หาธรรมะอ่านเอง ก็เหมือนหายากินเอง ไม่ผ่านแพทย์ตรวจสั่ง จึงหลงธรรมะ?

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย anakarik, 27 มีนาคม 2012.

  1. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722

    นึกถึงพ่อของผม ตอนที่เขามีผมเกิดมาแรกๆ
    แม่เล่าให้ฟังว่าพ่อดีมากเลย แต่หลังๆ พ่อแย่
    ลง จึงกลายเป็นความทรงจำที่ดีในอดีตไป


    แต่ตอนนี้พ่อดีขึ้นแล้ว พ่อเปลี่ยนไป ส่วนผม
    ก็เกิดใหม่ เป็นลูกคนใหม่ เหมาะสมกันดีไหม
    ครับ พ่อทำให้ผมเกิดก่อน ต่อมาผมทำให้พ่อ
    ได้เกิดใหม่บ้าง ตอนนี้ ผมจะเป็นพ่อได้ไหม?
     
  2. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    "ธรรมะจากพระโอษฐ์" ตามความคิดของท่านพุทธทาสนั้น ไม่มีจริง?


    ธรรมะจากพระโอษฐ์ ย่อมหมายถึง ธรรมะที่เราได้ฟังจากพระโอษฐ์โดยตรง
    ทว่า ในปัจจุบัน เราล้วนได้รับจาก "ตำราคัมภีร์ต่างๆ" ซึ่งคัดลอก จดจำต่อๆ
    กันมาอีกที จึงไม่ใช่ธรรมะจากพระโอษฐ์ แต่อาจแสดงความคิดเห็นได้ว่านั่น
    คือธรรมะที่ใกล้เคียงจากพระโอษฐ์มากที่สุด (ตามความคิดเห็นของแต่ละคน)
    ก็สามารถทำได้ แต่ไม่ใช่พระธรรมจากพระโอษฐ์จริงๆ ในปัจจุบัน เราสามารถ
    "รับธรรมะจากพระพุทธเจ้าได้โดยตรง" จาก "พระจิต" ไม่ใช่จาก "พระโอษฐ์"
    เพราะทรงกระทำ "ขันธปรินิพพาน" แล้ว ขันธ์ทั้งห้าย่อมนิพพานไปบ้าง ตาม
    ผลแห่งการกระทำนั้นๆ จึงไม่เหลือสรีระสังขาร ย่อมไม่เหลือมี ธรรมะจากพระ
    โอษฐ์ได้อีก แต่ทรงมิได้กระทำ "นิพพานจิต" ดังนั้น ยังคงเหลือ "พระจิต" ที่
    ทำหน้าที่พระพุทธเจ้า ต่อจนกว่าพระพุทธศาสนาจะหมดอายุตามวาระ คือ ห้า
    พันปี ดังนั้น เราสามารถใช้จิตของเรา ซึ่งมีระดับความละเอียดเดียวกันกับพระ
    จิตของพระพุทธเจ้าไม่ต่างกัน (จิตมีลักษณะหนึ่งเดียวกันเท่านั้นคือประภัสสร)
    ตรงสู่ท่านได้โดยตรง ย่อมรับธรรมจากท่านได้โดยตรง ไม่ผ่านสิ่งอื่นใด ขวาง
    นั่นคือ "ธรรมะโดยตรงจากพระจิตของพระพุทธเจ้า" มิใช่จากพระโอษฐ์นั่นเอง


    และนี่คือ "สิ่งที่พระสาวกทั้งหลายต่างค้นหา" กัน บางท่านเพียรพยายามศึกษา
    ตำราคัมภีร์ต่างๆ แบบนักวิชาการกระทำ บางท่านค้นหาเลยไปนอกนิกายของตน
    ที่ตนศึกษาก่อนแล้ว ก็มี แต่ "ตำราทั้งหลาย" ล้วนไม่อาจเทียบได้กับพระพุทธเจ้า
    ที่ทรงประทานธรรมะแก่เราโดยตรงอย่างแท้จริงได้เลย ดังเหตุผลที่ได้กล่าวมาแล้ว
     
  3. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    สำนักโปเยวัชรธร บิดเบือนพระธรรม
     
  4. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ธรรมะ 84,000 ธรรมขันธ์ เป็นธรรมชาติมีอยู่แล้ว เมื่อยึดถือก็เป็นดั่งขันธ์


    ธรรมทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์นั้น พระพุทธเจ้ามิได้ทรงต้องการให้พระสาวกรู้จน
    หมด แต่ทรงบอกเน้นย้ำชัดเจนว่า "ใบไม้ในกำมือก็พอ" ครั้งหนึ่ง มีพระสาวกสงสัย
    ว่าทำไมพระสาวกบางรูปได้ธรรมบางอย่าง, บางรูปได้อีกอย่าง บ้างอยากได้บ้าง ก็
    พอกันไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ๆ ก็ทรงชี้ให้ดู "ใบไม้ทั้งป่า" ทรงกำชับว่าท่านมีธรรม
    ดุจใบไม้ทั้งป่านั้น แต่ไม่จำเป็นที่พระสาวกต้องบุกเข้าไปยึดถือเอามาเลย ท่านทรง
    เลือกให้เอง "หนึ่งกำมือก็พอแล้ว" เพราะ "อินทรีย์ของคนแต่ละคน เหมาะสมที่จะ
    รับธรรมได้ต่างกัน" มากน้อย, หนักเบา, ลึกตื้น, ง่ายยาก ฯลฯ ไม่เท่ากัน พระสาวก
    บางรูป พระพุทธเจ้าถึงขนาดพาไปดูนางฟ้าแล้วให้สัญญาว่า "ถ้าบรรลุธรรมแล้วจึง
    จะประทานนางฟ้าให้" ทว่า ท่านนั้นกลับบรรลุธรรมโดยง่ายและไม่คิดมีภรรยาเป็น
    นางฟ้าอีกเลย (น่าแปลกไหม? ยิ่งพาไปกลับไม่เอา) แต่สำหรับพระสาวกบางรูปนั้น
    เพียงแค่คิดถึงสีกาเท่านั้น พระพุทธเจ้าก็ทรงเตือนสติอย่างแรง ถึงความลุ่มหลงใน
    กามคุณของพระสาวกเหล่านั้น? ทำไม? จึงแตกต่างละ? นี่เพราะอินทรีย์ของสัตว์
    นั้นต่างกัน มิใช่เพราะทรงลำเอียงเลย แต่เพราะปวงสัตว์มีอินทรีย์ที่เหมาะสมที่จะรับ
    ธรรมได้แตกต่างกัน ซึ่งไม่ใช่ใครๆ ก็จะมาคิดแทนพระพุทธเจ้าได้ ไม่ใช่ว่าใครก็เอา
    ธรรมะมาแจกจ่ายกันได้ ดุจผู้ไม่ใช่แพทย์เอายามาแจกจ่ายเองนั้น ย่อมไม่เหมาะสม


    ด้วยธรรมะที่อยู่ในผู้ไม่เหมาะสมนั้น อยู่ในผู้มีอินทรีย์ไม่พร้อมรับนั้น ย่อมไม่ต่างจาก
    "ขันธ์ๆ หนึ่ง" ท่านจึงเรียกพระธรรมทั้ง 84,000 ธรรมขันธ์ว่า "ธรรมขันธ์" ไม่ใช่ว่า
    "ธรรมนิพพาน" คือ ยังเป็นขันธ์อยู่ ยังมิได้นิพพาน ยังเกิดอัตตาได้อยู่ ยังติดภาวะดับ
    ได้อยู่ ยังไม่พ้นจากการเกิดและดับ ยังไม่ใช่นิพพานที่แท้จริง จึงเป็น "พระธรรมขันธ์"
     
  5. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระจิด
    โลกเที่ยง
    สรรพสิ่งเที่ยง

    ----
    คำสอนสำนักโปเยวัชรธร
     
  6. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    พระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงแล้ว ไม่ต้องเสียดายว่าจะเลือนหายไป


    พระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่ผู้ใดแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจะเลือนหายไปเลย
    เพราะธรรมนั้นเหมาะสมกับบุคคลและสถานการณ์นั้นๆ แล้ว ไม่ใช่จะเอาไปให้ใคร
    ต่อแล้วจะบรรลุธรรมเพราะธรรมนั้นได้ นั้นไม่ใช่วิถีของพระพุทธศาสนา เป็นวิถีที่
    เรียนรู้ผ่านตำราแบบพราหมณ์ฤษีเท่านั้น บุคคลจะบรรลุธรรมได้โดยรับธรรมจาก
    พระพุทธเจ้า "โดยตรง" เพราะทรงเป็นเหมือนแพทย์ที่ดูอาการและวินิจฉัยคนไข้
    แต่ละคนก่อน จึงจัดยาให้ หรือพิจารณาอินทรีย์ห้าของแต่ละคนก่อนแล้วจึงจะให้
    "ธรรมที่เหมาะสมแก่อินทรีย์ของผู้รับนั้น" ดังนั้น ธรรมใดที่ไม่ทรงให้แก่ใคร ก็ไม่
    ต้องไปเอาธรรมนั้นมาให้กันเอง แจกกันเองนั้น มิได้ช่วยให้บรรลุธรรมจริง จะได้
    เพียง "ปฏิบัติบำเพ็ญ" เอาบุญบารมี, พัฒนาอินทรีย์เป็นเบื้องต้นไปก็เท่านั้นเอง


    การรับธรรม ดุจรับยารักษาโรค จำต้อง "ผ่านนายแพทย์ผู้ทำการรักษาก่อน" การ
    รับธรรมะจึงต้องผ่านพระพุทธเจ้าก่อน แล้วจึงรับธรรมะที่เหมาะควรแก่อินทรีย์ได้
    ส่วนบุคคลแต่ละคน ปฏิบัติบำเพ็ญก็เพียงเพื่อพัฒนาอินทรีย์ให้พร้อมรองรับธรรม
    ก็เท่านั้น ไม่อาจนำเอาธรรมะไปปฏิบัติเอง เพื่อหวังผลบรรลุธรรมด้วยตนเอง ได้
     
  7. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    การรับธรรมไม่ใช่การรับยารักษาโรค
    หมอยังไม่ล่วงพ้นจากความตายไปได้

    พระพุทธเจ้าให้พระธรรมเป็นศาสดาแทนพระองค์
    ให้พระสงฆ์สาวกฯเป็นผู้บอกสอนธรรม
    มนุษย์ทุกคนสามารถฟังธรรมจากพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า
    มนุษย์ทุกคนสามารถปฏิบัติธรรมสมควรตามธรรม
     
  8. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    การนำ "ธรรมะของพระพุทธเจ้า" ไปใช้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตน เกิดขึ้นแล้ว


    ไม่ยากเลย พวกเขาเพียงแค่เรียนรู้ธรรมะแบบอธิบายต่อๆ ไปใน "แบบที่คนนิยมได้"
    จากนั้น จึงใช้ธรรมะที่ไม่ได้เกิดในตน ไม่ได้เกิดจากปัญญา ไม่ได้เกิดจากความรู้แจ้ง
    ของตนเองนั้น เอาไปใช้ "ทำให้คนลุ่มหลงตนเอง" นิยมชมชอบตนเอง และแห่ห้อม
    ล้อมตนเอง ยกตนเองให้สูงขึ้นดุจเทพเจ้า มีฐานะสูงส่ง มีบริวารห้อมล้อม ปกป้องตน
    ไม่ให้ใครมาแตะต้องได้ในฐานะ "พระอรหันต์" นั่นเอง กระบวนการนี้เป็นพุทธพาณิชย์
    ที่นำ "เงินไหลเวียนเข้าสู่ระบบ" เป็นอันมาก ทั้งบางจุดยังเป็น "สถานที่ฟอกเงิน" ลับๆ
    อย่างแนบเนียนอีกด้วย เช่น การที่เศรษฐีได้เงินผิดกฏหมายมาแล้ว จึงใช้การทำบุญนั้น
    เป็นการฟอกเงิน แสร้งวางเงินทำบุญเยอะๆ ให้คนแห่ทำตามๆ กัน สร้างเรื่องราวข่าวบุญ
    ให้เด่นดังแล้วทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ ให้คนแห่ตามๆ กันมาเยอะๆ เพื่อให้ได้เงินมาก
    ในที่สุด ก็ฟอกเงินสำเร็จ ยังมี "กรรมอีกมากมายที่เกิดขึ้นจากพุทธพาณิชย์" ซึ่งจะส่งผล
    ให้ผู้กระทำต้อง "รับกรรมหนัก" ไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่ได้รับในปัจจุบันเลย และไม่มีใครจะห้าม
    หรือหยุดยั้งได้อีก ซึ่งข้าพเจ้าเอง ไม่ได้ตัดสินว่าใครทำ ใครผิด เพียงแต่อธิบายกรรมที่มี
    ที่เกิดขึ้นแล้ว ให้บางท่านทราบไว้ เพื่อไม่หลง เพื่อความตื่นแจ้งขึ้นเท่านั้น สิ่งเหล่านี้ล้วน
    "มีกรรมของปวงสัตว์เป็นเหตุ" ทำให้เกิดขึ้น มีขึ้น ทำให้พวกเขาหลง พระอรหันต์ปั้นแต่ง
    เหล่านั้น ด้วยเหตุนี้ "ธรรมะจึงกลายเป็นยาเสพติดและยาพิษร้ายแรง" ที่ขยายวงกว้างขึ้น
    ไปอีก อย่างที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ ผลก็คือ ปวงสัตว์ที่ไม่รู้ ได้รับแล้วจึงลุ่มหลงไปตามๆ กัน
    และยิ่งทำให้ "มืดบอด" หาทางหลุดพ้นไม่เจอ หลงทาง หลงพระอรหันต์ปั้นแต่งกันต่อไป
     
  9. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    คำสอนสำนักโปเยวัชรธรและพ้องเพื่อน

    พระเจ้า
    ผลแอปเปิล
    มาร์คไรเดอร์
    อุลตร้าแมน
    มหาบุรุษเพศ
    พลัง "หยาง-เอี๊ยง"
    พลัง "อิม-เอี๊ยง"
    มีกามกัน
    แลกเปลี่ยนลมปราณกัน
    เทพราหู
    จิตวิญญาณมืด
    ปีศาจ
    ครึ่งปีศาจ
    เซียน
    ธรรมผ้าขาว
    พลังปราณทิพย์
    ความรัก
    ดวงใจทิพย์
    พระวิญญาณบริสุทธิ์
    พลังฟ้า
    โลกเที่ยง
    สรรพสิ่งเที่ยง
    การรับธรรม ดุจรับยารักษาโรค
     
  10. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    ยอด เยี่ยม ครับ แต่ จะ มี ใคร บ้าง ที่ หลง ไป แล้ว จะ ย้อน กลับ มา ดู ตน
     
  11. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    เพราะ ตน ที่ หลง ทาง มัว แต่ นั่ง พิจารณา สิ ครับ จึง หลง ทาง เอา แต่ จะ ตัด โน้น ตัด นี่ จึง หลง ประเด็น

    ทำ ต่อ ไป ครับ

    ถาม จขกท จริง ๆ แล้ว ต้อง มา นั่ง พิจารณา ตัด หรือ เปล่า ล่ะ ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มีนาคม 2012
  12. Sora Aoi

    Sora Aoi Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +28
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ วัชรธร [​IMG]
    อาการต้องพิษธรรมะ เอาไปปฏิบัติจิตจนผิดทาง ทำให้ผิดปกติ ผิดธรรมชาติ


    1. อาการปฏิเสธโลก : คือ หลงคิดไปว่าโลกไม่เที่ยง จึงมีทัศนคติเชิงลบต่อโลกและ
    มองโลกในแง่ลบลงเรื่อยๆ ไม่ได้มีสายตาอันเนกลาง หรือจิตใจอันเป็นกลางเลย เมื่อ
    ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ก็จะยิ่งจมดิ่งลงสู่ "ความรังเกียจโลก" และ "คิดทำลายล้างโลก" ไป

    2. อาการตัดทุกอย่าง : คือ หลงคิดไปว่าสรรพสิ่งไม่เที่ยง จึงต้องไป "ตัดความอยาก
    ความยึดมั่น และกิเลส" เสีย ฝึกจิตให้ "ตัดฉับพลัน" ได้ตลอด เลยตัดขาดกับทุกอย่าง
    จนท้ายที่สุด ก็ "โดดเดี่ยว" เพราะตัดขาดกับทุกสิ่ง ตัดแม้แต่สายสัมพันธ์ตามธรรมชาติ

    3. อาการคุมทุกอย่าง : คือ หลงคิดไปว่าสรรพสิ่งไม่เที่ยง จึงต้องไป "คุมใจตัวเองให้
    ไม่อยาก ไม่ยึด ไม่มีกิเลส" แบบนี้พบบ่อยในผู้เคร่งศีล และไม่เข้าใจคำว่า "ศีล-ปกติ"
    จึงฝึกจิตจนไม่ปกติ ไม่เป็นธรรมะ ธรรมดา ธรรมชาติ คุมจิตใจตนเองทุกอย่างได้หมด

    4. อาการดับทุกอย่าง : คือ หลงคิดไปว่าสรรพสิ่งไม่เที่ยง จึงต้องไป "ดับกิเลส ดับ
    ให้หมดทุกอย่าง" ฝึกจิตในทางดับสลาย จนพลังจิตแก่กล้า ดับได้ทุกอย่าง แม้แต่จิต
    ใจตัวเอง ก็สามารถดับได้ ทำให้จิตใจถูกทำให้ผิดธรรมชาติ ยึดอยู่แต่ความดับสูญไป

    5. หยุดยั้งการเกิดทุกอย่าง : คือ หลงคิดไปว่าสรรพสิ่งไม่เที่ยง จึงต้องไป "หยุดยั้ง
    การเกิดของกิเลสเสียต้นทาง" ไปอุปทานยึดมั่นว่าต้องไม่ให้มันเกิด ต้องไม่เกิดอีกจึง
    จะนิพพานตามนิยามนั้นได้ (ไม่เกิด) ด้วยสติว่องไว และกำลังจิตสูงก็ห้ามการเกิดได้

    6. รูปลักษณะแห่งพระอรหันต์ : คือ หลงคิดไปว่าพระอรหันต์ ต้องเป็นอย่างนั้น "จึง
    ไปฝึกเปลือกนอก ลักษณะต่างๆ ตามนั้น ดุจพระอรหันต์ในความคิดของตน" ซึ่งเป็น
    การอุปทานไปเอง คิดวาดภาพพระอรหันต์ไปเอง ว่าเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ แล้วไปฝึกเอา


    อาการของ "ต้องพิษธรรมะ" ยังมีอีกมากมาย และการแก้ไข จำต้องอาศัยวิธี "พิษ
    ต้านพิษ" ให้สลายแก้ไขให้สิ้น กระทบกันให้เป็น 0 กันไปเอง (หมดทั้งสองพิษ) จึง
    จะคลายหายได้ จากอาการต้องพิษธรรมะเหล่านี้ จำต้องรับ "ธรรมะแบบมีพิษ" เพื่อ
    สลายพิษธรรมะเดิมที่ตนได้รับก่อน จึงมีอินทรีย์พร้อมรับธรรมะอันถูกต้องตรงทางได้





    วินิจฉัยโรคให้กับตัวเองเหรอค๊ะท่าน
     
  13. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    วิธี การ แก้ พิษ ธรรมะ ทำ อย่าง ไร

    ต้อง เอา พิษ อีก ชนิด มา แก้ คือ

    เอา พวก จริต เดียว กัน มา แก้

    คือ จริต (อุปนิสัยเดียวกัน)

    จริต ถั่วๆ แบบ ขาว ไป แก้ จริต ถั่วๆ

    แบบ ดำ จึง จะ เข้า รส ชาด ครับ
     
  14. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    เพราะ พวก เขา เหล่า นั้น เลียน แบบ แพทย์ ไง

    ครับ แพทย์ บอก ทาน ยา อย่าง นี้ แล้ว ไม่ ฟัง ....

    จึง อยาก จะ เป็น แบบ แพทย์ อยาก รู้ แบบ แพทย์

    ออก ใบ สั่ง ยา เอง เพราะ คิด ว่า รู้ แบบ แพทย์

    แล้ว....
     
  15. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    เสินหนง ปรมาจารย์การแพทย์แผนจีน ผู้ทำการทดลองกินยาพิษด้วยตัวเอง


    เพื่อให้ได้รู้ว่ายาชนิดใดเป็นพิษ หรือแก้พิษได้ เสินหนง ปรมาจารย์การแพทย์แผนจีน
    จึงทดลองกินยาชนิดต่างๆ ซึ่งมีพิษเข้าไปถึง 70 กว่าชนิด กว่าจะได้ซึ่งภูมิปัญญามา
    การเอาตัวเองเป็นหนูทดลอง ไม่ได้ใช้คนไข้เป็นหนูทดลอง ทำให้เสินหนงต้องพิษซึ่ง
    "โรคใดที่คนไข้เป็น เสินหนงผ่านมาก่อนแล้ว" จึงรักษาคนไข้ได้ นี่ไม่ใช่ "สิ่งที่ควรดู
    ถูกเหยียดหยาม" อันคนใจทรามต่ำช้าเท่านั้นจะกระทำเพราะเป็นความเสียสละยิ่งของ
    ปรมาจารย์ด้านการแพทย์ ดังข้อมูลประวัติการบำเพ็ญบารมีของเสินหนง ต่อไปนี้ครับ

    .........................................................................................


    เสินหนง

    <!-- /firstHeading --><!-- bodyContent --><!-- tagline -->
    เสินหนง (อังกฤษ: Shennong; จีน: 神農; พินอิน: Shénnóng; สำเนียงแต้จิ๋ว: ซิ่งล้ง, สำเนียงฮกเกี้ยน: สินเหน่ง) กษัตริย์ในตำนานของจีน ในยุคเริ่มต้นของอารยธรรมมนุษย์ มีอีกชื่อหนึ่งว่า เสินหนงสื่อ (จีนตัวเต็ม: 神農氏, จีนตัวย่อ: 神农氏, พินอิน: Shén nóng shì) โดยมีความหมายว่า "เทพเจ้าแห่งชาวนา"
    เสินหนงเป็นหัวหน้าเผ่าแซ่เจียง เมื่อ 5,000 ปี ก่อน ได้ร่วมทำไร่ไถนากับชาวบ้านสามัญชน และเป็นผู้คิดประดิษฐ์คันไถด้วยไม้และสอนให้ผู้คนรู้จักการปลูกข้าว ทำไร่ไถนา ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนพัฒนาการเกษตรเป็นอย่างมาก ด้วยคุณงามความดีทางด้านการเพาะปลูก ผู้คนทั้งหลายจึงให้ความเคารพนับถือมาก
    สมัยเสินหนงเป็นระยะแรกเป็นไปเป็นแบบลูกชายสืบทอดเชื้อสายจากสายของพ่อ ประชาชนอยู่ด้วยกันอย่างปรองดองไม่มีการกดขี่ขูดรีด ตามบันทึกของจีนบันทึกไว้ว่า ในช่วงที่เสินหนงเป็นหัวหน้าเผ่านั้น แบ่งหน้าที่ตามสถานะทางเพศชัดเจน ผู้ชายออกจากบ้านไปทำไร่ไถนา ผู้หญิงทอผ้าในบ้าน การปกครองประเทศไม่ต้องมีเรือนจำและการลงโทษ และก็ไม่ต้องมีการทหารและตำรวจ
    แต่คุณูปการที่สำคัญยิ่งของเสินหนงได้แก่ การเสาะหาสมุนไพรตาม ป่าเขา เพื่อใช้รักษาโรคของผู้คนทั้งหลายและในการทดสอบสรรพคุณ ของสมุนไพรว่า จะรักษาโรคเช่นไรได้ เสินหนงได้ใช้ตนเองเป็นเครื่องทดลอง ด้วยการลองกินสมุนไพรชนิดนั้น ๆ ดูว่า จะมีผลต่อร่างกายอย่างไร จึงถูกพิษเล่นงานบ่อยครั้งจนกระทั่งบางวันเป็นพิษถึง 70 กว่าครั้งภายในวันเดียว กล่าวกันว่าเสินหนงยังได้แต่งหนังสือชื่อ "เสินหนงไป๋ฉ่าว" แปลว่า "ยาสมุนไพรเสินหนง" โดยได้จดบันทึกใบสั่งยาสมุนไพรที่รักษาโรคแต่ละอย่างไว้ จึงอาจถือได้ว่าเป็นตำราทางการแพทย์เล่มแรกของโลกก็ว่าได้
    นอกจากนี้แล้ว เสินหนงเป็นคนแรกที่รู้จักการดื่มน้ำชา เล่ากันว่า เสินหนงดื่มเฉพาะน้ำต้มสุก วันหนึ่งขณะที่เสินหนงกำลังพักผ่อนอยู่ใต้ต้นชาในป่า และกำลังต้มน้ำอยู่ ปรากฏว่า ลมได้พัดโบกใบชาร่วง หล่นลงในน้ำที่ใกล้เดือดพอดีเมื่อลองดื่มดูก็เกิดความรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาก จึงเป็นที่ของวัฒนธรรมการดื่มชาของชาวจีนจนปัจจุบัน
    ในทางด้านวิทยาการ เสินหนง ยังเป็นนักปฏิทินดาราศาสตร์ ได้ปรับปรุงและขยาย "แผนภูมิปากั้ว" หรือ "แผนภูมิ 8" ที่ "ฝูซี" (伏羲) เป็นผู้คิดค้นขึ้นเพื่อใช้ในการแสดงปรากฏการณ์ของธรรมชาติและปรากฏการณ์ของมนุษย์ต่าง ๆ มาเป็น "ลิ่วสือซื่อกั้ว" หรือ "แผนภูมิ 64" ตั้งชื่อว่า "กุยฉาง" ซึ่งนอกจากใช้บันทึกเหตุการณ์ แล้ว ยังนำมาใช้ในการเสี่ยงทายได้ด้วย (ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็นอี้จิง หรือ โจวอี้) นอกจากนั้น เมื่อเสินหนงเห็นคนบางคนต้องการสิ่งของที่ตนเองผลิตไม่เป็น แต่บางคนกลับมีเกินความจำเป็น ทำให้การดำรงชีวิตไม่สะดวกสมดุล จึงเสนอให้ประชาชนนำสิ่งของของตนไปแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน และให้มีการค้าขายกัน จึงถือได้ว่าระบบเศรษฐกิจของจีนถือกำเนิดมาในยุคนี้เอง
    เพื่อให้ประชาชนมีความสนุกสนานหลังใช้แรงงานแล้ว เสินหนง ได้คิดประดิษฐ์เครื่องดนตรีชนิดหนึ่งเรียกว่า "อู่เสียนฉิน" หรือ พิณ 5 สาย ที่มีเสียงไพเราะน่าฟัง
    เสินหนงเป็นหัวหน้าเผ่านานถึง 140 ปี ภายหลังหวงตี้ได้เข้าครองตำแหน่งการปกครองต่อมา ส่วนสุสานของเสินหนงอยู่ที่เมืองฉางชาของมณฑลหูหนานในปัจจุบัน แต่คนทั่วไปเรียกว่า สุสานเหยียนตี้<SUP id=cite_ref-0 class=reference>[1]</SUP>
    <SUP></SUP>
    <SUP></SUP>
    เสินหนง - วิกิพีเดีย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 มีนาคม 2012
  16. rnuir

    rnuir เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    198
    ค่าพลัง:
    +218
    เรารวมอยู่ในธรรมชาติ ใช้กฎเดียวกับธรรมชาติคือความไม่เที่ยงซึ่งมีปัจจัยประกอบกัน
    ไม่มีอะไรในธรรมชาติเป็นเรื่องที่ไม่มีที่มา
    ทุกอย่างมีเหตุผลที่ต้องมี
    โดยเฉพาะความรู้สึก มันมีเหตุผลที่ต้องมี
    เพื่อทำให้จิตเปลี่ยนไปตามสิ่งที่มาตกกระทบ ซึ่งเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ
    แต่ให้เรารู้ว่ามันเป็นเรื่องปรกติที่เกิดขึ้น

    ผมคิดว่าหลักการคิดต้องง่ายๆ ง่ายต่อการนำไปใช้ไม่ยุ่งยาก
    หลักของผมก็มีอยู่ว่า
    เราต้องเข้าใจสภาพรอบตัวเรา และสภาพในตัวเรา
    โกรธก็โกรธ เศร้าก็เศร้า ดีใจก็ดีใจ อยากก็อยาก เพราะมันมีมากับเราตั้งแต่เกิด
    มันเป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมา เราต้องเข้าใจมัน

    ผมไม่มีศาสนา อย่าคิดว่าผมเป็นพุทธเลย จะได้ไม่กระทบคำสอนของศาสนาท่านๆนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มีนาคม 2012
  17. หนุ่มยาดอง

    หนุ่มยาดอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2011
    โพสต์:
    678
    ค่าพลัง:
    +680
    ฟังจากที่ท่านพูด สรุปได้ว่า..ท่านต้องเป็นพ่อที่ดีครับบ..โมทนา
     
  18. เจษฎรธรรม

    เจษฎรธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +29
    กระผมได้ความรู้จากท่านในข้อนี้ครับ

    ขอบคุณครับ


    1. หลงตัวเองว่าบรรลุธรรมะ : เป็นอาการแรกที่พบได้บ่อยมาในคนที่เอา
    ธรรมะของพระพุทธเจ้าไป โดย "ไม่ผ่านการพิจารณาแล้วสั่งให้โดยท่าน"
    เมื่อหลงคิดว่าตนดีเลิศแล้ว เอาธรรมะไปศึกษา คิดว่าตนบรรลุธรรม แล้ว
    จึงหลงตนว่าบรรลุอรหันตผล ไม่มีผู้ใด จะแก้ไขให้หายจากโรคอวิชชาได้
     
  19. SegaMegaHyperSuperCyberNeptune

    SegaMegaHyperSuperCyberNeptune "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านกระทู้ผม"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    4,087
    ค่าพลัง:
    +3,394
    เหมือนเรือของเล่นวนอยู่แต่ในอ่างสินะ ไม่รู็ว่าโลกภายนอกยิ่งใหญ่แค่ไหน
     
  20. มหาวัฎร

    มหาวัฎร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +150
    พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์ ด้วยประการดังนี้ แล้วจึงตรัสเทศนาต่อไปอีกว่า อานนฺท ดูกรอานนท์ บุคคลผู้มีปัญญาพึงคิดถึงตนแล้วปราบใจ ของตนให้พ้นจากทุกข์และความลำบาก และให้ออกจากบ่วง แห่งกิเลสมารให้ได้เถิด ถ้าไม่คิดอย่างนี้ แม้จะมีปัญญาก็มี เสียเปล่า ไม่นับเข้าในจำนวนที่มีปัญญา กิริยาที่พ้นทุกข์ และ พ้นออกจากบ่วงแห่งกิเลสมารได้ ก็คือพ้นจากกิเลสตัณหา ของเรา เมื่อพ้นจากกิเลสตัณหาได้เช่นนั้น ก็ได้ชื่อว่าพ้นจาก ความทุกข์ยากโดยสิ้นเชิง ถ้ายังไม่พ้น ก็ได้ชื่อว่ายังไม่พ้น จากความทุกข์ยาก เมื่อตนยังไม่หลุดไม่พ้น ก็ไม่ควรจะ สั่งสอนผู้อื่นเพราะตัวยังไม่พ้น จะสั่งสอนผู้อื่นให้พ้นได้ด้วย อาการอย่างไร เปรียบเหมือนบุคคลจะข้ามแม่น้ำ ถ้าตัว ของเราข้ามไปถึงฝั่งฟากโน้นแล้ว จึงร้องบอกให้ท่านผู้อื่น ข้ามมาตามตนเช่นนี้สมควรแท้ เมื่อเราร้องบอกเขาแล้ว เขาจะพอใจไปหรือหาไม่ก็แล้วแต่ใจเขาส่วนตัวของเราข้ามไป ได้สมประสงค์แล้ว ข้ออุปมานี้ฉันใด ผู้ที่จะเป็นครูเป็น อาจารย์สอนให้ผู้อื่นพ้นจากทุกข์ ก็ต้องทำตัวให้พ้นทุกข์ เสียก่อน จึงสมควรจะสอนคนอื่น มีอุปไมยเหมือนผู้ที่ จะพาข้ามแม่น้ำฉะนั้น บุคคลที่เปลื้องตัวให้พ้นออกจาก กองกิเลสยังไม่ได้ และจะไปเปลื้องปลดสัตว์ในป่าช้า ผี ทั้งหลายเขาจะหัวเราะเยาะเย้ยว่า อโห โอหนอ! ตัวของ ท่านก็ยังไม่พ้นทุกข์ แล้วจะมาพาเอาพวกข้าพเจ้าออกจาก ทุกข์ได้อย่างไร ตัวของท่านและพวกข้าพเจ้าก็ยังไม่พ้นนรก อยู่เหมือนกัน จะมาพาพวกข้าพเจ้าให้พ้นจากนรกได้ด้วย อาการอย่างไร ดูกรอานนท์ บุคคลจำพวกใด ที่ให้ผีในป่าช้า หัวเราะเยาะเย้ยเล่นเช่นนี้ บุคคลจำพวกนั้นถ้ามีขึ้นก็เป็นเหตุ ให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บอันตรายต่างๆ หาความสุขความเจริญ มิได้ ดูกรอานนท์ คฤหัสถ์ก็ดี นักบวชก็ดี มากล่าวว่าตัวรู้ ตัวเห็นและได้พูดจากับด้วยผี ดังนี้ก็พึงให้รู้ว่าคนจำพวกนั้น ไม่ใช่ลูกศิษย์ของเราตถาคต เป็นพวกมิจฉาทิฏฐิภายนอก พระศาสนา ไม่ควรเชื่อถือเอาเป็นครูเป็นอาจารย์ เพราะเขา เป็นคนเจ้าอุบายเจ้าเล่ห์เจ้ากลเท่านั้น ที่มีความรู้จริงเห็นจริง พูดจาสนทนากับผีได้ มีแต่พระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์ เท่านั้น นอกนั้นไม่มีใครรู้จริงเห็นจริง เป็นคนอุตริทั้งนั้น ดูกรอานนท์ เราจะทำนายไว้ให้เห็นในอนาคตกาลเบื้องหน้า จะเกิดมีพวกมิจฉาทิฏฐิภายนอกศาสนาอวดอ้างว่าตัวรู้ ตัวเห็นผีได้พูดจากับด้วยผี ครั้นบุคคลจำพวกนั้นเกิดขึ้นแล้ว ก็จะเบียดเบียนพระศาสนาของเราให้เสื่อมถอยลงไปด้วย วาทะถ้อยคำเสียดสีต่างๆ พระสงฆ์สามเณรก็จะเกิดระส่ำ ระสายหาความสบายมิได้ เขาจะสอนทิฏฐิวัตร์อย่างเคร่งครัด ถืออรัญญิกธุดงค์อย่างพระเทวทัตต์ ภายหลังก็จะเกิด พระบ้านพระป่ากันขึ้นแล้วก็จะแตกกันออกเป็นพวกๆ ไม่สามัคคีกัน ต่างพวกก็ถือแต่ตัวดี ศาสนาของเราก็จะ เสื่อมถอยลงไปเพราะพวกมิจฉาทิฏฐิเห็นแก่ลาภและยศ หาความสุขมิได้ มรรคผลธรรมอันวิเศษก็จะไม่เกิดขึ้นแก่เขา เขาจะเรียนเอาแต่วิชาศีลธรรมอันพวกมิจฉาทิฏฐิสอนให้ รู้อะไรกันขึ้นเล็กน้อยก็อวดดีกันไป แท้ที่จริงความรู้เหล่านั้น ล้วนแต่รู้ดีสำหรับไปสู่นรก เขาจักไม่พ้นจตุราบายได้เลย ดูกรอานนท์ ในอนาคตกาลภายหน้าจะมีอย่างนี้ไม่ต้องสงสัย ถ้าผู้ใดรู้ลัทธิทิฏฐิอย่างนี้ไว้แล้ว เมื่อได้เห็นก็จงเพียรพยายาม ละเว้นก็จะได้ประสบความสุข<!-- google_ad_section_end -->

    เมื่อสำเร็จแล้วก็แจกแจง แสดงผลว่ามีอยู่จริง แสดงผลว่ามีความประเสริฐจริง หากปฎิบัติตามดังนี้แล้วย่อมพ้นทุกข์ หากมีผู้สงสัยติดขัดในประการใด ก็ช่วยอนุเคราะห์แก่เขา ไม่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่จักเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป จะมากน้อยเพียงไรก็ตาม ที่สุดของการประพฤติพรหมจรรย์ของพุทธศาสนานี้ เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ เพียงเท่านั้น ! หรือท่านเข้าใจว่า ธรรมบัญญัติในพระพุทธศาสนาทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ เป็นไปเพื่อความประสงค์อื่น? ขออนุโมทนาบุญฯ <!-- google_ad_section_end -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...