล้วท่านสอนให้ปุถุชนเป็นพระอรหันต์มาเยอะแล้ว สมกับคําว่า สัตถาเทวมนุสสานัง จริงๆ)

    กลับมานะครับ แต่ก่อนผมบอกไปว่าปราถนาพุทธภูมิตอนนี้ผมไม่เอาแล้ว ผมคิดว่าการปราถนาของผม บางครั้งแฝงไปด้วยกิเลศ เช่นคนอื่นจะได้เกรงกลัวเราจะได้มีลาภสักการะ แต่ผมไม่รู้ว่าพระโพธิสัตว์แท้จริงๆท่านมีความคิดแบบนี้ไหม ถ้ามีท่านจะทําอย่างไง ผมก็ไม่ทราบ แล้วตอนนั้นที่ผมอยากเป็นก็เพราะ เห็นพระพุทธองค์มีเมตตามหาศาล ไม่เคยโกรธใคร เลยอยากเป็นบ้าง แต่พระอรหันต์ท่านก็ไม่โกรธใคร มีเมตตาเหมือนกัน มานะทิฐิท่านก็ไม่มี เราเลยอยากเป็นแบบนั้นบ้าง กลับมานะครับ ตอนนี้ผมก็ขอเป็นสาวกภูมิดีกว่า บําเพ็ญไม่นานนักก็จะได้นิพพาน อย่างน้อยผมตั้งไว้ถ้าไม่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ชาตินี้ เราก็ขอในยุคพระพุทธเจ้าองค์อนาคต แล้วการเกิดจะไม่มีอีก จะเอาชีวิตเข้าแรก เพราะอาจารย์ที่จะสอนผมได้แน่นอนคิดว่าต้องสอนผมได้แน่ ก็ต้องพระพุทธเจ้า พระองค์เดียว เพราะท่านรู้กิเลศในตัวผมดีแน่นอน ท่านต้องรู้วิธีสอนแน่ๆ


    กลับมาคําถาม ผมจะละวิปัสสนูปกิเลศยังไงดีครับ


    แล้วบางครั้งผมก็เกิดความคิด ดื้อรั้น เพราะทะนงตัวว่า ต้องให้คนมาสนใจ แต่ผมก็เห็นความคิดนี้ ก็แก้แบบไม่รู้ใช้ได้ผลไหม คือไม่ต้องคุยกับใคร ไม่อยากบอก บอกไปกลัวว่าเค้าจะมาด่าเราว่า เรียกร้องความสนใจ ไรพวกนี้ เลยไม่บอกใครอยู่เฉย ตอนที่ผมเขียนอยู่เนี่ยก็มีความคิดว่าถ้าเขียนแบบนี้คนจะสรรเสริฐถ้าเขียนอีกแบบคนจะไม่สรรเสริฐ อาการแบบนี้ผมจะควรแก้ไงดีครับ


    แล้วขอถามครับ ในพุทธกาลมีหลายคนสรรเสริฐพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ผมอยากทราบว่า พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ท่านทํายังไงครับ ท่านถึงอุเบกขาได้








     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 เมษายน 2012
  2. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,105
    ค่าพลัง:
    +1,073
    พระโพธิสัตว์เมื่อบำเพ็ญบารมี จนมีญาณแก่กล้า อย่างน้อยก็ต้องได้ถึง "สังขารุเบกขาญาณ"
    (บางแห่ง เปรียบสภาวะนี้ ดัง "นกทิสากากะ")

    หากยิ่งด้วย "พระนิยตมหาโพธิสัตว์" สังขารุเบกขาญาณนี้ ต้องแก่รอบ จนจดอนุโลมญาณ โคตรภูญาณ

    ดังใน "อรรถกถา ฆฏิการสูตร" พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕ มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ - ได้กล่าวแปลไว้

    พระชาติหนึ่งที่เป็น โชติปาละมาณพ ในสมัยพระกัสสปะพุทธเจ้า (คือองค์ก่อน เป็นองค์ที่3 ในภัทรกัปป์นี้)
    {มีเพื่อนร่วมสหาย ในครั้งนั้น คือ "ฆฏิการะช่างหม้อ"
    ได้สำเร็จพระอนาคามี ในสมัยของพระกัสสปะพุทธเจ้า นั้นแล
    โดยได้เป็นผู้ชักชวน โชติปาละมาณพ เข้าไปเฝ้าพระกัสสปะพุทธเจ้า
    หลังจากนั้นโชติปาละมาณพ ก็ได้ออกบวช
    ดังแสดงไว้ใน "ฆฏิการสูตร"

    พอมาในสมัยที่พระมหาโพธิสัตว์ในชาติสุดท้าย (คือ เจ้าชายสิทธัตถะ ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ พระโคตมพุทธเจ้า)
    มีพรหมท่านหนึ่ง นามว่า "ท้าวฆฏิการพรหม" ซึ่งก็คือ "ฆฏิการะช่างหม้อ เพื่อนร่วมสหาย โชติปาละมาณพ มหาโพธิสัตว์" ในครั้งนั้น
    ท้าวฆฏิการพรหม ได้นำอัฏฐบริขารมาพร้อม จะถวายพระมหาโพธิสัตว์เจ้าชายสิทธัตถะ
    ครั้นเมื่อพระมหาโพธิสัตว์ ออกมหาภิเนษกรมณ์ ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา ทรงเปลื้องฉลองพระองค์และผ้าโพกพระเศียร
    โยนขึ้นไปในอากาศนั้น ท้าวฆฏิการพรหม ก็ได้รับไว้ แล้วถวายพระอัฏฐบริขารแก่พระมหาโพธิสัตว์
    และรับฉลองพระองค์และผ้าโพกพระเศียรไปประดิษฐานไว้ใน ทุสสเจดีย์ ที่เนรมิตสร้างไว้ในชั้นอกนิฏฐภพ}

    มาที่ ในอรรถกถา "ฆฏิการสูตร" พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕ มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์

    แปลไว้ว่า :
    และใน "อรรถกถาสัมมาสัมพุทธบุคคล" กล่าวไว้ว่า :
    ทีนี้พระโพธิสัตว์ ที่จะลาพุทธภูมิ เข้าใจว่าคงจะไปลาในสภาวะ "สังขารุเปกขาญาณ" นั่นล่ะ

    ในญาณ16 ผู้ได้ญาณ2 (นามรูปปัจจัยปริคคหญาณ) เรียกว่า "จูฬโสดาบัน" เป็นกำลังใจในการปฏิบัติต่อไป

    ใน วิสุทธิมรรค ภาค ๓ กล่าวไว้ว่า เอามาตัดแปะให้ดู

    "วิปัสนูปกิเลส" จะเกิดในช่วงของ "อุทยัพพยญาณ" คือ ญาณที่4 ของญาณ16

    พอเข้าถึง "อนุโลมญาณ" สภาวะของญาณนี้ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "สัจจานุโลมิกญาณ"

    เข้าใจว่าตาม ประวัติหลวงปู่มั่น เขียนโดยหลวงพ่อวิริยังค์ กล่าวไว้ว่าหลวงปู่มั่น "ท่านได้พิจารณา อนุโลมิกญาณ" ที่ถ้ำสาริกา จ.นครนายก (ซึ่งท่านได้มรรคผล ขั้นใดขั้นหนึ่ง ก่อนหน้านี้แล้ว และก่อนนั้นท่านเคยได้ปรารถนาพุทธภูมิ แต่ได้ลา เพื่อเข้าถึงมรรคผลนิพพาน)

    ฉะนั้น โดยส่วนตน เข้าใจว่า หากเทียบในญาณ3 ญาณในอริยสัจจ์
    ท่านกำลังพิจารณาด้วยกำลังแห่งวิปัสสนาญาณ เพื่อจะปหานกิเลสอีกขั้นหนึ่ง
    เป็น กตญาณ ญาณโลกุตตระภูมิ ในมรรค ผล อีกขั้นหนึ่ง ณ ถ้ำสาริกา

    ทีนี้ อนุโลมญาณ คือญานทวนไล่ลำดับ แห่งวิปัสสนาญาณทั้ง9 คือ ตั้งแต่อุทยัพพยญาณ ถึง สังขารุเบกขาญาณ นั่นกระมัง

    หมายเหตุ เป็นความเข้าใจโดยส่วนตน ตามตำราคร่าวๆ ผิดพลาดอย่างไร ผู้รู้ช่วยชี้แนะต่อไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 เมษายน 2012
  3. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +4,065
    คุณ จขกท. คุณต้องพูดความจริงก่อน ความรู้คุณมันมาก ..คุณอายุเท่าใดแน่ครับ:mad::'(
     
  4. Thanks-Epi

    Thanks-Epi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    985
    ค่าพลัง:
    +2,951
    ถ้าเราก็ คิดให้รู้ว่า คิด

    ถ้าคิดถูกก็คิดต่อ ถ้าคิดผิดก็หยุดคิด ยังไม่รู้ว่าคิดผิด ก็รู้ตัวว่าเกิดความคิด

    อ้อลองถามพระสายปฎิบัติดูว่าท่านให้ความอย่างไร เมื่อก่อน เราคิด(กิเลส)เพียบเลย เลยแทบไม่เคยเข้ามุมนี้เลย เพราะญาติธรรมบอก่า ให้ไปปรึกษาพระจะดีกว่ามานั่งคิด

    แต่ถามพระมากไป(แบบเรา) ก็ดันเกิดกิเลสขึ้นมาอีก ต้องค่อยๆหยุดคิด :'( ถอยหลังเข้าคลองไปแล้วจ้าาาาาาาาา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 เมษายน 2012
  5. fon-dekwat

    fon-dekwat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    823
    ค่าพลัง:
    +1,285
    รู้สึกว่าเจ้าของกระทู้จะสงสัยมากมายจริงๆ ลองปฏิบัติให้มากๆ ให้จริงให้จัง นะครับ จะได้ไม่มานั่งสงสัย ทำให้เป็นเอง เห็นเอง สงสัยก็ให้ดูความสงสัย การศึกษามากไป มันก็สงสัยมาก เพราะไม่รู้ของจริง ความพ้นทุกข์ต้องวิปัสนา ไม่ใช่วิปัสนึก นึกๆคิดๆมันไม่พ้น มันมีแต่จะหลง ไม่ใช่เข้าใจรู้ด้วยนึกคิดเอา แต่ต้องทำให้เห็นจริง อะไรก็ตามก็ต้องบอกตัวเองไว้ ปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ ละกิเลส ที่ว่าวิปัสนู มันก็หลายอย่าง ไม่ทราบว่าเจ้าของกระทู้ เจอแบบไหน แต่ก็นะ เจอแบบไหนมันก็ยังไม่ใช่ของจริงอยู่ดี ต้องน้อมพิจารณาลงสู่ไตรลักษณ์ บางท่านเห็นนิมิต โอภาสแสงสีต่างๆ ก็คิดว่าตนดี ตนได้ความวิเศษ เกิดเป็นมานะิทิฐิขึ้น อัตตาตัวตนสูง กูดี กูได้ กูวิเศษ ใครจะสอนบอกกล่าวก็ไม่เชื่อ ไม่ลงง่ายๆจนกว่าจะทำความเข้าใจในสิ่งๆนั้นให้ชัดแจ้งว่ายังไม่ใช่ของจริง มิเช่นนั้นก็เป็นมิจฉาสมาธิไป วิปัสนึกไม่พ้นทุกข์ แต่วิปัสนาพาพ้นทุกข์ได้ ปฏิบัติเท่านั้นจะเห็นของจริง มิใช่ทำความเข้าใจเพียงนึกคิดเท่านั้น
     
  6. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ตามที่พี่หม้อหุงข้าวพูดมา ผมก็ไม่แน่ใจว่า ผมปราถนาพระโพธิสัตว์จริงๆรึเปล่า เพราะอ่านเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ตอนเป็นพระโพธิสัตว์ท่านก็มีความดี ไม่ถือตน แล้วสามารถช่วยผู้อืนไปแดนพระนิพพานแล้วตัวเองไปทีหลังได้ แต่ผมก็อยากช่วยคนอื่นไปแดนพระนิพพาน แต่เอาไปสัก 2-3 คนก็พอคิดว่ากําลังผมได้แค่นี้ แต่ตอนนี้ผมก็ต้องช่วยตัวเองก่อน

    15ครับ ตอนที่เจอปิติสุขตอน 14 ตอนนั้นผมคิดว่าผมต้องบรรลุแล้วแน่ๆ เหตุที่คิดอย่างงั้นเพราะตอนนั้นผมศึกษามาน้อย ไม่ได้ศึกษาเลยก็ว่าได้ภาวนาพุทโธ ดูลมหายใจ อ่าครับ

    ครับขอบคุณครับ แต่บางครั้งผมลองตรวจดูว่าคิดอะไรไหม มันมักเกิดความคิดเลวขึ้นมา ผมไปคิดกับมันรึเปล่าก็ไม่รู้ คือรู้ความคิดแต่ไม่ได้พูดในใจเหมือน มโนภาพ แล้วไม่พูดว่าภาพน้ำทํายังไง
     
  7. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,806
    ค่าพลัง:
    +7,940
    ไม่ต้องกลัวว่า จะปราถนาโพธิสัตว์หรอก มันชัดอยู่แล้วว่า ไม่ใช่

    ชัดตรงไหน ชัดตรง จิตปรามาสนั่นแหละ กล่าวคือ

    การสัมผัสวัตถุนั้นมันมีสองวิธี

    วิธีที่หนึ่งคือ จับตรงๆ จับไว้อย่างดี คนที่จับไว้อย่างดีจะไม่มีทางหลงลืมว่าจับวัตถุนั้นอยู่

    วิธ๊ที่สองคือ ผลักมันไว้ เพราะเกลียดเข้าไส้แต่ก็อยากเป็นแบบนั้น จับแบบนี้ มันจะจับ
    แบบผลักไส เหมือนเป็นอยู่ตลอดเวลา เหมือนสัมผัสอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
    ในสิ่งที่จับอยู่ เพราะว่าเข้าไม่ถึง ยิ่งเข้าไม่ถึงก็ยิ่งอยากจับ แต่ก็ทำให้ยิ่งเกลียด ยิ่งผลัก

    *******************

    ทีนี้ ไม่ว่าจะจับแบบไหน มันไม่ใช่ปัญหาในการ เห็นธรรม เพียงแต่ ย้อนมาดูตนเนืองๆ

    ยอมรับในสิ่งที่เป็นเป็นอย่างเป็นกลาง อย่างมีจิตอุเบกขา ซึ่ง ไม่ใช่ อุเบกขาแบบฌาณ

    แต่เป็น อุเกบขาเพราะปัญญา เพราะความเข้าใจ ยอมรับ ไม่ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น
    ในสิ่งที่ตนเป็น ไม่ว่ามันจะเป็นเช่นไร เพราะ มันออกมาจากจิต หากกุมจิตนั้นได้ เห็นจิต
    ว่าไม่ใช่เราได้ อยู่เหนือจิต บัญชาจิต แต่ก็ไม่หลงไหลในพลังของจิตที่สามารถทำนู้น
    นั่นนี่ได้ คือ สามารถเห็นจิตไม่ใช่เรา และ ยังเห็นจิตไม่ใช่ของๆเราได้ เบ็ดเสร็จเด็ดขาด
    เป็น กลาง เพราะเข้าใจด้วยปัญญา ก็แค่นี้เอง สังขารุเบกขาญาณ

    ส่วนอนุโลมญาณก็คือ คล้อยตาม ตามที่เราเป็น ตรงนี้สำคัญนะ จะต้อง คล้อยตามด้วย
    ปัญญา ไม่ใช่คล้อยตามด้วยอำนาจที่จิตมันอยู่เหนือเรา คือ ไปหลงว่าจิตเป็นเรา หรือเห็น
    จิตเป็นของๆเรา หาก คล้อยตามด้วย ปัญญาญาณได้ เขาเรียก อนุโลม ซึ่งหากวางจิต
    แบบนั้นได้ก็จะข้ามโคตรทันที สำรับสาวกภูมิ

    ดังนั้น เห็นสภาวะธรรมของตน สิ่งที่รุมเร้าตน ชักนำตนให้เป็นมาแสนกัปแสนกัลป์ให้มี
    พฤติกรรม หรือที่เรียกว่า ธาตุ ตามที่เธอได้สำรวจตนเข้ามาเห็นตามความเป็นจริงแล้ว
    ก็ต้องไม่ ยินดี และ ไม่ยินร้าย อีกทั้ง ต้องไม่แสร้งใช้อัตวาทุปาทานทำว่า ข้าเฉยๆ
    (อุเบกขาแบบฌาณโง่ๆ )

    ความยินดี ยินร้าย ทำเฉยๆ เหล่านั้น คือ เวทนารุมเร้า

    เวลาเธอเห็นพฤติกรรมเลวของเธอ อย่า ยินร้าย อย่ายินดี อย่าแสร้งทำเฉย ให้ยกเห็น
    อาการ ยินดี ยินร้าย แสร้งทำเฉยเหล่านี้ว่า เป็น เวทนาในเวทนา ตามเห็นความไม่
    เที่ยงของ อาการยินดี ยินร้าย แสร้งทำเฉยเหล่านี้เนืองๆ ก็จะ สลัดคืนจิตที่เราเผลอหลง
    ว่าเป็นเราออกไปได้ เมื่อนั้น จิตจะข้ามพ้น เมื่อรู้ว่าพ้น ก็จะรู้ว่า พ้นแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 เมษายน 2012
  8. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,105
    ค่าพลัง:
    +1,073
    สิ่งนั้นหากเข้าใจ เค้ามีธรรมเนียมกันอยู่

    แต่ไม่ใช่ทำเนียนนะ แต่จะเข้าใจด้วยอะไรล่ะ เอ้อ!! คนๆนั้น

    แต่ดีแล้ว ช่วยตนเองไปก่อน สู้ว้อย!! :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 เมษายน 2012
  9. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    277
    ค่าพลัง:
    +1,459
    ก็ไม่ต้องเขียนครับ
    รู้ว่ากิเลสบงการให้เขียนก็อย่าเขียนฝืนกิเลสมันไปครับ
    เมื่อไม่เขียนซะแล้ว
    เหตุที่จะทำให้คิดให้กังวลว่าจะมีคนสรรเสริญหรือไม่ก็ดับ
    เหตุคือการเขียน ไม่เขียนก็คือดับที่เหตุครับ
    เมื่อไม่มีเหตุ...ผลที่จะกังวลว่ามีใครสรรเสริญหรือไม่ก็ดับครับ
     
  10. Thanks-Epi

    Thanks-Epi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    985
    ค่าพลัง:
    +2,951
    ผิดถูกขอขมาและอโหสิกรรม/และขอคำแนะด้วยค่ะ

    แรกๆ อาการเราก็เหมือนน้องนั่นล่ะ สงสัย

    คำตอบจากญาติธรรมคือ สงสัยให้รู้ว่าสงสัย (แล้วเราทำหน้ามุ่ย) ...ญาติธรรมเสริมต่อ นั้นไง สงสัยจริงๆ "ปฎิบัติไปแล้วจะหายสงสัย" ไม่ต้องมานั่งคิด


    จากที่อ่าน คือคุณไม่ได้พูดว่า เห็นภาพน้ำ (ใช่หรือเปล่า )คือรู้ตัวว่า เห็นภาพก็พอ และความคิดจะค่อยๆ เบาลง ช้าลง เปรียบเหมือน ความคิดถูกตัดเป็นท่อนๆนะค่ะ เกิดความชะงัก ในความคิดขึ้นมา (แน่นอน ความคิดคนเราม้นไม่ได้หยุดกันง่ายๆ)

    คือเป็นการเพ่งไกล เหมือนเรานั่งบนอัฒจรรย์ เห็นฟุตบอล แล้วไม่ต้องบอก เพียงแค่มองเฉยๆ รู้ว่าฟุุตบอลจะไปทางไหน แต่เราไม่พูดไม่เชียร์

    อ้อ เรายังทำไม่ได้หรอกนะ เพราะมัวแต่นั่งคิด ก็ให้รู้ตัวว่าคิด

    แนะนำถามพระค่ะ อย่ามานั่งคิด

    สำหรับเรา จมน้ำไปแล้วอะ เพราะไปนั่งคิดอยากให้ได้/ ให้เป็น อย่างพระท่านสอน แค่คิดอยากได้อยากเป็นอยากปฎิบัติ ก็ผิดแล้ว ถอยกลับไปกว่าตอนที่ยังไม่ปฎิบัติเสียอีก

    เคยคิดเสียดาย ก็ต้องหยุดคิด

    บายๆ ไปละค่ะ เพราะตัวเองยังเอาไม่รอดเลยอะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...