สัมมาสมาธิ แตกต่างกับ สมาธิทั่วไปอย่างไร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 6 กุมภาพันธ์ 2012.

  1. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    โอเคๆผมหลบหลีกก่อนละครับคุณพี่หลง เดี๋ยวเมียดุ ไว้มาตอบละกัน:cool:
     
  2. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80
    คิดว่าไงล่ะครับ

    หมดเหตุ หมดปัจจัย สภาพธรรมก็ดับลง
     
  3. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80
    ผมว่าควรกำหนดรู้ อะไรเป็นรูป อะไรเป็นนาม และรู้ว่าทุกข์อย่างไรก่อนดีกว่าครับ

    จะให้ไปคุย ตัณหา หรือกำหนดละสมุทัย นั้นไม่อยากกล่าว

    เน้นให้รู้ลักษณะทุกข์สัจ ในรูปนามไปจนเต็มภูมิก่อน เดี๋ยวมันไปของมันเอง

    แม้ผมไม่ชี้อะไรเพิ่ม ยังไงปัญญาก็น้อมไปตามอินทรีย์
     
  4. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80
    อ่านอยู่ใช่ไหมลุง ^^
     
  5. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    บุคคลสัปปะรังเค
     
  6. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ...........เอาพระวจนะมาฝากพี่หลง พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย ถ้าบุคคลย่อมคิด(เจเตติ)ถึงสิ่งใดอยุ๋ ย่อมดำริ (ปกปเปติ)ถึงสิ่งใดอยู่ และย่อมมีจิตปักลงไป(อนุเสติ) ในสิ่งใดอยู่ สิ่งนั้นย่อมเป้นอารมณ์ เพื่อการตั้งอยู่แห่งวิญญาน เมื่ออารมณ์ มีอยู่ ความตั้งขึ้นเฉพาะแห่งวิญญาน ย่อมมี เมื่อวิญญานนั้น ตั้งขึ้นเฉพาะ เจริญงอกงามแล้ว การก้าวลง แห่ง นาม-รูป ย่อมมี เพราะมีนาม รูป เป็นปัจจัย จึงมี สฬายตนะ เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จีงมีผัสสะ เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะมีเวทนาเป้นปัจจัยจึงมี ตัณหา เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัยจึงมี ภพ เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมี ชาติ เพราะมีชาติเป็นปัจจัย จึงมี ชรา มรณะ โสกะปริเทวะทุกขโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้ ..........................ภิกษุทั้งหลาย ถ้าบุคคลย่อมไม่คิดถึงสิ่งใด ย่อมไม่ดำริถึงสิ่งใด แต่เขายังมีใจฝังลงไป(อนุสัย) ในสิ่งใดอยู่ สิ่งนั้น ย่อมเป็นอารมณ์ เพื่อการตั้งอยู่แห่งวิญญาน เมื่ออารมณ์ มีอยู่ ความตั้งขึ้นเฉพาะแห่งวิญญานย่อมมี เมื่อวิญญานนั้น ตั้งขึ้นเฉพาะ เจริญงอกงามแล้ว การก้าวลงแห่ง นามรูป ย่อมมี เพราะมีนามรูป เป้นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะมีสฬายตนะเป้นปัจจัย จึงมีผัสสะ เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมี ตัณหา เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน เพราะมีอุปาทานเป้นปัจจัย จึงมี ภพ เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะปริเทวะทุกขโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกืด ขึ้นครบถ้วน ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่าง นี้..............(อริยสัจจากพระโอษฐ์ ท่านพุทธทาส):cool:
     
  7. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    การที่พระศาสดา สอนให้ ทำความรู้สึกตัวบ้าง รู้ตัวบ้าง นั้นก็เพื่อให้คนได้เอาใจที่เคยวิ่งแล่นไปในที่ต่างๆ ได้ดึงกลับมาพร้อมอยู่ที่ กายนี้ ให้เป็นฐาน สติจะตื่นระลึกรู้ตัวขึ้นได้เต็มที่ เพราะโดยปกติ คนมักจะคิดไปต่างๆนาๆ เวลาคิดก็ไม่ได้นึกว่าตัวเรากำลังอยู่อริยาบทไหน ไม่ได้นึกว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ เพราะมัวแต่นึกแต่คิดไปต่างๆนาๆ เมื่อคิดไปปรุงไป ใจไปอยู่ในเรื่องราวต่างๆ พอหนักๆเข้า เรียกว่าใจลอย
    คนใจลอยใครพูดอะไร ก็พยักหน้าหงึกๆ แต่ไม่รู้ความ บางทีเรียกชื่อก็ไม่ได้ยิน ต้องตะโกนนั่นแหละจึงพอรู้สึกตัวมาบ้าง นี่เป็นตัวอย่างของการไม่มีสติรู้การกระทำของตน

    ทีนี้ การที่เราได้ฝึกหัดให้รู้ตัวที่กายบ่อยๆ จะทำให้ฐานของสตินี้แน่นหนามั่นคง ดังจะเห็นได้ว่า พระท่านชอบเดินจงกรม คือ ฝึกให้จิตระลึกรู้

    เรื่องนี้พระศาสดากล่าวเอาไว้ตรงตัวและชัดเจน ดังนั้นให้เอาไปฝึกกันให้ดี จะทำให้จิตพร้อม เต็มดังน้ำเต็มฟองน้ำนั่นแหละ แล้วจะทำให้เกิดพลานุภาพ ร่างกายแข็งแรง เพราะใจไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้เต็มที่
     
  8. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พระวจนะ" ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ก็ ชราและมรณะเป็นไฉน ความแก่ ภาวะของความแก่ ฟันหลุดผมหงอก นี้เรียกว่า ชรา ก็มรณะเป็นไฉน ความเคลื่อน ความทำลาย ความแตกแห่ง ขันธิ์ นี้เรียกว่า มรณะ...................ก็ชาติเป็นไฉน ความเกิด ความบังเกิด ความปรากฏแห่งขันธิ์ นี้เรียกว่า ชาติ.................ก้ภพเป็นไฉน ภพ สามเหล่านี้ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ นี้เรียกว่าภพ................ก็อุปาทานเป็นไฉน อุปาทานทั้ง สี่เหล่านี้คือ กามุปาทาน ทิฎฐิปาทาน สิลัพพตปาทาน อัตวาทุปาทาน นี้เรียกว่า อุปาทาน..................ก็ ตัณหาเป็น ไฉน ตัณหา หกหมวดเหล่า นี้คือ รูปตัณหา สัทตัณหา คันธตัณหา รสตัรหา ธัมตัณหา นี้เรียกว่า ตัณหา...................ก็เวทนาเป้นไฉน เวทนา หกหมวดเหล่า นี้คือ จักขุสัมผัสชาเวทนา โสตสัมผัสชาเวทนา ฆานสัมผัสชาเวทนา ชิวหาสัมผัสชาเวทนา กายสัมผัสชาเวทนา มโนสัมผัสชาเวทนา นี้เรียกว่า เวทนา.....................ก็ผัสสะเป็นไฉน ผัสสะ หกหมวดเหล่านี้คือ จักขุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส นี้เรียกว่า ผัสสะ..............ก็สฬายตนะเป็นไฉน อายตนะ คือ ตาหู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้เรียกว่าสฬายตนะ.................ก็นาม รูป เป็นไฉน เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ นี้เรียกว่า นาม มหาภูตรูปทั้ง สี่และ รูปที่อาศัยมหาภูตรูปทั้งสี่นี้เรียกว่า รูป.................ก็วิญญานเป็นไฉน วิญญาน หกหมวดเหล่านี้คือ จักขุวิญญาน โสตวิญญาน ฆานวิญญาน ชิวหาวิญญาน กายวิญญาน มโนวิญญาน นี้เรียกว่า วิญญาน.......................ก็ สังขารเป็นไฉน สังขาร สามเหล่า นี้ คือ กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร นี้เรียกว่า สังขาร.....................ก็อวิชชาเป็นไฉน ความไม่ รู้ ทุกข์ ความไม่รู้เหตุเกิดแห่งทุกข์ ความไม่รู้ความดับแห่งทุกข์ ความไม่รู้ในปฎิปทาในการให้ถึงความดับทุกข์ นี้เรียกว่า อวิชชา------วิภังคสูตร นิ.ส.(6-17):cool:
     
  9. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80
    ขอบคุณครับ อนุโมทนาพระสัทธรรม และกุศลจิตด้วย ^^
     
  10. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ............ไม่ได้เอามาฝากอย่างเดียว นะครับ จากพระสูตร นี้ นี่คือ สุดยอดใช่ใหมครับ...การเกิดของวิญญาน...........วิญญานเป็นไฉน?............ และ การก้าว ลง แห่งนาม รูป.............แล้ว นาม รูป เป็น ไฉน? (ดูโพส ล่างผมก้เอามาฝาก).......และการเกิดแห่ง สฬายตนะ(อายตนะ)..........:cool:
     
  11. วิหกขาว

    วิหกขาว สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +12
    สัมาสมาสมาธิและมิจฉาสมาธิ

    ทั้งสองเขียนได้ดี เป็นการเสวนาธรรมขั้นสูงซึ่งยากเข้าใจ อธิบายง่ายๆแบบนี้ สัมมาสมาธิ และมิจฉาสมาธิ แตกต่างกันเพียง ศีลเท่านั้น ศีลเป็นบาทแห่งสมาธิเบื้องต้น ศีลเหมือนดินปลูกต้นไม้ วิปัสนาและสมถะ มรรคคือการรดนํ้าพรวนดิน อริยะสัจ ๔ มี สัมมาทิฐิความเห็นชอบเป็นเบื้องต้น เหมือนแม่นํ้าทุกสายไหลลงสู่ทะเล การจะเกิดสัมมาทิฐิ พุทธองค์ตรัสว่ามี๒ อย่าง ๑.ฟังจากผู้อื่น ๒.พิจรณาโดยแยบคาย แม่นํ้าทุกสายไหลลงทะเลฉันใด สัมมาทิฐิย่อมสู่แดนนิพพานฉันนั้น สาธุ
     
  12. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80
    ทรงแสดงปฏิจสมุปบาท

    คำว่า วิญญาณนี้ มองเป็นเรื่อง จุติ ปฏิสนธิ ก็ได้

    หยั่งลงครรภ์มารดา รูปเกิดนามเกิด
     
  13. วิหกขาว

    วิหกขาว สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +12
    ว่าด้วยผู้ฉลาด ๑๒ ประการ

    ยังมีความเหล่านี้ว่าด้วยผู้ฉลาดในพระไตรปิกฏ ๑.ขัน ๕ ๒.ธาตุ ๔ ๓.อายตนะ ๔.ปจิจสมุปบาท ๕.สติปัตยฐาน ๔ ๖.สัมมัปทาน๔ ๗.อิทธิบาท๔ ๘.อินทรีย์๕ ๙.พละ๕ ๑๐.โพชฌงค์๗ ๑๑.มรรค ๔ผล๔ ๑๒.นิพพาน ยังมีความแตกฉานในวิชชา ๓ อภิญญา๖ สมาบัติ๘ ความฉลาดเหล่านี้ ไม่มีไครถามก็บอกโอ้อวดตนไม่มีอริยะธรรม มีผู้ถามและอถิบายให้เข้าไจ เรียกว่า ผู้มีอริยะธรรม แต่เหตุที่บอกไปเพียงมีผู้ร้องขอ ผู้สงบดับกิเลสแล้วไม่โอ้อวดในศีลทั้งหลายว่าเราเป็นดังนี้ รู้เพียงใจ สาธุ
     
  14. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80
    สาธุนะครับ

    สำนวนภาษา น่าจะอยู่แถวภาคเหนือ ^^
     
  15. แปะแปะ

    แปะแปะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    780
    ค่าพลัง:
    +128
    ลองตอบครับ !

    กบเน่า = เป็นรูป
    รู้กบเน่า = เป็นนาม
     
  16. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    กบเน่า = เป็นรูป :':)':)'(
     
  17. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
  18. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ 2ชาติ บรรลุธรรม. . .
    ตกลงที่จิตเข้าไปยึดรูป ยึดนามนี้เป็นเพราะตัณหาพาให้ยึดหรอครับ
    ------------------------------------------------------
    คิดว่าจิตเข้าไปยึดรูปนาม ไม่ใช่เพราะตัณหาพาให้ยึดหนะสิครับ ตัณหาไม่ใช่ปัจจัยให้ยึด รูปนาม

    คิดว่าไงครับเจ๊เจ๋งหลง.:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กุมภาพันธ์ 2012
  19. แปะแปะ

    แปะแปะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    780
    ค่าพลัง:
    +128
    จิตเป็นธรรมชาติที่เข้าไปรู้
    ตัณหา+อุปาทาน เป็นตัวเข้าไปยึด
     
  20. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    ก็การกำหนดกายไหว จิตไหวนั่น เรียกว่า กำหนดรู้ รูป นาม​

    กายเคลื่อนก็คือรูป จิตไหว ก็คือนาม​

    ในเมื่อมันคล่อง มันจะไปแยกรูปนามโดยปริเฉท ​

    ขณะที่มันแยกโดยปริเฉท
    มันไม่มีอะไรจะไปกำหนดว่า นี่รูปนะ นี่นามนะ
    มีแต่รู้ในภายในและใจไม่ผูกมัด​

    การกำหนดรู้รูปนาม จึงเริ่มที่ รู้เฉยๆ​


    จะเริ่มที่อานาปานสติ​

    ก็รู้ที่ ลมเข้าออกเฉยๆ
    พอคล่อง เมื่อจิตมันนิ่งก็กำหนดรู้เฉยๆในความนิ่ง
    ว่างกำหนดรู้เฉยๆในความว่าง
    คิดกำหนดรู้เฉยๆในความคิด
    สลับไปสลับมา วนอยู่อย่างนั้น​
     

แชร์หน้านี้

Loading...