คิดว่าธรรมมะคืออะไรกัน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย DekNoii, 19 มีนาคม 2012.

  1. DekNoii

    DekNoii สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +0
    เอาจากจิตสำนึกนะครับ อิอิ
     
  2. หลังฉาก

    หลังฉาก สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +0
    คิดว่าธรรมมะคืออะไรกัน ถ้าหยุดคิดก็จะเห็นธรรมะ<!-- google_ad_section_end -->
     
  3. pczophie

    pczophie Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2012
    โพสต์:
    222
    ค่าพลัง:
    +61
    คิดว่าเดี๋ยวก็มีคนเข้ามาตอบว่า ธรรมชาติ ความจริง

    --

    อันนี้ตอบตาม "ความรู้สึก" นะคะ

    ทุกวันนี้มองธรรมะเป็น ความจริง ที่คอยย้ำเตือนเราอยู่ไม่ให้เราหลงอ่ะค่ะ

    อย่างเช่นว่า ถ้าเราโกรธ เราจะมองมันเลยว่า "เรากำลังโกรธ" แล้วที่เราโกรธเนี่ยก็เพราะเราเป็นมนุษย์ที่ มีโอกาสที่จะมีอารมณ์ และอารมณ์พวกนี้มันเกิดขึ้นเพราะการจับจองว่า ร่างกายนี้เป็นของเรา สิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นของเรา พอมีใครมาทำร้ายร่างกาย หรือมาลบหลู่ดูหมิ่นเรา เราก็เลยโกรธ เพราะเราคิดว่าร่างกายนี้เป็นของเรา

    พอคิดๆดูดีๆแล้ว ก็ไม่อยากโกรธละ

    เพราะพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสรู้และบอกพวกเราแล้วนี่ ว่ารอบๆกายเราเป็นแค่ สิ่งสมมติ สิ่งที่อยู่รอบๆตัวเราเป็นแค่ ฉาก โรงละคร ให้เรามาแสดงบทบาทหนึ่งๆ แล้วก็มีเหตุปัจจัยต่างๆมาทำให้เรามีอารมณ์ต่างๆ และอารมณ์ต่างๆเหล่านี้ก็นำไปสู่ทุกข์ พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่า ทุกข์นี่เกิดแค่จาก โลภ โกรธ หลง แต่ยังรวมไปถึง รัก ด้วย

    พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาเดียวเลยที่สอนว่า ความรัก ก็ก่อให้เกิดทุกข์ แล้วมันก็จริงอย่างที่พระองค์บอกไว้จริงๆ เพราะเวลาเรารักใครมากๆ พ่อ แม่ พี่ น้อง แฟน พอเราตายจากเขา หรือเขาตายจากเรา ความทุกข์มันจะมีมากกว่าความสุขที่ผ่านๆมาแบบ เบิ้ล เลย

    เราคิดว่า พระพุทธเจ้าท่านคงอยากให้พวกเรามี สติ เห็นท่านชอบเน้นคำว่า "สติ ปัญญา"

    ถ้าจะรักใครสักคน ก็ต้องรักแบบมีสติล่ะ ทำใจและยอมรับไปเลยว่า วันหนึ่งเขาก็ไม่อยู่กับเรา มนุษย์เกิดมาพร้อม "เกิด แก่ เจ็บ ตาย" เจอทุกคน และเป็นแบบนี้ทุกชาติภพที่เกิดเลย

    สำหรับเรานะ.. เวลานึกถึงคำว่า ธรรมะ เราจะชอบคิดว่า ธรรมะก็คือ ความเป็นจริงที่คอยย้ำเตือนเราให้เรามีสติว่าจริงๆแล้วบ่อเกิดของสิ่งต่างๆเป็นเพราะอะไร ก็คือ คอยเตือนให้เราไม่หลงอยู่ในเกมส์ของโลกสมมติอ่ะแหละ ><

    ความเห็นส่วนตัวทั้งหมด ห้ามใช้ไปอ้างอิงล่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มีนาคม 2012
  4. รักหมดใจ

    รักหมดใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    114
    ค่าพลัง:
    +290
    ความหมายแห่ง "ธรรมะ" นั่นคือสิ่งใด แล้วทำไมไม่ให้หัวใจของตัวท่านเองนั้นรับรู้

    ใช้สติปัญญแห่งหัวใจท่านลองตรองดู ความทุกข์นั่นคือห้วงแห่งสิ่งใดกัน บ้างก็ว่าความทุกข์คือความปรุงแต่ง

    แตกแขนงจากหัวใจไร้ปัญญา จึงเริ่มรีบเร่งให้หัวใจรีบเร็วเร่งไขว้ขว้าหาปัญญารู้แจ้งมาสั่งสอนตน

    :VO :VO :VO

    มาความหมายแห่งตำราของท่านอื่น ธรรมะสุดฝืนให้หยั่งรู้ได้

    บ้างเตือนว่าธรรมะเป็นสิ่งอันตราย หากไซร้ยึดติดเกิดใหม่ในดินแดนธรรมได้เช่นเดียวกัน

    :VO :VO :VO

    มาความหมายอีกความหมายไร้คัมภีร์ ดูดีที่หัวใจไร้การแสวงหา อีกครั้งแห่งการแสวงไร้ตัวตน หากการแสวงการไร้ตัวตนคือความหมายแห่งตัวธรรมะ

    แล้วหาธรรมะค้นพบตัวตนได้อย่างไรกัน

    :VO :VO :VO

    อีกความหมายหยั่งรู้ถึงความเป็นไปได้ ปรากฎการณ์อนันต์หาใช่ความเป็นจริง ทุกสิ่งเป็นไปได้ทุกสิ่งสิ้น ความเป็นไปได้ตอบสิ้น "ทุกสิ่งอนัตตา"

    " ทุกสิ่งเกิดขึ้นพร้อมกัน เป็นปัจจุบันนิรันดร์ " ทุกสิ่งมีความเป็นไปได้ไร้สิ้นสุด ทุกสิ่งมีความเป็นไปได้ในความเป็นจริงเป็นอนันตนิรันดร์

    :VO :VO :VO

    มีความหมายสุดท้ายอยากให้คิด ทุกสิ่งผิดประการใดใคร่ไต่ถาม อนิจจังความหมายทุกประเด็นความ

    ไร้ความหมาย ไร้ค่าบทกระบวนความ หมายถึงค่าธรรมะที่ไร้ความหมายยังคงคือเฉกเช่นเดียวกันแห่งอนันตอนัตตาเช่นกันเชียว เท่านั้นเอง

    ดังนั้นแล้ว ทุกสิ่งพรากความหมายออกจากหัวใจของตัวเองไปเท่านั้นเอง

    :VO :VO :VO

    อีกครั้งแห่งการพบพาน
     
  5. คนสร้างทาง

    คนสร้างทาง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +6
    ธรรมะคือ อริยสัจ ๔ มรรค ๘ ปฏิจจสมุทรปบาท
     
  6. philosophi

    philosophi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +1,896
    ธรรมะ... ..มันก็เป็นเช่นนั้นเอง...ของทุกสรรพสิ่ง..ธรรมดาๆ..(ความเห็นส่วนตัว)
    เช่น เข้าไปโพสแล้วเพื่อนลบกระทู้ทิ้ง อย่างนี้เป็นต้น..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 มีนาคม 2012
  7. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    ตอบ คือ ธรรมดา ธรรมชาติ

    (pczophie ดักทางกันเห็นๆ กะว่าจะใช้อ้างอิงอยู่พอดี 55)
     
  8. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
    บรรดาทางทั้งหลายอันให้ถึงอมตธรรม ทางมีองค์แปด เป็นทางเกษม
     
  9. SegaMegaHyperSuperCyberNeptune

    SegaMegaHyperSuperCyberNeptune "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านกระทู้ผม"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    4,087
    ค่าพลัง:
    +3,394
    คือ หลักในการพ้นทุกข์ แต่ผมเชื่อใน GOD มากกว่า
    เพราะมีพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้เรารอดแล้ว
     
  10. romanof3

    romanof3 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +68
    ธรรมมะ คือ ธรรมชาติและลักษณะหน้าที่ของธรรมชาติ ของทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่ารูป ( กายภาพ ) นาม ( จิตภาพ ) อยู่ภายใต้กฏเกณฑ์ เดียวกัน ทุกคน ทุกที่ ทุกแห่ง ทั่งทั่วจักรวาล พระพุทธองค์ทรงค้นพบ ได้แก่กฏ 4 ข้อ
    1. กฏแห่งกรรม ( ทำเหตุเช่นไร ผลเกิดเช่นนั้น )
    2. กฏแห่งอริยสัจสี่ ( กฏนี้เพื่อการดับความทุกข์และขจัดปัญหาในการดำเนินของสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะมนุษย์ เท่านั้น )
    3. กฏแห่งไตรลักษณ์ ( การเสื่อมสลายไปตามธรรม ทั้งเกิด และ สลาย ไม่มีอะไรอยู่ถาวรในทุกสรรพสิ่ง )
    4. กฏแห่งปฏิจสมุปบาท ( การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ของทั้งรูป และ นาม อาศัยเหตุปัจจัย หลายๆอย่างมาประกอบ และอาศัยเหตุปัจจัยเหล่านั้นดับการเกิดขึ้นมา )

    ทุกจักรวาล ทุกคน ทุกเพศ ทุกฐานะ ทุกจิตวิญญาณ ใน วัฎฎะสงสาร หรือ 31 ภพภูมิ ต้องอยู่ภายใต้ธรรมทั้ง 4 นี้ มีเพียงที่เดียวที่อยู่นอกกฏ คือ พระนิพพาน บุคคลที่แสวงหาความสุข ปราศจากทุกข์ควรทำตนให้ถึงพระนิพพาน เพราะพระนิพพาน ไม่มีการเกิด ไม่มีการตาย ไม่มีปัจจัยต้องเกิด ไม่มีปัจจัยต้องตาย ไม่มีความทุกข์ให้เป็นปัจจัยที่ต้องเกิด จึงไม่มีความตาย เพราะไม่เกิดจึงไม่ตาย เมื่อไม่ตายจึงไม่มีการเสื่อมสลาย เมื่อไม่เสื่อมสลายจึงไม่มีทุกข์ ( ทุกข์ แปลว่า การทนต่อสภาพนั้นๆไม่ได้ ทั้งทนต่ออารมณ์ใจ ทนต่อแรง การพังของวัตถุเป็นต้น ) เมื่อไม่มีทุกข์ ก็มีแต่สุขเป็นนิรันดร์ อนัตกาล เรียกว่าสภาวะอมตะนั้นเอง

    สรุปในภาษาทางโลก ธรรมมะของพระพุทธองค์ คือ สมการที่รวมทุกสมการในการหาคำตอบของธรรมชาติ ทั้งจักวาล ไว้ในที่เดียวกัน ผู้ที่ปฏิบัติธรรมไขคำตอบได้ที่สุดคือ พระอรหันต์ ท่านรู้คำตอบชัดเจนที่สุดว่า ธรรมมะคืออะไร


    ( การตอบคำถามของผมผิดพลาดประการใดผมขออภัยด้วยครับ )

     
  11. romanof3

    romanof3 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +68
    ต่อ จากข้างบนครับ ดังนั้นพวกเราควรมาทำตนเองให้เป็นพระอรหันต์กันเถอะ จะได้รู้ว่า ธรรมมะคืออะไร ผมก็ขอเป็นหนึ่งในคำว่าพวกเราครับ เพราะผมก็ปรารถนาพ้นทุกข์เช่นกัน ไม่ขอเปนพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี ผมขอเปนพระอรหันต์ ภายในชาตินี้และให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้เท่านั้น ความรู้ที่ว่า ธรรมมะคืออะไร เมื่อผมปฏิบัติ ผมก็จะรู้คำตอบเองครับ เมื่อนำมาอธิบายให้ทุกท่านรู้ทุกท่านทราบก็ อาจไม่ครบถ้วน เหมือนที่ผมรู้แน่ๆ เพราะ คำว่าธรรมมะ เป็น" ปัจจัตตัง " รู้ได้เฉพาะตนเท่านั้นครับ
     
  12. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    พระอรหันต์มี 4 ประเภท ใช่หรือเปล่าคะ?

    พระพุทธองค์ทรงกล่าวถึงผู้ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์เอาไว้
    ว่ามีคุณพิเศษแตกต่างกันออกไป

    เพื่อความเข้าในอันดีในพระอรหันต์ประเภทต่างๆ
    ขอนำธรรมะที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำกล่าวถึงพระอรหันต์ทั้ง 4 แบบไว้
    ดังต่อไปนี้




    พระอรหันต์

    1) พระอรหันต์มี 4 แบบ คือ สุขวิปัสสโก หมดกิเลสแล้ว แต่ไม่มีความรู้พิเศษ เห็นผีเห็นเทวดาไม่ได้ ได้แต่ปลงสังขาร ให้อารมณ์หยุดอยาก คือ ไม่อยากเกิด ไม่อยากมี ไม่อยากเอาดีกับชาวโลก เพราะเห็นว่าเมื่อยังเกิด ตราบใด ก็ยังต้องทุกข์ตราบนั้น ท่านเลยเบื่อเกิด ทั้งเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา พรหม ท่านไม่เอาด้วยทั้งนั้น สิ่งที่ท่านต้องการก็คือ พระนิพพาน

    2) พระอรหันต์อีกแบบหนึ่งก็คือ พระอรหันต์ที่เรียกว่า เตวิชโช คือ ท่านทรงวิชชาสาม ได้แก่
    - ทิพยจักขุญาณ มีอารมณ์จิตเป็นทิพย์ รู้เรื่องราวต่าง ๆ ทั้งอดีตและอนาคต ท่านรู้ได้คล้ายตาทิพย์
    - อันดับที่สอง สามารถระลึกชาติในอดีตได้ทุกชาติที่ท่านเกิดมาแล้ว
    - สาม ท่านละกิเลสหมดทุกอย่างเหมือนท่านสุกขวิปัสสโก

    3) พระอรหันต์อันดับที่ 3 ได้แก่ท่านผู้ทรง อภิญญา 6 (พระฉฬภิญโญ) คือ
    - แสดงฤทธิ์ได้ทุกอย่าง เพราะอำนาจกสิณ
    - มีหูทิพย์ เพราะอำนาจกสิณ
    - มีทิพยจักขุญาณ
    - มีปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้
    - รู้ความรู้สึกนึกคิดของคนและสัตว์ได้
    - ทำกิเลสให้สิ้นไป

    4) พระอรหันต์ประเภทที่ 4 (พระปฏิสัมภิทัปปัตโต) ท่านมีอำนาจฤทธิ์เหมือนท่านผู้ทรงอภิญญา แต่มีญาณพิเศษกว่า คือ มีปัญญาฉลาดเฉียบแฉลม สามารถคิดคำนวณพยากรณ์เหตุการณ์ทุกอย่างได้โดยฉับพลัน มีฤทธิ์คล่องแคล่วกว่าอภิญญา 6
    ท่านอันดับที่ 4 นี้แหละ ที่ท่าน ปิณโฑลภารทวาชะ และท่านโมคคัลลาน์ ท่านทรงได้
    ได้บรรยายเรื่องพระอรหันต์พอให้ท่านผู้อ่านทราบไว้เพียงย่อ ๆ จะได้ไม่เข้าใจผิด เพราะคน ส่วนมากก็คิดว่าพระอรหันต์จะต้องเป็นพระมีฤทธิ์เหมือนกันหมดทุกองค์ ความจริงพระอรหันต์ไม่ใช่จะมีฤทธิ์มีเดชเหมือนกันหมดตามที่บอกมาแล้ว

    5) การเดินทางเข้าสู่พระอรหันต์หรือพระอรหัตตมรรคนี่อันดับแรกก็ตัด รูปราคะ อรูปราคะ คือ ใช้ปัญญาพิจารณาว่า รูปฌานก็ดี อรูปฌานก็ดี เป็นเพียงแค่กำลังหวังมรรคผลในการตัดกิเลสเท่านั้น เราจะไม่หลงจมอยู่เฉพาะรูปฌาน หรืออรูปฌาน จะทำความดีต่อไป
    ความจริงเป็นพระอนาคามีแล้ว ตัวนี้ไม่ต้องตัดก็ได้นะ มันไม่มีอะไรเกาะ แต่ถ้าพูดกันตามแบบก็ต้องพูด มันเป็น อนุสัย คือ กิเลสเบามาก พระอรหัตตมรรคนี่เป็นการตัดกิเลสจุ๋มจิ๋ม ไม่ใช้กำลังหนัก ไปหนักแค่อนาคามี
    ต่อมาก็ตัด มานะ การถือตัวถือตน การถือตนว่าเราดีกว่าเขา เราเลวกว่าเขา เราเสมอเขา นี้ยกยอดไปจากจิต คิดว่าคนก็แค่คน สัตว์ก็แค่คน มันแค่กันหรือเปล่า สัตว์บางทีก็สูงกว่าคนนะ อย่างแมลงวันจับบนหัวเรา
    คำว่าแค่กัน หมายความว่า ทุกอย่างต่างก็ธาตุ 4เหมือนกัน รักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกัน ถ้าเราจะเกลียดสัตว์ ก็จงนึกว่าสัตว์กับเรามีอะไรแตกต่างกันบ้าง
    1. เนื้อ สัตว์มีไหม 2. กระดูก มีไหม 3. เลือด เนื้อ มีไหม เรามีเหมือนสัตว์หรือเปล่า สัตว์กับเรามีสภาพเหมือนกัน คือ มีธาตุ 4 เหมือนกัน ร่างกายสกปรกเหมือนกันใช่ไหม

    6) อรหัตตมรรคเข้าไปตัด อุทธัจจะ คือ อารมณ์ฟุ้งซ่าน คือ ความฟุ้งซ่านของจิตน่ะ พระอรหัตตมรรคกับปุถุชนนี้ไม่เท่ากันนะ
    ปุถุชนอารมณ์ฟุ้งซ่านในด้านอกุศลมีมาก จิตคิดในด้านอกุศลมีอยู่ ภาวนาไปบ้าง พิจารณาไปบ้าง ดีไม่ดีภาวนาไป ๆ นึกถึงใครที่ไม่ชอบใจ เลยกลายเป็นภาวนาด่าไปเลย อันนี้มันฟุ้งซ่านเป็นอกุศลได้ ถ้าจิตเข้าถึงพระโสดาบัน จิตนึกไม่ชอบใจยังมีอยู่ แต่จิตคิดประทุษร้ายจริง ๆ ไม่มี ถ้าถึงพวกสกิทาคามี จิตคิดประทุษร้ายจะหายาก โกรธมาปั๊บ โกรธเบามาก แล้วก็หายเร็ว ที่เรียกว่า อภัยทาน ไม่ผูกอาฆาต นี่เรียกว่า พระสกิทาคามี
    พอถึงพระอนาคามี อารมณ์จิตที่มันฟุ้งซ่านเข้ามาอารมณ์จิตอกุศลไม่มี จิตคิดทำลายเขาไม่มี มีแต่คิดว่ากูเป็นอนาคามีนี่วะ พักแค่นี้ก็ได้ ตายไปเป็นเทวดาหรือพรหม ฉันตีตั๋วต่อเลย อันนี้มีบ้าง ไม่มาก
    พอถึงอรหันตตมรรคก็ในลักษณะเดียวกัน ทำไป ๆ เห็นร่างกายมันไม่ดี ปวดบ้าง เมื่อยบ้าง เป็นโน่นบ้าง เป็นนี่บ้าง เอ๊ย เราก็เป็นพระอนาคามีแล้วนี่โว้ย เรื่องเล็ก ๆ น่ะ นอนพักผ่อนเสียได้ ตายเมื่อไรเป็นเทวดา พักหน่อยค่อยไปนิพพาน

    7) อารมณ์พระอรหันต์ นั่นก็คือ คิดว่าไม่หลงในรูปฌาน และอรูปฌาน จิตไม่มีมานะ การถือตัวถือตน จิตไม่มีอารมณ์ฟุ้งซ่านออกนอกรีตนอกรอย จิตไม่ติดในอวิชชา คือ ฉันทะ กับ ราคะ ฉันทะ ความพอใจเห็นว่ามนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลกไม่มี ราคะ จิตเห็นว่ามนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก สวยไม่มี ไม่พอใจใน 3 โลก จิตพอใจจุดเดียว คือ นิพพาน
    นี่เป็นอารมณ์พระอรหันต์โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อารมณ์พระอรหันต์คือ ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา ไล่ลงมาอีกทีนะ จิตยอมรับนับถือกฎของธรรมดาว่าธรรมดาคนเกิดมาแล้วต้องแก่ คนเกิดมาแล้วต้องป่วย คนเกิดมาแล้วต้องมีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ คนเกิดมาแล้วต้องตาย ความปรารถนาไม่สมหวังย่อมมีแก่ทุกคน ถ้าทุกอย่างมันเกิดขึ้น ใจท่านไม่หวั่นไหว ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา แล้วก็จิตคิดว่าร่างกายนี้พังเมื่อไร ฉันไปนิพพานเมื่อนั้น ใจสบาย

    8) ทีนี้มาพูดถึงอารมณ์ของพระ อรหันต์ พระอรหันต์นี่ก็ยังมีอารมณ์คิด มีอารมณ์ใคร่ครวญ พระอรหันต์ไม่ใช่ตอไม้ บุคคลบางคนจะรู้สึกว่า ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วจะต้องมีสภาพเหมือนตุ๊กตา หรือตอไม้ บางรายมักจะสร้างแบบขึ้นมาว่า พระอรหันต์นี่ไม่มีการหัวเราะ ไม่มีการยิ้ม เขาคิดอย่างนี้คงเข้าใจว่า เมื่อคนใดเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ คนนั้นคงจะปราศจากจิต คงจะปราศจากวิญญาณ คือ มีสภาพเหมือนคนตายดิบประเภทนั้นกระมัง
    นี่ความคิดอย่างนี้มิใช่ความคิดอย่างเดียว ขนาดพูดออกมาทางปาก นี่เขาเหล่านั้นตามความเข้าใจของฉันคิดว่าท่านที่พูดอย่างนั้นคงจะมีศีล 5 ยังไม่ครบ ถ้าคนมีศีล 5 ครบ ไม่พูดแบบนั้น เพราะคนที่มีศีล 5 ครบถ้วนนี้เป็นพระอริยเจ้า คือ พระโสดาบันกับพระสกิทาคามี ถ้าเข้าถึงช่วงนี้แล้ว เขาไม่มีความสงสัยในปฏิปทาของพระอรหันต์ เขาคงจะลืมไปว่าแม้แต่องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทรงมีการแย้มพระโอษฐ์
    เป็นอันพึงเข้าใจว่า พระอรหันต์เองก็ยังมีอารมณ์ไม่สงบ ปักอยู่เฉพาะจุด ยังมีอารมณ์คิด แม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็มีอารมณ์เช่นนั้นเหมือนกัน เพราะว่าพระพุทธเจ้าก็เป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ ทั้งหลาย ถ้าสาวกก็เป็นพระอรหันต์ เป็นผู้สิ้นกิเลสเหมือนกัน แต่ทว่าความรู้พิเศษในด้านญาณต่าง ๆ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ามีความสามารถมากกว่าพระอรหันต์ใด ๆ ที่เป็นสาวก

    9) ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้ง หลาย ทั้งภิกษุสามเณร อุบาสก อุบาสิกา จงจำไว้ว่าคำว่าถึงพระอรหันต์นะ มันมีอยู่คำเดียวหรืออย่างเดียวคือ เราไม่ติดอะไรทั้งหมด อีกทั้งกำหนดรู้ว่าวัตถุธาตุต่าง ๆ คนก็ดี ใครก็ตามที่ไม่ได้เนื่องกับเราคือไม่ใช่ของเรา แต่เขาเนื่องถึงเราจริงเราสงเคราะห์ หรือทำงานสงเคราะห์ให้ตามหน้าที่ทุกอย่าง แต่เราไม่ผูกพัน คิดว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย แม้แต่ร่างกายเราก็ไม่ต้องการ ถ้าคิดอย่างนี้ก็ตรงกับองค์สมเด็จพระพิชิตมารตรัสไว้ในท้าย มหาสติปัฏฐานสูตร ว่า
    เธอจงอย่าสนใจกายภายใน คือ กายตนเอง อย่าติดใจกายภายนอก คือ กายคนอื่น และก็จงอย่าติดใจในวัตถุธาตุใด ๆ จงปลดกำลังใจว่า แม้แต่ร่างกายนี้ มันก็ไม่ใช่เป็นของเรา เพียงแค่นี้ทุกคนก็เป็นพระอรหันต์



    หมายเหตุ ทางสายเอกเพียงสายเดียวที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
    ทำให้เข้าสู่ความเป็นพระอรหันต์ได้คือ การปฏิบัติตามมหาสติปัฏฐานสูตร (วิปัสสนากรรมฐาน)

    แต่การได้ฤทธิ์นั้นมาจากการฝึกสมถกรรมฐาน

    เครดิต : พระอรหันต์ 4 ประเภท - DekTriam.net
     
  13. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    เจ้าของกระทู้อย่าลืมมาตอบให้ฟังบ้างล่ะคะ
    มีถาม มีตอบ แลกเปลี่ยนความเห็น มาสุนทรียสนทนากัน :)
     
  14. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    ธรรมมะ ก็คือ ธรรมมะ :cool:
     
  15. romanof3

    romanof3 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +68
    เข้าใจถูกต้องครับ พระอรหันต์มี 4 ประเภท แต่การจัดประเภทเป็นตัวผล คือ นำผลคุณวิเศษที่แตกต่างกันมาบันทึกเพื่อ ให้ผู้ที่ปฏิบัติเมื่อเกิดผลแล้วสามารถเทียบเคียงลำดับประเภทได้ ส่วนการปฏิบัติให้ได้ รวดเร็วไม่ควรไปตั้งจิตว่าจะเป็นประเภทนู้นประเภทนี้ เพราะเป็นเหตุให้ช้านาน คับ ควรตั้งใจปฏิบัติละกิเลส เมื่อปฏิบัติไปเรื่อยไจะเข้าใจเองครับว่าตนเองเหมาะสมกับวิธีไหนแบบใด ครับ สำหรับตัวผมชอบแบบ สบายๆ ประกอบกับการดำรงชีวิตปัจจบัน ทำให้ไม่สามารถจะปฏิบัติแบบพระโบราณได้ ครับ ผมจึงปฏิบัติแบบสบายๆไปเรื่อยๆ ไม่กระทบคนอื่น ไม่กระทบตนเอง ดูใจ ดูตัวเอง พิจารณาธรรม แบบสุกขวิปัสสโกครับ
    แต่หลวงพ่อพระราชพรหมญาณท่านเมตตาบรรยาย หลักการปฏิบัติเพื่อเป็นพระอรหันต์ 4 ประเภท ไว้ชัดเจนและถูกต้องเข้าใจง่าย ตามแต่จริตและนิสัยวาสนาครับ
     
  16. undfined

    undfined เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2009
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +240
    ธรรมะก็คือธรรมชาติ คือความจริง
    ความจริงยังคงดำรงอยู่ ถึงแม้ว่าเราจะรู้หรือไม่รู้
     
  17. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    ธรรมะคือ สิ่งที่เราควรศึกษา เพื่อการเข้าถึง
    หาใช่แค่เพียงรู้ความหมายอย่างเดียวไม่!
    ถึงแล้วเป็นอย่างไร?

    ถึง รู้....
     
  18. DekNoii

    DekNoii สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +0
    อิอิ

    เห็นกันชัดเล้ยเนอะ ธรรมมะของแต่ละคนต่างกัน ^ ^
     
  19. bamrung

    bamrung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2006
    โพสต์:
    836
    ค่าพลัง:
    +1,524
    ธรรมะ คือ ไม่มีธรรมะ นั่นแหละ
     
  20. DekNoii

    DekNoii สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +0
    ธรรมมะ

    ธรรมมะ ไม่มีธรรมมะ คน ไม่ใช้คน มีชีวิต ตาย ขาว ดำ ดี ชั่ว เป็นของูคู่กัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...