ภาพนี้เหมาะสมหรือไม่ พระท่านจะไม่ตบะแตกเหรอครับ

บังเอิญเจอใน Facebook เห็นแล้วมันไม่ค่อยเหมาะสมน่ะ ถึงจะเป็นการอาบน้ำมนตื แต่ทำอย่างนี้มันก็จะเกินไปหน่อยไหม...

ขอลบภาพละกัน...ถ้ามันไม่เหมาะสม...ผมมีเจตนาดีครับ ประเด็นไม่ใช่ว่าเป็นหญิงสาวนุ่งกระโจมอกมาอาบน้ำมนต์ แต่ต้องการเสนอว่า.........

การอาบน้ำมนต์ เพื่อลดเคราะห์ลดกรรม มันใช่หัวใจของพระพุทธศาสนาแล้วเหรอ นี่คือสิ่งที่ต้องการจะสื่อ...คือไม่อยากให้หลงในพิธีกรรมอะไรมากมายนัก คือประเด็นที่อยากจะนำเสนออีกมุมหนึ่ง ทำไมเหรออาบน้ำมนต์แล้วมันล้างบาปกรรมที่เคยทำมาได้เหรอ คนเรามันมีความทุกข์กันทุกคน ต่างทุกข์กันคนละแบบ ผมเห็นใครเดือดร้อนก็มาพึ่งพระท่าน เพราะว่าผม...อะไร

1. บางคนก็สมัครงาน...มาบอกให้พระท่านช่วยให้ได้งาน...ก็พึ่งตนเองสิ
2. บางคนลูกเรียนไม่จบ...มาบอกให้พระช่วย ...ก็ตั้งใจขยันอ่านหนังสือสิ
3. บางคนกิ๊กหาย ผัวมีเมียน้อย ก็มาให้พระช่วยตามให้...พระไปยุ่งอะไรกับเรื่องพวกนี้ล่ะ
4. บางคนมาทำบุญ...เพื่อต้องการของดีกลับไป
สิ่งเหล่านี้มันมีให้เห็นอยู่ไหม..ลองดูในโลกความเป็นจริงบ้างนะครับ

พิธีกรรมต่าง ๆ มันใช่ของจริงเหรอ หัวใจของพระพุทธศาสนาคือ การทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ไม่ใช่เหรอ และหลุดสู่การเวียนว่ายตายเกิด มุ่งสู่พระนิพพานมิใช่เหรอ..

 

ไม่รู้สินะ ไม่อยากออกความเห็นมากเดี๋ยวโดนคนด่า ^^

ผมว่าถ้าพระท่านนี้มีเจตนาดี ก็คงไม่มีอะไรหรอกครับ

 

ตัดสินยากนะคะ เราไม่ใช่พระท่าน แต่มีกรณีหลวงพ่อปานกับ
หลวงพ่อฤาษีช่วยคนโดนทำของมา มีการอาบน้ำมนต์เหมือนกัน
บางทีผู้หญิงคนนั้นก็ฉีกผ้าผ่อน ล้อนจ้อนต่อหน้าเลยก็มี แต่น่าจะ
มีคนในศาลามากกว่านี้ หรือกรณีหลวงพ่อจรัญช่วย"อีส้ม"ชาวบ้าน
ใกล้ๆวัดที่หนอนเจาะนมบวมโต เดินแก้ผ้าท่อนบนมาหาให้ท่านช่วยก็มี
สรุปแล้ว ไม่ใช่หน้าที่เราไปตัดสิน เพราะเรามีหน้าที่ดูตัวเอง เตือนตัวเอง
ก่อน เรื่องสอดส่องดูแลพระพุทธศาสนาก็เป็นหน้าที่ที่พุทธศาสนิกชน
ควรทำหลังจากที่เรามีธรรมะสูงพอแล้ว เพราะหากเรามีธรรมะสูงไม่พอ
ปัญญาเราไม่อาจจะแยกออกได้ว่า อย่างไหนจริงหรือไม่จริง
และเราอาจทำบาปปรามาศโดยรู้เท่าไม่ถึงกาล สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่
อย่างที่คิด สิ่งที่คิดอาจไม่ใช่อย่างที่เห็น หลวงพ่อชาท่านให้ท่องคาถานี้ไว้
"ไม่แน่" คาถานี้ใช้ได้หมดทุกกรณี

 

ลองเข้าไปอ่านกระทู้ อย่าตำหนิกรรมของผู้อื่น โดย สมเด็จองค์ปฐม

 

ก็เห็นอยู่ว่าเค้าอาบน้ำมนต์ น่าจะคิดได้นะครับ

 

หุหุ...ก็แค่อาบน้ำมนต์...คิดดี ก็ดี คิดไม่ดี ก็บาปเองเน่อ...

 

พระต้องสงเคราะห์ ไม่อย่างนั้นก็บาปอีก ทุกอย่างดูที่เจตนา อย่างท่านก็ควรพิจารณาใจของท่าน ไม่ได้ตำหนินะ นึกโทษเขาโทษเราจะมากกว่านะจขกท

 

เรื่องนี้ละเอียดอ่อนนะคับ อยู่ที่เจตนา ถ้าเราไม่รู้จริงอย่าคิดไปเองเดี๋ยวบาปเปล่าๆ

 

รูปก็คือ รูป

ที่เดือดร้อนก็คือ เห็นแล้วเอาไปปรุงแต่งไปในทางลบ

 

หัดมองโลกในแง่ดีบ้างครับ ท่าน

 

มองต่างมุมนะครับ
ข้าน้อยเห็นว่า ควรนำเรื่องดี ๆ มาเล่าสู่กันฟัง เพื่อการศึกษาสิ่งที่ดี มีประโยชน์โดยตรงดีกว่านะครับ
โดยเฉพาะในเว็บแห่งนี้ palungjit.org นี้ดี เป็นเว็บเพื่อการศึกษาธรรมะทุกระดับ ข้าน้อยชอบ ครับผม)

ข้าน้อยเห็นว่าไม่ควรนำสิ่งไม่ดีมาเผยแผ่ เพื่อให้แพร่กระจาย
เพราะว่าอกุศลจะเกิดขึ้นเพิ่มเติม ด้วยวิธีการต่าง ๆ คือจะทำให้เกิดกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่เป็นอกุศล คือไม่ฉลาดทางจิตใจ เสียงบ เสียเงิน ในการดำเนินการไปแล้ว ควรได้รับสิ่งที่เป็นบุญ หรือกุศลเพิ่ม ครับผม ฯ
เว็บพลังจิตนี้ ต้องการเผยแผ่ธรรมะ ให้แพร่กระจายไป ทำให้คนฉลาดขึ้น
คงไม่มีวัตถุประสงค์อื่นที่เป็นอกุศลหรอกครับ
จขกท...เจตนาดี หรือเปล่า ? มีเจตนาจะทำอะไรกันแน่ ?
เจตนาดี วิธีการต้องฉลาด จึงจะสามารถพบความสำเร็จที่ดี ฯ
ผิด หรือถูก โปรดพิจารณาด้วย ครับผม

 

ถ้าท่านเป็นพระนักปฏิบัติ รูปของหญิงทั้งสองก็เป็นเพียงธาตุ 4 ดิน น้ำ ไฟ ลม เท่านั้นเอง มีแต่ความสกปรก มีของเหลวไหลเข้าออกตามทวารต่างๆ มิได้น่ารักน่าใคร่แต่อย่างใด คิดดี มีจิตกุศลเถอะค่ะ อย่าไปกังวลแทนท่านเลย พระท่านย่อมมีปฏิปทาในการสงเคราะห์มนุษย์ให้หายจากทุกข์ทางใจ ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลเลย สำหรับภาพนี้นะคะ

 

สนับสนุนความคิดนี้นะ..แต่น่าจะเปลี่ยนหัวข้อว่า..การอาบน้ำมนต์ เพื่อลดเคราะห์ลดกรรม มันใช่หัวใจของพระพุทธศาสนาแล้วเหรอ และเห็นสมควรนำมาติติงเมื่อไม่เหมาะสม พิธีกรรมเพี้ยนมาจากก่อน น้ำมนต์ควรอยู่ในขัน พระสงฆ์นำมาประพรม เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้อุบาสกอุบาสิกา..ดีไม่ดีล้วนเกิดจากการกระทำ..

 

ในมุมมองดินหอม เป็นเรื่องความจริงในสังคมพุทธ ที่ชาวพุทธต้องรับรู้ จะเกิดผลทางปัญญา3แบบ
1.เชื่อศัทธาในอิทธิฤิทธิน้ำมนต์จะล้างสิ่งไปดี เคราะร้าย ผี วิญญาณ โรคภัยออกไปจากร่างกาย
2.รับไม่ได้ ทำให้ศาสนาเสื่อม หลอกลวง งมงาย ผิดแนวทางพุทธศาสนา ไม่อยากให้มีอยู่ในสังคมพุทธอีกต่อไป
3.ไม่เชื่อ ไม่ศัทธา แต่ก็ไม่ต่อต้านหรือสนับสนุน เพราะเข้าใจไปตามธรรมชาติ ในความแตกต่าง มนุษย์มีหลากหลายมากมาย ร้อยพ่อพันแม่ ย่อมซึมซับ วิถีชีวิต วัฒนธรรมความเชื่อ ทัศนคติ ความรู้ การศึกษา ที่แตกต่าง

วัฒนธรรมท้องถิ่น ความเชื่อดั่งเดิมผสมเข้ากับศาสนาใหม่ที่แผ่เข้ามา มีกันทุกศาสนา
ทั้งพุทธ คริสต อิสลาม บาทหลวงคริตสจักรคาทอลิกในอัฟริกา ยังมีพิธีไล่ผี รักษาโรค
คงความเป็นวูดู ในยุโรปก็ใช้ไม้กางเขนเป็นสิ่งศักดิสิทธ์ ป้องกันภูตผีปีศาจ

คริตสเตียนก็มีพิธีไล่ผี รักษาโรคบนเวทีโชว์เพาว์พลังอำนาจพระเยซู เป็นง่อยลุกเดินได้
เกาหลีกำลังอินเทรนมาก

อิสลามทางใต้ของไทย ชาวมลายู สุมาตรา อินโดนีเซียหรืออินเดีย ปากี บังคลายันอียิปต์ยังมีพิธีไสยศาสตร์ ไล่ผี รักษาโรค

สรุปว่า ประเพณีความเชื่อในสังคมนั้นๆผสมผสานเข้ากับศาสนา ยังแทบแยกไม่ออก
ย่อมเป็นสิทธิแต่ละบุคคล ที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ วันนี้อาจเชื่อ พรุ่งนี้อาจเลิกเชื่อ
ซึ่งเปลี่ยนไปตามเวลาของคนนั้นๆ ตามอายุ กำลังสติปัญญา ประสพการสัมผัส
ที่เขามีหรือพบประสพพบเจอเอง

เราบังคับทุกคนให้คิดเห็นเหมือนเราไม่ได้ แต่เราบังคับให้ตัวเราทำดีได้
เมื่อเราเปลี่ยนตัวเองดีขึ้นทุกวัน คนรอบข้างจะสนใจและตามเราเอง
ทุกคนอยากดีแต่ไม่ค่อยมีดีให้ดู

คนไม่รู้ ไม่ใช่คนโง่ แต่เป็นคนด้อยโอกาส
ทำอย่างไร จะร่วมกันสร้างโอกาสให้คนได้ความรู้.

 

ดีครับดี ดี ทราบว่าเป็นจตนาดีแล้ว ฯ
ถ้าสนใจเรื่องนี้คำตอบว่าผิดหรือถูก ก็ขอเชิญค้นเพื่อศึกษาเพิ่มเติมได้ในเรื่องจุลศีล มิชฌิมศีล มหาศีล ท่านตอบไว้หมดแล้ว (พิมพ์ ว่าจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ใน google เราจะได้ข้อมูลนี้นะครับ)
เรื่องอย่างนี้ที่บ้านผม วัดโนนสว่าง ต.หมากหญ้า อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี มีให้เห็นทุกวัน นะครับ ฯ
ผมเห็นเป็นเรื่องธรรมดา และเห็นว่าเป็นวิถีชีวิตอีกแบบหนึ่งของคนเรา ฯ
ผญา หรือปรัชญา ภาษาอีสาน ท่านว่า งัว บ่กินหญ้า แสนสิ (ถึงจะ) ข่มก็เขาหัก ส่วนว่าหมู บ่กินฮำ แสนสิ (ถึงจะ) ตี ก็ดังเว้อ (จมูกบี้ตายเปล่าๆ )...เปรียบดังคนเฮานั้น บ่เทียมกันทันท่อ หากเขาบ่อยากได้ แขวนคอให้ก็บ่เอา..ดอกท่านเอ๊ย...คือวัวไม่อยากกินหญ้า ต้องมีสาเหตุสองประการ คือ 1.อิ่มเป้งแล้ว 2.ไม่ชอบหญ้านั้น (เป็นบางตัวที่ชอบ) หมู ก็มีลักษะเหมือนกัน คืออิ่มแปร้แล้ว ไม่สนแล้ว ยิ่งบังคับยิ่งหนี หงุดหงิด ดุด้วย ถึงเราตีจนตายเขาก็ไม่กิน เพราะเขาไม่ต้องการ หมายความว่า เพราะคนเรามีระดับสติ ปัญญาต่างกัน มีความต้องการต่างกัน มีปัญหาต่างกัน จึงมีพฤติกรรมต่างกัน ถ้าเราศึกษาให้เข้าใจตัวเราเอง และผู้อื่นด้วย ก็จะทำให้ลดปัญหาในใจเราได้มากทีเดียว ฯ
ขอเชิญไปเยี่ยมนมัสการหลวงพ่อที่วัดบ้านผมบ้าง นะครับ
(ในภาพที่ลบไปแล้วนั่น ไม่ทราบที่ไหนครับ ไม่อยากรู้ดอกครับ กลัวเป็นกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่เป็นอกุศล เพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ครับ ขอบคุณจากใจจริง ๆ ครับที่ลบออก)
ผมชอบรายการข่าวที่ช่อง 5 รายการ 5 เช้าข่าวดี โดยคุณลูกน้ำ กับพิธีกรชาย(ผมไม่ทราบชื่อ) นั่นดี เสนอข่าวดี ดี เพื่อสร้างสรรค์ อยากให้มีเยอะ ๆ
เด็ก ๆ ลูกหลานเราจะได้ตัวอย่างที่ดี โดยตรง เราไม่ต้องมานั่งคอยให้คำแนะนำให้เหนื่อย เสียความรู้สึกที่ดีไป ครับผม ฯ
หวังว่าคงเข้าใจ
ด้วยรักและห่วงใยสิ่งแวดล้อมที่ดี นะครับ
เพื่อนผมคนหนึ่ง (คุณฉลาด ศิริดล อยู่จอร์เจีย อเมริกา ) ถือคติประจำใจว่า
" เป็นเปรตในหมู่ปราชญ์ ดีกว่าเป็นปราชญ์ในหมู่เปรต " หึๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ผมอ่านแล้ว ชอบมาก เข้าท่าดีครับ
คิดถึงเมื่อใด ก็อดหัวเราะอยู่คนเดียว อดไม่ได้จริง ๆ หึๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เค้าคงหมายถึงว่า เรารู้น้อย ต้องการความรู้ ถ้าอยู่ในวงการผู้รู้ก็มีโอกาสรู้ตาม เอาตัวรอดได้ แต่ถึงแม้ว่าจะรู้ดีเพียงใด ถ้าอยู่วงการที่คนไม่ฉลาด ก็เดือดร้อน ก็พลอยเสียโอกาสดี ๆ ไป......เหมือนขนมหวานในจานผักสะเดา ทำนองนั้น อย่างนั้นกระมัง ข้าน้อยไม่ได้ถามเขา.... แต่ก็เข้าท่าดี...
แผ่เมตตา และภาวนา พุทโธ ธัมโม สังโฆ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เอาไว้มาก ๆ นะครับ
พระพุทธศาสนา ก็อยู่ตรงนี้แหละ อยู่ที่ปลายจมูกเรานี่แหละครับ
พบกันอีกนะครับ สวัสดีครับผม

 

หนึ่ง กิจของสงค์ กับพระบัญญัติ มาเช่นไร เเล้วปจุบัน ปฎิบัติกันเช่นไร

การมองโลกในเเง่งงงงงงงง ดี นั้นก็จําต้องมองให้เห็นถึง ความจริงที่ถูกที่ควร
มิใช้ เขาเออ ออ กันมาตามนั้น เราก็จําต้องไปตามนี้
การจะเห็นสิ่งใด สมควร อย่างไร
หนึ่ง เจตนาของผู้มอง จิตที่ถูกปรุงเเต่ง อุปทาน ส่วนประกอบต่างๆ ที่ เสพเข้าไป

ใช้อะไรมอง เเล้วที่มองอยู่ มีอะไรเพิ่มจาก เดิม เเค่ใหน นั่นเเหล่ะประเด็นเเห่งการมอง


<center>๑๑. เกวัฏฏสูตร</center>

๗. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธา แล้วยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทำพิธีบนบาน ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือน ทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องบน ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่าง ปรุงยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตา ปรุงยานัตถุ์ ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ป้ายยาตาทำการผ่าตัด รักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล แม้ข้อนี้ก็เรียกว่าอนุสาสนีปาฏิหาริย์.

ถ้าเอากันตาม พระสูตรข้างบนนี้ คําว่า มองโลกในเเง่ดี กับ กฎที่ควรเป็น นั้นต่างกันเช่นไร

หรือจะกล่าวว่า มองโลกในเเง่ที่ดีเเล้ว พระสง พระสูตรอะไรก็ช่างหัวมัน พระบัญญัติ อะไรก็ช่างหัวมันไปใช้ไหม

เเล้วเเบบนี้ พระองค์ท่านจะไปบัญญัติ ขึ้นมาทําไม

การเห็นชอบเพราะ ตามกันไป นั่นก็หนึ่ง เสื่อม ที่กําลังเกิด ในกึ่งพระศาสนาเรานี้

ระหว่างพระสูตรข้างบน กับ คําว่ามองโลกในเเง่ดีหน่อยนี้

ท่าน สมาชิก เห็นไปเช่นใด รือ
​

 

พระองค์ใดทำได้ตามที่นักปราชญ์กล่าวมา เค้าเรียกว่าบุญฤทธิ์ คือพระเหล่านั้นสามารถแสดงธรรมให้เห็นผลในบัดดล เป็นกุศโลบายธรรมอย่างนึงครับ

ถามไม่คิดอีกละ ก็คนที่ไปหาพระให้ช่วยไม่ได้ไปให้พระท่านช่วยให้ไปนิพพาน แต่ช่วยอย่างอื่น ตลกนักเราเนี่ย

 

ตอบว่าไม่ทราบเหมือนกันค่ะ
พระท่านอาจเจริญอสุภะอยู่ก็ได้

 

บาป ไม่บาป อยู่ที่คิดถึงอะไร.....