การอธิษฐานครั้งสำคัญในพระพุทธศาสนา..

ในห้อง 'บุญ-อานิสงส์การทำบุญ' ตั้งกระทู้โดย ลุงไชย, 11 กุมภาพันธ์ 2012.

  1. ลุงไชย

    ลุงไชย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +2,436
    [​IMG]
    (ภาพจากห้องแกลอรี่ เวปพลังจิต)



    การอธิษฐานครั้งสำคัญในพระพุทธศาสนา..

    ...เรื่องราวนี้เป็นเรื่องราวของ องค์พระศาสดาของพระพุทธศาสนาในช่วงที่พระพุทธองค์ ยังทรงเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ก่อนที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั่นเองครับ ซึ่งก่อนที่พระองค์จะได้ตรัสรู้ได้กระทำการ อธิษฐานครั้งสำคัญ 3 ครั้งด้วยกัน ซึ่งชาวพุทธทุกคนควรทราบเป็นอย่างยิ่ง

    เพราะในช่วงที่เจ้าชายสิทธัตถะก่อนที่ จะออกบวชนั้น ได้ทรงครุ่นคิดอย่างหนักถึงการหาวิธีการที่จะพ้นทุกข์อย่างแท้จริง แม้จะมีนางรำที่มีความสวยงามมากมายมาร่ายรำสร้างความบันเทิงอยู่ตรงหน้า ก็ไม่ได้ให้ความสนใจแม้แต่น้อยจนกระทั่งเผลอหลับไป

    เมื่อตื่นขึ้นมากลางดึกก็พบเห็นเหล่า นางรำที่เมื่อสักครู่ยังดูสวยงาม แต่มาบัดนี้นอนทับถมกระจัดกระจายเต็มท้องพระโรงประหนึ่งเหมือนซากศพ เมื่อเห็นดังนั้นก็เกิดความสังเวชใจจึงไม่เกิดความลังเลใจอีกต่อไป ทรงตัดสินใจออกบวชทันที

    ที่ลุ่มแม่น้ำอโนมา หลังจากที่ได้ทรงถอดเครื่องประดับทั้งหลายพร้อมกับบอกให้นายฉันนะ นำกลับไปยังเมืองกบิลพัสดุ์เพราะพระองค์ตัดสินใจออกบวชแล้ว จึงได้ทำการ ตั้งจิตอธิษฐานเป็นครั้งแรก ว่า ขอให้พระองค์เองได้ตัดใจบวชเพื่อมุ่งสู่ความเป็นบรรพชิตแสวงหาทางพ้นทุกข์นับแต่บัดนี้

    โดยถ้าหากพระองค์จักได้ทำการตรัสรู้ก็ ขอให้ พระเกศาของพระองค์จงลอยอยู่บนอากาศอย่าได้ตกลงมาเลย ปาฏิหาริย์ครั้งแรกแห่งการอธิษฐานก็เกิดขึ้นทันที เพราะหลังจากที่พระองค์ตัดพระเกศาออก ท้าวสักกะเทวราช หรือพระอินทร์ ที่ล่วงรู้เหตุการณ์ทั้งหมด ก็รีบเหาะนำพานมารองรับพระเกศาเอาไว้แล้ว นำพระเกศาของพระองค์ไปบรรจุไว้ในเจดีย์จุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ต่อไป

    จุดเริ่มต้นแห่งพระพุทธศาสนาจึงได้ เริ่มต้นที่ริมฝั่งแม่น้ำ อโนมาแห่งนั้น หลังจากออกผนวชได้ 7 วัน พระโพธิสัตว์สิทธัตถะก็ได้เสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์แล้วมุ่งหน้าไปที่กรุง ราชคฤห์ซึ่งมีพระเจ้าพิมพิสารปกครองอยู่ พระเจ้าพิมพิสารได้เสด็จมาเข้าเฝ้าพระโพธิสัตว์ด้วยพระองค์เองและทูลขอให้ ประทับอยู่ที่กรุงราชคฤห์แห่งนี้

    พระโพธิสัตว์สิทธัตถะ สำนึกได้ว่าไม่ควรจะอยู่ที่ใดที่หนึ่งเป็นเวลานานเพราะต้องแสวงหาทางดับ ทุกข์นั้นให้ได้ แต่เพื่อให้เป็นไปตามกรรมกำหนดจึงได้ให้สัญญากับพระเจ้าพิมพิสารว่า หากได้บรรลุธรรมแล้วจะเสด็จมาโปรดพระองค์และชาวเมืองเป็นพวกแรก

    จากนั้นก็ได้ทรงเดินทางไปหา อาฬารดาบสกาลามโคตร ทรงศึกษากับพระอาจารย์อาฬารดาบส ถึงเรื่องการเข้าสมาบัติสำเร็จฌาน 8 คือ รูปฌาน 4 และ อรูปฌาน 4 ซึ่งถือเป็นความรู้ทางธรรมอันสูงสุดของอาจารย์ หลังจากพระองค์ได้บำเพ็ญจิตสมาธิจนบรรลุฌานทั้ง 8 แล้วอาจารย์ก็หมดภูมิจะสอนต่อไปอีก

    พระโพธิสัตว์จึงได้เสด็จไปยังเมืองพารา ณสีเพื่อศึกษาต่อกับ พระอาจารย์อุททกดาบส รามบุตรซึ่งพระองค์ก็ใช้เวลาศึกษาอยู่ไม่นานก็สำเร็จ แต่ก็พบว่ายังไม่ใช่ธรรมะขั้นสูงสุดที่จะทำให้สำเร็จมรรคผลถึงนิพพานได้ จึงได้ปฏิเสธคำเชิญของอาจารย์ที่จะอยู่ร่วมเป็นอาจารย์ช่วยสั่งสอนศิษย์ทั้ง หลาย จึงได้ลาและออกแสวงหาธรรมโดยพระองค์เองต่อไป

    เวลาผ่านไปหลายปี พระโพธิสัตว์สมณโคดมได้ทดลองการบำเพ็ญเพียรทั้งหมด ไม่ว่า การบำเพ็ญแบบเดียรถีย์ ที่เป็นแนวปฏิบัติของนักบวชของอินเดียในสมัยโบราณ ที่ต้องทรมานร่างกายในแบบต่าง ๆ เช่น การประพฤติตนเปลือยกาย ไม่ยอมรับอาหารที่เขาให้ หรือ ฉันอาหารที่เก็บไว้วันเดียวบ้างเจ็ดวันบ้าง เดินเขย่งเท้าหรือนอนบนที่นอนที่ทำด้วยหนาม เป็นต้น

    ในขณะที่ประทับอยู่ ณ อุรุเวลาเสนานิคม ก็มีชายกลุ่มหนึ่งมาจากเมืองกบิลพัสดุ์มาตามหาพระสมณโคดม นำโดย ท่านอัญญาโกณทัญญะ พราหมณ์ผู้เป็นหัวหน้า ได้พาพวกมาเข้าเฝ้าด้วยความเลื่อมใส และทั้งหมด ขออยู่รับใช้ที่นั่นจนกว่าพระโพธิสัตว์จะได้บรรลุธรรม

    พระโพธิสัตว์ได้ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาจน พระวรกายซูบผอมดำคล้ำจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกโดยการบำเพ็ญขั้นสุดท้ายนี้ คือ การบริโภคอาหารน้อยลงจนถึงหยุดกินอาหารไปเลย เหล่าพราหมณ์ทั้ง 5 ที่ตามมารับใช้ต่างก็ช่วยกันดูแลพระโพธิสัตว์อยู่ตลอด พระองค์ได้ทำการทรมานตนเองจนเกือบจะสิ้นพระชนม์อยู่หลายวัน

    แต่สำหรับท้าวสักกะเทวราชหรือพระอินทร์ นั้นไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพระองค์ และยังเกรงว่าความตั้งใจอันเด็ดเดี่ยวนี้จะเกิดความสูญเปล่า ดังนั้นในคืนที่ 49 แห่งการบำเพ็ญเพียรก่อนที่ร่างของพระองค์กำลังจะดับสูญไปเพราะความทุกข์ ทรมาน

    พระองค์ได้ยินเสียงพิณจากนักดนตรีที่ แล่นเรือผ่านมาตามแม่น้ำ ซึ่งก็คือพระอินทร์แปลงกายมาโดยที่นักดนตรีปลอมนั้นแกล้งตั้งสายพิณให้หย่อน บ้าง และ ตึงบ้างสลับกันไปจนกระทั่งพระอินทร์ตั้งเสียงพิณจนสุดจนสายขาดผึงไป

    เพราะเสียงพิณที่แตกต่างกัน ทำให้พระองค์ได้ตระหนักถึงความสำคัญของ จิตกับกาย หรือนามกับรูปเป็นครั้งแรกว่าในขณะนี้พระองค์ได้ทรมานร่างกายมากเกินควร เพราะธรรมชาติของร่างกายสามารถทนได้เพียงเท่านี้หากดื้อดึงจะใช้จิตเคี่ยว เข็ญร่างกายจนเกินกำลังก็คงไม่อาจบรรลุธรรมได้แน่

    และทำให้พระองค์ได้นึกถึงตอนที่พระองค์ ยังทรงพระเยาว์อยู่ ในงานแรกนาขวัญขณะที่อายุได้ 8 พรรษาได้นั่งอยู่ใต้ต้นหว้าที่ร่มเย็นและมีใจเป็นสมาธิมาก ถือศีล งดเว้นจากเรื่องทางโลกทั้งหลายจนได้บรรลุฌานเบื้องต้น รู้เท่าทัน จิต และมีความสุขจากการรับรู้นั้นทำให้เกิดความสงบจากสิ่งเจือปนทางจิต (กิเลส) ทั้งปวง เมื่อตระหนักได้ดังนี้ พระองค์ก็ได้ยินเสียงพิณที่ได้ขึ้นสายใหม่ที่เสียงมีความพอดีบรรเลงได้ ไพเราะจึงได้เลิกทรมานกายเพราะตระหนักแล้วว่า

    การเดินสายกลาง ที่ไม่ตึงเกินไปไม่หย่อนจนเกินไปนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

    การปฏิบัติที่ตึงเกินไปทำให้ร่างกายที่เต็มไปด้วยความหิวก่อให้เกิดทุกข์จึงหันมาบริโภคน้ำและอาหารเพื่อร่างกายที่แข็งแรงอีกครั้ง เหล่าพราหมณ์ทั้ง 5 พอได้ทราบว่าพระโพธิสัตว์ได้กลับมาบริโภคอาหารอีกครั้ง ด้วยความที่ไม่ทราบถึงหลักความจริงในเรื่องการเดินสายกลาง ก็จึงเกิดความเสื่อมศรัทธาในตัวพระองค์ ต่างพากันหลีกหนีไปไม่อยู่รับใช้อีก

    แต่พระพุทธองค์ก็ตั้งมั่นในทางสายกลางที่ได้ค้นพบต่อไปเพราะรู้แล้วว่า หากร่างกายดี จิตก็ดีตาม สมาธิก็มีความตั้งมั่น จึงเป็นทางที่จะนำไปสู่การหลุดพ้นได้ และในช่วงนั้นเองก็มีมีบุคคลผู้หนึ่งที่เข้ามามีบทบาทในการตรัสรู้ และเป็นเหตุเนื่องมาจากการ อธิษฐาน เสียด้วย นั่นก็คือ นางสุชาดา ซึ่งเป็นธิดาเศรษฐีแห่งตำบลอุรุเวลาเสนานิคมแห่งนั้น ซึ่งนางได้ตั้งจิตอธิษฐานต่อเทวดาที่ต้นไทรว่า หากนางมีครอบครัวและได้บุตรชาย นางจะนำข้าวมธุปายาสมาถวายกับเทวดา (ข้าวมธุปายาสนั้นเป็นข้าวที่หุงด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง)

    ซึ่งในขณะนั้นพระโพธิสัตว์ได้กลับมาบริ โภคอาหารจนร่างกายแข็งแรงแล้ว ทำให้ผิวพรรณและร่างกายกลับมามีความสดใสเปล่งปลั่งสมกับลักษณะของมหาบุรุษ อีกครั้ง นางสุชาดาได้เห็นก็เชื่อว่าต้องเป็นเทวดาอย่างแน่นอน นางจึงเอาข้าวมธุปายาสเข้าไปถวาย พร้อมทั้งอธิษฐานอีกครั้งว่า ข้าพเจ้าได้บรรลุความปรารถนาแล้วขอให้ท่านได้บรรลุความปรารถนาเช่นเดียวกัน

    การอธิษฐานครั้งที่สอง ของพระโพธิสัตว์จึงบังเกิดขึ้นจากการถวายข้าวมธุปายาสนี้ หลังจากที่พระองค์ได้เสวยข้าวจนหมดแล้วก็ได้เดินนำถาดทองไปที่ริมแม่น้ำเนรัญชรา เพื่อตั้งจิต อธิษฐานบารมีอีกครั้งว่า

    ถ้าเราจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอให้ถาดนี้จงลอยทวนกระแสน้ำไป

    ปาฏิหาริย์ครั้งที่2 จึงเกิดขึ้นทันตาเห็นทันที เมื่อถาดถูกปล่อยจากพระกรหรือมือของพระองค์แล้ว ถาดที่หนักอึ้งนั้น ก็หมุนลอยทวนกระแสน้ำไปเรื่อยๆ ด้วยแรงอธิษฐานและจมสู่นาคพิภพไปรวมกับถาดอีก 3 ใบของพระพุทธเจ้าในภัทรกัปปัจจุบัน

    อธิบายแทรกเพิ่มตรงนี้นิดหน่อยครับ ภัทรกัปคือการ อุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าในยุคปัจจุบันมีอยู่ 5 พระองค์คือ พระกกุสันธะ พระโกนาคมณ์ พระกัสสปะ พระโคดม(พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน)และ พระศรีอริยเมตไตรย ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทะเจ้าองค์ต่อไป

    หลังจากถาดได้ลอยทวนน้ำไปแล้วพระองค์ ก็เกิดความแน่วแน่และมั่นใจมากยิ่งขึ้นว่า จะได้ตรัสรู้อย่างแน่นอนจึงได้เสด็จไปยังโคนต้นโพธิ์ทางทิศตะวันออก ขณะที่กำลังจะประทับนั่นนั้นเอง ก็มีคนหาบหญ้าที่ชื่อว่า โสตถิยะ ผ่านมาได้เห็นลักษณะที่น่าเลื่อมใสงามสง่าของพระโพธิสัตว์ จึงได้ทำการถวายหญ้าคา 8 กำปูลาดเป็นอาสนะให้ประทับนั่ง พระองค์ทรงรับเอาไว้และนำไปประทับนั่งใต้ต้นโพธิ์ นั่งขัดสมาธิแล้วหันหน้าไปทางทิศตะวันออก

    ก่อนที่พระองค์จะบำเพ็ญเพียรภาวนาเพื่อการหลุดพ้นก็ ตั้งจิตอธิษฐานเป็นครั้งที่สาม กำหนดใจให้สงบตั้งมั่นว่า

    แม้เลือดในร่างกายจะแห้งเหลือแต่ หนัง เอ็นหุ้มกระดูก็ตามหากยังไม่ได้บรรลุพระธรรมอันประเสริฐสูงสุดนั้น เราจะไม่ลุกขึ้นจากบัลลังก์แห่งนี้

    เทวดาทั้งหลายทั่วทั้งชั้นฟ้าต่างก็ได้ รับรู้ถึงการอธิษฐานจิตของพระองค์ในครั้งนี้ จึงได้พากันลงมาสดุดีบูชามหาบุรุษด้วยดอกไม้ ของหอมต่าง ๆแล้วโมทนาบุญที่บังเกิดขึ้นในครั้งนั้น แต่ยังมีเทพองค์หนึ่งที่ต้องการขัดขวางการบรรลุธรรมของพระองค์คือ พญาวสวัตดีมาร ซึ่งเป็นถึงผู้ปกครองชั้นสูงสุดของสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น (สวรรค์กามาวจร)

    พญามารนั้นเกรงว่าผู้ใดบรรลุธรรมแล้วจะ มีอำนาจพ้นจากกามสุข ซึ่งเป็นอำนาจของตนเองที่ใช้ปกครองเทวดาทั้งหลาย ได้ยกกองทัพมารจำนวนมหาศาลมาประชิด โดยที่พญาวสวัตตีมารได้ขี่ช้างที่ชื่อ คีรีเมขล์ ที่มีความสูงถึง 150 โยชน์มาด้วยทำให้เหล่าเทวดาพากันถอยหนีไปหมด

    ณ บัดนั้น พระโพธิสัตว์ได้ทรงตั้งพระทัยมุ่งจิตที่บริสุทธิ์ของพระองค์ให้สู้กับ ธรรมชาติฝ่ายต่ำและยกจิตของพระองค์เองให้สูงขึ้นเหนือสิ่งที่เป็นความสุข ชั่วคราวทั้งหลาย ที่เคยได้ประสบมาแล้วตั้งแต่ครั้งยังเป็นเจ้าชายอยู่ให้พ้นไป

    พญามารได้ออกปากขับไล่ให้พระโพธิสัตว์ ได้ลุกออกจากโพธิบัลลังก์โดยอ้างว่า บัลลังก์ที่พระองค์ประทับนั่งอยู่นั้นเป็นของพญามารเอง เพราะหน้าที่บงการชีวิตของเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ประสบทุกข์หรือสุขนั้น เป็นหน้าที่ของพญามารแต่เพียงผู้เดียว

    แต่พระโพธิสัตว์ก็ไม่ได้ลุกขึ้นตามความ ประสงค์ของพญามาร บุญบารมีทั้งหมดที่ได้สั่งสมมาตั้งแต่ครั้งอดีตชาติจะเป็นสื่อกลางและธรณี ที่ประทับนั่งอยู่จะเป็นพยาน หลังจากนั้นก็ใช้ปลายนิ้วชี้ของพระหัตถ์ด้านขวาชี้ลงไปที่ธรณี

    ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อทั่ว ทั้งปฐพีเกิดการสั่นไหวแม้แต่ท้องฟ้าก็ร้องคำราม พระแม่ธรณีได้ผุดขึ้นมาจากธรณีเป็นพยานและได้ถือเอาหลักฐานที่พระโพธิสัตว์ กล่าวอ้าง มาแสดงให้ปรากฏแก่สายตาของพญามาร พระแม่ธรณีได้บีบมวยผมที่ชุ่มไปด้วย บุญบารมี ของพระโพธิสัตว์ที่ได้บำเพ็ญมาแล้วตั้งแต่ต้นจนมีปริมาณมากจนไม่อาจจะประมาณ ได้ น้ำปริมาณมหาศาลได้พัดท่วมเหล่ามารนั้นจนหายไปหมดสิ้นซัดไปไกลลอยไปจนถึง เขตมหาสมุทร

    ฝ่ายพญามารก็ยังไม่ยอมแพ้หมายมั่นจะนำ กำลังที่เหลือกลับไป แต่เมื่อกลับไปแล้วก็ถูกฟ้าผ่าลงมาอีก จึงยอมแพ้ต่อพระโพธิสัตว์ พญามารเกรงในพระราชอาญาและบารมีจึงออกปากสรรเสริญต่อพุทธเดชานุภาพของ พระองค์ว่า ไม่มีบุคคลใดที่มีความเสมอเหมือนพระโพธิสัตว์ไม่ว่าในเทวโลกหรือในมนุษย์โลก ก็ตาม และพระองค์จะช่วยให้เหล่ามนุษย์ได้พ้นจากสังสารวัฎได้อย่างแน่นอน

    พระโพธิสัตว์ได้ชัยชนะเหนือความชั่ว ร้ายได้ตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ทันได้ลับขอบฟ้า จากนั้นพระองค์ก็ได้กำหนดจิตให้เข้าสู่สมาธิทรงรำลึกถึงความทุกข์แห่งการ เวียนว่าย ตาย เกิดที่วนเวียนเกี่ยวเนื่องกันไปไม่ยอมสิ้นสุด จนจิตเป็นสมาธิในเวลาเย็นก็เกิดปัญญาหยั่งรู้ถึงชาติที่เคยเกิดมาก่อน

    พอเวลาได้เลยไปถึงค่อนคืนแล้วก็ทรงเกิด ปัญญา หยั่งรู้การเกิด การตายของเหล่าสัตว์ทั้งหลาย พอถึงเวลาใกล้รุ่งเช้าก็เกิดปัญญาหยั่งรู้ถึงธรรมที่มีความดับแล้วซึ่งกิเลส ทุกอย่างในตอนนี้ จิตของพระองค์ได้พ้นจาก กิเลสในสันดานที่เกิดจากความใคร่ (กามาสวะ) กิเลสที่หมักหมมอยู่ในกมลสันดานทำให้อยากเกิด อยากมี อยากเป็นอยู่ตลอดเวลา (ภวาสวะ) และ กิเลสที่หมักหมมอยู่ในสันดานทำให้ไม่รู้ตามความเป็นจริง ( อวิชชาสวะ) คือพ้นแล้วซึ่งกิเลสทั้งปวงบรรลุอรหันต์

    ในที่สุดการค้นหาของพระองค์สิ้นสุดลง ทรงตรัสรู้กลายเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยมีเหล่าเทวดาพากันลงมาโมทนาบุญกุศลให้มากมายในเวลานั้นภายหลังการบรรลุ ธรรมอันสูงสุดของพระพุทธองค์พื้นปฐพีก็กึกก้องดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วอีก ครั้ง

    ขั้นตอนการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ก็สิ้น สุดลงด้วยประการฉะนี้ จากตัวอย่างในการตรัสรู้ธรรมของพระพุทธองค์จะเห็นได้ชัดถึงพลังแห่งการ อธิษฐานนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งและต้องมีปัจจัยเป็นองค์ประกอบที่ดีงาม จึงจะบรรลุถึงความสำเร็จได้..

    ………………………………………………………………………………………………………………………
    ที่มาhttp://www.torthammarak.com/modules/smartsection/item.php?itemid=105
     
  2. PITINATTH73

    PITINATTH73 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    2,991
    ค่าพลัง:
    +9,624
    ผมขออนุโมทนาสาธุ ในบุญกุศลที่ได้บำเพ็ญมาทั้งหมดทั้งปวงด้วยครับ
     
  3. โอกระบี่

    โอกระบี่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,477
    ค่าพลัง:
    +1,651
    ขอขอบพระคุณที่นำบทความพุทธประวัติมาให้อ่านครับ เคยเรียนมาบ้างตอนบวช นวกะ ได้อ่านอีกครั้งนึกแล้วซึ้งใจครับ
     
  4. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    เรื่องที่ ๓๕ ท่านพระยามาราธิราชเวลานี้ท่านไปเกิดเป็นหัวหน้าเทวดาบนสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี

    “..พระยามารที่เรียกกันว่า พระยามาราธิราช ท่านเป็นหัวหน้าเทวดาสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี ชาว สวรรค์เรียกท่านว่า ท้าวมาลัย ความจริงเวลานี้ท่านไม่ได้เป็นมารแล้ว อาตมาเคยพบกับท่าน ท่านคุยสนุกสนาน หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ความเป็นมารของท่านที่จะเป็นศัตรูกับพระพุทธเจ้า ก็เพราะในสมัยตอนที่พระพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีใหม่ๆ เพื่อปรารถนาพุทธภูมิ ท่านพระยามาราธิราชกับพระพุทธเจ้าเป็นเพื่อนกัน ต่างคนต่างเลี้ยงม้าเหมือนกัน วันหนึ่งก็ไปเกี่ยวหญ้าให้ม้าด้วยกัน ท่านพระยามาราธิราชก็เกี่ยวแยกออกไป ต่างคนต่างเกี่ยวแยกคนละทาง วันนั้นบังเอิญมีพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งผ่านมาต้องการหญ้า ก็มายืนที่พระพุทธเจ้าเกี่ยวหญ้า พระพุทธเจ้าถวายหญ้าท่านฟ่อนหนึ่ง แล้วท่านก็เหาะไป ครั้นจะเอาของเพื่อนให้ไปด้วยก็เกรงว่าเพื่อนจะไม่มีความเลื่อมใสจะว่าเอา เลยไม่ให้ไป ตอนเย็นเก็บหญ้ามารวม พระพุทธเจ้าก็บอกกับท่านพระยามาราธิราชว่า วันนี้พระมาบิณฑบาตหญ้าเรา เราเอาของเราให้ไปแต่ว่าของเพื่อนเราไม่ได้ให้ไปเพราะเกรงว่าเพื่อนจะไม่ เลื่อมใส เท่านั้นแหละท่านพระยามาราธิราชสมัยเป็นเพื่อนก็เจ็บใจหาว่าพระพุทธเจ้าเอา ดีคนเดียว เลยจองล้างไว้ว่าถ้าหากแกจะเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อไรก็ตาม หรือก่อนเป็นพระพุทธเจ้าก็ตาม ข้าจะคอยขัดขวางการบำเพ็ญบารมีของแกตลอดไป ทั้งนี้เพราะว่าท่านเองก็ปรารถนาพุทธภูมิเหมือนกัน

    ท่านเล่าให้อาตมาฟังว่าในสมัยที่พระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้า ที่ท่านเคยขัดขวางไม่ใช่อะไรเป็นความโง่ของท่านเอง ท่านคิดเกรงว่าพระพุทธเจ้าจะเทศน์สอนคนไปพระนิพพานเสียหมด แล้วเวลาท่านเป็นพระพุทธเจ้าจะไม่มีคนรับฟังการเทศน์ ท่านบอกว่าความจริงผมไม่น่าจะโง่แบบนั้น ที่โง่ก็เป็นเพราะกรรมที่จองล้างจองผลาญกันไว้ รู้สึกเสียใจเหมือนกันว่าไม่น่าจะทำ ต่อมาเมื่อ พระอุปคุต ทรมานเสียจนหมดฤทธิ์เพราะเป็นคู่ปรับกัน จึงมาคิดได้ว่าเราโง่เกินไป

    เป็นอันว่า ท่านพระยามาราธิราช บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวล
    านี้ไม่ต้องกลัวท่าน ควรจะดีใจถ้าท่านมาหาเมื่อไรมีความสุขเมื่อนั้น และก็เลิกเรียกชื่อพระยามาราธิราชได้แล้ว เรียกว่า ท่านท้าวมาลัย ก็แล้วกัน ท่านเป็นพระโพธิสัตว์..”

    เรื่องนี้เป็นเรื่องของ หลวงพ่อฤษีลิงดํา นะครับ เข้าไปอ่านได้ในเวปนี้
     
  5. น้อมกราบ

    น้อมกราบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2012
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +159
    ขอกราบอนุโมทนาสาธุ กับเรื่องราวดี ที่นำเสนอ ด้วยครับผม
     
  6. ตักศิลา

    ตักศิลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    498
    ค่าพลัง:
    +440
    โมทนาสาธุครับ
    ชอบเรื่องราวแบบนี้ พออ่านแล้วก็อยากเป็นผู้บรรลุธรรมจริงๆ งั้นก็ขออฐิษฐานให้เป็นไปตามนั้น
     
  7. amarpinky

    amarpinky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    423
    ค่าพลัง:
    +522
    anumothana sathu sathu sathu
     
  8. chansinghvasin

    chansinghvasin Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +82
    พระโพธิสัตว์ได้ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาจน พระวรกายซูบผอมดำคล้ำจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกโดยการบำเพ็ญขั้นสุดท้ายนี้ คือ การบริโภคอาหารน้อยลงจนถึงหยุดกินอาหารไปเลย เหล่าพราหมณ์ทั้ง 5 ที่ตามมารับใช้ต่างก็ช่วยกันดูแลพระโพธิสัตว์อยู่ตลอด พระองค์ได้ทำการทรมานตนเองจนเกือบจะสิ้นพระชนม์อยู่หลายวัน

    แต่สำหรับท้าวสักกะเทวราชหรือพระอินทร์ นั้นไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพระองค์ และยังเกรงว่าความตั้งใจอันเด็ดเดี่ยวนี้จะเกิดความสูญเปล่า ดังนั้นในคืนที่ 49 แห่งการบำเพ็ญเพียรก่อนที่ร่างของพระองค์กำลังจะดับสูญไปเพราะความทุกข์ ทรมาน


    พระองค์ได้ยินเสียงพิณจากนักดนตรีที่ แล่นเรือผ่านมาตามแม่น้ำ ซึ่งก็คือพระอินทร์แปลงกายมาโดยที่นักดนตรีปลอมนั้นแกล้งตั้งสายพิณให้หย่อน บ้าง และ ตึงบ้างสลับกันไปจนกระทั่งพระอินทร์ตั้งเสียงพิณจนสุดจนสายขาดผึงไป

    เพราะเสียงพิณที่แตกต่างกัน ทำให้พระองค์ได้ตระหนักถึงความสำคัญของ จิตกับกาย หรือนามกับรูปเป็นครั้งแรกว่าในขณะนี้พระองค์ได้ทรมานร่างกายมากเกินควร เพราะธรรมชาติของร่างกายสามารถทนได้เพียงเท่านี้หากดื้อดึงจะใช้จิตเคี่ยว เข็ญร่างกายจนเกินกำลังก็คงไม่อาจบรรลุธรรมได้แน่................

    เรียนคุณคนฝั่งโขง
    ต้องขอออกตัวก่อนว่าคำถามต่อไปนี้เป็นคำถามที่สงสัยตามวิสัยของผู้มีสติปัญญาน้อย ขอเรียนถาม 1.พระอินทร์รู้ได้อย่างไรว่าวิธีของพระโพธิสัตว์ไม่ถูกต้อง 2. การเล่นพิณ ของพระอินทร์ เหมือนชี้ทางให้พระโพธิสัตว์ นั้นหมายความว่า พระอินทร์ย่อมรู้วิธีแห่งการตรัสรู้ใช่หรือไม่. หากมีผู้รู้ช่วยตอบด้วยครับ
     
  9. ลุงไชย

    ลุงไชย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +2,436
    “เมื่อครั้งที่พระสิทธัตถะยังบำเพ็ญทุกรกิริยาก่อนจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามพุทธประวัติกล่าวว่า ท้าวสักกเทวราชได้เสด็จลงมาดีดพิณสามสายเพื่อเตือนสติไม่ให้พระสิทธัตถะทรมานตนจนเกินไป ทำให้พระสิทธัตถะทรงได้พระสติรำลึกขึ้นว่า การดำเนินตามทางสายกลางน่าจะเป็นทางที่จะทำให้ตรัสรู้ได้มากกว่าการทรมานตนเอง”

    เป็นเรื่องราวที่ปรากฏในพุทธประวัติ สำหรับเหตุผลอย่างไร ผมต้องยอมรับว่าปัญญายังน้อย ไม่สามารถอธิบายในตอนนี้ได้ ต้องขออภัยท่านด้วย

    ..ผมมีหลักคิดส่วนตัวอยู่ว่า สิ่งใดที่ไม่สามารถรู้ได้ในตอนนี้(ตามภูมิธรรมของเรา) ก็ต้องวางเอาไว้ก่อน ใช้ศรัทธาความเชื่อไว้ก่อน เชื่อครูบาอาจารย์ เชื่อประวัติที่สืบทอดกันมา เชื่อหนังสือ ตำรา .... เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมก็จะสามารถรู้ได้เอง เพราะถ้าจะต้องหาเหตุผลในเรื่องที่สงสัยมากไป ก็จะมีความลังเลสงสัย การปฏิบัติอาจจะไม่คืบหน้าเท่าที่ควร ...ก็เป็นหลักคิดส่วนตัวนะครับ นำมาเล่าสู่กันฟัง แต่ละท่านก็มีแนวคิดแนวปฏิบัติไม่เหมือนกัน

    อนุโมทนาบุญด้วยครับ
     
  10. ธัมมนัตา

    ธัมมนัตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,515
    ค่าพลัง:
    +9,765
    สาธุ เป็นการตอกย้ำอยู่เรื่อยๆ ว่าแม้การทำความดีก็ต้องมีการอธิษฐานกำกับไว้เพื่อแสดงความมุ่งมั่นอย่างยิ่ง
    อีกตัวอย่างการอธิษฐานจิตในยุคสมัยการกู้ชาติไทยของพระยาตากคือการอธิษฐานจิตว่าการกู้ชาติจะสำเร็จหรือไม่ถ้าสำเร็จขอให้ท่านสามารถขว้างแก้วให้แตกเป็นสองซึกได้ ท่านทำได้สำเร็จในครั้งนั้นมีหลักฐานยืนยันประวัติศาสตร์ตอนนี้ที่วัดดอนข่อยเขาแก้ว อ.เมือง จ.ตาก
     
  11. mhooitim

    mhooitim Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2010
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +30
    สาธุ สาธุ อนุโมทนามิ ความดีงามจงบังเกิดกับทุกท่านทุกคนด้วยเทอญ
     
  12. sukh_anand

    sukh_anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    206
    ค่าพลัง:
    +731
    ขออนุโมทนาอย่างสูงต่อสิ่งที่นำมาเสนอให้อ่านกันด้วยครับ ขอบคุณมากเลยครับ
     
  13. Tom & Jerry

    Tom & Jerry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    294
    ค่าพลัง:
    +536
    อยากดูหนังเรื่อง Little Bhudda ฉากตอนที่พญามารยกทัพมาขัดขวางพระพุทธเจ้านั้น สร้างได้ดีมาก ตื่นตาตื่นใจจริงๆ ยิ่งตอนที่พระองค์ท่านได้บรรลุตรัสรู้ ดูแล้วประทับใจตามด้วยศรัทธาอย่างลึกซึ้งมากค่ะ

    แต่ไม่รู้จะหาดูได้ที่ไหนอีกอ่ะ
     
  14. cnxchool

    cnxchool เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +138
    อนุโมธนา ครับผม
     

แชร์หน้านี้

Loading...