เทวดาสาธุการ..หลวงปู่จันทา ถาวโร

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย ลุงไชย, 29 มกราคม 2012.

  1. ลุงไชย

    ลุงไชย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +2,436
    [​IMG]
    (ภาพจากห้องแกลอรี่ เวปพลังจิต)


    เทวดาสาธุการ..

    ...สมัยหนึ่ง (ปี ๒๔๙๖) ไปวิเวกอยู่ที่ถ้ำเป็ด ภูเหล็ก อ.สว่างแดนดิน (ปัจจุบันเป็น อ.ส่องดาว จ.สกลนคร) กับหลวงพ่อไค ๆ เป็นคนภูไท อายุมากแล้ว (๖๐ – ๗๐ ปี) จึงบอกว่า

    “หลวงพ่อไค ที่นี่ผีมันร้ายนะ คนไม่กล้ามาทำไร่ ทำสวน เพราะผีมันกวน ฉะนั้น เวลาจะถ่ายปัสสาวะให้นั่งถ่ายใส่รางให้เป็นที่เป็นทางนะ อย่าไปถ่ายเรี่ยราดทั่วไป ไม่ดี เดี๋ยวผีมันจะดึงหำเอา” (หำ คือ อัณฑะ)

    หลวงพ่อไคก็ว่า “ผมมันแก่แล้ว เวลาปวดปัสสาวะแล้วมันก็ไหลเลย”

    วันหนึ่งได้ยินเสียงหลวงพ่อไคร้อง “โอ๊ย ! ...”

    จึงถามไปว่า “เป็นอะไร ?”

    หลวงพ่อไคก็ว่า “ผีมันดึงหำ”

    “นั่นแหละ บอกแล้วไม่ฟังก็เป็นอย่างนั้น ลูกหลานเขาหยอกคนแก่หรอก นี่แหละ โทษฐานที่ถ่ายปัสสาวะไม่เป็นที่ ไม่เป็นทาง”

    จากนั้น อยู่มาวันหนึ่ง นั่งภาวนาอยู่ในป่าจนถึง ๖ ทุ่ม ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องว่า

    “พี่น้อง...มาช่วยฉันเถอะว้า ผีปอบมากินลูกฉัน ฉันคลอดลูกใหม่ ๆ ผีปอบมากินเลย”

    อ้าว ! ... มันอะไรกัน มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ตอนกลางวัน ไม่เห็นมีอะไร โอ๋...ดอนป่าไม้นี้ มีผีอยู่ที่นั่นกลุ่มหนึ่ง ร้องเรียกบักทิดบักจารย์ มาช่วยกันขับไล่ผีปอบ ผีเหล่านั้นก็ออกมาจากพุ่มไม้ กอไม้ ต้นไม้ต่ำ ๆ เป็นปราสาทที่อยู่ มาแล้วก็ขับไล่กันทุกอย่าง ก็ไม่ออก

    เมื่อไม่ออกแล้วทำอย่างไร หมดคาถาแล้ว คาถาของเรานี้ แต่ก่อนก็คมกล้าดี แต่มาระยะนี้ มาอยู่กับผู้หญิง อาถรรพ์ของผู้หญิงนั้นกล้า คาถาดีเท่าไหร่ก็เสื่อมหมด ฉะนั้นจงไปขอน้ำมนต์จากพระที่ท่านมาเจริญธรรมที่ถ้ำนะ เพราะศีลของท่านดี ท่านไม่ได้อยู่กับผู้หญิง ไม่ได้กินเหล้าสุรานารีอะไร

    ยายคนนั้น คนแก่ ๆ ดำ ๆ สูง ๆ ก็เลยเอาขันน้ำมาหา แล้วว่า

    “หลวงพ่อ ขอจงเมตตาช่วยเหลือข้าพเจ้าเถอะว้า ผีปอบกินลูกของอิฉันนะ คลอดบุตรใหม่ ๆ ผีมากินแล้ว”

    ก็เลยทำน้ำมนต์ให้ ใช้คาถาธรรมพระไตรสรณคมน์นั่นแหละ ให้เอาไปกิน พอกินแล้วก็อาเจียนออกมาเลย นั่นแหละ ผีมันออกแล้ว
    จากนั้น พวกนี้ก็กลับไปอยู่ตามถ้ำแคบ ๆ เล็ก ๆ ตามกอไม้กอหญ้าต่ำ ๆ จึงถามว่า

    “ทำไมไม่ไปอยู่ในถ้ำใหญ่ ๆ ?”

    เขาตอบว่า “ไปอยู่ไม่ได้นะท่าน เข้าไปแล้วมันร้อนเหมือนไฟ เพราะสมัยที่มีภพชาติเป็นมนุษย์โน้น พ่อแม่พี่น้อง ปู่ย่าตายายพากันนับถือผี เมื่อถึงฤดูกาลก็บวงสรวง เซ่นไหว้ผีหมอ ผีฟ้า ผีต่าง ๆ ทุกอย่าง น้อมเอาผีมาเป็นที่พึ่งทั้งนั้น แม้ว่านักปราชญ์จะป่าวร้องเชิญชวนให้เข้าวัดฟังธรรม จำศีล เจริญภาวนา สร้างถนนหนทาง สร้างน้ำบ่อก่อศาลาก็ไม่ยินดี ถือว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงมีพอแล้ว ไม่อดไม่อยาก ไม่ยากไม่จน ใครยังไม่พอก็ทำไปเถอะ”

    “นั่นแหละ ฆ่าวัว ฆ่าควาย กินเหล้ากินยา สุรานารี ไม่ถือผัวถือเมีย เสพกามกันไม่เลือกชั้นวรรณะ ไม่ว่าลูกเขาเมียใคร ไม่ถือกันทั้งนั้น ดังนั้น เมื่อตายแล้วพวกข้าพเจ้าจึงมาเกิดเป็นผีอยู่ที่นี่ ไปไหนมาไหนไม่ได้ ร้องไห้บ่นเพ้อละเมอใจ เป็นทุกข์ทรมาน หนอนเจาะของลับ น้ำเน่าไหล อาศัยอยู่ในถ้ำแคบ ๆ แสนทุกข์ยากลำบาก ครั้นเดือน ๔ เดือน ๕ ก็มีไฟไหม้ป่ามา ต้องขนข้าวของหนี ฉิบหายทุกปีแหละท่าน”

    นั่นแหละ เคยเห็นแต่ผีปอบกินคน แต่นี่ ทำไมหนอ ผีจึงมากินผี จึงกำหนดถามพระธรรม ๆ ก็พูดขึ้นมาที่ใจว่า

    “เจ้าอุ้มลุ่ม เจ้าผู้ตุ้มผ้าดำ แสนจะหนีไปลี้ภูเขา ถ้ำใหญ่ก็ดีถ่อน กรรมเวร เวรกรรม หากสินำซอกใช้ กินไส้บ่หร๋อเจ้าเอย”

    (คนใจบาปหยาบช้า ถึงจะหลบหนีไปอยู่ที่ใด บาปกรรมก็จะตามไปสังหารให้เดือดร้อนอาทรใจเสมอ)

    นั่นแหละ ไปเห็นมาอย่างนั้นแล้วก็สิ้นสงสัย คนที่มีนิสัยเคยถือผีถือสางคางแดงมาแต่ครั้งเมื่อเป็นมนุษย์ เมื่อตายไปก็ไปเกิดเป็นผีตกทุกข์ได้ยาก ถึงจะช่วยเหลือให้พ้นทุกข์ มันก็ไม่สนใจหรอก ควรที่จะมาขอรับพระไตรสรณคมน์ และศีล ๕ ก็ไม่มา นิสัยเคยถือผีสางอย่างนั้น ถึงจะพ้นทุกข์ได้ก็ไม่อัศจรรย์อะไรหรอก นี่แหละ โทษของการนับถือผีก็เป็นอย่างนั้น

    นั่นแหละ ไปเห็นอย่างนั้นก็ได้ธรรมะ คือ คนที่นับถือผี เมื่อตายไปแล้ว ก็ไปเกิดเป็นผีอย่างนั้นแน่นอน จะไปมนุษย์หรือสวรรค์ไม่ได้ เพราะไม่มีศีลธรรมอันดีงาม มีแต่กรรมชั่วช้าลามก คือ โลภะ โทสะ โมหะฉาบทาจิตใจ ตายแล้วไปเกิดเป็นผีอย่างนั้น นั่นแหละ ก็ได้ความสังเวชสลดใจ ได้วิชาปัญญาความรู้...


    <O:p</O:p
    ...เมื่อผีเหล่านั้นกลับไปหมดแล้ว ในขณะที่นั่งภาวนาอยู่นั้น ไม่นานก็มีฝูงเทพบุตรเทพยดามาจากภูเขาใหญ่ รูปร่างสวยงามเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ มาเป็นร้อย ๆ มากราบไหว้ แล้วก็ขอรับพระไตรสรณคมน์ และศีล ๕

    ก็เลยถามว่า “จะรับไปทำไม ?”

    เขาก็ตอบว่า “โอ๋...เป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่นะท่าน พวกข้าพเจ้ามีพระไตรสรณคมน์ ศีล ๕ ศีล ๘ และกรรมบถ ๑๐ ประจำชีวิต นั่นแหละ อบายจึงไม่ได้ไป ไฟนรกจึงไม่ได้ไหม้ มีแต่สุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไปล้วน ๆ ดังนั้น เมื่อเห็นท่านมาเจริญสมณธรรม จึงพากันมาขอรับพระไตรสรณคมน์ และศีล ๕ เพื่อจะไม่ให้ของเก่านั้นเศร้าหมอง เมื่อพระไตรสรณคมน์และศีล ๕ แล้ว เขาก็ขอฟังธรรมะ ก็เทศน์ให้ฟังอย่างย่อ ๆ ว่า

    “เย เกจิ พุทฺธํ สรณํ คตาเส น เต คมิสฺสนฺติ อปายภูมึ”

    "นรชาติหญิงชายทั้งหลาย เมื่อเอาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์เป็นที่พึ่งแล้ว อบายไม่ได้ไป สิ้นแสนกัปดับขันธ์แล้ว จะมีสุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไปเบื้องหน้า เอวัง”

    เทศน์ให้เขาฟังเท่านั้นแหละ แล้วถามเขาว่า

    “โยม...ขณะที่อาตมาเดินจงกรมตั้งแต่ ๖ โมงเย็น จนถึง ๕ ทุ่มนั้น ได้ยินเสียงดังสนั่นราวกับว่าภูเขาเหล็กมันจะพังลงมา นั่นเป็นเสียงอะไร ?”

    “โอ๋...เป็นเสียงที่ข้าพเจ้า สาธุการส่วนบุญกับท่าน การเดินจงกรมมีบุญมากนะท่าน ก้าวขวาลงสู่พื้นดินนั่น พุทโธ ดังตึ้งนะ แหมบุญมากอัศจรรย์ใจ พวกข้าพเจ้าจึงมาสาธุการส่วนบุญด้วย”

    นั่นแหละ บุญในศาสนาพุทธ คือ เดินจงกรม ยืนภาวนา นั่งสมาธิ ไหว้พระสวดมนต์ นั่นแหละได้บุญเยอะ จากนั้นก็ถามเขาต่อไปอีกว่า
    “เมื่ออาตมา ไหว้พระสวดมนต์ว่า อรหัง สัมมา สัมพุทโธ ภควาฯ...แล้ว เสียงที่เคยดังนั้นเงียบหายไป นั่นเป็นเพราะเหตุไร ?”

    “โอ๋...พวกข้าพเจ้าหยุดส่งเสียงไม่ให้ไปกระทบ อรหัง สัมมา สัมพุทโธฯ นั้น กลัวจะเป็นบาป ได้แต่อนุโมทนาสาธุการส่วนบุญเท่านั้น ไม่ให้มีเสียงไปกระทบ อรหัง ผู้ไกลจากข้าศึกคือกิเลส สัมมาสัมพุทโธ เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ จะอุบัติบังเกิดในโลกแต่ละกัปแต่ละกัลป์นั้นก็เป็นของยาก เพราะการสร้างบารมีเป็นพระพุทธเจ้านั้นแสนยาก นั่นแหละ เมื่อมีขึ้นแล้วก็เป็นโชคลาภอย่างดี จะไปสวดที่สวรรค์ก็ชนะทั้งนั้น จะไปสวดที่พรหมโลกก็ชนะทั้งนั้น จะไปสวดที่นรกอเวจี ไฟนรกก็ดับ น้ำร้อนแสบเย็นเค็ม ก็กลับกลายเป็นน้ำหวานให้สัตว์นรกได้กินเป็นอาหาร

    “อันชื่อเสียงเรียงนามของ อรหังฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ สัมมาสัมพุทโธ นั้นเป็นของดีเลิศแท้นะท่าน พวกข้าพเจ้าถึงแม้ว่าจะได้ไปสวรรค์แล้ว ก็ไม่ลืมไหว้พระ สวดมนต์ ภาวนา เดินจงกรม บูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ยึดเอาพระนิพพานเป็นที่ไปอยู่เป็นนิจ ธรรมทั้งหลายเหล่านี้ เป็นธรรมที่ส่งผลให้ไปพระนิพพานได้ อย่างต่ำก็ไปสวรรค์ อย่างกลางก็พรหมโลก อย่างสูงที่สุด วิมุตติหลุดพ้น คือ พระนิพพาน เบื้องหน้า มีเท่านั้นแหละ ฉะนั้น พวกข้าพเจ้าจึงไม่ให้มีเสียงกระทบ นี่ข้อสำคัญมั่นหมาย”

    นั่นแหละ เทวดาเขาก็เป็นสักขีพยานนะว่า การเดินจงกรมเป็นบุญใหญ่ ยืนภาวนาก็เป็นบุญใหญ่ ไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิก็เป็นบุญใหญ่หลวงนะ

    จากนั้นเขาก็ว่า “ท่านอาจารย์ สัญจรไปตามบ้านน้อยเมืองใหญ่ ขอฝากธรรมะไปเทศน์โปรดแม่ ป้า น้า อา บ้างเถิด” เขาพูดเป็นภาษาอีสานว่า

    “๔ คนหาม ๓ คนแห่ คนหนึ่งนั่งตะแคร่ (เตียงไม้ไผ่) มองทาง ใครแก้ปริศนาธรรมะนี้ได้ เป็นปราชญ์ฉลาดรู้ เห็นฮ่องคลองธรรม ไปสู่โลกหน้าก็ไม่ข้องคา มาสู่โลกนี้ก็ไม่ติด สร้างบุญสร้างกุศลใส่ตนไว้ เป็นพี่เป็นน้องกัน เดินทางไกลพอได้พึ่งพิงอาศัย มื้อเช้าส่งแกง มื้อแลงส่งป่น สายพอเพล (เที่ยงวัน) พอได้จ้ำแจ่วก็ดีหลาย ข้าวสักปั้น เกลือสักก้อนก็ไม่มี เต็มทีมาก”

    อย่างพวกที่ประมาทลืมตน ถือผีสางคางแดงเป็นที่พึ่ง ตายแล้วมาเกิดเป็นผีอย่างนั้น ไม่มีสิทธิอำนาจอะไร เทวดาก็เหยียดหยามคนชั้นต่ำ คือผีนั้น นั่นแหละ เมื่อเขาต่อว่าติเตียนแล้วก็หมดสิทธิ ไม่มีอำนาจอะไรจะไปต่อต้านทั้งนั้น สมขี้หน้า

    “๔ คนหาม ได้แก่ ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ หามเราไป เรา คือ ใจ”

    “๓ คนแห่ ได้แก่ ตัณหา ๓ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา มันหามมันแห่เรา ไปสู่ที่ไหนมันก็แห่เราไปอย่างนั้น”

    “๑ คน นั่งตะแคร่มองทาง คือ ใจ ตะแคร่ คือ ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ นี่แหละ”

    นั่นแหละ ไขปริศนาปัญหานี้ได้ ก็เป็นปราชญ์ฉลาดรู้เห็นฮ่องคลองธรรม

    อันนี้แหละ ๔ คนหาม ได้แก่ ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ นั้น มันจะต้องแก่ เจ็บ ตาย นั่นแหละ อนิจจตา ไม่เที่ยง ทุกขตา ก็เป็นทุกข์ อนัตตตา ก็ไม่ใช่เขา ไม่ใช่เราแน่นอน เพราะมันเกิดจากเหตุปัจจัยทั้งนั้น เหตุธรรม ปัจจัยธรรม ได้แก่ ตัณหา อวิชชา นั่นแหละ เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้น เราก็ต้องน้อมเอา สมถธรรม วิปัสสนาธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา มรรค ๘ โพชฌงค์ ๗ มาปราบ ๓ คนแห่ คือ ตัณหา ๓ และ อวิชชา นั้นให้ตกออกไปจากใจ แล้วเราก็จะพ้นไปจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย หมดเพียงแค่นั้น

    นั่นแหละ นี่ข้อสำคัญ ทำไว้ให้พร้อมทุกอย่าง เมื่อเราอบรมศีลธรรม ทำคุณงามความดีใส่ตนไว้แล้ว ก็จะบันดาลจิตใจให้เป็นปราชญ์ฉลาดรู้ ว่าสิ่งใดหนอ เป็นเสบียง เป็นปัจจัยของเรานั้น เราจะได้เร่งรีบขวนขวาย สะสมบุญกุศลใส่ตนไว้ นอกนั้นไม่มี จริงแท้แน่นอน

    แล้วเขาก็พูดว่า “เมื่อท่านสะสมบุญใส่ตนไว้พร้อมแล้ว เป็นของดีเลิศประเสริฐแท้ หาสิ่งใดเสมอเหมือนไม่มี เปรียบอุปมาเหมือนกับเรามีกระติกน้ำใหญ่ติดตัวไว้ในเวลาเดินทางไกล ไปถึงร่มไทรก็จะได้ล้างหน้า ไปถึงร่มหว้าก็จะได้ส่วยคิง (เช็ดตัว) ไปถึงที่แจ้ง ๆ แดดร้อน ๆ ก็จะได้อาบเย็นสบาย อันนี้ฉันใด บุญก็ฉันนั้น ไปถึงสถานที่ใดก็เป็นอย่างนั้น สบายดีเลิศประเสริฐสุด นอกนั้นไม่มี” …
    ..................................................................................................................................................................................

    ที่มา http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/monk-hist-index-page.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 มกราคม 2012
  2. tyoukerd@hotmail.com

    tyoukerd@hotmail.com เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    157
    ค่าพลัง:
    +293
    กราบอนุโมทนาสาธุครับ โชคดีที่จะได้ไปกราบท่านในวันครบรอบอายุ 90 ปีของท่านที่วัดป่าเขาน้อย จ.พิจิตร อยากเชิญชวนให้ไปกราบพระอริยสงฆ์ที่เป็นพระสุปฏิปันโน เป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐครับ
     
  3. naron

    naron เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2009
    โพสต์:
    2,515
    ค่าพลัง:
    +3,573
    กราบๆๆหลวงปู่และอนุโมทนาสาธุบญกับหลวงปู่ทุกๆกองบุญกองกุศลและกับทุกๆท่าน ครับผม สาธุ
     
  4. thaiput

    thaiput เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    9,528
    ค่าพลัง:
    +27,656
    กราบพระอริยสงฆ์เนื้อนาบุญของพระพุทธศาสนา

    อนุโมทนาสาธุๆๆๆๆๆ

    thaiput007@hotmail.com
     

แชร์หน้านี้

Loading...