ทำไมพระพุทธเจ้าองค์ปัจุบันจึงมีอายุเพียง 80 ปี? + ประวัติพระพุทธเจ้า 29 พระองค์

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย suriflower, 3 เมษายน 2012.

  1. suriflower

    suriflower สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +4
    คือ ผมสงสัยมานานแล้วว่า ทำไมพระพุทธองค์ ถึงมี อายุเพียง 80 ปีเท่านั้น เมื่อเทียบกับ พระพุทธเจ้าพระองค์ อื่นๆ ซึ่งมีอายุ 20,000 ปี บ้าง 100,000 ปี บ้าง
    ก็เลยสงสัยว่า พระองค์อาจจะโดนกรรมในอดีตอันใด ตัดรอนหรือเปล่า ถ้ามี กรรมนั้นคืออะไร ผู้รู้ช่วยตอบทีครับ ผมหามาหลายที่แล้วยังไม่เจอเลยครับ

    พร้อมกันนี้ ผมมีไฟล์ pdf ประวัติพระพุทธเจ้า 29 พระองค์ ให้อ่านครับ
    หวังว่าจะเป็นประโยชน์ มีไว้อ่านไม่เสียหลายครับ แถมยังมีคำทำนายพระพุทธเจ้าองค์ถัดไปอีก 10 พระองค์ ด้วยครับ


    บางพระองค์ออกบวชโดย ปราสาทลอยฟ้า!!
    แสดงว่าสมัยนั้น วิทยาการ สูงส่งกว่าตอนปัจจุบันนี้มากๆ ซึ่งปัจจุบันทำได้เพียง เครื่องบินเท่านั้น วัตถุใหญ่อย่างปราสาท คงจะทำไม่ได้
    แสดงว่า มีระบบต่อต้าน กราวิตี้(แรงดึงดูด) ซึ่งคิดว่า อีก 100 ปี จากนี้ยังไม่รู้จะทำได้หรือไม่

    พระวรกายบางพระองค์ สูงกว่า 100 เมตร !!
    ยิ่งอ่านยิ่งสนุก และยิ่งศรัทธาครับว่า เราได้มาอยู่ในศาสนาที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้เชียวหรือ !!
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,687
    ค่าพลัง:
    +12,591
    พระองค์เป็นพระพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะ จะมีพระวรกายเล็ก และอายุขัยสั้น
     
  3. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,687
    ค่าพลัง:
    +12,591
    อยากรู้ป่าวว่าทำไม พระโคตะมะสัมมาสัมพุทธเจ้าใช้เวลานาน ถึง 6 ปีนับแต่ผนวช จึงตรัสรู้ ทั้งๆที่พระองค์มีอายุขัยเพียง 80 พรรษา พระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ ที่มีอายุเป็น หมื่นเ็ป็นแสนปี ยังใช้เวลาไม่กี่วัน ไม่กี่เดือน เอง
     
  4. นทีสีทันดร

    นทีสีทันดร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    275
    ค่าพลัง:
    +1,002
    เหมือนเคยอ่านเจอ ว่า ที่พระโคดม ใช้เวลาบำเพ็ญเพียรนาน เพราะเป็นบุพกรรมอย่างหนึ่งของพระองค์ ที่เคยปรามาส พระพุทธเจ้าในอดีต พระองค์หนึ่งไว้ครับ
     
  5. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,687
    ค่าพลัง:
    +12,591
    แต่ว่าทำไมองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงเคยกล่าวไว้ว่า ผู้ที่เคยคล่องในอิทธิบาท 4 ประเภทนี้ สามารถจะอธิษฐานตนให้อยู่ได้ถึงกัปหนึ่งหรือกัลป์หนึ่งก็ได้ และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลับมานิพพาน เมื่อระหว่างอายุของพระองค์ได้ 80 ปี

    ตอนนี้ พระอรหันต์ทั้งหลาย ก็มีความสงสัย แต่ทว่าบรรดาพระอรหันต์ตั้งแต่ปฏิสัมภิทาญาณก็ดี ได้อภิญญาหกก็ดี วิชชาสามก็ดี ท่านทั้งหลายเหล่านี้ไม่สงสัย รู้ด้วยอำนาจของอตีตังสญาณ แต่ทว่า สำหรับพระอรหันต์ขั้นสุกขวิปัสสโกนี้ต้องสงสัย เพราะว่าไม่ได้ญานวิเศษ จึงต้องค้นคว้าคำแนะนำขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์

    ในที่สุดก็พบว่า สมเด็จพระนราสภ คือ...องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แทนที่จะมีอายุ 1 กัป อย่างที่กล่าวไว้ แต่ทว่าการที่องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา ต้องมีอายุ 80 ปี เหตุผลก็เป็นมาอย่างนี้ ตามที่องค์สมเด็จพระชินศรี ทรงกล่าวว่า....

    อตีเต กาเล ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย...ในอดีตกาล ตถาคตเสวยพระชาติเป็นหน่อพระบรมโพธิสัตว์ บำเพ็ญบารมีเพื่อจะได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถอยหลังจากชาตินี้กลับไปหลายพันชาติ เวลานั้นสมเด็จพระบรมโลกนาถ ทรงบำเพ็ญบารมีใกล้จะถึงปรมัตถบารมี พระวรกายของพระองค์นี้ มีส่วนพิเศษอยู่จุดหนึ่ง คือ..เท้าทั้งสอง ในอุ้งระหว่างกลางเท้าทั้งสองนี่ มีรูปกงจักรอยู่ด้วยเป็นสีแดง

    ในเวลานั้น องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เกิดเป็นลูกคนจนทำมาหากินอยู่ในป่า ต่อมาท่านบิดาก็ตายเหลือแต่มารดาผู้เดียว ท่านก็ปฏิบัติตนเป็นคนประกอบไปด้วยความกตัญญูรู้คุณ หาเช้ากินค่ำหรือหาค่ำกินเช้า นำเอาอาหารมาเลี้ยงมารดาเป็นที่รัก คือว่าท่านเป็นคนป่า ก็ตัดฟืนขาย เข้าป่าก็แต่เช้า กลับมาจนบ่าย จนเย็น อาบน้ำอาบท่า กินน้ำบริโภคอาหาร เสร็จแล้วก็นำฟืนเอาไปขาย ได้เงินมาเท่าไร ก็มามอบให้แก่มารดา มารดาก็จัดเงินทั้งหลายเหล่านี้ จัดอาหารมาเลี้ยงดูกัน เป็นอันว่า รายได้ขององค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา เวลานั้นก็เต็มไปด้วยการฝืดเคืองมาก

    ในคราวนั้น พระราชามีความลำบากด้วยยักษ์ตนหนึ่ง ที่เขาเรียกว่า “รากษส” นี่มีสภาพเหมือนยักษ์ แต่เป็นยักษ์ที่อยู่ในโพรง และอุโมงค์ใต้ดิน น่ากลัวจะเป็นยักษ์ปลาไหลเพราะอยู่ในโพรง และใต้ดินมันมีบ่ออยู่ แต่ทว่าทางขึ้น ก็ทำเป็นปล่องขึ้น การขุดอุโมงค์อยู่ใต้ดิน

    เจ้ารากษสตัวนี้ ปรากฏว่าถึงเวลาฤดูหนึ่ง ถ้าเปรียบเทียบกับเวลา ตรุษสงกรานต์ เป็นงานเกี่ยวกับนักขัตฤกษ์ประจำปี เจ้ารากษสตัวนี้ ก็ขึ้นมาจับคนเอาไปกินเป็นอาหาร ทำอย่างนี้ เป็นเวลา 2 – 3 ปี ในแดนไกล

    ต่อมา พระราชาทรงทราบจากบรรดาประชาชนทั้งหลายว่า.. เจ้ารากษสขึ้นมาอาละวาด เจ้ารากษสตัวนี้ขึ้นมาเป็นเวลากาล ถ้าถึงฤดูนั้น ถึงเดือนนั้น วันนั้น มันก็ขึ้นมาจับคนกินเป็นอาหาร เพื่อเป็นเสบียงกรัง ทำอย่างนี้ เป็นเวลา 2 – 3 ปี จนเป็นที่แน่ใจของประชาชนทั้งหลายว่า วันนี้แหละเจ้ารากษสจะขึ้นมาจับคนไปกิน จึงไปกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ

    พระราชาก็ให้ป่าวประกาศหาคนดีมีฝีมือให้ไปสู้กับเจ้ารากษส ไปดักอยู่ปากปล่องของรากษสที่จะขึ้นมา ถ้ารากษสขึ้นมา ก็จะฆ่ารากษส ให้ตาย แต่ว่าบรรดาผู้ฟังทั้งหลาย รากษสมีสภาพเป็นยักษ์ มีความดุร้าย มีกำลังมาก แทนที่คนทั้งหลายที่รับอาสาพระราชาจะไปฆ่ารากษส ก็กลายเป็นอาหารของรากษส อย่างดี คือ รากษส ไม่ต้องไปหากินไกล จับคนทั้งหลายที่จะไปฆ่าเขานำกลับไปกินเป็นอาหาร

    ต่อมาพระราชาเห็นว่า คนทั้งหลายไม่สามารถสู้รากษสได้ การประกาศให้บรรดาคนที่มีฝีมือทั้งหลาย ภายในขอบเขตของพระราชฐาน หรือใกล้พระราชฐาน ก็ไม่มีใครรับอาสาไปปราบรากษส พระราชาได้ประชุมอำมาตย์ ข้าราชบริพารว่า...เราไม่สามารถปราบ รากษส นี้ ได้เพียงใด ความเป็นพระราชาของเราก็ไม่อาจจะคงอยู่ เพราะเราไม่สามารถจะให้ความปลอดภัยกับบรรดาประชาชนได้

    แล้วอาศัยที่พระราชาพระองค์นี้ ใช้ ทศพิธราชธรรม อันดี เป็นที่รักของปวงชนทั้งหลาย บรรดาอำมาตย์ข้าราชบริพารจึงประชุมกันว่า ถ้าหากพวกเราไม่สามารถฆ่ารากษสได้ พระราชาก็จะสละราชสมบัติ แล้วคนที่มาใหม่จะดีเท่าองค์นี้ หรือไม่ดีก็ยังไม่แน่นัก จึงปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรดี จะให้พระราชาครองราชย์ต่อไป

    ในที่ประชุมก็กล่าวกันว่า ทางที่ดีควรประกาศให้บรรดาประชาชนทั้งหลายทั่วประเทศ ที่มีความสามารถเข้าใจตรงกันว่า พระราชามีบุญญาธิการอย่างนี้ และมีความเดือดร้อนอย่างนี้ ราษฎรจนที่ไหน พระองค์ก็ทรงจนด้วย ราษฎรลำบากที่ไหน พระองค์ก็ทรงลำบากด้วย หาทางช่วยราษฎรให้เป็นสุข พระราชาอย่างนี้หาได้ยาก

    ถ้ากระไรก็ดี ก็ควรกราบทูลให้พระองค์ทรงทราบว่า...คนในประเทศของเรา ไม่มีเท่าที่เห็น เพราะอยู่ในแดนไกล ในขอบเขตต่าง ๆ มีมากมาย ควรจะประกาศให้บรรดาประชาชนทั้งหลายที่มีความสามารถ แต่ไม่มีโอกาสเข้าเฝ้าพระราชา ที่จะรับอาสาฆ่ารากษส ในที่สุดเขาก็กราบทูลให้พระราชาทรงทราบ แล้วก็ทำตามนั้น มอบทองคำเท่าลูกฟักสำหรับผู้รับอาสา

    ต่อมาพระราชาก็ส่งคนไปประกาศว่า ถ้าบุคคลใดสามารถจะฆ่ารากษสให้ตายได้ ในช่วงแห่งการรับอาสาจะมอบทองคำเท่าลูกฟัก หนักเท่าตัวบุคคลผู้รับอาสาให้เป็นทุนสำรองไว้ก่อน ทั้งนี้ ก็เผื่อว่าไปพลาดพลั้งถูกรากษสฆ่าตาย ทางบ้านก็จะได้ใช้ทองคำนี้จับจ่ายใช้สอย เป็นการประทังชีวิตให้มีความสุขสบายแทนผู้ตาย

    ถ้าบุคคลใดฆ่า รากษส ตาย แล้วตัวเองก็ไม่ตาย ทองคำก็ได้เป็นสิทธิ์อยู่แล้ว แต่เมื่อเวลาที่กลับมาประเทศเขตพระนคร พระราชาจะให้เป็นมหาอุปราช คือไปมีตำแหน่งรองจากพระราชา วันนั้น ก็ปรากฏว่าหน่อพระบรมโพธิสัตว์จะเข้าป่าไปหาฟืน แต่ยังไม่ทันจะเข้าเดินออกจากบ้าน ก็ได้ยินเสียงประกาศจจจากอำมาตย์ข้าราชบริพารว่า

    ถ้าบุคคลผู้ใดรับอาสาฆ่ารากษสได้ พระราชาจะประทานทองคำเท่าลูกฟักหนักเท่าตัวคนผู้อาสาเป็นเดิมพัน แต่ถ้าฆ่ รากษสไม่ได้ต้องตายไป ทองคำนี้ก็จะเลี้ยงครอบครัว และถ้าฆ่าได้ก็จะแถมรางวัลพิเศษ คือให้เป็นมหาอุปราช

    หน่อพระบรมโพธิสัตว์จึงคิดว่า เราเป็นลูกคนเดียวของแม่คนเดียวหาเช้ากินค่ำ ทรัพย์สมบัติที่หามาได้ ก็พอกินบ้างไม่พอกินบ้าง มีความลำบาก ถ้าหากว่าเราจะยอมเสี่ยงชีวิตของเราตายแต่เพียงผู้เดียว ให้แม่ได้มีโอกาสรับทองคำเท่าลูกฟักหนักเท่าตัวเรา แม่ก็จะกินอยู่แบบสบาย ๆ แม้กระทั่งตาย ทองคำก็ยังไม่หมด

    เมื่อหน่อพระบรมโพธิสัตว์กำหนดอย่างนี้แล้ว จึงได้ขันรับอาสาแล้วก็รับทองคำมามอบให้แก่แม่ ตอนนี้แม่คัดค้านอย่างหนัก ไม่อยากจะให้ลูกตาย ในที่สุดก็ต้องจำยอม เพราะตกลงกับเขาแล้ว จึงได้มอบทองคำให้แม่ ตัวเองก็ไปเฝ้าพระราชาพร้อมกับอำมาตย์ เข้าไปเฝ้าแล้ว พระราชาถามถึงผลของความต้องการ เธอสามารถแน่ใจที่จะฆ่ารากษสได้หรือ

    พระโพธิสัตว์ก็บอกว่ามั่นใจ ต่อไปพระราชาถามว่า เจ้าต้องการทหารเท่าไร ต้องการอาวุธอะไรบ้าง จะไปฆ่ารากษส หน่อพระบรมโพธิสัตว์ก็ตอบว่า ไม่ต้องการอะไรอะไรทั้งหมด ต้องการฆ่าด้วยมือเปล่า พระราชาก็หนักใจ แต่ว่าเขาขันรับอาสาตามนั้นก็ต้องปล่อยไป เขาก็นำไปส่งที่ปล่องของรากษส

    หน่อพระบรมโพธิสัตว์ขึ้นไปคอยอยู่ประมาณ 2 วัน พระราชาทรงให้ทหารไปเป็นเพื่อนนำอาหารไปบริโภค ไปคอยอยู่ที่ปากปล่องที่รากษสจะขึ้น ต่อมา เมื่อถึงวันนั้น คือวันกำหนดที่รากษสจะขึ้นมา มีเวลาเป็นประจำก็ขึ้นมาพอดี พอรากษสขึ้นมาไม่ทันจะพ้นปล่อง หัวขึ้นมาพ้นปล่อง หน่อพระบรมโพธิสัตว์ ยกเท้าขึ้นหวังจะกระทืบ คือจะกระทืบให้รากษสคอหักตาย

    รากษ แหงนหน้าขึ้นมา เห็นอุ้งเท้าของหน่อพระจอมไตรบรมโพธิสัตว์มี "กงจักร" ในระหว่างท่ามกลางฝ่าเท้า ก็คิดว่าคราวนี้เราตายแน่ เราสู้ไม่ได้ เพราะคนนี้ต้องเป็นหน่อพระบรมโพธิสัตว์ เพราะกลางระหว่างเท้ามีกงจักรสีแดง จึงได้พูดว่า....

    ช้าก่อน..ท่านอย่าพึ่งฆ่าเรา ท่านนี่เป็นหน่อพระบรมโพธิสัตว์ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอีกไม่นานนัก เพราะว่ากลางเท้าของท่านมีกงจักร หากท่านฆ่าเราเราก็ตาย ถ้าท่านฆ่าเราไซร้ ท่านจะมีอายุสั้น ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ตามธรรมดาพระพุทธเจ้าจะต้องมีอายุสองหมื่นปีบ้าง ถึงสี่หมื่นบ้างก็มี

    อีกประการหนึ่ง พระพุทธเจ้าสามารถจะอธิษฐานตนให้มีอายุถึงกัปหนึ่งก็ได้ หากว่าท่านฆ่าเราตาย ในเวลานี้เวลานี้เรามีอายุ 80 ปี ถ้าหากว่าท่านฆ่าเราตายในเวลานี้ เมื่อท่านเป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็ต้องมีอายุ 80 ปี เท่านั้น การประกาศพระศาสนาของท่าน จะไม่มีผลตามความประสงค์

    หน่อพระบรมโพธิสัตว์ ก็กล่าวว่า.. เจ้าเป็นสัตว์ที่มีความดุร้ายมาก ไล่พิฆาตเข่นฆ่าคนเป็นอาหาร ถึงแม้นว่าเราจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า มีอายุแค่ 80 ปี เราพร้อมยอมตามนั้น ในที่สุด หน่อพระบรมโพธิสัตว์ก็กระทืบศีรษะยักษ์ รากษส ยักษ์ก็คอหักตาย

    นี่แหละบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย ตามที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่าพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าสามารถจะอธิษฐานอายุของตนให้อยู่ได้ถึงกัปหนึ่งก็ย่อมเป็นได้ เพราะคล่องในอิทธิบาท 4

    แต่ว่าที่องค์สมเด็จพระมหามุนีบรมศาสดา จะต้องนิพพาน ภายในอายุ 80 ปี ตามพระบาลีท่านกล่าวว่า เหตุของการฆ่ารากษสตนนั้น จึงเป็นเหตุให้สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องนิพพานในอายุยังสั้น
     
  6. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    อย่าสงสัยเลยนะครับ เพราะเป็นเรื่องของพุทธวิสัย(อจินไตย) จึงไม่ควรคิด
    ขอเพิ่มข้อมูลนิดนะครับ

    "ก่อนพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติ ทรงเลือก ๕ อย่าง"
    ในกาลนั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้า บังเกิดเป็นสันตุสิตเทวราชเสวยทิพยสมบัติอยู่ในรัตนวิมานสวรรค์ ชั้นดุสิตเทวโลก ครั้งนั้นท้าวมหาพรหม และเทวราชในสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้นฟ้า ชวนกันไปเผ้ากราบทูลอาราธนาพระบรมโพธิสัตว์เจ้า ให้จุติลงไปบังเกิดทั้งสองประชากร ให้รู้ธรรม และประพฤติธรรม สมดังที่พระองค์ได้บำเพ็ญบารมีตั้งพระทัยไว้แต่แรก
    พระบรมโพธิสัตว์เจ้า ยังมิได้รับอาราธนาของทวยเทพทั้งหลายทรงพิจารณาดู "ปัญจมหาวิโลกนะ" หมายถึงสิ่งที่พระบรมโพธิสัตว์ทรงพิจารณาข้อตรวจสอบที่สำคัญหรือ "การตรวจดูอันยิ่งใหญ่ ๕ อย่าง" ก่อนที่จะตัดสินพระทัยประทานปฏิญาณรับอาราธนาของเทพยดาทั้งหลาย ว่าจะจุติจากดุสิตเทวโลกไปบังเกิดในพระชาติสุดท้ายที่จะตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้ามี ๕ อย่างคือ ๑. กาล ๒.ทวีป ๓.ประเทศ ๔.ตระกูล ๕.มารดา พระบรมโพธิสัตว์เจ้าทรงเลือกดังนี้
    ๑. กาล ทรงเลือกอายุกาลของมนุษย์
    ๒. ทวีป ทรงเลือกชมพูทวีป
    ๓. ประเทศ ทรงเลือกมัธยมประเทศ
    ๔. ตระกูล ทรงเลือกตระกูลกษัตริย์ศากยวงศ์
    ๕. มารดา ทรงเลือกมารดาที่มีศีลห้าบริสุทธิ์ ได้บำเพ็ญบารมีมาตลอดแสนกัป และกำหนดอายุของมารดา ทรงกำหนดได้พระนางมหามายา

    การที่ทรงเลือก อายุกลมนุษย์ เพราะอายุมนุษย์ขึ้นลงตามกระแสสังขาร บางยุคอายุ ๘ หมื่นปี ๔ หมื่นปี ๒ หมื่นปี อายุกาลของมนุษย์ในยุคนั้น ๑๐๐ ปีตรงตามที่ทรงกำหนดไว้คือต้องไม่สั้นกว่าร้อยปี ต้องไม่ยาวเกินแสนปี ที่ทรงเลือกอายุ ๑๐๐ ปีเพื่อให้เห็นความไม่เที่ยงของสังขาร เหตุที่ไม่ตรัสรู้บนสวรรค์ทั้งนี้เพราะเทวดาไม่เห็นทุกข์มีแต่สุข อายุยืนยาวนานนัก จะไม่เห็นอริยสัจ การตรัสรู้ธรรมและแสดงธรรมได้ผลดีมากในเมืองมนุษย์
    การที่ทรงเลือกชมพูทวีป ซึ่งแปลว่า "ทวีปแห่งต้นหว้า" เพราะมีต้นหว้าขึ้นมากในดินแดนแห่งนี้ แผ่นดินชมพูทวีปในยุคนั้นกว้างใหญ่ไพศาลกว่าประเทศอินเดียในปัจจุปันมากนัก มีดินแดนกินประเทศอื่นในปัจจุบันอีก ๖ ประเทศคือ ๑.ปากีสถาน ๒. บังกลาเทศ ๓. เนปาล ๔.ภูฏาน ๕.สิขิม ๖. บางส่วนของอัฟกานิสถาน (แคว้นกัมโพชะ ในมหาชนบท ๑๖ ปัจจุบันอยู่ในอัฟกานิสถาน)
    ชมพูทวีปครั้งพุทธกาลแบ่งเป็นหลายอาณาจักร เป็นมหาชนบท ๑๖ แคว้น และยังปรากฎอีก ๔ แคว้นในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา อาณาจักรเหล่านี้มีพระเจ้าแผ่นดินดำรงยศเป็นมหาราชาบ้าง ราชาบ้างมีอธิบดีบ้าง เป็นผู้ปกครองโดยทรงอำนาจสิทธิขาดบ้างโดยสามัคคีธรรมบ้าง บางคราวตั้งเป็นอิสระ บางคราวตกอยู่ในอำนาจอื่นตามยุคตามสมัย
    คนในชมพูทวีปแบ่งเป็นชนชั้น ที่จัดแบ่งออกไปตามหลักศาสนาพราหมณ์เรียกว่า วรรณะ ๔ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ และศูทรคนในชมพูทวีปสนใจในวิชาธรรมมาก มีคณาจารย์ตั้งสำนักแยกย้ายกันตามลัทธิต่าง ๆ มากมาย เกียรติยศของศาสดาเจ้าลัทธิเจ้าสำนักผู้มีชื่อเสียงในสมัยนั้น ได้รับยกย่องเสมอเกียรติยศของพระเจ้าแผ่นดินหรือมากยิ่งกว่า
    การที่ทรงเลือกมัธยมประเทศ เพราะชมพูทวีปแบ่งเป็น ๒ จังหวัด เหนือ ๑ อาณาเขต อาณาเขตในคือ มัชณิมชนบทหรือมัธยมประเทศเป็นถิ่นกลางที่ตั้งแห่งนครใหญ่ ๆ มีความเจริญรุ่งเรือง มีเศรษฐกิจดี มีประชากรหนาแน่น เป็นศูนย์กลางแห่งการค้าขาย เป็นที่อยู่ของนักปราชญ์ผู้มีความรู้ เป็นที่รวมของการศึกษาและศิลปวิทยาการ เคยเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของพวกอารยันหรืออริยกะ รูปร่างสูง ผิวค่อนข้างขาวเป็นพวกที่มีความเจริญไม่ใช่เจ้าของถิ่นเดิม ทรงกำหนดกรุงกบิลพัสดุเป็นที่บังเกิด ส่วนอาณาเขตนอก เรียกว่าปัจจันตชนบทหรือประเทศปลายแดนเป็นถิ่นที่ยังไม่เจริญ เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของคนพื้นเมืองดั้งเดิม รูปร่างเล็กผิวดำ จมูกแบน เป็นพวกเชื้อสายดราวิเดียนหรือพวกทมิฬในปัจจุบัน
    การที่ทรงเลือกอุบัติในตระกูลกษัตริย์ โดยทรงเลือกพระสุทโธทนะเป็นพุทธบิดา เพระทรงกำหนดว่าเวลานั้นโลกสมบัติว่าตระกูลกษัตริย์ประเสริฐกว่าตระกูลพราหมณ์ และศากยสกุลเป็นตระกูลที่บริสุทธิ์ ๗ ชั่วโคตร ถ้าไม่บริสุทธิ์ก็ยากที่จะมีคนเคารพนับถือ การเผยแผ่ศาสนาจะทำได้ยาก เพราะคนในสมัยนั่นถือชั้นวรรณะกันมากจึงเลือกวรรณะกษัตริย์ ที่สูงสุด เพราะไม่ใช่เพื่อตรัสรู้อย่างเดียว ทรงประประสงค์สั่งสอนธรรมแก่ประชาชนด้วย
    การ ที่ทรงเลือกมารดา และกำหนดอายุของมารดา มารดาจะต้องมีศีลห้าบริสุทธิ์ ไม่โลเลในบุรุษ ไม่เป็นนักดื่มสุรา ได้บำเพ็ญบารมีมาตลอดแสนกัป ทรงกำหนดได้พระนางมหามายา และทรงทราบว่าพระนางจะมีพระชนม์อยู่ไม่เกิน ๑๐ เดือนไปได้ ๗ วัน พระนางสิริมหามายาเป็นเจ้าหญิงแห่งเทวทหนคร เป็นพระราชบุตรีของพระเจ้าอัญชนะเป็นพระมเหสีของพระเจ้าสุทโธนะแห่งกรุงกบิล พัสดุ์
    พระบรมโพธิสัตว์ทรงเลือกพระมารดาที่บริสุทธิ์ไม่แปดเปื้อนมลทินโทษ มิฉะนั้น จะยากแก่การเผยแผ่ศาสนาจะถูกโจมตี พระนางสิริมหามายา ได้อธิฐานไว้ว่า ขอเป็นมารดาพระพุทธเจ้าเมื่อประสูติ พระบรมโพธิสัตว์เจ้าได้ ๗ วันก็เสด็จทิวงคต เพระสงวนไว้สำหรับประสูติพระพุทธเจ้าองค์เดียว ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรสถิตในดุสิตเทวโลกตามประเพณีพระพุทธมารดาไม่ได้เป็นหญิงอย่างเก่า ที่เกิดเป็นหญิงเพระอธิฐานขอเป็นมารดาพระพุทธเจ้า
     
  7. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    ไม่เกี่ยวกันครับ

    พระพุทธเจ้าทุกๆๆพระองค์บำเพ็ญบามี ๓๐ ทัศน์เต็มเหมือนกันทุกๆๆ พระองค์
    ส่วนเรื่องพระวรกาย และพระชนมายุมากน้อยนั้นเป็นเรื่องของพุทธวิสัยนะครับ แม้แต่ในประเภทเดียวกันยังมีพระวรกาย พระชนมายุไม่เท่ากันเลย ตัวอย่าง พระกกุสันโธพระพุทธเจ้า พระโคนาคมพระพุทธเจ้าและพระกัสสะปะพระพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าประเภทสัทธาธิกะ ยังมีพระวรกาย พระชนมายุไม่เท่ากันเลย ฯลฯ

    สมัยหนึ่ง พระอานนท์ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาค ว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความปรารถนาที่จะเป็น พระพุทธเจ้า ทั้งหลายควรใช้เวลานานเท่าไร

    พระพุทธองค์ตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ ความปรารถนา เป็นพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
    โดยการกำหนดอย่างต่ำที่สุด ๒๐ อสงไขย กับ ๑๐๐,๐๐๐ มหากัป
    กำหนด ปานกลาง ๔๐ อสงไขย กับ ๑๐๐,๐๐๐ มหากัป
    กำหนดอย่างสูง ๘๐ อสงไขย กับ ๑๐๐,๐๐๐ มหากัป

    ทั้ง ๓ ประเภทนั้น คือ พระพุทธเจ้าผู้เป็นปัญญาธิกะ สัทธาธิกะ และวิริยาธิกะ "



    ผมจะยกตัวอย่างให้ท่านคิดเล่นๆๆนะครับ
    ในยุคของพระศรีอาริย์ ในยุคนั้นพระโพธิสัตว์ศรีอาริย์สูง 88 ศอก เวนัยสัตว์ในยุคนั้นสูง 80+ ศอก แต่ไม่สูงเท่าพระโพธิสัตว์

    ถามว่า ทำไมเวนัยสัตว์ในยุคนั้นสูงจังทั้งๆๆๆ ที่ไม่ได้สร้างพระบารมีมาเยอะเหมือนพระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์ ???
    ตอบ เพราะว่าเวนัยสัตว์ไปเกิดในยุคที่มีอายุขัย 80,000 ปี เลยมีความสูง 80+ ศอก
     
  8. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    ที่กล่าวมานั้น ไม่มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกนะครับ ลองอ่านดูนะครับ

    พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นนายกของโลก แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์เป็นอันมาก ประทับนั่งอยู่ที่พื้นหินอันเป็นรัมณียสถานโชติช่วงด้วยแก้วต่างๆ ในละแวกป่าอันมีกลิ่นหอมต่างๆ ใกล้สระอโนดาต ตรัสชี้แจงบุพกรรมทั้งหลายของพระองค์ ณ. ที่นั้นว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังธรรมที่เราทำแล้วของเรา....

    เราเห็นภิกษุผู้ถืออยู่ ป่าเป็นวัตรรูปหนึ่งแล้วได้ถวายผ้าเก่า เราปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรกเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าในกาลนั้น ผลแห่งกรรม คือการถวายผ้าเก่า ย่อมอำนวยผลให้เป็นพระพุทธเจ้า

    ในกาล ก่อน เราเป็นนายโคบาล ต้อนโคไปเลี้ยง เห็นแม่โคกำลังดื่มน้ำขุ่นมัว จึงห้ามมัน ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ในภพหลังสุดนี้ (แม้) เราจะกระหายน้ำ ก็ไม่ได้ดื่มน้ำตามความปรารถนา

    ในชาติอื่นในกาลก่อน เราเป็นนักเลงชื่อปุนาลิ ได้กล่าวตู่พระปัจเจกพุทธเจ้าชื่อว่าสุรภี ผู้ไม่ประทุษร้าย (ตอบ) ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราท่องเที่ยวอยู่ในนรกเป็นเวลานาน ได้เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัสหลายพันปีเป็นอันมาก ด้วยผลกรรมอันเหลือนั้น ในภพหลังสุดนี้ เราจึงได้คำกล่าวตู่เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา เพราะการกล่าวตู่พระเถระนามว่านันทะ สาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ครอบงำอันตรายทั้งปวง เราจึงท่องเที่ยวอยู่ในนรกสิ้นกาลนาน เราท่องเที่ยวอยู่ในนรกเป็นเวลานานถึงหมื่นปี ได้ความเป็นมนุษย์แล้ว ได้การกล่าวตู่เป็นอันมาก ด้วยผลกรรมที่เหลือนั้น นางจิญจมาวิกามากับหมู่ชน ได้กล่าวตู่เราด้วยคำอันไม่เป็นจริง

    เมื่อ ก่อน เราเป็นพราหมณ์ชื่อสุตวา อันชนทั้งหลายสักการะบูชา สอนมนต์ให้มาณพประมาณ ๕๐๐ คนในป่าใหญ่ ก็เราได้เห็นฤๅษีผู้น่ากลัว ได้อภิญญา ๕ มีฤทธิ์มาก มาในสำนักของเรา เราจึงกล่าวตู่ฤๅษีผู้ไม่ประทุษร้ายโดยบอกกะพวกศิษย์ของเราว่า ฤๅษีพวกนี้มักบริโภคกาม แม้เมื่อเราบอก (เท่านั้น) พวกมาณพก็เชื่อฟัง ครั้งนั้นมาณพทั้งปวง เที่ยวไปศึกษาในสกุลๆ พากันบอกแก่มหาชนว่า ฤๅษีผู้นี้มักบริโภคกาม ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ภิกษุ ๕๐๐ เหล่านั้นก็ได้คำกล่าวตู่ทั้งหมด เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา

    ในกาล ก่อน เราได้ฆ่าพี่น้องชายต่างมารดา เพราะเหตุแห่งทรัพย์จับใส่ลงในซอกเขา และบด (ทับ) ด้วยหิน ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้นพระเทวทัตจึงผลักก้อนหิน ทำให้สะเก็ดหินกลิ้งลงมากระทบนิ้วแม่เท้าของเราจนห้อเลือด

    ในกาลก่อน เราเป็นเด็กเล่นอยู่ที่หนทางใหญ่ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ใส่ไฟเผา (ดัก)ไว้ทั่วหนทาง ด้วยวิบากกรรมนั้น ในภพหลังสุดนี้ พระเทวทัตจึงชักชวนนายขมังธนูผู้ฆ่าคนตายมาก เพื่อ ให้ฆ่าเรา

    ในกาล ก่อน เราเป็นนายควาญช้าง ได้ไสช้างให้จับมัดพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้อุดมมุนีแม้กำลังเที่ยวบิณฑบาต ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้นพระเทวทัตได้มอมเมาช้างนาฬาคิรีอันดุร้าย ให้วิงแล่นเข้ามาเพื่อจะทำร้ายเรา

    ในกาลก่อน เราเป็นนายทหารราบ (เป็นแม่ทัพ) ฆ่าบุรุษเป็นอันมากด้วยหอก ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราถูกไฟไหม้อย่างเผ็ดร้อนอยู่ในนรก ด้วยผลอันเหลือแห่งกรรมนั้น บัดนี้ ไฟนั้นยังมาไหม้ผิวหนังที่เท้าของเราทั้งสิ้น (อีก) เพราะว่ากรรมยังไม่พินาศไป

    ในกาลก่อนเราเป็นเด็ก (ลูก) ของชาวประมงอยู่ในบ้านเกวัฏฎคามเห็นคนทั้งหลายฆ่าปลาแล้ว เกิดความโสมนัสยินดี ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ความทุกข์ที่ศีรษะ (ปวดศรีษะ) ได้มีแล้วแก่เรา

    เราได้บริภาษพระสาวกทั้งหลาย ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่าผุสสะ ว่าท่านทั้งหลายจงเคี้ยว จงกินแต่ข้าวแดง แต่อย่ากินข้าวสาลีเลย ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราอันพราหมณ์นิมนต์แล้ว
    อยู่ในเมืองเวรัญชา บริโภคข้าวแดงตลอด ๓ เดือน

    ในกาลนั้น เมื่อนักมวยกำลังชกกัน เราได้ห้ามบุตรนักมวยปล้ำ ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ความทุกข์ที่หลัง (ปวดหลัง) ได้มีแล้วแก่เรา

    เมื่อก่อนเราเป็นหมอรักษาโรค ได้ถ่ายยาให้เศรษฐีบุตร (ตาย) ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้นโรคปักขันทิกาพาธจะมีแก่เรา

    เรา ชื่อว่าโชติปาละ ได้กล่าวกะพระสุคตเจ้าพระนามว่ากัสสปะในกาลนั้นว่า จักมีโพธิมณฑลแต่ที่ไหนโพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราได้ประพฤติธรรมที่ทำได้ยากมาก (ทุกกรกิริยา) ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมตลอด ๖ ปี แต่นั้น จึงได้บรรลุโพธิญาณ แต่เราก็มิได้บรรลุโพธิญาณอันสูงสุดด้วยหนทางนี้ เราอันบุพกรรมตักเตือนแล้ว จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางที่ผิด (บัดนี้) เราเป็นผู้ลอยบาปและบุญ เว้นจากความเร่าร้อนทั้งปวง ไม่มีความเศร้าโศก ไม่คับแค้น เป็นผู้ไม่มีอาสวะ จักนิพพาน พระชินเจ้าทรงบรรลุกำลังแห่งอภิญญาทั้งปวงแล้ว ทรงพยากรณ์โดยทรงหวังประโยชน์แก่ภิกษุสงฆ์ ที่สระใหญ่อโนดาต ด้วยประการ ฉะนี้แลฯ
     
  9. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,687
    ค่าพลัง:
    +12,591
    เ่อ่อ พุทธวิสัยจริงๆครับ เราๆท่านๆก็ได้แต่คาดเดาไปตามความรู้เท่าหางอึ่ง :cool:

    พระพุทธเจ้าพระองค์แรก ที่ตรัสรู้ก่อนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ มีอยู่ จริง ๆ
    และมีคัมภีร์ปฐมมูลรับรองพระนาม คือ " พระติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า"
    หอสมุดแห่งชาติ มีคัมภีร์เก่า ๆ มากมายที่ยังไม่ได้แปล และมีสุดยอดคัมภีร์อีกหลาย ๆ คัมภีร์ที่ คนไทย ยังไม่รู้ และเป็นของเถรวาทแท้ ๆ ด้วย ครับ
    พระติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าองค์ปฐม ที่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ทรงตรัสแสดงแก่ท่าน " พระอัญญาโกณฑัญญะ" และ พระปฐมสาวกทุกองค์ในศาสนาของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็จะทูลถาม พุทธประวัติ ของ " พระพุทธเจ้าองค์ปฐม" พระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีตทุกพระองค์ก็จะทรงตรัสแสดงให้ฟังปฐมสาวกได้ฟัง แม้มาในศาสนาของพระพุทธเจ้าของเราก็เหมือนกัน คัมภีร์นี้เป็นคัมภีร์ที่เก่าแก่มาก ต้นฉบับ เป็น " ภาษล้านนา " คณาจารย์ของกรมศิลปากร ได้แปลรวมไว้อยู่ใน หนังสือเล่มใหญ่ ชื่อ " โลกุปปัตติ อรุณวดีสูตร ปฐมมูล ปฐมกัป มูลตันไตรย "
    -และถ้ามีปัญหาถามว่า " พระพุทธเจ้าองค์แรก ใน พระพุทธศาสนา ที่ตรัสรู้ก่อนพระ พุทธเจ้าทุกพระองค์ ทรงพระนามว่าอะไร ? พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ อุบัตขึ้นก่อนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ และพระองค์ไม่เคยได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์อื่นใดมาก่อนเลย เพราะยังไม่มี พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ก่อนหน้านั้นเลยแม้แต่องค์เดียว พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ใช้ระยะเวลาในการประทับนั่งบนโพธิบัลลังก์เป็นเวลา ยาวนานกว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่เกิดขึ้นมาภายหลัง คือ ทรงใช้เวลา 5,000 ปีนั่ง ประทับตรัสรู้อยู่ใต้ต้นไม้ 25 ต้น ๆ ละ 200 ปี เพราะพระองค์ไม่เคยสร้างพระบารมี และ ไม่เคยได้รับพุทธพยากรณ์ในศาสนาพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์มาก่อนเลย
    พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมมูล พระองค์นั้น ทรงพระนามว่า " พระติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า " พระองค์มีพระชนม์มายุ 100,000 ปี แล้วจึงเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระองค์ได้ทรงพยากรณ์เป็นพระองค์แรก ว่า

    " ต่อไปภายภาคหน้า ตระกูลของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ซึ่งจะมาตรัสรู้ต่อจาก
    พระองค์ จะมี 3 ตระกูล คือ

    1. ปัญญาธิกะ

    2. สัทธาธิกะ

    3. วิริยาธิกะ
    ซึ่งมีเหตุมาจาก มานพ 3 คน ได้มีสัทธาเลื่อมใสปั้นพระพุทธรูปเหมือน " พระติกขะ"

    คนแรก มีวิริยะน้อย และต้องการจะปั้นให้เสร็จเร็ว พระรูปที่ปั้นจึงมีขนาดเล็กที่สุด
    ด้วยผลแห่งกรรมนี้ จึงได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าประเภท "ปัญญาธิกะ" คือ
    ใช้เวลาในการสร้างบารมีน้อยเพื่อให้ตรัสรู้ได้เร็วที่สุด และพระวรการก็เล็ก เหมือนกับพระรูปที่ปั้น

    คนที่ 2 มีสัทธามาก แต่มีวิริยะน้อย ปั้นเหมือนพระติกขะ มากกว่าคนแรก พระรูปมี ขนาดปานกลาง ด้วยผลแห่งกรรมนี้ จึงได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ประเภท "สัทธาธิกะ" คือ ใช้เวลาในการสร้างพระบารมีปานกลาง

    คนที่ 3 มีวิริยะแก่กล้ามากที่สุด และต้องการจะปั้นพระพุทธรูปให้เหมือน "พระติกขะ" มากที่สุด จึงได้ใช้ระยะเวลาในการปั้นนานที่สุด และพระพุทธรูปที่ปั้นขนาด
    ใหญ่เท่าองค์จริง ด้วยผลแห่งกรรมนี้ จึงได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าช้าที่สุด
    แต่ มีพระรูปกายสูงใหญ่มากที่สุด ใช้เวลาในการสร้างบารมีนานที่สุด

    อาจจะเข้าใจยากไปหน่อยแต่รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหามครับ
     
  10. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,687
    ค่าพลัง:
    +12,591
    ส่วนเรื่องเจ้ารากษสนั้น หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ท่านเล่าให้ฟัง
     
  11. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    รากษ์ณ์ตัวเดียวทําให้อายุสั้นขนาดนี้ น่ากลัวแหะ
     
  12. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    ผมไม่ได้คาดเดาครับ แต่ความรู้ผมแค่หางอึ่งจริงๆๆ ครับ
    ครับ เคยอ่านเจอในเวปเหมือนกันนะ ที่ท่านเอาโพสนะครับ รู้สึกว่าจะไม่มีในพระไตรปิฎกทั้ง 91 เล่มด้วยนะ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆๆ พระพุทธเจ้าคงตรัสเล่าให้พระอานนท์ฟังแล้วนะครับ
    เรื่องพระพุทธเจ้าพระองค์แรกนะ ผมเชื่อว่ามีอยู่จริง แต่คงจะนานมาก+++ คิดไม่ไหวหรอกครับ เยอะมาก มากกว่าเม็ดทรายในมหาสมุทรซะอีก
    อืม.... เรื่องปั้น(ที่โพสมา) ผมอ่านแล้วเข้าใจครับ แต่ความเป็นจริงแล้ว เรื่องปั้นกับการบำเพ็ญบารมีให้เต็ม ๓๐ ทัศน์ มันคนละเรื่องกันนะครับ มันยากกว่ากันเยอะเลยนะครับ
    อย่างที่ผมบอกไปนั้นละครับ ว่าประเภทเดียวกัน ยังต่างกันเลย ทั้งๆๆที่ก็ปั้นองค์เท่ากัน..?????? ต้องเข้าใจข้อนี้ด้วยนะครับ ท่านเองลองไปหาชาดกแต่ละพระองค์ดูนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 เมษายน 2012
  13. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    ฆ่าสัตว์ที่ไม่มีประโยชน์แค่ตนเดียวเพื่อแลกกับสัตว์ผู้น่าสงสารอีกมาก คงไม่ทำให้อายุสั้นหรอกมั้งครับ
    ท่านต้องเข้าใจด้วยนะครับ เมื่อ 2,500 ปีที่แล้ว มนุษย์อายุ มากสุดโดยเฉลี่ยประมาณ 100 ปี ถ้ามีคนใดคนหนึ่งอายุยืนถึง 80 ปีได้ ก็ต้องถือว่ามากแล้วนะครับ

    ท่านต้องเข้าใจข้อนี้ด้วยนนนนนนนนะครับ
     
  14. Unlimited Indy

    Unlimited Indy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,228
    ค่าพลัง:
    +803
    ขอบคุณสำหรับธรรมทานนี้ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...