@: เมก้าสึนามิ & ปริศนาแอตแลนติสล่ม..? :@

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย Aqua-ma-rine, 12 เมษายน 2012.

  1. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    แอตแลนติสดินแดนพิศวง by Dr.key

    www.mythland.org/v3/thread-95-1-1.html

    [​IMG]
    อาจจะมีพวกเราหลายคนที่ยังไม่ทราบว่า โลกเรานี้เคยมีอารยธรรมที่รุ่งเรืองยิ่งใหญ่ดำรงอยู่ เมื่อหลายหมื่นปีก่อนและเป็นอารยธรรมแรกสุดของมุนษย์ ทีเป็นบ่อเกิดของอารยธรรมรุ่นหลังๆ ที่พวกเรารู้จักกันดี

    แต่อารยธรรมที่ยิ่งใหญ่แห่งแรกของโลกใบนี้หรือ ดินแอนแอตแลนติส แห่งนี้กลับต้องล่มสลายจมหายไปใต้ มหาสมุทรภายในวันเดียวคืนเดียวเท่านั้น อันเกิดจากภัยธรรมชาติที่มาจากแผ่นดินไหว ภูเขาไประเบิด และลมพายุไต้ฝุ่น ( น้ำท่วม) ที่เกิดขึ้นพร้อมๆกัน
    [​IMG]

    เรื่องราวของแอตแลนติส ได้ถูกทำให้แพร่หลายสู่วงกว้าง ตั้งแต่เมื่อสองพันกว่าปีก่อนก็เพราะพลาโตนักปราชญ์ ชาวกรีกได้บันทึกเอาไว้ โดยพลาโตได้ทราบเรื่องราวของ แอตแลนติสมาจากครีเทอัส ผู้เป็นลุงของพลาโต อีกทีหนึ่ง

    ครีเอทัส ได้เล่าเรื่องราวอันแปลกแต่จริงให้พลาโตฟัง เกี่ยวกับการเกินทางของโซลอน นักปราชญ์และพ่อค้านักผจญภัย ชาวเอเธนส์ ซึ่งได้เคยเดินทางไปอียิปต์มาแล้ว เมื่อปี 571 ก่อนคริสต์กาล

    และที่อียิปต์นี้เอง ที่โซลอนได้รับรู้ เรื่องราวอันแสนประหลาดจากนักบวชแห่งเมืองซาอิส แถบบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์อีกทีว่า เมื่อประมาณ 2-3 หมื่นปีมาแล้วมีเกาะถวีปแห่งหนึ่ง ถัดจาก เสาค้ำฟ้าของเฮอร์คิวลิส (ชื่อของช่องแคบยิบรอลต้าในปัจจุบัน)

    เกาะแห่งนี้มีชื่อว่าแอตแลนติส เป็นศูนย์กลางแห่งอาณาจักร อันยิ่งใหญ่และรุ่งเรืองซึ่งเต็มไปด้วยประชาชน ผู้มั่งคั่งและมีอารยธรรมอันสูงส่ง ทั้งเมืองเต็มไปด้วย ทองคำเหลืองอร่าม เกาะแอตแลนติสสามารถติดต่อ กับแผ่นดินอื่นๆได้ทางเรือ

    ด้วยอานุภาพของกองทัพเรือ อันยิ่งใหญ่ ทำให้อาณาจักรนี้สามารถขยายอำนาจ และอิทธิพลแผ่ขยายไปจนถึงลิเบีย อาณาเขตตอนเหนือ ของอียิปต์และไกลออกไปถึงยุโรปจรดกับกับ ดินแดนเทอรีเนีย (ตอนเหนือของอิตาลี่ในปัจจุบัน)

    แต่แล้วจู่ๆ อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่นี้ก็กลับจมหายไปใต้ พื้นทะเลลึกเพียงชั่ววันและคืนเดียวเท่านั้น โดยมีสาเหตุ มาจากการเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดและอุทกภัย ครั้งใหญ่ที่สุดในโลกทำให้กลุ่มชนชาติแอตแลนติส ถูกกลืนชีวิตไปจนเกือบหมดสิ้น กล่าวกันว่าชาวแอตแลนติสจำนวนน้อยที่สามารถ รอดชีวิตจากภัยพิบัติไปได้อย่างหวุดหวิด

    และได้อพยบ ไปอยู่ที่อื่นส่วนที่มุ่งสู่ ดินแดนตะวันตก กลายมาเป็น บรรพบุรุษของพวกอินเดียน ชาวอินคา และชาวมายา เป็นต้น ส่วนที่มุ่งสู่ดินแดนทิศตะวันออกก็กลายมา เป็นบรรพบุรุษของมนุษย์เผ่าโครมันยองซึ่งมีร่างกาย สูงใหญ่ บึกบึน กระดูกข้อมือข้อเท้าใหญ่ มีกล้ามเนื้อ แข็งแรงทุกประการ

    มิหนำซ้ำ คนเหล่านี้ที่ต่างเคยอาศัย อยู่คนละฟากฟ้า แต่ต่างก็มีตำนานเล่าสืบต่อกันมา เหมือนๆกันว่าเคยมีดินแดนแห่งหนึ่ง ทีเจริญรุ่งเรืองมาก ต่อมาเกิดภัยธรรมชาติทำลายจนย่อยยับ

    นอกจากนี้ ยังเป็นที่น่าสังเกตว่าชนชาติต่างๆ มักมีตำนานเกี่ยวกับน้ำท่วม เหมือนๆกัน และส่วนใหญ่ มักจะเล่าคล้ายๆกันว่ามีผู้รอดชีวิตเป็นผู้เริ่มต้นออกไป แยกย้ายสร้างอาณาจักรใหม่แทนเดิมที่ถูกทำลายไป ชาวแอตแลนติสเดี๋ยวนี้ก็มาเกิดกันเป็นพวก นักวิทยาศาสตร์ที่วิวัฒาการสมัยใหม่ ที่เขาเกิดขึ้นใหม่นี้เขาก็ยังมี ความทรงจำในอดีตอันไกลโพ้นอยู่ ..ในแอตแลนติสสมัยนั้นมี ความเจริญรุ่งเรืองไม่แพ้กับสมัยปัจจุบันนี้

    แต่ว่าวิวัฒนาการ ของมนุษย์นี่เมื่อมาถึงจุดสุดยอดก็เอาวิวัฒนาการมาทำลายกัน เมื่อวิวัฒนาการถูกทำลาย ความสูงของมนุษย์ก็ดับลงไป วิวัฒนาการสูงสุดของมนุษย์คือการได้ค้นพบเรื่องแสง เมื่อค้นพบก็นำมาทำลายกัน แสงนี้เป็นต้นกำเนิดของวัตถุ ร่างกายเราก็ดีหรือวัตถุในโบก มันกำเนิดมาจากแส้งทั้งสิ้น

    ถ้าเมื่อใดมนุษย์นี้สามารถไปรู้ความจริงขอนี้ในเรื่องแสง ก็จะนำมาทำลาย มนุษย์มีความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็เลยเอาตัวโทสะมาทำลายกัน เมื่อทำลายแล้ว ความเสื่อม ก็จะเกิดขึ้น

    อย่างที่เกิดขึ้นในสมัยแอตแลนติสนั้น ตอนนั้นมนุษย์ก็มีความก้าวหน้า ทางวิวัฒนาการมากจนสามารถคิดค้นเรื่องแสงได้แล้ว ทีนี้ตอนแรกก็ใช้แสงให้เกิดประโยชน์ แต่พอนานๆเข้า ก็มี ชาวแอตแลนติสบางกลุ่มนำมาใช้เป็นอาวุธ ในขณะเดียวกัน ก็มีอีกกลุ่มหนึ่งที่ศึกษาเรื่องจิตวิญญาณจนรู้เรื่องอนาคตที่จะเกิด

    พอถึงเวลาพลบค่ำ หายนะของเกาะแอตแลนติสก็เกิดขึ้น พวกเขาเอาแสงไปทำลายกันเอง เสร็จแล้วก็เกิดแผ่นดินไหวแยก แล้วภูเขาไฟก็ระเบิด อะไรต่างๆก็จมน้ำไป

    [​IMG]

    พวกแอตแลนติสส่วนใหญ่ เสียชีวิตหมดตอนที่เกาะจมน้ำ และวิวัฒนาการต่างๆก็พลอยล่มสลายไปด้วย พวกที่รอดออกไป ส่วนมากก็ไม่ได้เอาอะไรออกมา แต่ความรู้พวกเขามีก็เอามาสร้าง พีระมิดบ้าง สฟิงค์บ้าง แต่ชาวแอตแลนติสที่ออกมาส่วนใหญ่ จะศึกษาเรื่องจิต เมื่อเขาออกมาลูกหลานพวกเขาไปแต่งงาน กับคนพื้นเมือง ความรู้ศาสตร์เกี่ยวกับทางจิตวิญญาณของพวกเขา นี่ก็ลดต่ำจนกลายเป็นเหมือนมนุษย์ธรรมดา แต่ยังมีเหลือนิดๆหน่อยๆ

    ประเด็นที่เกี่ยวกับสาเหตุและสภาพการณ์ในขณะที่เกาะ แอตแลนติสล่มสลายนั้น ได้พบคำอธิบาย 2 อย่างด้วยกัน อย่างแรก เป็นคำอธิบายของมนุษย์ต่างดาวที่ชื่อ เซ็มยาเซ ซึ่งได้ถ่ายทอดเรื่องนี้ให้แก่ผู้ติดต่อชาวโลกที่ชื่อ ไมเยอร์ อย่างที่สองเป็นคำอธิบายของ แฟรงค์ อัลเปอร์ ผู้รักษาโรค ด้วยพลังจิตและเป็น คนทรงเจ้า

    ผู้อ่านอย่าเพิ่งปฏิเสธว่า เป็นเรื่องเหลวไหล ที่ต้องพึ่งแหล่งข้อมูล จากมนุษย์ต่างดาวกับคนทรงเจ้า เพราะเรากำลังพูดถึงเรื่องราว ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายหมื่นปีก่อน โดยไม่มีหลักฐานทีเป็นเอกสารใดๆ หลงเหลือจะเริ่มจากคำอธิบายของมนุษย์ต่างดาวที่ชื่อว่า

    เซ็มยาเซ มาจากกลุ่มดาวเพลอาเดียสและเป็นสตรีเพศ เธอมาเยือน ไมเยอร์ ครั้งแรกในวันที่ 28 มกราคม 1975 นับเป็นมนุษย์ต่างดาว คนที่ 3 ที่มาติดต่อกับไมเยอร์ คนแรกชื่อ สุฟาตะ แอสเกต และ เซ็มยาเซ ไมเยอร์ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวผู้นี้ราวๆ 200 ครั้ง มีถึง 115 ครั้ง ที่มีการบันทึกสนทนาไว้ เซ็มยาเซได้เล่าเรื่องของแอตแลนติสให้ไมเยอร์ฟังว่า

    เมื่อสี่หมื่นปีที่แล้ว พวกลูกหลานของมนุษย์ต่างดาว (แต่คนโบราณเข้าใจผิดไปเรียกว่า เทพเจ้า) ได้กลับมาเยือน โลกและปกครองโลกในนาม เทพเจ้า อีกครั้ง นามของผู้ปรกครองคือ แอตแลนโตภรรยาของผู้ปกครองคือ คาเรียทีด

    บิดาของนางชื่อ มูราส แอตแลนโตได้สร้างเมืองแอตแลนติสขึ้นที่เกาะแอตแลนติส ใหญ่ขณะที่มูราสได้สร้างเมืองมูขึ้นมาที่แอตแลนติสเล็ก เมืองแอตแลนติสเล็ก และมู เป็นมหานครที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด จนกระทั่งมีนักวิทยาศาสตร์ 2-3 คน ที่จะตกเป็นทาส ของกิเลสบ้าอำนาจจึงคิดการใหญ่

    แต่ชาวเมืองทั้งสองนคร ไม่ยอม ลุกขึ้นต่อต้านนักวิทยาศาสตร์พวกนั้นให้จำต้องลี้ภัยไป อยู่นอกสุริยะพวกนักวิทยาศาสตร์หลบไปอยู่ที่นอกระบบสุริยะ จักรวาลประมาณ สองพันปี ได้พัฒนาเทคโนโลยีล้ำยุค

    จนมีความมั่นใจว่าจะมาบุกโลกแก้แค้นได้สำเร็จ แล้วก็ได้สงพวกตนภายในการนำของ เอาลาส จำนวนสองร้อยคนนั่งยานอวกาศ มายึดครองพื้นที่แถบฟลอริดา เอาลาส ผู้นี้แหละ ทีเป็นผู้ยุแหย่ให้ชาวเมืองแอตแลนติสกับชาวเมืองมู บาดหมางกัน จนกระทั่งเกิดเป็นสงครามครั้งใหญ่ที่สุด


    [​IMG]

    ที่ตั้งของนครมู อยู่ตรงมะเลทรายโกบี ที่ตั้งของแอคแลนติสเป็น เกาะใหญ่อยู่ระหว่างทวีปอเมริกา กับ แอฟริกา กำลังรบของทั้งสอง ฝ่ายก็ยิ่งใหญ่พอๆกัน และก็มีเทคโนโลยีขั้นสุดยอมเหมือนกัน กองทัพแอตแลนติสมีกำลังทหารสี่ล้านแปดแสนคน มียานอาวุธ ติดอาวุธ มีเรือรบประจัญบาน หนึ่งแสนสองหมื่นสามพันลำกับเรือเร็วติดอาวุธแสงอีก

    ดังนั้นพวกนักวิทยาศาสตร์ของฝ่ายมู จึงคิดค้นเทคโนโลยิ ที่จะนำเอาดาวพระเคราะห์ดวงเล็กๆ มาทำให้เป็นเหมือนกระสุน โดยพวกเขาได้นั่งยานอวกาศออกไปจนเลยวงโคจรของดาวอังคาร เพื่อเสาะแสวงหาดาวพระเคราะห์ดวงเล็กๆ ที่เหมาะสม

    ในที่สุด พวกเขาก็พบดาวเล็กๆ ดวงหนึ่งซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลาง หลายกิโลเมตรพวกเขาได้ใช้พลังงานจากอะตอมและอิเล็กทรอนิกส์ ผลักดันให้ดาวเล็กๆดวงนั้น หลุดจากโคจรเดิม และเคลื่อนย้าย เข้ามาสู่วงโคจรของโลก การหมุนรอบตัวเองของดาวดวงนี้ ถูกทำให้หยุดชะงัก และพวกมูได้นำเอาเครื่องมือขนาดยักษ์เข้าไปติด

    ทำให้ดาวดวงนี้กลายเป็นกระสุนปืนใหญ่จักรวาลที่สามารถบังคับ ให้ขับเคลื่อนได้โดยคลื่นซูเปอร์โซนิค พวกมูสร้างอาวุธนี้ ช้าไปก่อนหน้านั้น กองทัพแอตแลนติสได้ยกพลเข้ามาถล่มนครมู จนพินาศย่อยยับ แต่ตอนนั้นเครื่องยนต์กระสุนปืนใหญ่ได้งานแล้ว ชาวแอตแลนติสนึกว่าชนะสงคราม ก็หลงระเริงอยู่ในชัยชนะของตน กระสุนปืนใหญ่ก็ระเบิดกลางเวหา ในตำแหน่งสูง 172 KM จากดิน

    ส่วนหนึ่งกลายเป็นลูกอุกกาบาต ตกลงมาถล่มแอตแลนติสจนย่อยยับ ส่วนดาวเล้กๆที่เหลืออีกสองในสามตกลงบนทะเลทะลุพื้นโลก ทำให้เกิดความร้อนใต้พื้นโลกที่เป็นแมกมาพุ่งทะลักออกมา ขณะเดียวกันก็เกิดเป็นคลื่นทะเลยักษ์สูงถึงสองพันสามร้อยเมตร และกลืนนครแอตแลนติสจมลงใต้ทะเลในที่สุด


    [​IMG]

    คำอธิบายของบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับโลก อย่าง แฟรงค์ อัลเปอร์นั้น ไม่ค่อยเน้นเรื่องสาเหตุและ สภาพการณ์ในขณะล่มสลายของเมืองแอตแลนติสเท่าไรนัก

    คำบอกเล่าจากชาวแอตแลนติสที่ชื่อ สโตเลนส์ที่มาเข้าทรง เราจะเริ่มจากเรื่องราวของทวีปเรมูเลียหรือ ทวีปมู อารยธรรมของทวีปมูนี้ดำรงยาวนานกว่าหนึ่งแสนปี ชาวมูแบ่งออกได้เป็นสองพวก พวกหนึ่งรักสันติอีก พวกหนึ่งชอบทำสงคราม ทั้งสองพวกนี้ต่างมีวิทยาการที่ ก้าวหน้าในระดับที่สูงมาก พวกที่รักสันติมักให้ความสนใจ กับเรื่องความรู้ความเจริญและพระเจ้า

    แต่พวกที่กระหาย สงครามมักให้ความสนใจในเรื่องพลัง และทำลาย แอตแลนติสเกิดหลังทวีปมูราวๆ 20,000 ปี คือ เมื่อแปดหมื่นเก้าพันปีก่อนคริสตกาล ในหมู่แอตแลนติส ไม่มีพวกกระหายสงครามอยู่เลย เมื่ออารยธรรมแอตแลนติส เจริญรุ่งเรืองพวกกระหายสงครามของฝ่ายมูได้ตัดสินใจ ขยายอิทธิพลมาถึงแอตแลนติส พวกมูได้เเอบขุดอุโมงค์ ใต้ดินที่เชื่อมทั้งสองแห่งไว้ด้วยกัน

    เพราะความพยายาม ที่จะยึดครองแอตแลนติสของพวกมูได้นำไปสู่ภาวะ สงครามระหว่างเมืองสองเมืองนี้ และดำรงความขัดแย้ง มานานถึงห้าหมื่นปี ในตอนแรกเป็นการปะทะสู้รบกัน ในระดับเล็กย่อย แต่ครั้นเวลาผ่านไปความรุนแรงในการ สู้รบของทั้งสองฝ่ายหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ

    จนในที่สุด ก็นำมาซึ่งการล่มสลายของทั้งสองฝ่ายและทวีปมูและ แอตแลนติสต่างจมลงสู่ก้นทะเลคราวที่เกิดการขยับตัว ของเปลือกโลกครุ้งใหญ่ เมื่อ แปดหมื่นห้าพันปี

    คำบอกเล่าของชาวแอตแลนติสชื่อ อะดามิส แอตแลนติสถูกสร้างขึ้นบนโลกโดยมนุษย์ต่างดาว ในฐานะที่เป็นอารยธรรมทดลอง โดยมีเป้าหมายเพื่อ ถ่ายทอดวิทยาการที่ล้ำยุคให้แก่ชาวโลกในอนาคต ได้ใช้ประโยชน์โดยเฉพาะต่อวิวัฒนาการของมนุษย์

    สาเหตุหลักที่ทำให้แอตแลนติสล่มสลายนั้นมาจาก การเปลี่ยนแปลงแห่งคลื่นของโลกใบนี้ การล่มสลายของแอตแลนติสเกิดจากหลายสาเหตุ ด้วยกันสาเหตุอันหนึ่งก็คือชาวแอตแลนติสจำนวนมาก ที่มุ่งขยายความเป็นอัตตาของตัวเองมากไปจนถึงขีด จำกัดในการเจริญเติบโตของมัน

    ถ้าพวกเขาพอใจที่ จะหยุดอยู่แค่ระดับการเจริญเติบโตและพลังที่ควบคุม ได้ที่ตนเองไปถึง การล่มสลายก็คงไม่เกิดขึ้น แต่มนุษย์เป็นสัตว์ที่อยู่นิ่งไม่ได้ กฎของจักรวาลได้ บังคับให้มนุษย์ต้องเคลื่อนไหวไปไม่ทิศทางใดก็ ทิศทางหนึ่ง และทิศทางที่ชาวแอตแลนติสเลือกเดิน ต่อไปอีกนั้นเป็นทิศทางทีเป็นลบ ระแวงสงสัย อัตตา แรงกล้าและหลงตัวเองจึงนำไปสู่ จุดจบ

    [​IMG]
    ถ้าจะสรุป จุดร่วม ในคำอธิบายเกี่ยวกับแอตแลนติส ของ เซ็มยาเซ และ แฟรงค์ อัลเปอร์ ก็คงจะได้แก่ ความขัดแย้งจนถึงขั้นทำสงครามกันด้วยอาวุธมหาประลัย

    อย่างอาวุธแสง พลาโตได้เขียนไว้ว่า การล่มสลายของ แอตแลนติสเกิดจาก ภัยธรรมชาติ แต่ถ้าฟังจาก 2 ท่านนี้ เราจะได้ข้อสรุปว่า ภัยสงครามล้างโลก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2012
  2. changthai

    changthai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2008
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +515
    แค่อ่านก็สนุกแล้ว อยากให้เอามาสร้างเป็นหนังจริงๆ
     
  3. leia17

    leia17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    331
    ค่าพลัง:
    +1,368
    ต้องรอดูว่าที่พี่เคซีย์พูดไว้จาเป็นจริงๆไหม คงไม่นานแล้ว ...

    ปล. เคยฟังหลวงพ่อ...ท่านกล่าวไว้ว่า วัตถุทุกอย่างแยกลงไปถึงที่สุดแล้ว ก็คือ แสงทั้งนั้น

    มนุษย์ยุคนี้ พัฒนามาถึงเส้นแสงแล้ว ขาดก็แต่ความรู้ที่จะย่อยวัตถุลงเป็นแสง แล้ว reform กลับเป็นรูปอีกทีเท่านั้นเอง

    ว่าแต่ใครชอบดู Stargate จะเห็นได้ว่า โครงเรื่องใกล้ version นี้มาก จะชวนให้สงสัยว่าคนเขียนบทได้โครงมาจากไหนกันหนอ ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 เมษายน 2012
  4. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    เรื่องรอยเลื่อนสะแกงที่พม่า จะมีแผ่นดินไหวแล้วสะเทือนถึงรอยเลื่อน จ.กาญจนบุรีเหรอ
     
  5. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    ประเด็นนี้ก็น่าสนใจนะ

    เมื่อสี่หมื่นปีที่แล้ว พวกลูกหลานของมนุษย์ต่างดาว (แต่คนโบราณเข้าใจผิดไปเรียกว่า เทพเจ้า) ได้กลับมาเยือน โลกและปกครองโลกในนาม เทพเจ้า อีกครั้ง
     
  6. Spammer

    Spammer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    977
    ค่าพลัง:
    +3,498
    ตกลงเขาเจอซากนครแอตแลนติสกันแล้วหรือยัง?
     
  7. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,189
    ค่าพลัง:
    +20,861
    เดี๋ยวอีกไม่นานเกินรอ

    เหตุการณ์แบบเดียวกับที่เกิดขึ้นกับแอนแลนติส จะเกิดขึ้นกับโลกในยุคปัจจุบัน
    เพราะถึงกำหนดวงวัฏฏะจักร 13000 ปี แล้ว

    อาจจะต่างกันตรงที่ผู้คนที่เหลือรอดจากการ Transformation จะพบสิ่งที่ดีกว่าในปัจจุบัน และกลายเป็นชนเผ่าศิวิไลซ์ เพราะคนชั่วเกือบทั้งหมดถูกกวาดล้างโดยธรรมชาติ
    จนไม่สามารถสร้างความปั่นป่วนให้กับสังคมได้เช่นในปัจจุบัน

    ฉะนั้นการอยู่รอดไปได้ถึงยุคหน้า จึงเป็นเรื่องที่น่าทำความเข้าใจและขบคิดหาหนทางรอด

    เรื่องราวที่เล่าผ่านตัวแทน (ร่างทรง) ของเอเลี่ยน มีหลายประเด็นที่ตรงกับที่ครูอาจารย์ พระอริยะเจ้าของทางเราท่านได้เคยปรารภไว้

    เรื่องราวภัยพิบัติและการอยู่รอดไปจนถึงยุคหน้า จึงเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนที่สุดของมนุษย์ชาติ เพราะทุกคน ทุกรูป ทุกนาม จะต้องได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นใคร อยู่ส่วนไหนของโลกใบนี้
     
  8. Twana

    Twana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2007
    โพสต์:
    294
    ค่าพลัง:
    +725
    เรามันคนชั่ว :'(
     
  9. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,189
    ค่าพลัง:
    +20,861
    แหม.....ยังอุตส่าห์ประชด อีก แน่ะ....catt3
     
  10. ทะเลลึก

    ทะเลลึก Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    126
    ค่าพลัง:
    +80
    ถ้ามีตราชั่งมาตรฐานวัดดีชั่ว น่าจะดีไม่น้อย

    บางคนคิดว่าตัวเองชั่ว แต่อาจดีก็ได้ (คิดว่าตายแน่ๆ แต่ดันรอด:'()
    คนบางคนคิดว่าตัวเองดี แต่อาจชั่วก็ได้ (คิดว่ารอดชัวร์ กลับตายก่อนเพื่อน)

    อนิจจังๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :'(
     
  11. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,189
    ค่าพลัง:
    +20,861
    มาตราฐาน คนดี-คนชั่ว

    ถูกกำหนดไว้แล้ว ครับ ไม่ต้องเป็นกังวล
    สิ่งต่างๆในโลกนี้ถูกกำหนดมาเรียบร้อย

    สิ่งที่ต้องทำคือ ตั้งหน้าทำความดีสะสมบารมีไปเรื่อยๆ
    ไม่ต้องไปเป็นห่วง ความดี/ความชั่ว ของผู้อื่น หรอกครับ
     
  12. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    ปริศนาอาณาจักรแอตแลนติส ในความเห็นของนักปรัชญา


    [​IMG]


    เรื่องลี้ลับของอาณาจักรแอตแลนติสที่จมอยู่ใต้มหาสมุทร ไม่มีเรื่องใดน่าสนใจเท่าเรื่องของผลึกลึกลับประจำอาณาจักร ที่กล่าวกันว่ามันอาจจะเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจจิต หรืออำนาจทางการเมือง หรือเป็นแหล่งกำเนิดพลังงานและความลี้ลับทางเทคโนโลยีของชาวแอตแลนติส

    ที่อาจยังคงจมอยู่ในซากปรักหักพัง ลึกลงไปใต้มหาสมุทรก็เป็นได้ แต่มีหลักฐานบางอย่างชี้ว่า มีผู้รอดชีวิตชาวแอตแลนติสผู้โชคดี ได้นำมันขึ้นมาด้วยจากก้นสมุทรไปยังดินแดนใหม่ ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าที่ไหนกันแน่ แม้จะพากันค้นหาคำตอบมากว่าพันปีแล้วก็ตาม

    [​IMG]

    ในเวลาต่อมา นักปรัชญายุคใหม่ชื่อว่า เอ็ดการ์ เคย์ซี (Edgar Cayce) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้มีพลังจิตที่โด่งดังมาก จนได้รับฉายาว่า “ศาสดาพยากรณ์ยามหลับ”

    เพราะเมื่อเขาหลับลึก จิตวิญญาณของเขาสามารถล่องลอยไปถึงมิติที่อยู่ไกลออกไปได้ ทำให้เขาสามารถมองย้อนกลับไปในอดีต หรือล่วงรู้อนาคต และเขาอ้างว่าได้รับรู้เรื่องราวของอาณาจักรแอตแลนติสอย่างสมบูรณ์

    นับจากปีที่ 1920-1945 เขาได้บรรยายเรื่องราวโดยละเอียดของมหานครที่จมอยู่ก้นมหาสมุทร และได้เล่าเรื่องผลึกแก้วมหัศจรรย์อยู่หลายครั้ง ซึ่งเขาคาดว่าผลึกแก้วนี้น่าจะใช้ประโยชน์ทั้งทางโลกและเหนือโลก

    แต่มีผู้กระทำการลบหลู่ต่อแก้วผลึกวิเศษนี้อย่างร้ายแรง ทำให้เกิดวิบัติขึ้น จนอาณาจักรทั้งอาณาจัทรจมลงใต้น้ำ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถรอดชีวิตไปได้ และได้นำผลึกแก้วมหัศจรรย์นี้หนีภัยไปยังแผ่นดินใหญ่ และเป็นผู้วางรากฐานอารยธรรมใหม่ในกาลต่อมา

    เดิมทีเรื่องราวของการล่มสลายของอาณาจักรแอตแลนติสได้ถูกนำมาเปิดเผยโดยพลาโต นักปรัชญาชื่อดังของกรีกโบราณเมื่อ 2,350 ปีมาแล้ว ซึ่งพลาโตได้กล่าวถึงเรื่องราวความรุ่งโรจน์และพลังอำนาจของอารยธรรมมนุษย์ยุคทองสัมฤทธิ์ แต่ไม่ได้กล่าวถึงผลึกแก้วและเทคโนโลย ที่เกี่ยวข้องกับผลึกแก้วเลยแม้แต่น้อย

    แต่นั่นก็อาจไม่ได้หมายความว่า พลาโตมีความเห็นขัดกับเอ็ดการ์เสียทีเดียว เพราะอาจเป็นไปได้ว่า พลาโตสนใจเรื่องการทหารและด้านจริยธรรมของแอตแลนติสมากกว่า

    แต่ทั้งสองก็มีความเห็นตรงกันว่า การล่มสลายของอาณาจักรที่ประชากรเต็มไปด้วยความสามารถและพรสวรรค์อย่างแอตแลนติสนั้น เกิดจากชาวนครแอตแลนติสเอง

    [​IMG]

    พลาโตไม่ได้กล่าวถึงสาเหตุการณ์ล่มสลายของอาณาจักรแอตแลนติสไว้ชัดเจนนัก ซึ่งเอ็ดการ์ก็ได้นำมาต่อความให้สมบูรณ์ว่า เกิดจากพลังจากอวกาศ พลังนี้ทำให้เกิดภัยพิบัติใหญ่หลวงต่ออาณาจักร มันเกิดจากการที่รังสีจากดวงอาทิตย์แผ่กระทบผลึกแก้วมหัศจรรย์ทำให้เกิดอิทธิพลทำลายล้างมหาศาล

    ผลึกแก้วนี้เป็นเทคโนโลยีสุดยอดของชาวแอตแลนติส ซึ่งสามารถดึงพลังงานจักรวาลมาใช้ประโยชน์ ให้เป็นตัวกลางในการสื่อสารกับพลังงานจากอวกาศภายนอกเพื่อนำมาใช้ภายในอาณาจักร

    [​IMG]

    ซึ่งชาวแอตแลนติสก็ให้ความสำคัญกับแก้วผลึกนี้มากถึงกับสร้างวิหารทรงกลม เป็นโดมเพื่อเก็บรักษาผลึกแก้วไว้ เพื่อให้ผลึกแก้วสามารถรับพลังงานจากดวงอาทิตย์ และดาวฤกษ์อื่น ๆ ได้ พลังงานที่กระจายออกจากแก้วผลึกนี้จะอยู่ในรูปของเปลวไฟเปล่งออกมารอบดวงแก้ว

    [​IMG]

    เอ็ดการ์ เคย์ซี รายงานว่าบริเวณรอบนอกของแอตแลนติสนั้น ถล่มจมอยู่ที่บิมินีซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่งไมอาที่ ฟลอริดาไป 55 ไมล์ และเคยมีคนพบเศษซากของก้อนอิฐที่ใช้สำหรับก่อสร้างอาคารอยู่ในระดับความลึกเพียง 20 ฟุต เท่านั้น ก้นทะเลเหล่านั้นได้รับขนานนามว่าถนนบิมินี

    จากการทำวิจัยอยู่หลายสิบปี นักวิจัยจึงมั่นใจว่า พื้นที่ ๆ จมอยู่ใต้น้ำนั้น เมื่อ 5,000 ปีเศษ เคยเป็นอาณาจักรที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก และเคยเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ที่มีความเจริญ และวัฒนธรรมสูงมาก่อน

    เอ็ดการ์ เคย์ซี ชี้ว่า การที่ชาวแอตแลนติสสามารถสร้างสังคมที่ก้าวหน้าได้อย่างนั้น เป็นเพราะมีการสั่งสมอารยธรรมมาเก่าแก่ยาวนานมาก มีวิวัฒนาการทางวัฒนธรรมติดต่อกันมาหลายศตวรรษ จนมีความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีความรู้ความเข้าใจในการนำพลังของผลึกแก้วมาใช้ประโยชน์

    เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อที่มนุษย์ที่มีวิวัฒนาการทางวิทยาศาสตร์และเทศโนโลยีสูงมาก ๆ จะสาบสูญไปพร้อมกับการล่มสลายอยู่ใต้สมุทร ทำให้มนุษย์ยุคต่อมาต้องเรียนรู้และพัฒนาทุกอย่างขึ้นมาใหม่หมด และต้องใช้เวลานานกว่าจะมีความเจริญใกล้เคียงกับชาวแอตแลนติส

    แต่เอ็ดการ์กล่าวว่า ความรู้ปัจจุบันนี้ทำได้แค่ใกล้เคียงชาวแอตแลนติสเท่านั้น ยังต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะทัดเทียม และกล่าวต่อว่าความรู้ทางวิชาการของชาวอาณาจักรแอตแลนติสได้แก่ ความมหัศจรรย์ของสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตงดงาม ซึ่งยังเหลือซากให้เห็นอยู่

    [​IMG]

    ที่เชื่อกันว่าเป็นฝีมือของชาวแอตแลนติสที่หนีรอดมาได้ มาขึ้นฝั่งและสร้างอาณาจักรใหม่ขึ้นในบริเวณที่ตั้งของอาณาจักรอินคา ทำให้ชาวอินคามีความเจริญสูงกว่าเผ่าอื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียงที่ไม่ได้รับถ่ายทอดเทคโนโลยีแอตแลนติส

    นอกจากเทคโนโลยีทางการก่อสร้างแล้ว เทคโนโลยีทางการเกษตรที่ชาวแอตแลนติสถ่ายทอดให้ชาวอินคายังสูงส่งกว่าใคร แม้แต่ในยุคปัจจุบันนี้ ทราบกันว่าผลผลิตทางด้านการเกษตรทุกสาขาตามแบบวิทยาการที่คาดว่า ชาวอินคาได้รับจากชาวแอตแลนติส ยังให้ผลผลิตมากกว่าที่ใช้กันใน ปัจจุบันถึงสามเท่า

    ย้อนกลับไปที่พลาโต เขาได้บันทึกไว้ว่าชาวแอตแลนติสต่อเรือได้ใหญ่โตมาก มีขนาดความยาวถึง 400 ฟุต (หรือราวร้อยเมตรเศษ) ซึ่งยังไม่มีใครสามารถต่อเรือด้วยไม้ได้ใหญ่ขนาดนั้นจนถึงปัจจุบัน

    กล่าวกันว่าเทคโนโลยีหินแก้วผลึกนี้สูงส่งมาก สามารถส่งพลังงานออกไปนอกโลก ขุดแร่ทองแดงและทองคำจากดาวอื่นได้ ดูจากการที่ชาวแอตแลนติสสามารถสร้างอาวุธสัมฤทธิ์ที่มีคุณภาพดี และกำแพงเมืองของเผ่าอินคา (ที่เชื่อว่าได้รับอารยธรรมจากชาวแอตแลนติส) หุ้มด้วยทองรอบด้าน

    จากการที่ชาวแอตแลนติสสามารถใช้ผลึกแก้วเป็นขุมพลังงานมหาศาลได้ดังกล่าว อาจทำให้เกิดความผิดพลาดร้ายแรงได้เช่นกัน เอ็ดการ์ผู้อ้างว่าทราบถึงเหตุการณ์นั้น กล่าวว่า เกิดปรากฏการประหลาด คล้ายภูเขาไฟระเบิด ลูกไฟหล่นลงมาเผาเมืองจนวอดวาย เกิดแผ่นดินถล่มผู้คน

    ชาวเมืองส่งเสียงกรีดร้องระงม พากันหนีหาที่ปลอดภัยอย่างโกลาหล แต่ก็หนีไม่พ้นเพราะไม่มีที่ปลอดภัยให้หลบซ่อนได้ ทุกหนทุกแห่งทั่วอาณาจักรถูกดูดยุบลงไปใต้มหาสมุทรพร้อมกับผู้คนทั้งหมดที่ไม่มีทางขัดขืนได้

    นักวิจัยค้นคว้าเรื่องราวเกี่ยวกับอาณาจักรแอตแลนติส ไม่มีใครเชื่อเอ็ดการ์เลย จนกระทั่งมีการพบร่องรอยอารยธรรมโบราณหลายอย่างที่สามารถยืนยันคำกล่าวของเขาได้เป็นอย่างดี เช่น พบจารึกของอาณาจักรอินคาว่า

    เกิดน้ำท่วมใหญ่ในอาณาจักรแอตแลนติสจนอาณาจักรล่มสลายจมไปใต้สมุทร สิ่งที่รอดชีวิตมาเพียงอย่างเดียวคือมนุษย์ที่เรียกกันว่า “นาคาขนปุย” เท่านั้น

    ซึ่งพวกนาคาขนปุยนี้มาจากทะเล สร้างบ้านเมืองแห่งแรกในแคว้นยูคาทานของเม็กซิโกปัจจุบัน มีปัญทึกว่าพวกเขาล้วนมีความรู้ทางวิชาการสูงส่ง มีความปราดเปรื่องทางภูมิปัญญา และมีการนำหินแก้วผลึกมาด้วย เอ็ดการ์เชื่อว่าปัจจุบันหินแก้วผลึกนี้ก็ยังคงอยู่ที่นั่น แต่ไม่มีใครสนใจ เพราะไม่รู้ว่าเป็นอะไร


    ในอีกซีกโลกหนึ่งมีบันทึกของชาวสุเมเรียว่า มีผู้คนอพยพมาจากอาณาจักรที่ล่มสลาย มาโดยเรือลำใหญ่พร้อมสัตว์เลี้ยง และข้าวปลาอาหารจำนวนมาก มีการกล่าวถึงแก้วผลึกที่ลุกโพลงเป็นไฟอยู่ตลอดเวลาด้วย

    จุดกึ่งกลางระหว่างอาณาจักรเมโสโปเตเมียกับอาณาจักรอินคา คือหมู่เกาะแคนารี่ นอกฝั่งแอฟริกาเหนือ พื้นเมืองดั้งเดิมคือ เผ่ากอนซ์ (Guanches) เล่าว่า เคยเกิดวิบัติครั้งใหญ่ในพื้นที่ใกล้เคียง เกิดน้ำท่วมใหญ่กลืนอาณาจักรทั้งอาณาจักรพร้อมผู้คนจมลงสู่ใต้ผิวน้ำจนหมดสิ้น

    เรื่องราวของอาณาจักรแอตแลนติสนี้ เป็นที่รู้จักกันอยู่แพร่หลายในหมู่คนโบราณสองฟากฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ที่ว่ามันว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ เป็นที่ตั้งของอาณาจักรอันรุ่งเรือง และวิวัฒนาการที่ก้าวหน้ากว่าใคร

    วิทยาการเหล่านี้ไม่ได้จมหายไปพร้อมอาณาจักรเสียทั้งหมด ยังมีชาวแอตแลนติสที่สามารถหนีรอดขึ้นฝั่งได้ เข้าใจว่าผืนดินที่อยู่ใกล้ที่สุด น่าจะเป็นบริเวณทวีปอเมริกาเหนือ

    ที่มีชาวแอจแลนติสอพยพขึ้นไปอาศัยอยู่ และถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับชาวพื้นเมือง และชาวเผ่าอินเดียนแดงในทุ่งราบกว้างใหญ่ ตอนกลางของสหรัฐฯ เป็นส่วนที่ได้รับการถ่ายทอดวิทยาการขั้นสูงนี้ไว้มาก โดยเฉพาะเทคโนโลยีการใช้พลังงานจาก “ผลึกหินควอทซ์”


    หมอผีชาวอินเดียนแดงเผ่าพิมา (Pima) มีชื่อเสียงโด่งดังในการรักษาโรคเป็นอย่างมาก สามารถรักษาทุกโรคได้หายขากเป็นปกติในเวลาอันรวดเร็ว โดยการใช้ผลึกหินควอทซ์กดลงบริเวณที่เจ็บป่วย ก็หายป่วยได้ แสดงว่าหมอผีเหล่านั้นได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากชาวแอตแลนติส

    นอกจากนั้น ยังมีหมอผีในอาณาจักรโบราณของเม็กซิโกสามารถใช้กระจกที่ทำจากผลึกหินควอทซ์ ทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้า และดูเหตุการณ์ในอดีตได้อย่างแม่นยำอีกด้วย

    -----------------------------------------------

    นักวิจัยสหรัฐเปิดเผยว่าได้ค้นพบ “แอตแลนติส” เมืองแห่งอารยธรรมที่หายไปในห้วงทะเลลึกแถบไซปรัส พร้อมทั้งโชว์ทฤษฎีการสำรวจที่น่าพิศวงมากว่าทศวรรษ แต่นักฟิสิกส์เยอรมันแย้งพื้นที่บริเวณนั้นภูเขาไฟเคยพ่นหินละลายเมื่อ 1 แสนปีก่อน หาใช่เมืองแห่งเพลโตไม่

    ..........โรเบิร์ต ซาร์แมสต์ (Robert Sarmast) เปิดเผยว่า แอ่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) ได้จมลงไปขณะน้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อประมาณ 1,900 ปีก่อนคริตศักราช ทำให้บริเวณที่เชื่อว่าเป็นที่ตั้งของ “แอตแลนติส” จมหายลงไปในคราวนั้น

    เชื่อว่า จมลึกลงไปถึง 1 ไมล์หรือประมาณ 1.6 กิโลเมต ใต้ทะเล ระหว่างไซปรัส (Cyprus) และซีเรีย (Syria)

    ..........”พวกเราพบมันแล้ว” ซาร์แมสต์ ผู้นำคณะสำรวจที่ซอกแซกไปในทะเลกว่า 50 ไมล์ตามแถบชายฝั่งตอนใต้ของไซปรัสเมื่อช่วงต้นเดือนนี้ จากการสแกนฟังเสียงสะท้อนใต้น้ำลึกแสดงว่ามีสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นบริเวณหุบเขาที่จมน้ำ รวมถึงกำแพงที่ยาวประมาณ 3กิโลเมตร

    ซึ่งกั้นอยู่บนยอดเขาและมีคูลึกล้อมรอบอยู่ด้วย โดยเชื่อว่าพื้นที่ดังกล่าวน่าจะเป็นตำแหน่งของวิหารแห่งเมืองแอตแลนตีส อย่างไรก็ดีคงต้องมีการสำรวจต่อๆ ไปอีก

    ..........”พวกเราไม่สามารถหาหลักฐานที่จับต้องได้มาพิสูจน์ในรูปแบบของเศษอิฐหรือปูนว่าเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่มนุษย์ทำขึ้นที่ฝังอยู่ในตะกอนใต้น้ำลึกลงไปหลายเมตร แต่ว่าจากการสำรวจอย่างละเอียดและหลักฐานอื่นๆ ทำให้เชื่ออย่างแย้งไม่ได้ว่าแอนแลนติสน่าจะอยู่ตรงนั้น” ซาร์แมสต์ เผย

    อย่างไรก็ดี ขณะที่ซาร์แมสต์ได้เปิดเผยข้อค้นพบต่อสาธารณชน ณ เมืองท่าลิมาสโซล (Limassol) เขายังได้นำภาพเคลื่อนไหวจำลอง “เนิน” ที่เชื่อว่าเป็นที่ตั้งของแอตแลนติส โดยจินตนาการภาพย้อนหลังไปหลายศตวรรษ

    ..........ตามคำกล่าวอ้างของ “เพลโต” ปราชญ์ชาวกรีกโบราณ ระบุว่า แอตแลนตีสเป็นชนชาติที่อยู่บนเกาะ ซึ่งได้พัฒนาอารยธรรมจนเจริญก้าวหน้าไปมาก อยู่ในช่วงระหว่าง 11,500 ปีที่แล้ว

    ส่วนทฤษฎีที่พยายามอธิบายถึงเหตุผลแห่งการหายไปของอาณาจักรแอตแลนตีสนั้นมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเกิดกลียุค ด้วยโรคภัยจากธรรมชาติคุกคาม หรือจากตำนานเทพเจ้ากรีกที่ระบุว่า

    ชาวเมืองแอตแลนตีส มีความละโมบและกระหายอำนาจเข้าครอบนำเทพเจ้าจึงลงโทษด้วยการทำลายเมืองไปในที่สุด นอกจากนี้ยังมีผู้สงสัยว่า แอตแลนติสที่แท้จริงอาจจะเป็นแค่เพียงภาพฝันของเพลโตก็เป็นได้

    ..........ซาร์แมสต์ เปิดเผยว่า เขาเดินทางไปไซปรัสตามร่องรอยในบทสนทนาของเพลโต ที่อ้างว่าแอตแลนตีสอยู่ตรงข้ามกับ พิลาร์ส ออฟ เฮอร์คิวลีส (Pillars of Hercules) หรือ “เสาหินแห่งเฮอร์คิวลีส” ซึ่งเชื่อกันว่านั่นก็คือ “ช่องแคบยิบรอลตาร์” นั่นเอง จึงทำให้นักสำรวจหลายๆ คนมุ่งความสนใจไปที่มหาสมุทรแอตแลนติก ไอร์แลนด์ หรืออะซอเรส (Azores) ของโปรตุเกส

    ..........”ผู้คนที่พลาดสิ่งเหล่านี้ไป นั่นก็เพราะไม่ได้ทำการบ้านให้ถ่องแท้ ผู้ที่สงสัยใคร่รู้เรื่องนี้ต่างรู้ไม่จริง ถ้าต้องการที่จะเข้าใจปริศนาลึกลับแห่งแอตแลนติก คุณจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์โบราณ ข้ออ้างอิงทางศาสนา วัฒนธรรมและร่องรอยของชาวสุเมเรียน ” ซาร์แมสต์เผย

    [​IMG]

    และยังไม่ทันที่ซาร์แมสต์จะกลับไปฝันหวานกับข้อค้นพบของเขา “คริสเตียน ฮูบเชอร์” นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน จากศูนย์วิทยาศาสตร์ทางทะเลและบรรยากาศ ในฮัมบรูก ก็ออกมาแย้งผ่านหนังสือพิมพ์เยอรมนีว่า

    พื้นที่ที่ซาร์แมสต์พบนั้นเป็นปรากฏการณ์เมื่อ 100,00 ปีที่แล้ว ที่ภูเขาไฟได้พ่นดินโคลนออกมา ซึ่งเขาและเพื่อนร่วมงานชาวเนเธอร์แลนด์เคยเดินเรือไปสำรวจบริเวณที่ซาร์แมสต์ระบุว่าเป็นแอตแลนตีสมาก่อนแล้ว

    ..........ก่อนหน้านี้ได้มีความพยายามเกาะรอยคำกล่าวของเพลโตเช่นกัน โดยนักสำรวจได้พุ่งเป้าที่ชายฝั่งของสเปน คิวบา และทางตะวันตกของเกาะอังกฤษ ไม่เว้นแม้กระทั่งทะเลจีนใต้

    [​IMG]

    โดยงานสำรวจที่เป็นชิ้นเป็นอันก่อนหน้านี้คือ ภาพถ่ายดาวเทียมบริเวณอุทยานแห่งชาติดอนานาของเสปน (Donana) จากนักโบราณคดี มหาวิทยาลัยเอดินเบอร์ก (University Edinburgh) ของอังกฤษ

    ซึ่งภาพดังกล่าวได้พบสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่รูปสีเหลี่ยม 2 หลังจมอยู่ในโคลนใต้ทะเล โดยพบโลหะที่มีรัศมีเป็นวงกลมและมีสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ล้อมรอบ ทีมวิจัยในครั้งนั้นเชื่อว่าสิ่งก่อสร้างทั้ง 2

    คือ วิหารทองคำที่ชาวแอนแลนตีสสร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพโพเซดอน และวิหารเงินเพื่อบูชาพระนางไคลโต อันเป็นผู้ถือกำเนิดกษัตริย์ที่ปกครองนครแอตแลนตีส

    อย่างไรก็ดี หลังจากการเผยแพร่ภาพถ่ายดาวเทียมออกไป ก็ยังไม่มีใครได้ลองดำลึกลงไปขุดพิสูจน์พื้นที่ดังกล่าวแต่อย่างใด


    เมื่อไม่นานมานี้ Bernie Bamford วิศวกรการบินจากประเทศอังกฤษ ค้นพบตารางสี่เหลี่ยมที่ดูเหมือนผังเมือง อยู่นอกชายฝั่งแอฟริกาตอนเหนือ ในมหาสมุทรแอตแลนติก

    การค้นพบครั้งนี้อยู่ในโปรแกรม Google Earth เวอร์ชัน 5.0 พิกัดของตำแหน่งนี้คือ 31 15'15.53N 24 15'30.53W

    แน่นอนว่า การค้นพบครั้งนี้ทำให้ข้อสงสัยว่ามันคือซากของทวีปแอตแลนติส ถูกนำมาพูดถึงกันอีกครั้งหนึ่ง ต้นฉบับของทวีปแอตแลนติสคือเพลโตเคยพูดไว้ว่า

    [​IMG]

    "For the ocean there was at that time navigable; for in front of the mouth which you Greeks call, as you say, 'the pillars of Heracles,' there lay an island which was larger than Libya and Asia together The pillars of Heracles"

    ในปัจจุบันคือปากทางเข้าช่องแคบยิบรอลตาร์ (สเปนกับแอฟริกาเหนือ) ในปัจจุบัน ซึ่งก็สอดคล้องกับตำแหน่งของร่องรอยที่พบในครั้งนี้ ตามคำของเพลโต อาณาจักรแอตแลนติสเคยรุ่งเรืองอยู่สมัย 9,000 ปีก่อนคริสตกาล

    ขนาดของตารางสี่เหลี่ยมใกล้เคียงกับเวลส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านแอตแลนติสบอกว่ามันเป็นการค้นพบที่น่าสนใจมาก ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วมันจะเกิดจากธรรมชาติล้วนๆ ก็ตาม

    "แอตแลนติส" นครที่จมอยู่ใต้น้ำ เป็นเรื่องที่เล่ากัน มานานหลายพันปีมาแล้วว่า ครั้งนั้นแอตแลนติสเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรือง ร่ำรวยและมีวัฒนธรรมสูง ส่ง แต่จู่ๆ มหาสมุทร ก็กลืนแอตแลนติสลงไป และมีผู้พยายามค้นหาที่ตั้งของแอตแลนติสหลายครั้งหลายหน แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จ มหานครแห่งนี้จึงยังคงความลึกลับอยู่ต่อไป

    อย่างไรก็ตาม หลังจากที่กูเกิ้ลเปิดตัว "กูเกิ้ลโอเชี่ยน" ทำให้นักวิทยาศาสตร์เกิดความหวังว่า อาจใช้ "กูเกิ้ลโอเชี่ยน" นี้ค้นหาแอตแลนติสได้ โดยพื้นที่สงสัยนั้นอยู่ห่างจากชายฝั่งทางตะวันตกของประเทศโมร็อกโก ทวีปแอฟริกา ราว 600 ไมล์และอยู่ลึกใต้ระดับน้ำทะเลไม่ต่ำกว่า 3 ไมล์ พื้นที่นี้เรียกว่า "แอ่งคานารี่"

    [​IMG]

    จากภาพที่เห็นพบว่า มีลายเส้นเป็นรูปเหมือนกับถนนหนทาง กินอาณาบริเวณเท่ากับแคว้นเวลส์ ประเทศอังกฤษ แต่ที่จริงแล้ว ลายเส้นเป็นลายเส้นเทียมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทำแผนที่

    [​IMG]

    โดยแผนที่นี้ได้มาจากการตรวจวัดด้วยเครื่องโซนาร์ของพื้นทะเลและบันทึกโดย เรือ ลายเส้นนี้จึงเป็นทางเดินเรือที่รวบรวมข้อมูลมาให้

    [​IMG]

    ดร.ชาร์ลส์ ออร์เซอร์ นักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กสเตต สหรัฐอเมริกา มีความเห็นว่า

    [​IMG]

    "มีความเป็นไปได้สูงที่พื้นที่แห่งนี้จะเป็นที่ตั้งของแอตแลนติส และแม้ว่าจะไม่ใช่แอตแลนติส เป็นเพียงแค่สภาพภูมิศาสตร์ แต่เราก็ควรไปสำรวจอยู่ดี"


    ที่มา : INDEPENCIL.COM

    Ancient Aircraft - Crystalinks

    www.blog.eduzones.com/racchidlom/32052

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2012
  13. leia17

    leia17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    331
    ค่าพลัง:
    +1,368

    ไม่แน่หลัง 7-8/10 จบ อาจจะโผล่
     
  14. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    คิดว่า ถ้าแอตแลนติสจะโผล่จริงนะ คงต้องหลังแผ่นดินไหวใต้ทะเล ระดับรุนแรงสุดๆ ที่ทำให้เกิดเมก้าสึนามิ แต่อย่าเลย ให้มันเป็นแค่จินตนาการดีกว่า ของจริงไม่เวิร์คกับชาวโลกแน่

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ดูแต่ละรูปแล้ว คิดว่าจะไปอยู่ตรงไหนกันนะ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    Mega-tsunami คลื่นยักษ์ล้างโลก

    www.vcharkarn.com/vcafe/5775

    ** หมายเหตุ บทความนี้ ถูกเขียนและโพสไว้ตั้งแต่วันที่ 27 ก.ค. 2544 .. ตอนนั้นยังไม่มีสึนามิที่ภูเก็ตในปี 47 และก็ยังไม่เกิดสีนามิสูงกว่า 40.5 เมตร ที่ญี่ปุ่น เมื่อปี 54 **

    [​IMG]

    นักธรณีวิทยาเตือนหลายประเทศในมหาสมุทรแอนแลนติกอ าจถูกถล่มด้วยคลื่นยักษ์ที่อาจมีความสูงหลายร้อยเมตร สูงกว่าตึกระฟ้าทุกตึกบนโลก นักธรณีวิทยาเรียกปรากฎการณ์ดังกล่าวว่า แมกกะซูนามิ ( Mega-tsunami ) ซึ่งมีความรุนแรงกว่าคลื่นซูนามิธรรมดานับสิบเท่า

    จากหลักฐานทางธรณีวิทยาพบว่า คลื่นดังกล่าวเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งในอดีต และมีความเป็นไปได้อย่างสูงว่าจะเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง โดยเริ่มก่อตัวจากหมู่เกาะเล็กๆในมหาสมุทรแอตแลนติก

    หลักฐานแรก ที่แสดงให้เห็นถึงพลังอันมหัศจรรย์และน่าสพรึงกลัวของธรรมชาตินี้พบครั้งแรกในปี ค.ศ.1953 เมื่อนักธรณีวิทยาชาวอเมริกัน 2 คน คือ George Plafker และ Don Miller คนได้ทำการสำรวจหาน้ำมัน ที่อ่าวลิทูยา ( Lituya Bay ) ในรัฐอาลาสก้า สหรัฐอเมริกา

    [​IMG]

    แทนที่ทั้งสองจะพบน้ำมัน พวกเขากับพบหลักฐานทางธรณีวิทยาว่า บริเวญอ่าวดังกล่าว ได้เคยถูกซัดกระหน่ำด้วยคลื่นยักษ์ ซึ่งมีความสูงกว่า 150 เมตร เทียบได้เท่ากับความสูงของตึก 50 ชั้น

    การค้นพบนี้ทำให้นักธรณีวิทยาทั้งสองประหลาดใจมาก เพราะไม่ปรากฎว่ามีคลื่นชนิดใดในประวัติศาสตร์ที่จะมีความสูงถึงขนาดนั้น แม้แต่คลื่นยักษ์ที่ทรงพลังที่สุดคือซูนามิ

    George Plafker ใด้กล่าวกับนักข่าวบีบีซีว่า ในขณะนั้นมืดแปดด้านไม่รู้เลยว่าจะมีพลังงานอะไร ที่สามารถสร้างคลื่นยักษ์ได้สูงขนาดนั้น เพราะแม้แต่คลื่นซูนามิอันทรงพลังที่สุด ซึ่งเกิดจากแผ่นดินใหวนั้น ยังมีความสูงแค่ 10 ถึง 15 เมตร แต่คลื่นที่ถล่มอ่าวลิทูยาสูงกว่าถึง 10 เท่า

    [​IMG]

    คลื่นยักษ์ซูนามิ ( Tsunami ) เป็นที่รู้จักกันมานานสำหรับนักธรณีวิทยา คลื่นซูนามิที่รุนแรงสุดในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1946 เมื่อคลื่นยักษ์สูง 10 เมตร พัดเข้าถล่มชายฝั่งเมือง Hilo ในหมู่เกาะฮาวาย โดยที่ประชาชนบนเกาะไม่มีทางรู้ตัว เพราะจุดกำเนิดของซูนามิ อยู่ห่างจากเกาะฮาวายนับพันกิโลเมตร เหตุการณ์ครั้งนั้น พรากชีวิตผู้เคราะห์ร้ายไปมากกว่า 100 คน

    เมื่อหลายปีมาแล้ว คนไทยเคยตื่นกลัวกับข่าวของคลื่นยักษ์ซูนามิ ถึงกับเคยมีข่าวลือใหญ่โตว่าจะมีคลื่นยักษ์ซูนามิถล่มเกาะภูเก็ตเลยทีเดียว

    [​IMG]

    แต่อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยนั้นมีโอกาสน้อยมาก ที่จะถูกถล่มด้วยซูนามิ เมื่อเทียบหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิค เช่น ฮาวาย ญี่ป่น ออสเตเลีย หรือตามชายฝั่งของสหรัฐอเมริกา

    คลื่นยักษ์ซูนามินั้น เกิดจากการคลื่นตัวของเปลือกโลกใต้ทะเล ซึ่งมีพลังงานมหาศาล ทำให้เกิดคลื่นยักษ์ที่สามารถเคลื่อนที่ข้ามมหาสมุทรใหญ่ๆ ไปถล่มชายฝังของอีกซีกโลกได้อย่างสบายๆ

    อย่างไรก็ตาม ขนาดความสูงของคลื่นซูนามินั้น มีลิมิตไม่เกิน 10 ถึง 15 เมตร

    ความสูงของคลื่นนั้น ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ให้กำเนิดมัน การเกิดแผ่นดินใหวในบริเวณใต้มหาสมุทรนั้น อาจจะทำให้เปลือกโลกบริเวณนั้นแยกตัวออกจากกัน เปลือกโลกด้านหนึ่งอาจจะยกตัวสูงขึ้น เป็นผลทำให้เกิดแรงดันมหาศาล ดันน้ำทะเลที่อยู่เหนือมันสูงขึ้น เป็นปริมาณเท่าๆกับที่แผ่นดินถูกยกขึ้น

    น้ำทะแลที่ถูกแผ่นดินดันขึ้นมาแทนทีนั้น จะวิ่งออกไปด้วยความเร็วมหาศาล และเมื่อเข้าใกล้ชายฝั่งมันก็จะดันตัวสูงขี้น เท่ากับขนาดของพื้นดินที่เลื่อนขึ้นมา เกิดเป็นคลื่นยักษ์ซูนามิพัดเข้าถล่มชายฝั่ง

    ถึงกระนั้นก็ตาม แผ่นดินใหวที่รุนแรงที่สุด ก็สามารถที่จะยกผิวโลกใต้ทะเล ให้เลื่อนสูงขึ้นได้มากที่สุดประมาณ 10 กว่าเมตร มันจึงเป็นตัวกำหนดขนาดของคลื่นซูนามิไปในตัว

    [​IMG]

    และเป็นไปไม่ได้เลยที่กระบวนการนี้จะทำให้เกิดคลื่นสูงถึง 150 เมตร ดังที่ถล่มอ่าวลิทูยา

    นักธรณีวิทยาไม่ต้องรอนานเพื่อที่จะทราบคำตอบ 5 ปีหลังจากนั้น เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ. 1958 คลื่นยักษ์ก็ได้ถล่มอ่าวลิทูยาอีกครั้ง ด้วยความสูงเกือบครึ่งกิโลเมตร สูงกว่าตึกทุกตึกบนโลกมนุษย์ นักธรณีวิทยา George Plafker และ Don Miller ได้บินกลับไปสำรวจพื้นที่อีกครั้ง ในที่สุด เขาก็พบคำตอบของปริศนา

    คลื่นยักษ์ดังกล่าว เกิดจากการที่ภูเขาในบริเวณใกล้เคียง ได้เกิดถล่มลง หินจากภูเขาสูงปริมาณมหาศาล ได้ถลายหล่นลงจากความสูงกว่า 1,100 เมตร เมื่อมันกระทบกับพื้นน้ำ ก็จะปลดปล่อยพลังงานมหาศาล เกิดเป็นคลื่นยักษ์ขนาดมหึมาเข้าถล่มพื่นที่อ่าวใกล้เคียง ซึ่งนักธรณีวิทยาเรียกคลื่นดังกล่าวว่า แมกกะซูนามิ ( Mega-tsunami )

    ทั้นทีที่นักวิทยาศาสตร์เข้าใจถึงกลไกการเกิดคลื่นยักษ์ด้วยปรากฎการณ์ดินถล่ม ( landslide ) พวกเขาก็เริ่มกังวลว่า แมกกะซูนามิ อาจเกิดขึ้นได้อีก หากมีการเกิดดินถล่มครั้งใหญ่ จึงได้เริ่มออกค้นหาร่องรอยของแผ่นดินถล่มครั้งใหญ่ๆ ในอดีต ซึ่งอาจจะบอกเราได้ ถึงการถล่มครั้งต่อๆ ไปในอนาคต

    จากการศึกษาของนักธรณีวิทยาพบว่า พื้นที่ๆ ล่อแหลมต่อการเกิดแผ่นดินถล่มครั้งมหึมา ก็คือบริเวณเกาะภูเขาไฟขนาดใหญ่ๆ ซึ่งเกาะลักษณะดังกล่าวกระจายอยู่ตามมหาสมุทรทั่วโลก

    [​IMG]

    เกาะภูเขาไฟเหล่านี้กำเนิดมาเป็นเวลาหลายล้านปี เริ่มจากการประทุของภูเขาไฟใต้พื้นมหาสมุทร เมื่อลาวาที่ใหลออกมาเย็นตัวลง ก็จะจับตัวกันแข็ง ทับถมกันชั้นแล้วชั้นเล่า

    จนกระทั่ง สูงพ้นผิวมหาสมุทรขึ้นมา เกาะเหล่านี้ไม่ค่อยจะเสถียรนัก ทุกๆหนึ่งหรือสองพันปีมักจะพบว่า หนึ่งในเกาะเหล่านี้ ถล่มลงสู่พื้นมหาสมุทร สำหรับการเกิดแผ่นดินถล่มบนเกาะภูเขาไฟ

    ซึ่งขนาดใหญ่พอที่จะเกิดเมกกะซูนามินั้น ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นที่หมู่เกาะในมหาสมุทรอินเดีย เมื่อ 4,000 ปีที่แล้ว ซึ่งคลื่นเมกกะซูนามิ ที่สร้างขึ้นวิ่งถล่มชายฝั่งทวีปออสเตเลีย โดยใช้เวลาเดินทางเพียงแค่แปดชั่วโมงเท่านั้น

    ด้วยเหตุที่ว่า ปรากฎการณ์แผ่นดินถล่มของเกาะภูเขาไฟนี้ เกิดขึ้นในอดีตเก่ากว่าประวัติศาสตร์ของเรา จึงไม่มีมนุษย์คนไหนเคยเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวมาก่อน

    มีเพียงหลักฐานที่เชื่อถือได้ จากทางธรณีวิทยาเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน้อยมาก จึงทำให้นักวิทยาศาสตร์คาดเดาได้ยากว่า เกาะใดจะเกิดปรากฎการแผ่นดินถล่ม

    ในจำนวนเกาะภูเขาไฟที่กระจัดกระจายอยู่ทั้งหมด มีอยู่เกาะหนึ่ง ที่ส่งสัญญานอันตรายที่ไม่น่าไว้ใจที่สุด

    ถ้าหากเกาะดังกล่าวถล่มลง มันจะสร้างคลื่นยักษ์เมกกะซูนามิ ซึ่งอาจจะพัดข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก เข้าซัดถล่มชายฝั่งด้านตะวันออกของสหรัฐอเมริกา

    [​IMG]

    นักธรณีวิทยาพบว่า เกาะภูเขาไฟที่อาจจะมีการเกิดดินถล่มครั้งต่อไป อาจจะเป็นเกาะแห่งหนึ่งในหมู่เกาะแคนนารี (Canary Islands) ซึ่งตั้งอยู่นอกชายฝั่ง ของทวีปแอฟริกา เกาะดังกล่าวมีชื่อว่า ลาพาล์มา (La Palma)

    [​IMG]

    ในราวๆทศวรรษที่ 90 นักธรณีวิทยาชาวอังกฤษ ได้เดินทางไปสำรวจภูเขาไฟบนเกาะดังกล่าวซึ่งชื่อว่า Cumbre Vieja ซึ่งยังเป็นภูเขาไฟ ที่ยังไม่ดับและพร้อมจะปะทุ พวกเขาพบว่า โครงสร้างของภูเขาไฟบนเกาะนั้นค่อนข้างประหลาด

    เนื่องจาก มีน้ำขังอยู่ข้างในเป็นจำนวนมาก ลึกเข้าไปในภูเขาไฟบนเกาะลาพาล์มา ประกอบด้วยหินสองชนิด ชนิดหนึ่ง ทำตัวคล้ายฟองน้ำดูดซับน้ำไว้จนเต็ม ในขณะเดียวกัน ก็มีโครงสร้างเป็นหินแข็ง ที่ไม่ยอมให้น้ำซึมผ่าน วางตัวอยู่ในแนวดิ่ง เหมือนเป็นเขื่อนกักน้ำฝน อยู่ภายในปล่องภูเขาไฟ

    [​IMG]

    จากการศึกษาในห้องแล็ป ทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า หากภูเขาไฟดังกล่าวประทุขึ้นเมื่อใด ความร้อนจากหินละลาย บวกกับความดันของน้ำที่ขังอยู่ในปล่องภูเขาไฟ จะทำให้เกิดแผ่นดินถล่มครั้งมหึมา

    นักธรณีวิทยาคำนวนว่า การระเบิดของภูเขาไฟบนเกาะนี้ จะทำให้ดินและหินนับล้านๆ ตัน ถล่มลงสู่มหาสมุทรอย่างรวดเร็ว

    ซึ่งสามารถที่จะสร้างคลื่นยักษ์เมกกะซูนามิได้อย่างสบายๆ ปัญหาที่เหลือสำหรับนักวิทยาศาสตร์คือ เมื่อไหร่ภูเขาไฟดังกล่าว จึงจะประทุขึ้นอีกครัง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถบอกได้อย่างแน่นอน

    ตามหลักฐานทางธรณีวิทยาพบว่า ภูเขาไฟ Cumbre Vieja เคยประทุมาแล้วหลายครั้ง เริ่มตั้งแต่ปี 1646, ปี 1712

    และครั้งสุดท้ายในปี ค.ศ. 1949 ประมาณว่าทุกๆ 100-200 ปี ครั้งสุดท้ายนั้นเมื่อประมาณ 50 ที่แล้ว จึงอาจะเป็นไปได้ว่า มันอาจจะประทุขึ้นอีกในศตวรรษหน้า ซึ่งถ้าหากเป็นจริง ดังที่นักธรณีวิทยาคาดการณ์ไว้ คงสร้างความเสียหายให้มนุษยชาติอย่างไม่ต้องสงสัย

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2012
  15. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    ภูเขาไฟเยลโลสโตน ก็เป็นระเบิดอีกลูก ที่รอเวลาบึ้มเหมือนกันนะ

    [​IMG]
     
  16. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2012
  17. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    การเปลี่ยนขั้วโลกใหม่

    เหตุ : ทุกรอบ 13,000 ปี สุริยจักรวาล กาแลคซี่ทางช้างเผือก
    และกาแลคซี่ไตรแองกุลัม จะโคจรมาอยู่ในแนวเดียวกัน

    ผล : ในรอบนี้ โลก และสุริยจักรวาล จะเปลี่ยนเข้าสู่แรงดึงดูดของ
    กาแลคซี่ไตรแองกุลัมทางทิศตะวันออก

    องค์ความรู้ฯ ที่ได้นำเสนอแต่โดยย่อดังต่อไปนี้ เป็นองค์ความรู้ของ พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ เจ้าอาวาสวัดดอยเกิ้ง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ท่านได้บวชในบวรพระพุทธศาสนา 2 ครั้ง ครั้งแรก เป็นการลาบวชขณะยังรับราชการครู เป็นเวลา 1 พรรษา เมื่อปี พ.ศ. 2515 หลังจากลาสิกขาบทแล้ว ได้กลับเข้ารับราชการต่ออีกประมาณ 2 ปี และ ในปี พ.ศ. 2517 ได้ลาออกจากราชการเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์อีกครั้ง ตราบจนปัจจุบัน

    พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ สอนหลักของวิปัสสนากรรมฐาน หรือการเคลื่อนที่ของจิต ด้วยอุบายหลัก 2 วิธี คือ การเจริญสติ เพื่อฝึกจิตให้เห็น การเกิด – ดับ ของการกระทบที่เกิดขึ้น เป็นปัจจุบันขณะ และ อุบายของการหมุนธรรมจักร เพื่อฝึกจิตไม่ให้ติดในการกระทบที่เกิดขึ้น ทั้งสองส่วน คือ ที่อายตนะภายนอก และอายตนะภายใน อีกทั้งยังได้ประยุกต์หลักการเคลื่อนที่ของจิต มาเป็นการเคลื่อนที่ของพลังจิต พลังงาน โดยใช้ศาสตร์พีระมิดของชาวแอตแลนตีส เป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญ เพื่อประโยชน์ในการเสริมสร้าง ฟื้นฟู บำบัด รักษาร่างกายด้วยตนเอง

    องค์ความรู้ฯ ว่าด้วยการเปลี่ยนขั้วโลกใหม่ เป็นองค์ความรู้ฯ ที่ได้มาจากการศึกษาด้วย “จิต” ฉะนั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูล

    พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ รู้ถึงเหตุและผล ของแต่ละปรากฏการณ์ หรือ ความเชื่อมโยงของแต่ละเหตุการณ์ได้ด้วยการใช้ แรงสืบต่อ หรือ แรงสันตติ สาวหาเหตุและผล ของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ สลาย ของสรรพสัตว์ ปรากฏการณ์ สุริยจักรวาล กาแลคซี่ จักรวาล ฯลฯ ให้เห็นความจริงที่ผูกโยงเป็นเงื่อนไขว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ย่อมมี เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิด เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ย่อมไม่มี เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป ซึ่งเป็นความรู้ที่ไม่ได้เกิดมาจากการทำงานของสมองและใจ จึงไม่ใช่การพยากรณ์หรือทำนาย แต่เป็นการบอกว่า ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้ว อะไรจะเกิดตามมาในลำดับต่อไป ตามเงื่อนไขที่ผูกโยงไว้อย่างเป็นเหตุและผล ต่อกัน

    เรื่องภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นกับโลกของเราในอนาคตนั้น แท้ที่จริงแล้ว กล่าวได้ว่า เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เพราะโลกของเราเคยเปลี่ยนแปลงเช่นนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น ในรอบเวลาประมาณ 26,000 ปี ตามความรู้ที่ได้จากสโตนเฮนจ์ (Stone Henge) ซึ่งบ่งชี้ว่า ทุกๆ 13,000 ปี จะมีการสลับเปลี่ยนขั้วของแรงดึงดูดที่มีอิทธิพลต่อโลก สุริยจักรวาล เนื่องจากกาแลคซี่ที่มีอิทธิพลต่อสุริยจักรวาลมีด้วยกันถึง 3 กาแลคซี่ ได้แก่

    1. กาแลคซี่ทางช้างเผือก (Milky Way Galaxy)มีศูนย์กลางของแรงดึงดูดอยู่ทางทิศเหนือ ในปัจจุบัน โลก สุริยจักรวาลตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่นี้

    2. กาแลคซี่ไตรแองกุลัม (Triangulum Galaxy) มี ศูนย์กลางของแรงดึงดูดอยู่ทางทิศตะวันออก มีขนาดเล็กกว่ากาแลคซี่ทางช้างเผือก ในอนาคตโลก สุริยจักรวาล จะถูกดึงเข้าสู่แรงดึงดูดของกาแลคซี่นี้ ตามวาระการวนครบรอบอีกครั้ง

    3. กาแลคซี่อันโดรเมดา (Andromeda Galaxy) เป็นกาแลคซี่ที่มีขนาดใหญ่มาก แผ่อิทธิพลควบคุมทั้ง 2 กาแลคซี่ ไม่ส่งผลกับโลกโดยตรง

    ดังนั้น จึงพอสรุปได้ว่า ใน 1 รอบใหญ่ คือประมาณ 26,000 ปี ตามปฏิทินดาราศาสตร์ที่สโตนเฮนจ์ โลก สุริยจักรวาล จะตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ทางช้างเผือก 13,000 ปี และสลับไปอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัม อีก 13,000 ปี


    รายละเอียดของสโตนเฮนจ์ จะกล่าวถึงในภายหลัง

    การประสบกับภัยพิบัติอย่างรุนแรง ถึงกับมีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของพื้นผิวโลก เช่น อาจจะเปลี่ยนจากภูเขาไปเป็นมหาสมุทร จากป่าฝนไปเป็นทะเลทราย จากเขตร้อนกลายเป็นเขตหนาว ฯลฯ นอกเหนือจากเป็นการทำงานตามวาระของธรรมชาติแล้ว ยังมีองค์ประกอบที่ส่งผลร่วมอย่างร้ายแรง คือ การกระทำของมนุษย์ในแต่ละยุคสมัยด้วย

    เมื่อประมาณ 26,000 ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงวาระที่โลก สุริยจักรวาล อยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัม ที่สมบูรณ์ไปด้วยพลังงานที่ดี เช่น กระแสลมปราณ และ มโนธาตุ ส่งผลให้มหาอาณาจักรแอตแลนตีส เจริญสูงสุดในทุกด้าน แต่จุดเสื่อมย่อมเพาะเชื้อก่อกำเนิดมาจากจุดสูงสุดเสมอ เมื่อรู้มาก เก่งมาก จึงนำไปสู่การผลิตอาวุธสงครามที่ร้ายแรง เรียกว่า “อาวุธเส้นแสง” เมื่อ อาวุธเส้นแสง ถูกนำมาใช้ในสงคราม สิ่งที่เกิดตามมา คือ เกิดแรงอัดกระแทกอย่างมหาศาลลงสู่พื้นดิน พร้อมๆ กับการโคจรมาเรียงตัวเป็นเส้นตรงของ สุริยจักรวาล กาแลคซี่ ทางช้างเผือก และกาแลคซี่ไตรแองกุลัม

    ด้วยขนาดของกาแลคซี่ทางช้างเผือกที่ใหญ่กว่า จึงทำให้แกนขั้วโลกจากทิศตะวันออก พลิกเปลี่ยนชี้ไปทางทิศเหนือ มหาอาณาจักรแอตแลนตีส จึงจมลง เปลี่ยนสภาพจากแผ่นดิน กลายเป็นมหาสมุทรในชั่วข้ามคืน เกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพบนพื้นผิวโลกอย่างมโหฬารไปทั่วทุกส่วนของ โลก ตามอัตราส่วนของการมีพื้นน้ำ 3 ส่วน และพื้นดิน 1 ส่วน มนุษย์เสียชีวิตเหลือคณานับ เป็นการสิ้นสุดของยุคทองแห่งแอตแลนตีส

    ชาวแอตแลนตีสกลุ่มหนึ่ง มี ผู้นำเป็นนักบวชที่มีพลังจิตสูง ได้ลงเรือเดินทางออกจาก มหาอาณาจักร ก่อนจะเกิดเหตุภัยพิบัติล่วงหน้าประมาณ 1 เดือน ขึ้นฝั่งในแถบลุ่มแม่น้ำไนล์ ประเทศอียิปต์ในปัจจุบันนี้ การถ่ายทอดอารยธรรมแอตแลนตีสจึงได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง สัญลักษณ์ สิ่งแรกที่ยิ่งใหญ่แสนมหัศจรรย์ที่นักบวชได้สร้างขึ้นด้วยพลังจิต และอาศัยความช่วยเหลือจากชาวดาวอังคาร คือการสร้างสฟิงซ์ (Sphinx) ด้วย เทคนิคการใช้พลังจิต เปลี่ยนวัตถุเป็นพลังงานแสง และเปลี่ยนพลังงานแสงเป็นวัตถุ เป็นรูปสิงโตหมอบ เหยียดขาหน้าทั้งคู่ไปด้านหน้า ลำตัวทอดยาวไปตามแนวทิศตะวันออกและทิศตะวันตก เพื่อเป็นสิ่งบ่งบอกว่า ในอนาคตข้างหน้า เมื่อถึงวาระครบ 13,000 ปีอีกครั้ง ณ ที่ตั้งสฟิงซ์แห่งนี้ จะกลายเป็นตำแหน่งของขั้วโลกใหม่ และ ขั้วโลกจะชี้ไปทางทิศตะวันออก อยู่ในอิทธิพลแรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัม อีกครั้ง นานประมาณ 13,000 ปี

    ชาวแอตแลนตีส มีความชำนาญในการใช้พลังพีระมิดอย่างหลากหลาย และได้ถ่ายทอดสู่ชาวอียิปต์จากรุ่นสู่รุ่น จนกระทั่งอีกหลายพันปีต่อมา จึงได้มีมหาพีระมิดเกิดขึ้น

    เชื่อสายแอตแลนตีส รุ่นต่อๆมา มีการย้ายถิ่นฐาน สร้างเมือง สร้างประเทศใหม่ อารยธรรมแอตแลนตีสจึงกระจายออกไปหลายส่วนของโลก ที่รู้จักกันดี คือ ชนเผ่ามายา หรือ มายัน ผลงานชิ้นสำคัญของพวกเขา คือการจัดวางเสาหิน แท่งหิน ขนาดมหึมาเป็นรูปวงกลมซ้อนกันอยู่ 3 วง เรียกว่า สโตนเฮนจ์ (Stone Henge) อยู่ที่เมือง ซาลเบอรี่ (Salisbury) ประเทศอังกฤษ มีเทคนิคการสร้างเหมือนกับการสร้างสฟิงซ์ คือการใช้พลังจิตเปลี่ยนวัตถุเป็นพลังงานแสงก่อน และเมื่อนำไปจัดวางได้เรียบร้อยแล้ว จึงเปลี่ยนพลังงานแสงคืนกลับเป็นวัตถุอีกครั้ง

    สโตนเฮนจ์ เป็นปฏิทินดาราศาสตร์ ใช้หลักคำนวณจากการโคจรของกาแลคซี่ ทั้ง 3 ใน 1 รอบ คือ 26,000 ปี โดยสามารถถอดรหัสได้ว่าในช่วงระยะเวลา 26,000 ปี สุริยจักรวาลจะตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ทางช้างเผือก 13,000 ปี และอีก 13,000 ปี จะสลับมาอยู่ในอิทธิพลของกาแลคซี่ไตรแองกุลัม

    ฉะนั้น การสร้างสโตนเฮนจ์ มีจุดมุ่งหมาย เพื่อเตือนภัยแก่ชาวโลก เมื่อถึงวาระของการสลับเปลี่ยนขั้วของแรงดึงดูดอีกครั้ง

    การเกิดภัยพิบัติในอนาคตอันใกล้นี้ เป็นความสัมพันธ์ เชื่อมโยงระหว่างอดีตกับปัจจุบันและอนาคต ระหว่างกาแลคซี่ทั้ง 3 กับสฟิงซ์ สโตนเฮนจ์ และแกนพลังงานโลก โดยมีทั้งมนุษย์และธรรมชาติเป็นพลังงานขับเคลื่อน

    แกนพลังงานโลก เป็นแกนพลังงานที่ทอดยาวควบคู่ไปกับแกนสสาร ที่ปัจจุบันชี้ไปทางขั้วโลกเหนือและใต้ แกนพลังงานประกอบด้วยพลังงานสำคัญ 3 อย่าง

    1. พลังงานแม่เหล็กโลก หรือ พลังงานแรงดึงดูดจากศูนย์กลางกาแลคซี่ทางช้างเผือก เป็นแรงร้อยรัดที่ดึงโลกให้อยู่กับสุริยจักรวาล และกาแลคซี่ ตามลำดับ เป็นพลังงานที่มีคุณสมบัติที่ร้อนและหนัก มีสีเข้ม คล้ายสีเทา และอยู่นอกสุดของแกนพลังงาน

    2. พลังงานกระแสลมปราณ มีสีออกเหลือง เป็น พลังงานที่โลกเราได้รับมาจากดวงอาทิตย์ เป็นพลังงานที่ดี มีประโยชน์ เป็นเสมือนภูมิต้านทานร่างกาย ที่มนุษย์ทุกคนได้รับอย่างเท่าเทียมกัน โดยลมหายใจเข้า

    3. พลังงานมโนธาตุ มีสีออกขาว อยู่ชั้นในสุดของแกนพลังงาน เป็นพลังงานดี ช่วยเสริมจิตและใจให้มีคุณธรรม

    เทคโนโลยี ที่เกิดจากการผลิตอุตสาหกรรมหนัก ทำให้เกิดสารตกค้าง CFC หรือ สาร คลอโรฟลูออโรคาร์บอน และยังไม่มีวิธีการใดที่สามารถทำลายสาร CFC นี้ได้สำเร็จ

    สาร CFC มีคุณสมบัติ “เบา กว่าธาตุอื่นๆทุกชนิด” จึงสามารถแทรกเข้าไปทำลายแกนพลังงานโลก เริ่มขบวนการทำลายมาตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2540-2544 จนกระทั่งแกนพลังงานโลกตัน ทำให้แรงร้อยรัด หรือพลังงานแม่เหล็กโลก ที่ส่งออกมาจากกาแลคซี่ทุกวินาที ไม่สามารถไหลทะลุผ่านขั้วโลกเหนือ-ใต้ได้ พลังงานจึงแผ่กระจายไปทั่วทุกส่วนของโลก ทั้งพื้นน้ำ มหาสมุทร พื้นแผ่นดิน แผ่นหินเปลือกโลก ร่างกายมนุษย์ สัตว์ พืช ฯลฯ

    ความร้อนและหนัก จึงฝังตัวติดแน่น สะสมเป็นเชื้อร้ายแฝงอยู่ และเพิ่มอันตรายมากทวีคูณ เกินกว่าจะพรรณนาได้ กล่าวได้เพียงว่า พลังงานแม่เหล็กโลกจากกาแลคซี่ทางช้างเผือก คือพลังงานสำคัญที่ทำลายมนุษย์ และเปลี่ยนโลกใบนี้ในอนาคต

    มนุษย์คือผู้ปล่อยยักษ์ใจร้ายตนนี้ออกมาเอง ใช่หรือไม่ และหากสมมุติว่า จะเนื่องด้วยเหตุผลใดก็ตาม ทำให้ภัยพิบัติจากการเปลี่ยนขั้วโลกใหม่ไม่เกิดขึ้น มนุษย์ สัตว์ พืช ยังคงถูกทำลายอย่างรุนแรงด้วยพลังงานแม่เหล็กโลก และอาจสิ้นชีวิตลงทั้งหมดภายในไม่เกิน 10-15 ปี

    พลังงานกระแสลมปราณ และ พลังมโนธาตุ ที่เป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ ได้ลอยสูงขึ้นๆ ไปอยู่ในบรรยากาศชั้นบนสูงเกินกว่ามนุษย์จะนำเข้าสู่ร่างกายได้ด้วยลมหายใจ เข้า องค์ความรู้ของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ จึงได้นำพลังพีระมิดมาใช้อีกครั้ง

    ปัจจัยสำคัญ และ เป็นความเชื่อมโยงอย่างแสนมหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่ง ของปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ คือการปรากฏของดาวนิบิรุ (Nibiru) เป็นดาวมีสีออกแดง ลักษณะกลมรี คล้ายลูกรักบี้ มีขนาดใหญ่กว่าดาวพฤหัสบดี ประมาณเกือบ 2 เท่า เป็นดาวที่อยู่นอกระบบสุริยจักรวาล มีวงโคจรผ่านทิศตะวันออก

    - ตะวันตก และจะมาเยือน สุริยจักรวาลในทุกๆ 13,000 ปี และ ในรอบนี้
    ดาวนิบิรุ จะมาเรียงตัวอยู่ที่ลำดับหัวแถว ใกล้ๆกับโลก เป็นการเพิ่มแรงดึงดูดให้กับ กาแลคซี่ไตรแองกุลัม ที่มีขนาดเล็กกว่ากาแลคซี่ทางช้างเผือก จนสามารถดันขั้วโลกเหนือไปเป็นขั้วโลกตะวันออก

    เมื่อรอบ 13,000 ปีที่ผ่านมา ดาวนิบิรุ โคจรมาและได้ไปเรียงตัวอยู่ด้านปลายแถวของ สุริยจักรวาล

    เมื่อ ใกล้ช่วงเวลาของการเกิดภัยพิบัติ เปลี่ยนขั้วโลกใหม่ ดาวนิบิรุ ( ซึ่งขณะนี้ ดาวนิบิรุ ได้เข้ามาเยือนสุริยจักรวาลแล้ว แต่ยังอยู่ไกลมาก ) จะมาอวดสายตาแก่ชาวโลกทางด้านทิศตะวันออก มองเห็นได้อย่างชัดเจน อยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์ เป็นดาวสีแดง มองแล้วเหมือนกับว่ามี ดวงอาทิตย์ขึ้น 2 ดวง หากมนุษย์มองดาวดวงนี้แล้วจะ รู้สึกจิตใจหดหู่ เศร้าหมอง ดาวนิบิรุจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าดาวมฤตยู (แต่ไม่ได้หมายความถึงดาวพลูโตเลย) และ มาตรวัดความหนาแน่นของพลังงานแม่เหล็กโลกจะอยู่ที่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นทิศที่คั่นกลาง เป็นช่องว่าง เป็นเขตปลอดพลังงาน ทั้งของกาแลคซี่ทางช้างเผือกและกาแลคซี่ไตรแองกุลัม หาก เมื่อใดพลังงานแม่เหล็กโลก หนาแน่นจนเต็มพิกัด และไม่สามารถทะลุผ่านไปจนสุดขอบทางทิศตะวันออกได้ พลังงานแม่เหล็กโลกจะรีดเป็นเส้นตรง เปลี่ยนเป็นพุ่งทะลุขึ้นไปด้านบน ตามแนวทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ปะทะชนกับพลังงานของกาแลคซี่อันโดรเมดา ที่มีขนาดใหญ่กว่าหลายพันเท่า พลังงานแม่เหล็กโลกจึงถูกอัดกลับเข้าสู่โลก สุริยจักรวาลอีกครั้ง เกิดปรากฏการณ์ “แสงวาบ” ที่ยิ่งใหญ่ เห็นได้ทั่วจักรวาล

    การสั่นไหวอย่างรุนแรง การเคลื่อนที่สับเปลี่ยนแผ่นดิน แผ่นน้ำ เกิดลมพายุ น้ำท่วม การหล่นกระจายของแผ่นฝ้าน้ำแข็งเพดานโลกที่เกิดจากการสะสมของควันน้ำมัน ฯลฯ กระบวน การเปลี่ยนขั้วโลกใหม่นี้ใช้เวลา ประมาณ 3 วัน 3 คืน

    มนุษย์ ประกอบด้วย จิตและกาย หากยังมีความคิดว่า “ชีวิตเป็นสิ่งมีค่า ควรรักษาไว้” จึงควรแสวงหาทางรอด ตามวิถีความเชื่อของแต่ละบุคคล สำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับการฝึกจิต ควรเข้าใจให้ชัดเจนว่า พลังงานแม่เหล็กโลกที่ไม่ได้อยู่ในแกนพลังงานโลก เป็นพลังงานกั้นบัง ฉุดรั้ง เป็นเสมือน ตัณหาที่ฉาบทาโลก ส่งผลให้การฝึกจิต ทำได้ยากยิ่งขึ้น หากโลกเราได้แกนพลังงานใหม่เปลี่ยนเป็นขั้วโลกตะวันออกเป็นกาแลคซี่ใหม่ที่ สมบูรณ์ด้วยพลังงานกระแสลมปราณ พลังมโนธาตุ ซึ่งเหมาะแก่การฝึกจิตเป็นอย่างยิ่ง

    ในที่สุด คำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้ก็สำเร็จตามจิตประสงค์ มหาอาณาจักรแอตแลนตีสที่เคยจมหายไปร่วม 13,000 ปี จะได้มีโอกาสโผล่ขึ้นมาอวดโฉมอีกครั้ง เป็นการปิดฉาก บทบาทของ สฟิงซ์ และสโตนเฮนจ์ อย่างถาวร

    หากท่านใดยังรู้สึกอาลัยอาวรณ์ ตัดใจไปจากกาแลคซี่ทางช้างเผือกไม่ได้ โปรดอดใจรอไปก่อน อีกเพียง 13,000 ปี เท่านั้น

    สิ่งเตือนใจ อายุขัยของมนุษย์ สัตว์ นั้นแสนจะสั้น มีอายุได้อย่างมากไม่เกิน 100 ปี หากยังดับกิเลสได้ไม่หมดสิ้น ย่อมไปจุติ เวียนว่ายต่างภพ ต่างภูมิ ตามผลของการกระทำที่เคยสร้างไว้ และถ้าหากไม่เคยฝึกจิต คงไม่สามารถรู้ถึงเหตุและผล ของการตกอยู่ในสังสารวัฏ และการวนรอบของปรากฏการณ์ทุกอย่างได้ จึงเชื่อเฉพาะสิ่งที่รู้ได้ด้วยใจและสมองเท่านั้น เพราะ “จิต” ที่ยังไม่ “หลุดพ้น” ย่อมตกอยู่ภายใต้อำนาจ การบงการของ “ใจ” อย่างถอนไม่ขึ้น

    เรียบเรียงโดย จีรพันธุ์ ประศาสน์วุฒิ
    1 ธันวาคม 2553

    เครดิต..https://sites.google.com/site/benlife55/prarat01
     
  18. นางไพจิตต์

    นางไพจิตต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    320
    ค่าพลัง:
    +956
    ...............................................................................
    น่าหยิกนัก..น่ะคนซัววววววว...:eek:
     

แชร์หน้านี้

Loading...