กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย jinny95, 6 กุมภาพันธ์ 2012.

  1. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,077
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,669
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

    เมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๑๙


    กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา



    ความ ดีที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ พึงเสาะแสวงหาเอาในเวลาที่ยังสามารถเป็นไปได้อยู่ คือ เวลาที่ยังเป็นอยู่นี้แหละ ศาสนาท่านไม่ได้สอนคนตาย ท่านสอนคนที่มีชีวิตอยู่ ตายแล้วก็สุดวิสัย ดังดาบสทั้งสองนั่น พระองค์ทรงเล็งพระญาณทราบว่าสองดาบสนี้สามารถจะบรรลุธรรมได้อย่างรวดเร็ว แต่เมื่อทราบว่าได้สิ้นไปเสียแล้วก็สุดวิสัย และทอดพระทัย ทอดอาลัยที่จะไปสั่งสอน นั่นฟังเอาเพื่อเป็นหลักปฏิบัติว่าท่านสอนคนเป็น มิได้สอนคนตาย ศาสนาท่านสั่งสอนคนมีชีวิตอยู่อย่างพวกเราๆ ท่านๆ นี้ เพราะยังรู้ดีรู้ชั่วทุกสิ่งทุกอย่างอยู่และรู้จักปฏิบัติตัว เวลาตายแล้วนั่นสุดวิสัย


    การนิมนต์พระไป มาติกา กุสลา ธมฺมา เวลาคนตาย เหล่านี้เพิ่งมีมาหลังๆ ไม่ใช่มีมาแต่ครั้งพุทธกาล โดยถือเอาสาเหตุที่พระพุทธเจ้าเสด็จโปรดพระมารดาชั้นดาวดึงส์นั่นแหละมาเป็น คติตัวอย่างเป็นแบบฉบับ เป็นประเพณีเรื่อยมาจนปัจจุบันนี้ ในครั้งพุทธกาลจริงๆ ไม่มี เห็นมีอยู่บ้างเมื่อเวลาคนตาย พระองค์ใดอยากจะไปปลงกรรมฐานก็ได้ คือปลงกรรมฐานเกี่ยวกับการพิจารณา ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา ใน คนตาย เขาก็ตายเราก็ตาย ให้ไปพิจารณาปลงธรรมสังเวช เพื่อเป็นคติเตือนใจตัวเองไม่ให้ประมาทในชีวิต เวล่ำเวลา กาลสถานที่ ไม่ให้ประมาทในวัยว่ายังหนุ่มยังจะไม่ตายง่าย เพราะตายได้ทุกแห่งทุกหนทุกเวล่ำเวลาและทุกเพศทุกวัย เมื่อสิ้นลมหายใจแล้วตายได้ทั้งนั้น ท่านจึงสอนให้ไปเยี่ยมป่าช้าบ้าง ให้ไปปลงกรรมฐานบ้าง แต่ที่จะสอนให้ไป กุสลา ธมฺมา มาติกาเพื่อให้บุญคนตายนี้ ไม่ปรากฏในหลักธรรม


    ต่อๆ มาจึงได้มี กุสลา มาติกา กัน ทั้งนี้คงจะยึดเอาหลักที่ท่านเทศน์โปรดพระมารดาชั้นดาวดึงส์ด้วยพระอภิธรรม เจ็ดคัมภีร์ ซึ่งก็เป็นความชอบธรรม เพราะเป็นพิธีการในทางดี การสวด กุสลา ธมฺมา ก็พระอภิธรรมทั้งนั้น ถ้าพูดตามความจริงแล้ว คนตายจะรู้เรื่องรู้ราวอะไร กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา แปลว่าอย่างไร มีความหมายว่าอย่างไร บางรายแม้เวลามีชีวิตก็ไม่ได้สนใจกับศีลกับธรรมเลย เวลาตายแล้วพระไปสวดกุสลา ธมฺมา ให้ฟัง ก็จะรู้เรื่องอะไร ตั้งแต่ยังเป็นอยู่ก็ไม่รู้เรื่อง กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา เพราะไม่สนใจ ตายแล้วจะได้ความเฉลียวฉลาดมาจากไหน เพราะคนที่ตายไปกับคนที่เป็นอยู่ก็คือใจดวงเดียวกัน จะไปได้ความรู้ความฉลาดพิสดารนอกโลกมาจากไหน


    ธรรมก็มิใช่ธรรมแหวกแนวพอจะไปคอยต้อนรับเฉพาะคนตายแล้ว ส่วนที่เป็นอยู่ไม่มีหวังกับ กุสลา ธมฺมา นั้นเลย นี่ฟังไปๆ จะพากันประมาท ไม่สนใจปฏิบัติธรรมในขณะที่มีชีวิตอยู่ แต่จะคอยไปตักตวงเอา กุสลา ธมฺมา เวลา ตายแล้วกันหมด ศาสนาก็จะไม่มีในคนเป็น จะไปรวมอยู่กับคนตายเสียหมด นี่เป็นคำเตือนให้มีหลายสันหลายคมไม่ให้เป็นแบบเถรตรง เป็นอยู่ก็ให้ได้ ตายก็ไม่เสียที รีบขวนขวายในเวลาเป็นอยู่ เวลาตายไปหากควรจะได้ฟังได้รับ กุสลา มาติกา ก็ไม่ครึไม่ล้าสมัย


    กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา ท่าน สอนคนเป็น โดยยกเอาคนตายเป็นต้นเหตุ แล้วก็สอนคนเป็นให้รู้สึกสำนึกตัวเสียตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่นี้ ให้สร้างคุณงามความดี ด้วยความฉลาด กุสลา ธมฺมา คือความฉลาด อกุสลา ธมฺมา คือ ความโง่ ความโง่ทำให้จนตรอกจนมุม ความฉลาดพาให้ผ่านวิกฤตการณ์ไปได้ นี่คือความหมายของพระอภิธรรม ท่านสอนพระสอนคนให้ฉลาดทันความโง่ แก้ความโง่ของตน ในครั้งพุทธกาลท่านไม่ได้นิมนต์พระไปมาติกาในเวลาคนตายอย่างทุกวันนี้ แต่ทั้งนี้มิได้ปฏิเสธพิธีการทำบุญของญาติๆ ด้วยการนิมนต์พระมาสวดบทธรรมต่างๆ ให้ฟัง ด้วยความตั้งอกตั้งใจฟังจริงๆ มิใช่แบบสนุกคุยกันเวลาพระสวด กุสลา มาติกา เป็นต้น ดังที่มักเป็นกันอยู่ทั่วๆ ไป ในชาวพุทธเรา การฟังแบบนี้จนเป็นประเพณีที่น่าเกลียดของผู้ดีทั้งหลาย


    เวลาคนตายก็ไปเที่ยวกว้านนิมนต์พระมา กุสลา มาติกา ให้ยุ่งไปหมด ทั้งๆ ที่เวลามีชีวิตอยู่ไม่สนใจกับศีลกับธรรม ไม่สนใจกับ กุสลา มาติกา ว่าเป็นยังไง มีความหมายว่ายังไงบ้างเลย ตายแล้วก็คนดีนั้นแหละยุ่งกันเอง นิมนต์พระมา กุสลา ธมฺมา เหมือน กับศาสนานี้สอนคนตาย ถ้าหากเป็นไปได้ตามความคิดเห็นและที่ทำๆ กันมามันก็ไม่ลำบากอะไรนี่ ในหมู่บ้านหนึ่งๆ ก็บวชหลวงตาไว้ในวัดสักองค์หนึ่งก็พอ เวลาคนตายก็ไปนิมนต์หลวงตาไป กุสลา ธมฺมา ให้ไปสวรรค์กันหมด คนเป็นเราก็ไม่ต้องไปเข้าวัดเข้าวาให้ทานรักษาศีลรักษาธรรมให้ลำบากลำบนสิ้นเปลืองเปล่าๆ ตายแล้วไปนิมนต์หลวงตามา กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา ส่งไปสวรรค์หมดเลย สะดวกและเป็นทางลัดดีด้วยสมกับสมัยเรียนลัดกัน


    อย่าง หลวงตาบัวนี้ก็ไม่มาบวชให้เสียเวล่ำเวลาและลำบากทรมาน ดังที่เป็นมาและเป็นอยู่เวลานี้เลย เวลาตายแล้วก็ให้คนไปนิมนต์หลวงตาสักองค์มา กุสลา ธมฺมา หลวงตาบัวไป สวรรค์โน่นนา สบายไปเลย แต่นี้มันไม่สำเร็จประโยชน์ดังที่ว่าน่ะซิ จึงต้องฝืนใจมาบวชและฝึกฝนอบรมทรมานตนเรื่อยมา เพราะมันขึ้นอยู่กับเจ้าของผู้จะสร้างจะทำความดีไว้ในเวลาที่มีชีวิตอยู่ เวลาตายจะได้อาศัยผลบุญที่สร้างไว้นี้ช่วยสนับสนุน ทั้งคติภพและความเป็นอยู่อย่างมีความสุข พระพุทธเจ้าท่านสอนคนเป็นดังที่ประทานธรรมไว้ให้เราทั้งหลาย ได้ศึกษาอบรมและปฏิบัติตามเรื่อยมาหลังจากปรินิพพานแล้ว ไม่ทรงชักสะพานไปพร้อมกับการปรินิพพาน ทั้งนี้ก็เพราะสงสารสัตว์โลกผู้ยังมีชิวิตอยู่นี่แล ไม่ได้เห็นไม่ได้ยินว่าพระองค์สงสารคนตาย และประทานธรรมไว้เพื่อคนตายโดยไม่มีคนเป็นเกี่ยวข้องเลย


    จึง ควรทราบว่าศาสนธรรมนั้นสอนคนเป็น คือในเวลาที่เป็นฐานะยังเป็นไปได้อยู่นี้ เมื่อเป็นอฐานะไปแล้วมันสุดวิสัย แต่การทำบุญให้ทานอุทิศถึงกันนั้น เป็นความชอบธรรมมาแต่กาลไหนๆ อยู่แล้ว ไม่มีอะไรเป็นปัญหา การทำเช่นนั้นทำเผื่อไว้หากว่าเปตชนคือผู้ล่วงลับไปสมควรจะได้รับส่วนกุศลก็ ให้ได้รับ อย่าให้เสียความหวังทั้งสองฝ่าย คือฝ่ายญาติผู้ทำบุญอุทิศ และฝ่ายผู้ล่วงลับที่คอยรับไทยทานอยู่อย่างหิวกระหาย เช่น ปรทัตตูปชีวีเปรต นี่เป็นประเภทที่สมควรจะได้รับทักขิณาทานจากญาติมิตรพ่อแม่พี่น้องที่อุทิศ ส่วนบุญให้อยู่โดยดี


    เปรต ก็มีถึง ๑๒ จำพวก จำพวกที่เลวร้ายมากก็มี จำพวกที่โทษหนักที่สุดก็ไม่มีทางได้รับส่วนกุศลที่ญาติทำบุญอุทิศให้เลย ประเภทปรทัตตูปชีวีเปรต นี้สามารถรับได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ พวกนี้ถ้ามีผู้อุทิศให้จะได้รับอย่างไม่มีปัญหา


    เรา เตรียมตัวไว้เสียตั้งแต่บัดนี้ มีอะไรเตรียมไว้ให้เพียงพอ ตายแล้วไม่ต้องยุ่งกับใครๆ ทางโลกเขาจะไปจะมาที่ไหน เขาเตรียมไว้หมด เครื่องรับประทานเครื่องใช้ไม้สอยอะไรเตรียมไว้พร้อม ไม่ต้องคอยให้ใครตามส่งตามเสีย ถึงเวลาต้องการอะไร สิ่งนั้นก็มีอยู่กับเราแล้วก็สะดวก ทางธรรมก็เช่นกัน ท่านไม่ได้สอนคนให้ประมาท สอนให้เตรียมพร้อมทั้งอยู่ทั้งไปไม่ให้บกพร่องขาดเขิน


    คุณ งามความดีเป็นสมบัติภายใน เป็นแก้วสารพัดนึก เวลาจำเป็นเราต้องอาศัยนี้แหละ เวลาตายแล้วมันสุดวิสัยที่จะอาศัยสมบัติเงินทองบ้านเรือน อาศัยพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ลูกหลาน สามีภรรยา มันหมดทางที่จะอาศัยแล้ว คนที่ละโลกนี้ไปสู่ปรโลกนั้น สมบัติเงินทองข้าวของมีมากน้อยก็หมดทางที่จะอาศัยได้อีก ไม่ว่าจะเป็นญาติเป็นมิตรเป็นลูกเต้าหลานเหลน อาศัยไม่ได้ทั้งนั้น เพราะไม่ใช่วิสัยที่จะพึ่งกันได้ในเพศภพภูมินั้น ต้องอาศัย อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ พึ่งตนเองด้วยวิบากผลบุญของตัวถ่ายเดียวเท่านั้น เมื่อเราได้สร้างคุณงามความดีไว้เพื่อตนเสียแต่บัดนี้ ก็ชื่อว่าตนจะพึ่งตนเองได้


    ไม่ได้วิตกวิจารณ์ ไม่มีความเดือดร้อน ไม่ไขว่คว้า ไม่ว้าวุ่นขุ่นมัวภายในใจ พอสิ้นลมก็มีสุคติภพเป็นที่ไป และไม่คอยฟัง กุสลา มาติกา แบบ โลก ถ้าจะฟังก็ฟังแบบธรรม ดังพระมารดาฟังพระอภิธรรมจากพระพุทธเจ้าชั้นดาวดึงส์นั่นแล ไม่ฟังแบบกบเขียดที่ถูกต้มแกงอยู่ในหม้อน้ำร้อน ฟังธรรมอยู่ในหม้อน้ำร้อนที่เดือดพล่านเช่นนั้น หม้อนรกของสัตว์โลกผู้มีวิบากกรรมอันหนัก ก็คล้ายคลึงกันกับหม้อต้มแกงสัตว์ทั้งหลาย มีกบเขียดเป็นต้นนั่นแล สัตว์ตัวใดจะมีแก่ใจมาฟังกันในหม้อน้ำร้อนและหม้อนรกนั้น


    จิต ใจเราถ้าเป็นเวลาธรรมดา ไม่มีความจำเป็นเข้ามากดขี่บังคับ ก็ไม่แสดงอาการทุรนทุรายระส่ำระสาย ไม่แสดงอาการดิ้นรนเพื่อจะหาที่ยึดที่เกาะที่ป้องกัน แต่เมื่อถึงคราวจำเป็นแล้วมันต้องดิ้นรนไขว่คว้าด้วยกันทั้งนั้นแหละ และพึงทราบว่าทุกคนจะถึงคราวจำเป็นด้วยกันไม่มีข้อยกเว้น คือความตาย เมื่อขณะนั้นมาถึงแล้วอะไรๆ มันก็ไม่เป็นประโยชน์ทั้งนั้น ที่เคยอยู่เคยอาศัยมาก็หมดความหมายไปตาม ๆ กัน เป็น หยูกเป็นยา เป็นญาติมิตรสายโลหิตที่พึ่งเป็นพึ่งตายมันก็หมดความหมาย สมบัติเงินทอง ไร่นาสาโท ตลาดโรงแรม มีมากมีน้อยมันหมดความหมาย มีตัวคนเดียวเท่านั้น เวลาตายแล้วก็ไปส่งกันถึงแค่ป่าช้า ถึงเมรุ แล้วก็พากันกลับถิ่นฐานบ้านเรือนของตนๆ ไม่อาจส่งให้ถึงสวรรค์นิพพานได้เลย สุดวิสัยที่จะตามส่งต่อไปให้ถึงจุดที่หมาย และได้รับความสุขความสบายดังที่มีความหวังต่อกัน


    ฉะนั้น ท่านจึงสอนให้สร้างคุณงามความดี ไม่ให้ลืมตัวมั่วสุม เพราะเป็นวิสัยของเราจะทำได้ในเวลานี้เพื่อเป็นเครื่องเสวย เป็นเครื่องอาศัย เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวในเวลาจำเป็นที่เราจะพึงไปคนเดียว โดยไม่มีใครติดสอยห้อยตามและช่วยเหลือได้ พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้อย่างละเอียดลออ และสอนไว้ด้วยความถูกต้องแม่นยำไม่มีที่น่าสงสัยเลย และสั่งสอนด้วยพระเมตตาสุดส่วน ด้วยความเป็นห่วงสัตว์โลกผู้ยังต้องรับเคราะห์กรรมกันอยู่ แต่เราเองไม่สะดุดใจคิดสงสารตัวเองและคิดช่วยตัวเองด้วยความดีบ้างเลยก็ รู้สึกเกินเลยมนุษย์ไป และกลัวจะเลยไปเป็นเปรตเป็นผีเป็นสัตว์นรกซึ่งตนไม่คาดไม่ฝันมาก่อนนั่นแล ที่น่ากลัวมาก ถ้าเลยไปเป็นอินทร์เป็นพรหมก็นับว่าโชคชะตาวาสนาเลยมนุษย์ที่น่าชมเชยเป็น กรณีพิเศษ เพราะไม่เคยมีมาก่อนในแดนแห่งธรรมที่สอนไว้


    เวลา จนตรอก ใครก็ต้องจนเหมือนกัน และจิตจะต้องไขว่คว้า จิตใจระลึกถึงนั้นระลึกถึงนี้ไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ระลึกหาสิ่งที่ยึดที่เกาะมีบุญกุศลเป็นสำคัญ ทั้งดีและชั่วระลึกคละเคล้ากันไปหมด ถ้าไม่ได้สร้างความดีอะไรไว้เลย ใจก็มีแต่ความเดือดร้อน และความเดือดร้อนนั้นแหละ เข้ามาเป็นภัยต่อจิตใจเพราะเป็นฝ่ายไม่ดี ระลึกถึงทีไรใจต้องสะดุ้งและร้อนรนเพิ่มความทุกข์เข้าไปทุกทีที่ระลึกถึง ความไม่ดีนั้น พอตายแล้วความเดือดร้อนก็รุมไปเลยทีเดียว ถ้าได้สร้างคุณงามความดีไว้แล้ว เวลาจำเป็นระลึกถึงอะไรตนก็เคยทำไว้หมด ย่อมเป็นความอบอุ่น เพราะบุญต้องทำให้ใจอบอุ่นเสมอ เวลาสิ้นลมหายใจก็บุญนั้นแลตามรักษาและสนับสนุน ฉายาเอว เหมือนกับเงาเทียมตัวแต่เงานี้จะปรากฏในที่แจ้งเท่านั้น ในที่มืดเงาไม่ปรากฏ ไม่เหมือนคุณงามความดีที่เราสร้างไว้ ซึ่งมีอยู่ตลอดเวลาและติดแนบกับใจ ฉะนั้น จึงควรสร้างเสียในบัดนี้ที่ทุกสิ่งทุกอย่างในตัวเรายังอำนวย


    ผู้ ไม่ประมาทมองเห็นการณ์ไกลของตน มองเห็นความจำเป็นของตน ย่อมไม่นอนใจและวิ่งเต้นขวนขวายสร้างสมให้ทันกาล ส่วนเวล่ำเวลามันอยู่กับคนคือเรา เวลาทำกิจการอย่างอื่นเราทำได้ด้วยเวล่ำเวลา เราแบ่งสันปันส่วนเวล่ำเวลานั้นได้ บทจะทำคุณงามความดีทำไมเวล่ำเวลาจะวิ่งหายไปไหนหมด ทั้งที่เวล่ำเวลามีอยู่กับเราตลอดมา เราเจียดเวล่ำเวลาได้ ถึงกาลจะทำสิ่งนี้หรือสิ่งนั้นก็เราเองเป็นคนจะทำ ทำไมเวลาจะไม่มีเวลาจะทำสิ่งนั้น เรายังมีเวลาทำได้ ซักซ้อมตัวเองย่นเข้ามาจนถึงเวลาจะตาย หากไม่มีเวลาจริงๆ ทำไมมันมีเวลาตายได้ ขณะมีชีวิตอยู่ทำไมไม่มีเวลา โกหกกันทำไม เมื่อมีเวลาตายได้ทำไมจะไม่มีเวลาทำความดีได้ เพราะเป็นสิ่งที่ควรจะหาได้ในตัวเราเอง


    นี่ คืออุบายความคิดเพื่อตัวเอง ต้องหาอุบายพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้ทันสถานการณ์ ซึ่งมีแต่กิเลสมารสร้างอุปสรรคเต็มหัวใจเรา หากไม่แหวกบ้าง ไม่เพิกถอนกันบ้าง มันก็ผูกมัดอยู่ด้วยความไม่มีเวล่ำเวลา ไม่มีโอกาสจนกระทั่งหายใจ ก็เรานั่นแหละผูกมัดเราเอง ใครเขาจะมาผูกมัดเรา เวลาจนตรอกก็เรานั่นแลไล่ตัวเองเข้าที่จนตรอกและยอมรับกองทุกข์ทั้งมวล ใครจะมารับแทนไม่มี อย่าหวังลมๆ แล้งๆ


    เมือง ผี ฟังซิ ผีนั้นคนให้เชื่อต่างหาก คือมนุษย์เราให้ชื่อว่าผี ความจริงก็คือเป็นสัตว์ประเภทหนึ่งๆ ที่ออกจากร่างนี้ไปแล้ว เปลี่ยนภพหน้าตามกรรมของตนที่ได้สร้างไว้อย่างไร อิธ นนฺทติ เปจฺจ นนฺทติ ก็ หมายความว่าผู้ที่ละโลกนี้ไปแล้วเมื่อมีคุณงามความดี ย่อมรื่นเริงบันเทิงในโลกนี้แลโลกหน้าไม่อับจน แต่มนุษย์เราให้ชื่อว่าผี เมืองเปรตเมืองผีเมืองอะไรเราก็ว่าเมืองผีดะไปเสียหมด ซึ่งไม่เป็นความถูกต้องชอบธรรมเลย ส่วนผีนั้นมีจริง แต่ท่านหมายถึงพวกที่ได้รับความทุกข์ความทรมานเพราะวิบากกรรมชั่วของตนต่าง หากว่าเป็นผี


    ผู้ ที่ไม่ได้รับความทุกข์ความทรมานแม้จะตายไปด้วยกันก็ตาม พวกนั้นท่านไม่เรียกว่าผี เพราะไม่ได้รับความทุกข์ความลำบาก เนื่องจากเป็นผู้มีบุญอันได้บำเพ็ญสั่งสมไว้แล้ว จะเอาความทุกข์มาจากไหน ก็มีแต่ความสุขความสบาย เมื่อละโลกนี้ไปแล้วก็ไปเกิดเป็นเทพบนสวรรค์ชั้นต่างๆ ตามอำนาจแห่งบุญกุศลที่มีมากน้อยต่างกัน และพึงทราบว่าปรโลกคือโลกอื่นจากโลกมนุษย์ ต้องอาศัยผลกรรมดี-ชั่วของตัวอย่างเดียว ไม่มีการสร้างอยู่สร้างกินเหมือนโลกมนุษย์เรา ท่านจึงสอนให้รีบสร้างไว้เสียแต่โลกมนุษย์นี้ เวลาตายจะได้อาศัยไม่หิวโหยโรยแรงทุกข์ทรมานอยู่เปล่าโดยไม่มีเครื่องเสวย


    คำ ว่าโลกและปรโลกนั้น โลกนี้มี โลกหน้ามี เมื่อวานนี้มี วันนี้ก็มี และวันพรุ่งนี้ก็มีสืบเนื่องกันมาและไปโดยลำดับ อดีต ปัจจุบัน อนาคต เราที่จะมาเป็นมนุษย์นี้ก็มาจากอดีต เป็นมนุษย์อยู่บัดนี้ พอเลยจากชีวิตนี้แล้วก็เป็นไปอีก เป็นอนาคต จะเป็นอะไรสูงต่ำยิ่งกว่านี้ในกาลข้างหน้าขณะที่ละจากขันธ์นี้ไปแล้วเราไม่ อาจทราบได้ เพราะเป็นปรโลกคือเป็นโลกหน้า แม้จะมาเกิดอยู่ในโลกนี้ก็ตาม ก็เรียกว่าโลกหน้าของอัตภาพนั้น เช่นเราตายที่นี่ เรามาเกิดที่นี่ ก็เรียกว่าโลกหน้าของอัตภาพนั้น คือไม่ใช่อัตภาพเดิม เป็นแต่เพียงว่าจิตดวงเดิมเท่านั้น อัตภาพเป็นอันใหม่ เปลี่ยนสภาพไปตามบุญตามกรรมที่มีประจำอยู่ในจิตของแต่ละดวง จิตนี่แลเป็นตัวเพาะเชื้อให้เกิดวิบากดีชั่ว พาให้เกิดในสถานที่แลภพต่างๆ จนกว่าจิตจะหมดเชื้อคือกิเลสอวิชชาเสียเมื่อใด เมื่อนั้นก็หมดเชื้อที่เพาะพาให้เกิดดังพระอรหันต์ท่าน นั่นคือผู้หมดเชื้อแล้ว ท่านไม่ต้องเกิดตายอีก และเป็นบรมสุขนิรันดร


    เพราะฉะนั้น สัตว์โลกจึงไม่เหมือนกัน เพราะการสร้างการกระทำไม่เหมือนกัน กมฺมํ สตฺเต วิภชติ ยทิทํ หีนปฺปณีตํ กรรม ย่อมจำแนกแจกสัตว์ทั้งหลายให้เป็นต่างๆ กัน มีสุข ทุกข์ ประณีตบรรจง หยาบละเอียด ต่างกัน ความสูง ความต่ำแห่งฐานะ ความโง่ ความฉลาด จริตนิสัยไม่เหมือนกัน เพราะอำนาจแห่งกรรมที่แต่ละคนสร้างไว้ทำไว้ไม่เหมือนกัน นิสัยใจคอของคนเราไม่เหมือนกัน การคิดการทำจึงแตกต่างกันไปคนละแง่ละมุม ผลที่พึงได้รับจึงเหมือนกันไม่ได้ สิ่งที่โลกต้องการด้วยกันก็คือความสุข แต่กิริยาที่ทำตลอดความคิดความดำรินั้นไม่เหมือนกัน การทำจึงแปลกต่างกันไปตามความคิดความดำริ ผลที่ตามมาจึงไม่เหมือนกัน


    เรา เคยเห็นคนตาย เกิดความสลดสังเวช บางรายตายด้วยความมีสติสตัง รู้ตัวอยู่ตลอดเวลาจนถึงวาระสุดท้าย แต่บางรายตายไม่มีสติสตัง บ่นละเมอเพ้อไปต่างๆแล้วหมดไปเลย อย่างนั้นน่าทุเรศ นี่เราเคยเขียนไว้ในปฏิปทาของพระธุดงคกรรมฐานสายท่านพระอาจารย์มั่น คิดว่าจำไม่ลืม เป็นพระกรรมฐาน ท่านอาจารย์องค์นี้เราจะระบุชื่อก็ได้เพราะท่านผ่านไปแล้ว คือท่านอาจารย์กู่ เป็นพี่ชายของท่านอาจารย์กว่าที่วัดบ้านภู่ ซึ่งพึ่งเสียไปเมื่อเร็วๆ นี้ ชื่อท่านอาจารย์กว่า ท่านอาจารย์กู่นี้ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านเป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์มั่น ตอนที่ท่านพระอาจารย์มั่นพักอยู่ที่บ้านหนองผือนาใน ท่านอาจารย์กู่นี้ก็ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านภู่ อันเป็นสถานที่ที่อาราธนาท่านพระอาจารย์มั่นออกมาพักอยู่วัดบ้านภู่ด้วย ก็มาพักอยู่กับท่านอาจารย์กู่นี้แล ก่อนหน้าที่ท่านจะไปมรณภาพที่วัดสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร


    เวลา ถึงคราวท่านอาจารย์กู่จะล่วงลับไป ท่านเป็นโรคอะไรไม่ทราบอยู่ที่ไหปลาร้า ภาษาของเราเรียกว่า ฝีหัวปลาไหล ก็คงจะเป็นมะเร็งนั่นแหละ มันไม่หาย เป็นมานาน เป็นๆ หายๆ พอสงบลงไปเดี๋ยวก็เป็นขึ้นมาๆ จนกระทั่งวาระสุดท้ายท่านก็ไปเสียชีวิตอยู่ที่ถ้ำเจ้าผู้ข้า บ้านโคกกะโหล่งกะเหล่งอะไรนั่นแหละ ทางเข้าไปหนองผือ ท่านเสียอยู่ที่ถ้ำนั้น


    ตอน ที่ท่านจะเสียก็มีพระอยู่กับท่านสามสี่องค์ ตอนนี้เป็นตอนสำคัญ ถึงวาระสุดท้ายพระพยุงท่านลุกขึ้นนั่งภาวนา เวลานั้นท่านบอก คือท่านเตือนพระให้พากันชำระจิตให้ดี ท่านว่า จิตเป็นเอก จิตเป็นตัวสำคัญที่จะก้าวไปสู่ภพหน้า สูงต่ำสำคัญอยู่ที่จิตได้รับการอบรม มีความเฉลียวฉลาดมากน้อยที่สามารถจะทรงตัวได้ หรือยิ่งขึ้นไปโดยลำดับก็เพราะการอบรม นี่ผมจวนตัวแล้วเวลานี้ การจากไปของผมเวลานี้อย่าเข้าใจว่าผมจะไปล่มจมนะ ผมเป็นแต่เพียงเปลี่ยนสภาพแห่งความเป็นอยู่นี้เข้าสู่สภาพอื่น หากจะมีสิ่งที่ติดต่อสืบเนื่องให้เป็นภพเป็นชาติกันอยู่ก็เข้าสู่สภาพอื่น ถ้าจิตบริสุทธิ์แล้วก็หมดปัญหา ท่านทั้งหลายวิตกวิจารณ์กับผม


    ท่าน สอนย่อๆ ผมไม่ได้ไปล่มจม เมื่อจิตไม่มีความล่มจมแล้ว อะไรจะล่มจมไม่มี คนๆ หนึ่ง สัตว์ตัวหนึ่ง สำคัญอยู่กับจิต ถ้าจิตมีหลักยึด มีหลักฐานมั่นคง จิตนี้จะอยู่ในร่างก็ตาม ออกจากร่างไปแล้วก็ตาม จะเป็นจิตที่มีความมั่นคงต่อตัวเองอยู่เสมอ ฉะนั้นขอให้พากันตั้งใจอบรมจิตให้ดี อย่าได้มีความประมาทในการบำเพ็ญจิตใจซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก พอเสร็จเท่านั้นทีนี้ผมจะได้ลาท่านทั้งหลายไปบัดนี้ นั่น พอว่างั้นก็ไม่ถึงสามนาที ท่านพูดเป็นคำสุดท้ายจะไปแล้วนะ จากนั้นภาษาของเราเรียกว่า หายใจปลา แล้วหายเงียบไปเลย ก่อนจากไปเล็กน้อย ท่านบอกว่าผมไม่ได้ไปล่มจมตามโลกที่กลัวกันว่า การตายนี่เหมือนกับไปล่มไปจม แต่ผมไปตามธรรมชาติของผมเอง


    นี่ คือผลหรืออานิสงส์แห่งการอบรมจิตใจ เมื่อเป็นที่แน่ใจแล้ว แม้ขณะจะตายก็พูดได้อย่างสะดวกสบาย เพราะจิตใจไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะฉิบหายไป ไม่ใช่สิ่งที่จะสลายตัวไปเหมือนร่างกาย ร่างกายเป็นธรรมชาติที่จะต้องสลายตัวเป็นธรรมดา เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จนถึงขั้นสลาย แต่จิตใจนี้แม้จะเปลี่ยนแปลง ก็เปลี่ยนแปลงไปในทางต่ำและสูง แต่ความสลายของจิตไม่มี


    จิต ใจที่ได้รับการอบรมแล้ว ย่อมเปลี่ยนแปลงตนเองเข้าสู่ระดับสูงเรื่อยไปจนสามารถทรงตัวได้ ไม่วิตกวิจารณ์กับการเป็นการตาย เพราะจิตเป็นตัวของตัวโดยลำดับ หรือเป็นตัวของตัวอย่างเต็มที่แล้ว ผ่านไปจากร่างกายแล้วก็เป็นจิตดวงนั้น หากจะมีภพมีชาติสืบต่อ ก็เป็นภพชาติที่เหมาะสมกับจิตดวงนั้น ถ้าสิ้นเชื้อที่จะพาให้เกิดต่อไปอีกแล้วก็หมดปัญหา เป็นตัวของตัวอย่างสมบูรณ์ ดังพระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลาย


    นี่ การอบรมจิตใจจึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เป็นเรื่องใหญ่โตมากทีเดียว จะยากลำบากเพียงไรก็ขอให้เห็นแก่คุณค่าของตัวเอง เพราะเราหวังพึ่งเราทั้งเป็นทั้งตาย การหวังพึ่งตนเองนั้นจะเอาอะไรเป็นที่พึ่ง จะสร้างอะไรให้เป็นที่พึ่งของตนได้นอกจากความดี พูดทางจิตโดยเฉพาะก็คือความดี เมื่อสร้างให้เป็นที่อบอุ่นให้เป็นที่พอใจแล้ว เจ้าของก็แน่ใจ การปฏิบัติธรรมเป็นสิ่งที่ประจักษ์อยู่กับผู้ปฏิบัติ ไม่ขึ้นอยู่กับกาลสถานที่ เวล่ำเวลาอะไรไม่สำคัญ สำคัญที่การปฏิบัติตัวให้ดี ผลจะเป็นที่พึงใจ ตายที่ไหนก็ได้เมื่อเราแน่ใจแล้ว ไม่มีสำคัญอะไรกับเรื่องความตาย ไม่สะทกสะท้านหวั่นไหว เพราะจิตเป็นจิต กายก็เป็นกาย เมื่อสลายก็เป็นเรื่องสลายของธาตุของขันธ์ จิตไม่ได้สลายไปด้วย จะวิตกวิจารณ์กลัวว่าจะไปล่มจมที่ไหน


    เพราะ จิตก็ทราบชัดแล้วว่าไม่ใช่ตัวล่มจม ไม่ใช่ผู้ล่มจม เป็นผู้รู้อยู่ชัดๆ และความรู้นั้นที่พร้อมแล้วด้วยการอบรม พร้อมแล้วด้วยสติปัญญา ก็ยิ่งมีความอาจหาญรื่นเริงต่อการไปหรือต่อหน้าที่ของตนไม่สะทกสะท้าน ผลแห่งการปฏิบัติเป็นอย่างนี้ จงฟังให้ถึงใจ ปฏิบัติให้ถึงธรรม จะรู้ธรรมเห็นธรรมประจักษ์ใจดวงรู้ๆ อยู่นี่แล แต่ระวังกิเลสจะแอบมาจับหัวฟัดใส่หมอนเสียงดังครอกๆ จะว่าไม่บอก นี่เคยโดนมาแล้วจึงรีบบอกท่านทั้งหลายให้ระวังตัว ไม่งั้นจมลงหมอนไม่อาจสงสัย


    เพราะ ฉะนั้น พระขีณาสพท่านผู้ที่ผ่านพ้นไปแล้วทางด้านจิตใจ คือพ้นจากสมมุติโดยประการทั้งปวงแล้ว ท่านจึงไม่มีพิธีรีตองอะไรมากมายดังที่เราเห็นในตำรับตำรา องค์ไหนประสงค์จะนิพพานที่ไหน ท่านก็นิพพานของท่าน บางองค์ก็เดินจงกรมแล้วนิพพานก็มี ดังที่ท่านอาจารย์มั่นท่านปรากฏในสมาธิภาวนา ซึ่งได้เขียนไว้แล้วในประวัติของท่านอาจารย์มั่น บางองค์ก็นั่งนิพพาน บางองค์นอนนิพพาน บางองค์ยืนนิพพาน เพราะเป็นธรรมด๊าธรรมดาของเรื่องปล่อยธาตุขันธ์ ไปตามหลักธรรมชาติของเขาเท่านั้น ท่านไม่มีอะไรผิดแปลกต่างกัน


    ใน ระหว่างความเป็นอยู่กับการตายไปของผู้สิ้นกิเลสแล้ว มีความหนักเบาเสมอกัน ถ้าจะถือตามหลักธรรมชาติของจิตแล้ว ความเป็นอยู่กับความตายไป ไม่มีเงื่อนใดหนักเบาต่างกัน มีน้ำหนักเสมอกัน หากจะคิดประโยชน์ทางโลกเข้าเกี่ยวข้อง เมื่อมีชีวิตอยู่จะได้ทำประโยชน์ให้โลกอย่างนั้นๆ การเป็นอยู่ก็ดี เพราะจะได้ทำประโยชน์ให้โลกผู้หวังพึ่งธรรม ผู้หวังประโยชน์กับท่านยังมีอยู่มาก ถ้าไม่คิดถึงประโยชน์ทางโลกแล้ว ไปเสียดี ไม่ต้องมายุ่งกับธาตุกับขันธ์ที่แสนรบกวนตลอดเวลา ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์ทั้งห้าเป็นภาระอันหนักนี้ ขันธ์นี้ต้องแบกหามต้องรับผิดชอบ ทั้งขันธ์ของปุถุชนและขันธ์ของพระอรหันต์ ต่างแต่ขันธ์ของพระอรหันต์ท่านไม่มีอุปาทานเท่านั้น


    ไม่ มีอะไรที่หนักยิ่งกว่าขันธ์ของเรารบกวนเรา ต้นไม้เราก็ไม่ได้ไปแบกไปหามเขา จะต้นใหญ่ขนาดไหนแม้ซุงทั้งท่อน เราก็ไม่เคยไปแบกไปหามเขาพอให้หนัก ภูเขาทั้งลูกเราก็ไม่เคยไปแบกไปหามเขา สิ่งเหล่านั้นมันจะหนักอะไร แต่ส่วนธาตุขันธ์คือร่างกายของเรานี้แบกหามอยู่ตลอดเวลา พาอยู่ พากิน พาหลับ พานอน พาขับถ่าย พาเปลี่ยนอิริยาบถ บำบัดด้วยหยูกยาไม่มีเวลาว่างเว้นเลย เพราะความบกพร่อง เพราะความรบกวนของธาตุขันธ์ ท่านจึงเรียกว่า ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์ทั้งห้าเป็นภาระอันหนัก คือเป็นภาระที่เจ้าของต้องรับผิดชอบ มันหนักอยู่อย่างนั้น เว้นเสียแต่ได้ปล่อยได้สลัดทิ้งเสียโดยสิ้นเชิงนั่นแล แม้สิ้นอุปาทานในขันธ์แล้ว ยังมีความรับผิดชอบในขันธ์ที่ยังครองตัวอยู่ เมื่อขันธ์สลายตัวลงไปหมดแล้ว เป็นอนุปาทิเสสนิพพานล้วนๆ นั่นแลจึงจะเป็นสุขล้วนๆ ไม่มีสมมุติใดๆ เข้าเกี่ยวข้องเลย มีขันธ์ล้วนๆ เป็นต้น (ขันธ์ของพระอรหันต์ไม่มีกิเลส)


    พระ ขีณาสพท่านไม่ได้ถือเป็นเรื่องใหญ่โต ถือเป็นเรื่องวุ่นวาย ในเรื่องการเป็นการตาย ท่านอยู่ที่ไหนท่านก็นิพพานที่นั่นได้สบายๆ ไม่ต้องกลุ้มต้องรุมต้องวุ่นต้องวายกันเหมือนอย่างปุถุชนจำพวกชนดะเรา ที่ถือการตายเป็นเรื่องใหญ่โตเกินโลก ถ้าจะหัวเราะก็น่าหัวเราะจริงๆ ทำราวกับเด็ก เวลาเป็นอยู่มีแต่มัวเพลินกัน ไม่สนใจกับสารคุณใดๆ เวลาตายแล้ว ต่างก็ถือกันใหญ่โต ตายแล้วต่างก็เอาดอกไม้ธูปเทียนเอาอะไรมาเผาพรางเผาหลอกเผาเล่นให้ยุ่งกันไป หมด นอกจากนั้น ก็เอากระดูกไปจำหน่ายขายกินเรื่อยๆ ไปทำรูปนั้นรูปนี้ รูปพระรูปอะไรก็แล้วแต่เถอะ จำหน่ายขายกิน เห็นแก่ความโลภ ไม่ได้คำนึงถึงอรรถถึงธรรมเลย มันเป็นอย่างนั้นทุกวันนี้ มันจึงไม่ตรงกับอรรถกับธรรมกับพระประสงค์ของพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมศาสดา นับวันเลอะเลือนไปเรื่อยๆ ต่อไปจะหาของแท้ของจริงจากศาสนธรรมไม่เจอ เพราะไม่สนใจหากัน หาแต่ของปลอมก็เจอแต่ของปลอมเรื่อยไปนั่นแล


    เรา อย่ากังวลกับอะไร ถึงเวลาจะไปแล้วอย่าห่วง สอนตนให้พอ เวลายังมีชีวิตอยู่เราก็ทราบอยู่แล้วว่า เราอยู่มากี่วันกี่เดือนกี่ปีจนกระทั่งบัดนี้ ถึงเวลาจะไปแล้วไม่ต้องห่วง เพราะจะไป ยังไงก็ห้ามไม่ได้ต้องไปเตรียมไป ชื่อว่าผู้รู้จักกาล กาลไป กาลอยู่พร้อมมูลแล้วไป ไม่หวงไม่ห่วงอะไรทั้งสิ้นแม้แต่ขันธ์นี้


    การ ปฏิบัติต่อตัวเองนี้มันลำบากมาก สำคัญมาก มากกว่างานอื่นๆ ลำบากกว่างานอื่นๆ ไม่มีงานใดจะลำบากยิ่งกว่าตนปฏิบัติต่อตัวเอง บังคับตนเอง นี่พวกเรามาอยู่ด้วยกันนี้ ต่างคนต่างมาจากแห่งหนตำบลหมู่บ้านต่างๆ กัน มารวมกันอยู่นี้ด้วยอำนาจของพระพุทธศาสนา คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมประสานจิตใจเข้าหากันด้วยความสนิทตายใจ เมื่อมีความเคารพเลื่อมใสในครูอาจารย์ใดว่า เป็นผู้ที่เคารพนับถือและเป็นสถานที่บำเพ็ญ เช่นสถานที่นี่ ก็พากันมาด้วยความสมัครใจเพื่อรับการศึกษาอบรมกับครูอาจารย์นั้น


    เวลา เรามาปฏิบัติแล้ว เราได้อะไรเป็นที่ระลึกภายในจิตใจเรา เราควรคิด เรามาสร้างคุณงามความดี ควรให้ได้ของดีคติเครื่องเตือนใจติดตัวไป มาอยู่ด้วยกันมากเข้าเกิดความยุ่งเหยิงวุ่นวายแก่ตนและหมู่คณะ อย่างนั้นไม่ใช่ทางของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ทางของพุทธบริษัทที่เห็นธรรมเป็นใหญ่ยิ่งกว่าความเห็นแก่ตัว อยู่ด้วยกันก็มีความผาสุกถ้าความรู้ความเห็นเป็นอรรถเป็นธรรม มองกันในแง่ดี มองกันในแง่มิตรสหายเพื่อนพึ่งเป็นพึ่งตาย พึ่งอรรถพึ่งธรรม ไม่ได้มองกันในแง่ร้าย แง่เป็นภัยเป็นศัตรูต่อกัน


    ความ ผิดถูกชั่วดีมีได้ทั้งคนทั้งสัตว์ แต่คนกับสัตว์ก็อยู่ด้วยกันได้ ถ้ามองกันในแง่อรรถแง่ธรรม ไม่ว่าจะเป็นคนประเภทใดก็อยู่ด้วยกันได้เพราะจิตใจเป็นธรรมด้วยกัน แต่ถ้ามองในแง่ร้าย แม้แต่เศรษฐีต่อเศรษฐีก็อยู่ด้วยกันไม่ได้เพราะเป็นศัตรูกัน


    พวก เรามาปฏิบัติธรรมได้อะไรบ้าง หรือได้แต่ความติฉินนินทากันเป็นมรรคเป็นผล เป็นกุศลสมภาร เป็นมรรคผลนิพพานแทนธรรมของศาสดา และจะเอามรรคผลจากสิ่งเหล่านั้นกลับไปบ้านไปเรือนอย่างนั้นเหรอ นั้นไม่ใช่ทางของพระพุทธเจ้า การมองดูตัวเองคือมองดูความคิดความปรุงผิดถูกชั่วดีของตน นั้นแลเป็นความถูกต้องชอบธรรม คำพูดของตนเป็นสิ่งที่ถูกต้องเป็นอรรถเป็นธรรมประการใดบ้าง จะได้เห็นโทษเห็นคุณแห่งการแสดงออกของตน การปฏิบัติธรรมคือปฏิบัติตัวเอง จึงต้องดูตัวเองมากกว่าดูสิ่งอื่นผู้อื่น และถือเป็นการเป็นงานจริงๆ ไม่สนใจใฝ่รู้ใฝ่เห็นกับสิ่งใดผู้ใดมากกว่าความสนใจใฝ่ธรรมด้วยการดูตัวเอง สังเกตตัวเองตลอดเวลาอิริยาบถ


    การพูดก็ให้เป็น สัลเลขกถา เครื่องขัดเกลากิเลส อย่าพูดให้เป็นเรื่องกอบโกยกิเลสการก่อกวนชวนทะเลาะต่างๆ คนที่ฟังกันคนโง่ก็มี คนฉลาดก็มี ฟังได้รู้ได้ในแง่ดีชั่วต่างๆ ผู้ฟังเข้าใจ คนอยู่ด้วยกันพูดภาษาเดียวกันทำไมจะไม่รู้เรื่องของกัน ไม่จำเป็นต้องเอาเทปมาอัด ไม่จำเป็นต้องมาจ่อหูฟัง แต่ฟังได้เข้าใจได้ เมื่อเหตุการณ์ต่างๆ เข้ามาสัมผัส เพราะสิ่งในโลกนี้ไม่มีลี้ลับ มันเปิดเผยอยู่ด้วยความจริงของมันเอง เรียนความจริงมันต้องรู้ความจริงทั้งหลาย


    การอยู่การบำเพ็ญของผู้ปฏิบัติธรรม ท่านกล่าวไว้ในธรรมว่า เอกโกว ทำตนเป็นบุคคลผู้เดียว ไม่เกี่ยวเกาะกับใครและเรื่องอะไร แม้จะอยู่กับเพื่อนฝูงมากน้อยก็ปฏิบัติตนแบบบุคคลผู้เดียว ดูใจดวงเดียวนี้ซึ่งเป็นตัวก่อเรื่องตลอดเวลา ด้วยการจดจ่อทางสติ ดำริรำพึงด้วยปัญญารอบใจอยู่โดยสม่ำเสมอ ไม่มีอารมณ์กับสิ่งใดยิ่งกว่าดูอารมณ์ที่เกิดจากจิตวินิจฉัย ใคร่ครวญเพื่อความรู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งที่เกิดกับใจ ถือเป็นงานหนักแน่นแก่นความเพียรอยู่รอบกายรอบใจไม่มีวันมีคืน กิเลสชนิดใดแสดงตัวออกมาด้วยกลอุบายใด สติปัญญาตามต้อนฟาดฟันไม่หยุดยั้ง


    ประหนึ่ง วันคืนเดือนปีไม่มี มีเฉพาะจิตตัวรู้ๆ กับเรื่องดีชั่วที่เกิดจากจิตสัมปยุตกันด้วยสติปัญญาไม่มีคำว่าว่างงาน นอกจากจิตพักสงบในสมาธิและเวลาพักผ่อนนอนหลับเท่านั้น พอจิตขยับตัวออกสู่อารมณ์ สติปัญญาก็เริ่มทำงานไปพร้อมๆ กันราวกับเขาชกต่อยมวยกันบนเวที หยุดพักเฉพาะเวลาให้น้ำ ย่อมไม่ถูกไล่ลงจากเวที นอกจากคอยฟังกรรมการตัดสินแพ้ชนะหลังจากต่อกรกันครบยกแล้ว หรือนักมวยตัดสินกันเองด้วยเพลงมวย


    นัก ปฏิบัติธรรมจะทำเหยาะแหยะไม่ได้ เมื่อก้าวเข้าต่อกรกับคู่ต่อสู้คือกิเลสบนเวที คือทางจงกรม สถานที่ภาวนา ที่นั่ง ที่ยืน ที่เดินภาวนาแล้ว ต้องฟัดต้องเหวี่ยงกันสุดกำลังสติปัญญาที่มีอยู่จะออมแรงไม่ได้ ถ้าไม่อยากแพ้หรือถูกน็อกจากคู่ต่อสู้ตัวเกรียงไกรคือกิเลสประเภทต่างๆ อย่างไรจะชนะ อย่างไรคู่ต่อสู้จะหงายลงเวที ต้องฟัดสุดกำลัง สติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร ความอุตสาหะ ความอดความทน ความมุมานะ มีเท่าไรรวมพลกันมาในวงความเพียรจนหมดสิ้น ห้ำหั่นกันลงไปไม่เสียดายชีวิต โดยยึดอริยสัจสี่ สติปัฏฐานสี่ ตามแต่ถนัดในอาการใดเป็นที่รบพุ่งชิงชัย สติปัญญาขุดค้นลงตรงนั้น อย่าหนีจากหลักธรรมที่กล่าวนี้ถ้าไม่อยากเป็นกรรมฐานแหวกแนว นักธรรมะแหวกแนว หรืออรหันต์แหวกแนวซึ่งมักมีเสมอในวงนักธรรมะและนักปฏิบัติเรา


    จง ยกขันธ์ห้า หรือขันธ์ใดขันธ์หนึ่งมีรูปขันธ์เป็นต้นขึ้นพิจารณาคลี่คลาย นับแต่ผิวหนังเข้าไปถึงข้างในให้ตลอดทั่วถึง โดยความเป็นของปฏิกูลโสโครกหมดทั้งตัวเป็นสำคัญ ย้ำแล้วย้ำเล่าจนเป็นที่เข้าใจ กระแสจิตสัมผัสกับขันธ์ใดบ้างในเวลานั้น เช่นเวทนาขันธ์ ก็พิจารณาประสานก็ได้ เพราะเป็นสัจธรรมด้วยกัน พิจารณาจนกระจ่างแจ้งกับจิตแล้ว การปล่อยวางอุปาทานซึ่งเป็นผลจะตามมาเองโดยไม่ต้องบังคับให้ปล่อยวาง สติปัญญาต่างหากพาให้เข้าใจและปล่อยวางขันธ์ทั้งมวล ดังนั้น จงพิจารณาให้หนักทางปัญญาเกี่ยวกับขันธ์ทั้งห้า


    รูป ขันธ์เป็นขันธ์หยาบจึงมักถูกยกขึ้นพิจารณาก่อน แต่เวลาจิตสัมผัสกับนามขันธ์ เช่น เวทนา-สัญญาขันธ์ จะพิจารณาประสานกันไปก็ได้ไม่ขัดข้อง เบื้องต้นส่วนมากมักพิจารณาเป็นของปฏิกูล พอจิตละเอียด ขันธ์ละเอียด มักพิจารณาเป็นไตรลักษณ์และเป็นไตรลักษณ์ไปตลอด จนถึงอวิชชาพังทลายม้วนเสื่อลงไป สติปัญญากับไตรลักษณ์ที่เคยปฏิบัติต่อกันเรื่อยมาจึงจะหมดหน้าที่ วิธีพิจารณาขันธ์ทั้งห้าได้เคยอธิบายให้ฟังมากต่อมากแล้วจึงขอผ่านไป กรุณาพิจารณาดังที่เคยฟังมาแล้วนั้น โดยไม่ลดละความเพียร จะเห็นแดนแห่งความหลุดพ้นขึ้นที่จิตดวงนี้ไม่สงสัย เพราะวัฏฏะอยู่ที่ใจดวงนี้ วิวัฏฏะจึงอยู่ที่แห่งเดียวกันนี้ จะรู้จะเห็นในจิตดวงเดียวนี้ หลังจากกิเลสคู่ต่อสู้บรรลัยลงไปจากจิตดวงนี้แล้ว


    คัดลอกจาก www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=1984&CatID=2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2012
  2. sukh_anand

    sukh_anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    206
    ค่าพลัง:
    +731
    ขออนุโมทนาต่อผู้นำเสนออย่างสูงสุดครับ ผมติดตามท่านมาหลายครั้ง ต้องขอชมเชยท่านมาก ขอขอบคุณต่อสิ่งที่นำเสนอนี้มากนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...