เงินเฟ้อที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นแล้ว??? รู้ทันโลก (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 11 พฤศจิกายน 2010.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ทำไมโลกไม่รัก..ฮามาส (6)
    ฮามาส..ล้มยาก
    Shaffi : เขียน (4 มีนาคม 2009)


    หลังการเลือกตั้งปาเลสไตน์ 25 มกราคม 2006 สหรัฐผิดหวังผลการเลือกตั้งมากที่สุด สหรัฐหวังว่าฟาตาห์จะชนะ ได้เป็นรัฐบาลปาเลสไตน์อย่างน้อยก็เป็นการส่งท้ายอำลาตำแหน่งจอร์จ ดับยา บุช อย่างสง่างาม ให้โลกร่ำลือว่าเป็นประธานาธิบดีที่มีผลงานสามารถนำสันติภาพมาสู่ปาเลสไตน์ได้ เป็นรีพับรีกันที่ทำสำเร็จ ไม่ใช่เดโมแครต ... สหรัฐทั้งจ่ายทั้งซื้อคนใน PLO. คนใน PA. เพื่อให้เป็นคู่เจรจา Moppet Show นั่งเจรจากับ PLO. สั่งได้ หมกเม็ดได้ เอาเปรียบได้ มาตลอด ถ้า PLO. แข็งขืน ขู่ว่าจะไม่ให้เงิน แค่นี้ก็อ่อนยวบทุกครั้งไป ...


    แต่สหรัฐก็ประมาท ประมาททั้งฮามาส ประมาททั้งหัวใจชาวปาเลสไตน์ ประมาทที่ปล่อยให้ PLO. และฟาตาห์ หลอกกินเงินไปมากมายแต่มีผลงานเล็กน้อย กับฮามาส..สหรัฐ รู้ว่าฮามาสไม่ใช่หมูให้ต้อนทั้งบนโต๊ะเจรจาและในสนามรบ ฮามาสไม่อ่อนข้อเพราะไม่ได้แอบกินสินบนสหรัฐ คนของฮามาสไม่เคยไปเที่ยวทำเนียบขาวเป็นว่าเล่นเหมือนคนของ PLO. และ ฟาตาห์ ฮามาสรู้ทันเหลี่ยมคูของสหรัฐและอิสราเอลเป็นอย่างดี สหรัฐไม่ชอบคนรู้ทัน และไม่คุ้นเคยกับการไม่เอาเปรียบใคร ว่ากันโดยตามนโยบายตะวันออกกลางของสหรัฐตั้งแต่ครั้งไหนๆมาแล้วว่าสหรัฐจะไม่เจรจากับกลุ่มที่ใช้อิสลามเป็นแนวทางหลักและอุดมการณ์ในการต่อสู้..เช่น ฮามาส เพราะผู้ที่ใช้อุดมการณ์อิสลามเป็นแนวทางการต่อสู้ ต้องการความยุติธรรม ความเทียมกัน การให้ความเคารพนับถือ ซึ่งกันและกัน อันเป็นสิ่งที่สหรัฐให้ไม่ได้ และไม่เคยให้ใคร ผู้ที่ใช้อิสลามเป็นทางนำในการต่อสู้ สหรัฐซื้อวิญญาณพวกเขาไม่ได้ ติดสินบนไม่ได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ฮามาส ต้องถูกสหรัฐประทัยตราว่า ไม่ใช่ฝ่ายที่สหรัฐอยากเจรจาด้วย และหากว่ากันให้ถึงที่สุดแล้ว สหรัฐไม่ต้องการให้อำนาจรัฐปาเลสไตน์ ตกไปอยู่ในมือของฮามาสแม้แต่น้อย เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ทำอะไร ในที่สุดฮามาสจะใช้อุดมการณ์อิสลามเปลี่ยนแปลงปาเลสไตน์ และกลายเป็นเชื้อร้ายที่สหรัฐต้องยับยั้ง การจงใจต่อต้านรัฐบาลอิสลามในทุกหนทุกแห่งในโลก ถือเป็น Washington Consensus หรือวาระวอชิงตัน การทำให้โลกกลัวอิสลาม ด้วยการแพร่เชื้อโรค Islamophobia เป็นภาระกิจหลักของ “วาระแห่งวอชิงตัน” เพราะอิสลาม เป็นอุปสรรคขัดขวางต่อกระบวนการทำโลกนี้ให้เป็นอเมริกา หรือ Americanization ที่เราคุ้นกว่าในชื่อ Globalization นั่นเอง


    ท่านผู้อ่านที่ติดตามอ่านมาโดยตลอด อาจสงสัยต่อไปว่า หลังเลือกตั้งปาเลสไตน์ ฮามาสชนะ ฟาตาห์แพ้ สหรัฐ อิสราเอลยื่นคำขาดต่อรัฐบาลฮามาส ต่อจากนั้นเกิดอะไรขึ้นต่อไป.. ลองดู Timeline ที่ผมย่อมาเพื่อให้เข้าใจง่ายๆ ดังนี้ครับ


    25 มกราคม 2006
    - เลือกตั้ง ฮามาสชนะได้ครอง 74 ที่นั่ง จาก 132 ที่นั่ง
    17 มีนาคม 2006
    - พรรคฟาตาห์และอับบาสปฏิเสธตั้งรัฐบาลผสมกับฮามาส
    ธันวาคม 2006
    - เกิดการปะทะกันระหว่างกองกำลังฮามาสกับ กองกำลังฟาตาห์
    8 กุมภาพันธ์ 2007
    - ฮามาส กับฟาตาห์ ลงนามในข้อตกลงหยุดยิง “เมกกะ”
    17 มีนาคม 2007
    - รัฐสภาปาเลสไตน์ให้การรับรองรัฐผสมเพื่อความปรองดองแห่งชาติ โดยมีฮามาสเป็นแกนนำ
    พฤษภาคม
    - ฮามาส และฟาตาห์ เปิดฉากต่อสู้กันอีกเป็นครั้งที่สอง
    10 มิถุนายน 2007
    - เกิดการปะทะกันระหว่างกองกำลังฟาตาห์นำโดย มุฮัมมัด ดะห์ลัน ผู้นำฟาตาห์ในกาซ่า กับกองกำลังรักษาความปลอดภัยรัฐบาลฮามาส ฝ่านฉามาสอ้างว่าเป็นการก่อบกฎเพื่อโค่นล้มรัฐบาลนายกรัฐมนตรีอิสมาอีล ฮานิยา โดยการวางแผนจากวอชิงตัน และประธานาธิบดีอับบาส
    12 มิถุนายน 2007
    - กองกำลังฝ่ายฮามาสยึดที่ทำการสำนักงานใหญ่พรรคฟาตาห์ และทำเนียบประธานาธิบดี (วิลล่าต่างอากาศ) ยึดเอกสารหลักฐานเปิดเผยแผนการโค่นอำนาจฮามาส ที่มีสหรัฐเป็นผู้วางแผนและให้การสนับสนุนทางการเงิน โดยอิสราเอลเป็นผู้ฝึกกองกำลังฝ่ายฟาตาห์
    14 มิถุนายน 2007
    - ฮามาสยึดฉนวนกาซ่าได้ทั้งหมด ปลดอาวุธฟาตาห์
    15 มิถุนายน 2007
    - ประธานาธิบดีมะห์มูด อับบาส ใช้อำนาจของประธานาธิบดีตามรัฐธรรมนูญประกาศยุบรัฐบาล (ตามคำแนะนำของรัฐมนตรีกอนโดลิซา ไรซ์ ของสหรัฐ) และประกาศให้ปาเลสไตน์อยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน
    17 มิถุนายน 2007
    - ประธานาธิบดีอับบาส ประกาศตั้งรัฐบาลฉุกเฉิน โดยแต่งตั้งให้นาย ซาลาม ฟายัด (คนที่รัฐมนตรีกอนโดลิซา ไรซ์เป็นผู้เลือก) ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่รัฐบาลฮามาสประกาศว่ารัฐบาลที่อับบาสตั้งขึ้นใหม่เป็นรัฐบาลผิดกฎหมาย อำนาจรัฐในฉนวนกาซ่ายังอยู่ในความควบคุมของรัฐบาลนายกรัฐมนตรีอิสมาอีล ฮานายา ของฮามาส


    รัฐบาลฮามาสที่ฉนวนกาซ่า เป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ส่วนรัฐบาลของอับบาส ที่รอมัลลอฮ์ ในเวสต์แบ็งค์ เป็นรัฐลาลที่สหรัฐชี้นิ้วตั้งขึ้นมา


    อับบาสไม่ปฏิเสธที่จะร่วมในรัฐบาลผสม แต่หากฮามาสเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล อับบาสจึงเลือกที่จะปฏิเสธ ซึ่งเหตุผลหลักก็ไม่มีอะไรมากกว่าการรักษาสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐและอิสราเอลเอาไว้ เมื่อปัญหานี้เกิดขึ้นจากภายใน สหรัฐจึงกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงอำนาจจากภายใน ด้วยความพยายามในการสร้างเงื่อนไขที่นำไปสู่สภาพ “สงครามกลางเมือง” สหรัฐเริ่มจากตัดเงินช่วยเหลือ และขอให้นานาชาติยุติความช่วยเหลือ รวมทั้งเงินช่วยเหลือจากประเทศอาหรับในอ่าวเปอร์เซีย เพื่อให้อับบาสใช้เป็นข้ออ้างในการใช้อำนาจยุบรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ฝ่ายฟาตาห์และฮามาส กล่าวหาโจมตีกันและกันจนเกิดความตึงเครียดและนำไปสู่การปะทะกันของทั้งสองฝ่ายเป็นครั้งแรกนับจากมีการเลือกตั้ง กษัตริย์อับดุลลอฮ์ แห่งซาอุดิอาระเบีย เรียกร้องให้เปิดการเจรจาหยุดยิง โดยจัดให้มีการพบปะกันที่นครเมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ในเดือนกุมภาพันธ์ 2007 ผู้นำฮามาส และฟาตาห์ลงนามหยุดยิงและตกลงที่จะจัดตั้งรัฐบาลผสมเพื่อความปรองดองแห่งชาติ และเข้าสู่การพิจารณาของสภาแห่งชาติปาเลสไตน์เพื่อให้การรับรองเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2007 แต่รัฐนาวาที่มีฮามาสเป็นแกนนำ ก็ล่มลงในเวลาไม่ถึงสองเดือน


    “ข้อตกลงเมกกะ” ไม่ได้รับความเห็นชอบจากสหรัฐ ซึ่งแน่นอนว่าสหรัฐคงตั้งเป้าหมายอยู่แล้วว่าจะไม่ยอมให้พรรคฟาตาห์ของอับบาสเข้าร่วมรัฐบาลฮามาสอย่างเด็ดขาด แรงกดดันจากทุกทิศทุกทางโดยเฉพาะจากสหรัฐ ก็ฉีกข้อตกลงกล่าวกลายเป็นเศษกระดาษ สหรัฐกลับไปใช้วิธีที่ตัวเองถนัด คือ ทำรัฐประหารจากภายในแบบที่ CIA ในยุคสงครามเย็นของคุณทวดโรนัล เรแกน เคยใช้ประสบความสำเร็จมาแล้ว แต่บุชกลับนำมาใช้และไม่ได้ผล ... ฮามาส ก็โค่นไม่ได้ ฟาตาห์ ก็แตกคอกันเอง.. ไม่เหลือวิธีอื่นใดอีกแล้ว นอกจากดันให้อิสราเอลออกหน้า...
    แล้วเครื่องจักรนักฆ่า ก็เดินเครื่องทำงานทันที ...
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    บทกวีของคนทำหีบศพ
    โดย Lisa Suhair Majaj
    The Coffin Maker Speaks


    At first it was shocking - orders flooding in
    faster than I could meet. I worked
    through the nights, tried to ignore
    the sound of planes overhead,
    reverberations shaking my bones,
    acid fear, the jagged weeping
    of those who came to plead my services.
    I ficus on the saw in my hands,
    burn of blisters, sweet smell of sawdust;
    hoped that fatigue would push aside
    my labor’s purpose.


    ครั้งแรกช่างน่าตกใจ ใบสั่งหลั่งไหลเข้ามา
    มากกว่าที่เคยเจอ ฉันต้องทำงานทั้งคืน และพยายามไม่คิดอะไร
    เสียงเครื่องบินคำรามอยู่เหนือหัว บาดลึกเข้ากระดูก
    ความกลัวแผ่ซ่าน ผู้คนร้องไห้ ..มาหาฉัน
    ฉันเพ่งมองเลื่อยในมือ อันพุพอง..กลิ่นขี้เลื่อยหอมฟุ้ง
    หวังว่าจะปัดเป่าเอาความเหนื่อยล้า
    ให้มลายไป


    Wood fell scarce as the pile of coffins grew.
    I sent my oldest son to scavenge more,
    but there was scant passage on the bombed out roads.
    And those who could made it through
    brought food for the living, not planks for the dead.
    So I economized, cut more carefully than ever,
    reworked the extra scraps.
    It helped that so many coffins were child-sized.


    ไม้สำหรับทำหีบศพ..หายากยิ่ง
    ฉันให้ลูกชายคนโตออกไปหามาให้มากขึ้น
    แต่ไม่รู้จะไปหาที่ไหน ที่ไหนที่ไม่ถูกระเบิด
    พวกเขาปลูกต้นไม้..เอาไว้เลี้ยงชีพ ไม่ใช่เอามาไว้ทำหีบศพ
    ฉันจึงต้องกระเหม็ดกระแหม่
    ฉันตัดไม้อย่างอย่างระมัดระวังมากกว่าที่เคย
    เก็บเศษไม้..เอาไว้ใช้


    I built the box well, nailed them strong,
    loaded them on the waiting trucks,
    did my job but could do no more.
    When they urged me to the gravesite-
    that long grieving gash in earth
    echoing the sky’s torn warplane wound-
    I turned away, busied myself with my tools.
    Let those who can bear it read the Fatiha
    over the crushed and broken dead.
    if I am to go on making coffins,
    let me sleep without knowledge.


    ฉันทำหีบศพอย่างดีเลยนะ..ตอกตรึงด้วยตะปูแข็งแรง
    ขนมันไปใส่รถบรรทุก ก็เป็นอันว่าเสร็จงาน
    เมื่อพวกเขาชวนฉันไปที่สุสาน ที่สุสานถูกขุดเป็นร่องหลุมยาว
    เสียงสะท้อนจากเครื่องบินแหวกอากาศ ทำให้ฉันเจ็บปวดและต้องเบือนหน้าหนี
    ปล่อยให้พวกเขาฟังเสียงอ่านฟาฏิฮะ (บทที่หนึ่งในอัล-กุรอาน)
    ต่อหน้าร่างไร้วิญญาณที่ถูกขยี้ ให้ฉันกลับไปทำหีบศพต่อไป
    โดยไม่ต้องรับรู้สิ่งใดๆดีกว่า


    But what sleep have we in this flattened city ?

    My neighbors hung white flags on their cars
    as they fled. Now they lie still and cold,
    waiting to occupiy my boxes.
    Tonight I’ll pull the wtite sheet
    from my window.
    Better to save it for my shroud.


    แต่ในเมืองนี้ใครจะข่มตาหลับได้ลง
    เพื่อบ้านของฉัน ทำธงขาวไว้ที่รถยนตร์ขณะที่พวกเขาหนี
    ตอนนี้พวกเขานอนนิ่งตัวแข็งไม่ไหวติง
    พวกเขานอนรอที่จะนอนในหีบที่ฉันทำให้พวกเขา
    คืนนี้..ฉันจะดึงผ้าขาวออกจากหน้าต่าง
    เก็บเอาไว้ทำผ้าห่อศพ เสียยังดีกว่า


    One day, insha-allah, I’ll return
    to woodwork for living.
    I’ll build doors for every home in town,
    smooth and strong and solid,
    that will open quickly in times of danger,
    let the desperate in for shelter.
    I’ll use oak, cherry, anything but pine.


    วันหนึ่ง อินชาอัลลอฮ์ ฉันจะกลับไปทำงานไม้
    งานสำหรับคนเป็นๆ
    ฉันจะทำประตู ให้ทุกๆบ้านในเมืองนี้
    ให้เป็นประตูที่ทั้งใช้ง่าย แข็งแรง และทนทาน
    เวลาที่มีอันตรายจะได้เปิดประตูได้เร็วๆ หนีไปหาที่กำบัง
    ฉันจะใช้ไม้โอ๊ค ไม้เชอรรี่ ทุกชนิดยกเว้นไพน์




    For now I do my work. Come to me
    and I’ll build you what you need.
    Tell me the dimensions, the hight and weight.
    and I’ll meet you specifications.
    But keep the names and ages to yourself.
    Already my dreams are jagged.
    Let me not wakes splintered from my sleep
    crying for Fatima, Rafik, Soha, Hassan, Dalia,
    or smoothing a newborn newdead infant;s face.
    Later I too will weep. But if you wish me
    to house the homeless dead,
    let me keep my nightmares nameless.


    แต่ตอนนี้ ฉันจะทำงานให้เธอ มาสิ..มาหาฉัน
    แล้วฉันจะทำอย่างที่เธอพอใจ
    บอกมาเลยว่าเธอสูงเท่าไหร่ หนักเท่าไหร่
    ฉันจะทำให้พอดีกับตัวเธอเลยเลยเชียวล่ะ
    แต่ไม่ต้องบอกชื่อของเธอ หรืออายุของเธอหรอกนะ
    ขออย่าให้ฉัน ต้องผวาตื่นขึ้นมากลางดึก เพื่อร้องไห้คิดถึง
    ฟาฏิมา - รอฟีก - ฮัซซัน - ดาเลีย
    หรือทำให้ฉันต้องนึกถึงใบหน้าของทารกแรกเกิดเหล่านั้นเลย
    ฉันร้องไห้มามากพอแล้ว
    ..แต่หากเธอ อยากให้ฉันไปอยู่ร่วมกับพวกเขาล่ะก็
    ปล่อยให้ฉัน..
    เก็บฝันร้ายของผู้นิรนามเหล่านั้น
    ไว้ในใจของฉันคนเดียวเถิด...
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ไขปริศนา..ไซออนิสต์ (1)
    ไซออนิสต์ คืออะไร..อะไรคือไซออนนิสต์
    Shaffi : เขียน (5 มีนาคม 2009)
    [​IMG]



    ไซออนิสต์ หรือ Zionism มีหลายความหมาย ได้แก่
    ความหมายที่เป็นความเชื่อ หรือเป็นมโนคติวิทยา ที่บอกว่า “ชนชาติยิวควรรวมตัวกันอยู่ในบ้าน(รัฐ)เดียวกัน ผู้ที่เอาคำนี้มานำเสนอคนแรกคือนักสื่อสารมวลชนชาวยิว-ออสเตรีย ชื่อ Nathan Birnbaum คำว่า ไซออนิสต์นอกจากหมายถึงแนวคิดดังกล่าวแล้ว ยังหมายถึง ชื่อที่ใช้เรียกบุคคลหรือกลุ่มคนที่มความเชื่อดังกล่าวด้วย นอกจากความหมายที่อธิบายถึงความเชื่อของชนชาติยิวแล้ว ไซออนิสต์ยังหมายถึง กระบวนการเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่ก่อตั้งขึ้นโดยนักหนังสือพิมพ์ยิว-ฮังกาเรียน ชื่อ Theodor Herzl ในปี 1897 เพื่อทำให้ความเชื่อเรื่อง ชนชาติยิวต้องอยู่รวมกันเป็นรัฐ กลายเป็นความจริง และมีการดำเนอนกระบวนการต่างๆในทางการเมืองให้เกิดผลในทางปฏิบัติ ที่จริงคนที่คิดเรื่องการเปลี่ยนแนวคิดให้เป็นความจริงบนความเชื่อที่ว่านั้น Herzl ไม่ใช่คนแรกที่เริ่มคิด องค์การที่มีลัษณะทำงานการเมืองเพื่อเป้าหมายนี้จัดตั้งขึ้นก่อนโดย Hovevei Tzivon


    ไซออนิสต์ มาจากจากคำว่า Zion ในภาษาฮีบบรูออกเสียงว่า Tzyion ซึ่งเป็นชื่อของเนินเขาเตั้ยๆลูกหนึ่งในนครเยรูซาเล็ม ไซออนิสต์ หาใช่แนวคิดเดี่ยวๆไม่ แต่ไซออนิสต์ยังแตกสายความคิดออกไปเป็นอีกหลายแนวคิดย่อยๆ แนวคิดเหล่านี้สะท้อนถึงยุทธศาสตร์และวิธีการอันหลากหลาย ที่นำไปสู่เป้าหมายหมายเดียวกันในที่สุด เช่น Socialist Zionists หรือพวกไซออนิสต์ที่ยึดถือแนวทางสังคมนิยม เช่น Ber Borochov หรือ Religious Zionists หรือพวกที่ใช้ศาสนารับใช้แนวคิดและเป้าหมายของไซออนิสต์ เช่น แรบไบคุ๊ก หรือ Revisionist Nationalists ที่เป็นพวกนักปฏิวัติที่ยืนอยู่บนแนวทางชาตินิยม เช่นแนวคิดที่นำโดย Jabotinsky บิดาแห่งกลุ่มก่อการร้ายไซออนิสต์ Irgun ที่โด่งดังและสร้างเกียรติประวัติโหดร้ายและอื้อฉาวที่สุดในช่วงก่อนการประกาศก่อตั้งรัฐยิว และกลุ่มที่ชื่อว่า Cultural Zionists หรือกลุ่มที่มองเรื่องการรวมชาติในมิติทางวัฒนธรรม กลุ่มนี้นำโดย Asher Ginsberg


    แนวคิดไซออนิสต์ บ่มเพาะความคิดผ่านกาลเวลาและประสบการณ์ รับเอาแนวคิดที่มีอิทธิพลทางการเมืองในยุคปลายศตวรรษที่ 18 มาผนวกรวมเข้าด้วยกัน เช่นแนวคิดชาตินิยม แนวตคิดจักรวรรดิ์นิยม รวมทั้งสังคมนิยม ซึ่งเป็นกระแสที่กำลังนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ยุโรปในเวลานั้น แนวคิดไซออนิสต์ไม่ได้เกิดจากความคิดของนักคิดคนหนึ่งคนใด แต่ไซออนิสต์เป็นผลิตผลทางความจากความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของยุโรป ที่นักคิดยิวพยายามดัดแปลงมาใช้เพื่อสนองเป้าหมายสูงสุดของยิว นั่นคือการก่อตั้งรัฐของชนชาติยิว


    แนวคิดไซออนิสต์มิได้เกิดขึ้นมาลอยๆ ชนชาติยิวเคยเป็นชนชาติหนึ่งที่อยู่อาศัยร่วมแผ่นดินกับชาวอาหรับในดินแดนปาเลสไตน์มาก่อน ผลจากการที่ยิวลุกฮือขึ้นมาต่อต้านการปกครองของโรมัน โดยการปลุกระดมของพระแรบไบชื่อ Bar Kochba ในปีคริสต์ศักราชที่ 135 ทำให้โรมันขับไล่ชาวยิวออกจากแผ่นดินปาเลสไตน์ และยิวที่หลงเหลืออยู่อยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรอิสลามในอีก 400 ปีต่อมา จนกระทั่งเข้าสู่ยุคสงครามครูเสดในปี 1000 พวกครูเสดจากสเปน อังกฤษ และฝรั่งเศส เข้าโจมตีเยรูซาเล็ม และเมืองสำคัญอีกหลายเมืองในการปกครองของอาณาจักรอิสลาม พวกครูเสดเข่นฆ่าพวกยิวจนเกือบไม่เหลือหลอ พวกที่พอจะหนีเอาชีวิตรอดได้ ก็ถูกขับออกจากปาเลสไตน์อีกเป็นครั้งที่สอง เชื่อว่าบรรพบุรุษชาวยิวจำนวนประมาณ 1,000 ครอบครัว รอดชีวิตจากพวกครูเสด และหนีไปอยู่ใต้การคุ้มครองของแม่ทัพฝ่ายมุสลิมที่ชื่อ ซาลาเซ็น หรือศอลาฮุดดิน และชาวยิวกลุ่มนี้ ก็กลายเป็นชาวยิวกลุ่มเดียวที่เป็นบรรพบุรุษของชาวยิวที่ไม่เคยจากปาเลสไตน์ไปไหน และอยู่รอดปลอดภัยในความคุ้มครองของมุสลิม ในดินแดนปาเลสไตน์มาโดยตลอดจนถึงทุกวันนี้ ยิวพวกนี้ตั้งรกรากอยู่แถวๆ Tiberias และ Hebron ต่อมาก็ขยายตัวไปในอีกหลายเมือง แต่เชื่อกันว่ายิวที่อยู่ในเมือง Peki’in เป็นพวกที่อยู่มานานตั้งแต่สมัยที่อยู่ภายใต้อาณาจักรอิสลามโดยไม่เคยย้ายออกไปไหนเลย


    แนวคิดไซออนิสต์ พยายามสร้างความเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์กับศาสนาเข้าด้วยกัน เพื่อหวังผลทางจิตวิทยาการเมือง ความเชื่อทางศาสนาถูกใช้เป็นเครื่องมือเชื่อมโยง ความคิดของชนชาติยิวให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ความคิดนั้นคือ ยิวเคยมีดินแดนเป็นของตัวเองมาก่อนในยุคโบราณ และชนชาติยิวต้องรวมกันเป็นชาติอีกครั้งหนึ่ง นักคิดในสายศาสนาใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือสร้างแรงบันดาลใจ ชาวยิวถูกแรบไบสอนให้พร่ำสวดวิงวอนวันละหลายเวลา เพื่อให้พวกเขาได้มีโอกาสกลับไปยังวิหารเดวิด (Mount of Temple) ในนครเยรูซาเล็ม พวกเขาสัญญาร่วมกันว่าจะสร้างวิหารเดวิดยุคที่ 3 ขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง เทศกาลและวันสำคัญต่างๆในศาสนาของยิวถูกรื้อฟื้นและนำกลับมาเป็นที่รู้จักและเฉลิมฉลอง แม้แต่ในชุมชนยิวในไซบีเรียของรัสเซีย พิธีกรรมและศาสนา ทำให้ชนชาติยิวถวิลหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แนวคิดไซออนิสต์ถูกหว่านเมล็ดลงบนหัวใจชาวยิวทุกคนไม่ว่าชนชาติยิวจะอยู่ตรงไหนในโลก ทั้งหมดเป็นกระบวนการใช้ศาสนาเป็นสื่อกลางเชื่อมโยงแนวคิดไซออนิสต์กับชนชาติยิวอย่างได้ผล


    แรบไบยิวเรียกร้องให้ชาวยิวกลับสู่แผ่นดินปาเลสไตน์ อย่างจริงจังเริ่มขึ้นในปี 1700 ในยุโรป ขณะนั้นดินแดนปาเลสไตน์อยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรมุสลิมอาณาจักรสุดท้ายคือ อุษมาณีย์ หรืออาณาจักรของราชวงศ์อุสมาน ซึ่งเป็นมุสลิมชาวเติร์ก ในเวลานั้นเกิดกระบวนการรณรงค์ชาวยิวให้อพยพกลับปาเลสไตน์อย่างเป็น กระบวนการหลายกลุ่มหลายองค์กรที่ทำงานร่วมกัน เช่น กลุ่มของแรบไบ Yehuda Hehasid ซึ่งมีถิ่นฐานในนครเยรูซาเล็ม กลุ่มของ Yehuda Hehasid ถูกสลายโดยกองทัพเติร์กและชาวอาหรับ และปิดโบสถ์ของยิวไม่อนุญาติให้ยิวอัชเคนนาซี(ยิวจากยุโรป) เดินทางไปแสวงบุญ พอมาถึงในปี 1740 ก็มีกลุ่มยิวอกมารณรงค์ให้กลับสู่ปาเลสไตน์อีก นำโดยแรบไบ Luzatto แและแรบไบ Ben-Attar ชาวยิวกลุ่มใหญ่ที่เชื่อตามคำสอนกลุ่มใหญ่เดินทางสู่ปาเลสไตน์ นอกจากนั้นก็มียิวรุ่นแรกๆที่เดินทางกลับสู่ปาเลสไตน์จากลิธัวเนีย ตุรกี และจากอีกหลายประเทศโดยเฉพาะจากกลุ่มยุโรปตะวันออก


    ก่อนหน้าที่ขบวนการไซออนิสต์จะรณรงค์อย่างจริงจังเพื่อก่อตั้งรัฐอิสราเอล ชนชาติยิวส่วนใหญ่มองความสัมพันธ์เกี่ยวโยงระหว่างดินแดนศักดิ์สิทธิ์กับเยรูซาเล็ม เป็นเรื่องของความเชื่อมโยงกันเฉพาะทางจิตวิญญาณ และวัฒนธรรม การเดินทางกลับสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องของสิ่งสมมติที่เป็นนามธรรม ซึ่งคนยิวในศควรรษที่ 18 ส่วนมากเชื่อว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อใกล้วันสิ้นโลกในอนาคตกันไกลโพ้นในใช่ปีนี้หรือปีหน้าหรือแม้แต่ในอีกหนึ่งศตวรรษข้างหน้า


    ชาวยิวในยุโรป ในช่วงศตวรรษที่ 17 อยู่รวมกันเป็นชุมชนที่เรียกว่า Ghetto คนยิวไม่ได้รับการศึกษาใดๆ หรือมีการตระเตรียมการใดๆ ในการที่จะต้องไปใช้ชีวิตความเป็นอยู่ในดินแดนปาเลสไตน์ พวกผู้อพยพกลุ่มแรกๆที่เข้าสู่ปาเลสไตน์จึงต้องพบกับปัญหาทางเศรษฐกิจที่เลวร้าย โรคภัย และการต่อต้านทางวัฒนธรรม ชุมชนยิวใน Safed, Tiberias, Jerusalem และ Hebron ผ่านพ้นวิบัติจากสิ่งเหล่านี้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ฟื้นตัวขึ้นมาใหม่ทุกครั้ง ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 มียิวในปาเลสไตน์เพียง 17,000 คน มีชีวิตอยู่ได้ภายใต้การสงเคราะห์ขององค์กรการกุศลที่เรียกว่า Halukka


    แรกเริ่ม-ไซออนิสต์
    หลังการปฏวัติฝรั่งเศส ลมแห่งความเปลี่ยนแปลงพัดสู่ยุโรป สำหรับยิวแล้วก็เช่นกัน แนวคิดเชิงอุดมการณ์และนามธรรม ที่ผูกมัดชนชาติยิวไว้กับเรื่องราวของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เริ่มก่อรูปเป็นแนวความคิดที่จริงจังมากขึ้น ประมาณปี 1808 กลุ่มยิว-ลิธัวเนีย นำโดยแรบไบชื่อดัง Vilna Gaon เดินทางมาถึงปาเลสไตน์ และซื้อที่ดินจากชาวอาหรับเพื่อลงหลักปักฐาน ในปี 1836 แรบไบ Zvi Hirsch Kalischer ได้เรียกร้องให้ Anschel Rothschild ขุนนางยิวระดับอภิมหาเศรษฐี ควักกระเป๋าซื้อดินแดนปาเลสไตน์ หรืออย่างน้อยก็ซื้อ Temple of Mount ให้แก่ชนชาติยิว ในระระหว่าง ปี 1839-1840 Sir Moses Montefiore เดินทางไปเยือนปาเลสไตน์ และเปิดเจรจากับ อุปราชแห่งออตโตมาน ที่ว่าราชการการอียิปต์เพื่อขออนุญาตให้ชาวยิว ตั้งรกรากและมีสิทธิ์ซื้อและครอบครองที่ดินในปาเลสไตน์ แต่การเจรจาไม่เป็นผล หลังจากนั้นก็มีความพยายามจะหาเศรษฐียิวใจบุญเพื่อซื้อดินแดนปาเลสไตน์ให้ชาวนิคมยิว รวมทั้งการมองหาแผ่นดินอื่นๆ เช่น ประเทศอาร์เจนตินา ตลอดทศวรรษที่ 1840


    ไซออนิสต์-อังกฤษ
    ในสายตานักคิดชาวอังกฤษ ความคิดเรื่องรัฐที่รวมชนชาติยิวไว้ด้วยกันเป็นเรื่องเพ้อฝันทางศาสนาที่ไม่มีทางเป็นความจริงขึ้นมาได้ แต่ Lords Shaftesbury และ Load Palmerston ได้นำเอาแรงบันดาลใจทางศาสนามาสร้างแรงจูงใจให้คิดถึง อาณานิคมยิวในปาเลสไตน์ (ในยุคนั้นนโยบายต่างประเทศของอังกฤษดำเนินการบนแนวคิดจักรวรรดิ์นิยมล่าเมืองขึ้น) การใช้แนวคิดฃ่าอาณานิคม เขย่ากระแสและถูกสะท้อนออกมาจากนักคิด นักเขียน ที่มีอิทธิพลต่อสังคมอังกฤษในยุคนั้น เช่น Lord Byron, Benjamin Disraeli, George Eliot และ Walter Scott.


    แต่อุดมการณ์ไซออนิสต์ก็ยังจุดไม่ติด และยังไม่มีบทบาททางการเมือง..ที่จะขับเคลื่อนให้รัฐยิวกลายเป็นความจริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2011
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ไขปริศนา..ไซออนิสต์ (2)
    ไซออนิสต์ แปรอุดมการณ์ของคนเป็นความศรัทธาของพระเจ้า ?
    Shaffi : เขียน ( มีนาคม 2009)
    [​IMG] Petah Tikva นิคมยิวรุ่นบุกเบิกในปาเลสไตน์


    ยิวในยุโรป ถูกเรียกว่ายิวอัชเคนนาซี พวกยิว-อัชเคนนาซี มีอิทธิพลอยู่เหนืออุดมการณ์ไซออนิสต์มาตั้งแต่ต้นเป็นเวลานานหลายปี พวกยิวอีกพวกหนึ่งที่เรียกว่ายิว-เซ็พฟาดิก คือยิวที่อยู่ในดินแดนอาหรับ เป็นพวกที่อยู่ใกล้และผูกพันกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์มากกว่าพวกยิว-อัชเคนนาซีในยุโรป ยิว-เซ็็ฟพาดิกคุ้นเคยกับวัฒนธรรมฮีบบรูมากกว่า ยิว-เซ็ฟพาดิกเข้ามีบทบาทในขบวนการไซออนิสต์ตั้งแต่เริ่มแรกเช่นกัน ยิวชาวซาราเจโว ชื่อ Judah Ben Solomon Hai Alkalai (1798-1878) เป็นหนึ่งในแถวหน้าที่ถือว่ามีส่วนในขบวนการไซออนิสต์ยุคใหม่ Alkalai เชื่อว่า การกลับคืนสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นเงื่อนไขแรกที่จะนำไปสู่การฟื้นฟูชนชาติยิว ความเชื่อของเขามีอิทธิพลในหมู่ยิว-อะชเคนนาซี และถือว่าเป็นแนวคิดร่วมสมัยสำหรับยิวทุกคน แรบไบ Zvi Hirsh และ Alkalai เป็นเพื่อนปู่ของ Theordor Herzl บิดาแห่งขบวนการไซออนิสต์ยุคใหม่ หลานปู่ของ Alkalai คือ David Alkalai เป็นคนสำคัญอีกคนหนึ่งในฐานะผู้นำขบวนการไซออนิสต์ในเซอร์เบีย และยูโกสลาเวีย และได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกอาวุโสรุ่นแรกใน สภาคองเกรสแห่งไซออนิสต์ที่จัดการประชุมขึ้นครั้งแรกที่เมือง Basle สวิซเซอร์แลนด์ ในปี 1897


    ขบวนการไซออนิสต์ยุคแรก
    การฟอร์มตัวจากแนวคิดและอุดมการณ์ขึ้นเป็นขบวนการที่มีการจัดตั้ง ในครั้งแรกถูกฝ่ายศาสนจักรคาธอลิกให้การปฏิเสธ ในศตวรรษที่ 19 ศาสนจักรยอมให้คนยิวเปลี่ยนศาสนาเป็นคริสเตียนได้เป็นครั้งแรก พวกยิวในยุโรปเริ่มออกมาสู่สังคมคริสเตียน แต่คนคริสเตรียนยุโรปก็ยังมองยิวว่าเป็นคนยิว และกลายเป็นครั้งแรกที่ความเป็น “คนยิว” กับ “คนที่มีศาสนายิว” เป็นสิ่งที่ถูกแยกออกจากกัน ตราบใดที่คนๆหนึ่งเกิดจากยิว เขาย่อมเป็นยิว ไม่ว่าความเชื่อทางศาสนาของเขาจะเป็นอย่างไร เขาย่องดำรงความเป็นยิว ทั้งต่อตัวเขาเอง ต่อคนยิวที่มองเขา แต่ทั้งต่อสังคมคริสเตียนที่แวดล้อมตัวเขา ความเป็นยิวของเขาปลดเปลื้องไม่ได้ แต่ความศรัทธาทางศาสนากลับปลดเปลื้องได้ ซึ่งเป็นแนวคิดที่แปลกประหลาด แต่ก็พัฒนาขึ้นจนกลายเป็นที่ยอมรับในสังคมยิวเอง


    แนวคิดที่ว่าไม่ค่อยถูกใจรัฐบาลต่างๆในยุโรปมากนัก เพราะรัฐบาลในยุโรปยังมีนโยบายแบ่งแยกเชื้อชาติ ไซออนิสต์เสนอแนวคิดที่จะลดความรู้สึกถูกรัฐบาลต่างๆกีดกันทางเชื้อชาติด้วยการประกาศแนวคิดทางวัฒนธรรมที่ว่า ไม่ว่าใครคนหนึ่งจะเป็นยิวในทางศาสนาหรือไม่ใช่ แต่เขาก็คือชาวยิว ไซออนิสต์เรียกแนวคิดนี้ว่า “am Yisrael” แต่จะอย่างไรก็ตามชนชาติยิว หรือคนที่มีศาสนายิว ก็ยังไม่มีประเทศหรือรัฐเป็นของตนเอง ยิวยังคงไม่มีอำนาจใดๆในเวทีโลกตราบเท่าที่ยังไม่รัฐ ชนชาติยิวเป็นเพียงแขกของเจ้าของบ้านที่พวกเขาได้อาศัยเป็นบ้านทั้งที่เจ้าของบ้านเต็มใจและไม่เต็มใจ ดังที่แนวปรัชญาหนึ่งของขบวนการไซออนิสต์ระบุไว้ว่า “ความไร้รัฐนี่เองที่เป็นต้นเหตุก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ของชนชาติยิว” นี่คือคำอธิบายว่าทำไมลัทธิต่อต้านยิวในยุโรปจึงแพร่ขยายอย่างรวดเร็ว ทำไมชาวยุโรปจึงหวดระแวงชนชาติยิวในสังคมของตัวเอง ภายหลังจากไซออนิสต์เสนอแนวคิดนี้


    Moses Hess นักสังคมนิยมชาวยิว อาจถือได้ว่าเป็นคนแรกกล่าวถึงและอธิบายแนวคิดนี้อย่างชัดเจนที่สุดในหนังสือ Rome and Jerusalem : The Last National Question ตีพิมพ์เมื่อปี 1862 เนื้อหาในหนังสือนั้นเรียกร้องให้จัดตั้งขบวนการแห่งชาติยิว กล่าวคือเรียกร้องให้ชนชาติยิวลุกขึ้นทำเรื่องนี้ให้กลายเป็นความจริงโดยการจัดตั้งองค์กรเพื่อผลักดันและเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างจริงจังนั่นเอง


    คำศัพท์คำหนึ่งในภาษาฮีบบรูถูกนำมาใช้แทนค่าเพื่ออธิบาย “การอพยพสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์” คำๆนี้คือคำว่า “Aliya” ที่จริงคำว่า Aliya แปลว่า Going Up เมื่อครั้งที่มีกลุ่มชาวยิวอพยพกลุ่มแรกๆสู่ปาเลสไตน์ในยุคที่ปาเลสไตน์อยู่ใต้การปกครองของอาณาจักรออตโตมานนั้น ยังไม่มีคำที่จะใช้เรียกยิวอพยพพวกนี้ คำว่า Aliya จึงถูกนำมาใช้ และต่อมามันได้ถูกใช้อย่างแพร่หลายในหมู่ชาวยิว การอพยพสู่ปาเลสไตน์เป็นไปโดยคำชวนเชิญและชวนเชื่อทางศาสนา ไม่มีการจัดตั้ง ไม่มีกระบวนการ Logistic ที่เป็นเรื่องเป็นราว มาแล้วก็ไม่มีใครดูแล ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม คิดเสียว่ามาตามคำเรียกร้องของพระ มาตามที่แรบไบอ้างว่าเพื่อพร้อมสู่เมสสิอาร์ ซึ่งไม่รู้ว่าอีกกี่ปีกี่ชาติจึงจะถึงวันที่ยิวเชื่อว่าเป็นวันที่พระเจ้าสัญญา จะมีบ้างที่อยู่ไม่ได้แล้วต้องอพยพกลับหนรือหนีความอดอยากยากแค้นในทะเลทรายไปที่อื่นบ้างหรือไม่ คงไม่มีบันทึกไหนของยิวที่บันทึกไว้หรอก เพราะมันดูเหมือนจะไม่ใช่พฤติกรรมที่แสดงถึงความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ ของชนชาติที่เชื่อว่าตัวเองยิ่งใหญ่กว่าชนชาติอื่นใดในโลกพึงกระทำ เรื่องราวการ Aliya ของยิวจึงเต็มไปด้วยสีสันแห่งความศรัทธาและแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่


    แม้เรื่องราวของการอพยพของยิว จะเป็นเรื่องราวที่อึกทึกครึกโครมที่สุดในโลกมากแค่ไหน แต่จำนวนชาวยิวที่อพยพมาด้วยแรงแห่งศรัทธาอาจมีจำนวนไม่มากพอจะสร้างภาพและการโฆษณาชวนเชื่อเท่าที่ใจของบรรดาหัวโจกไซออนิสต์ต้องการ แนว ความคิดในการจัดตั้งองค์กรที่มีหน้าที่ในการควบคุม Logistic อย่างเป็นระบบจึงเริ่มกลายเป็นจริง เนื่องจากองค์กรฝ่ายการเมืองยังเตาะแตะไปไม่ถึงไหน การนำมวลชนจึงตกเป็นภาระขององค์กรทางศาสนา ในปี 1882 มีการจัดตั้งองคืกรที่มีชื่อในภาษาฮีบบรูว่า "Beyt Ya'akov Lechu Venelcha" ซึ่งแปลว่า House of Jacob let us go ผมว่าคล้ายๆ “จาคอบทัวร์..” อะไรทำนองนี้มั้ง และอีกองค์กรหนึ่งชื่อ Hibbat Tziyon องค์กรหลังนี่ชื่อแปลออกมาแล้วค่อยโรแมนติกหน่อย ชื่อ “รักแห่งไซออน” สององค์กรนี้นอกจากจัดการหาครอบครัวยิวอาสาสมัครเดินไปตายเอาดาบหน้าที่ปาเลสไตน์ แล้วยังทำหน้าที่เป็น นักจัดสรรซื้อที่ดินในปาเลสไตน์ ประเภทว่าหิ้วกระเป๋าข้ามน้ำข้ามทะเลมาแล้วเข้าอยู่ได้เลย เงินที่ใช้ซื้อก็เรี่ยไรเอาจากยิวร่ำรวย ที่ตัวเองอยากได้บุญ แต่ไม่อยากลำบาก ไปซื้อที่ดินจากเจ้าของที่ชาวอาหรับ สปอนเซอรืกระเป๋าหนักรายใหญ่ของอพยพมหากุศลครั้งนี้คือครอบครัว Lord Rothschild มหาเศรษฐียิวแห่งสหราชอาณาจักร นัดหมายกันเสร็จก็มียิวจากเยรูซาเล็มมาสมทบทั้งหมดร่วมกันก่อตั้งนิคมยิวรุ่นบุกเบิกนิคมแรกบนดินแดนปาเลสไตน์ โดยใช้ชื่อว่า Petah Tikva


    นิคมยิวแห่งนี้ลงมือหักล้างถางพงเพื่อทำไร่องุ่น และสวนส้ม ตระกูลของเศรษฐี Rothschild ร่ำรวยมาจากการผลิตจำหน่ายเหล้าองุ่น หรือไวน์แดง ไวน์ขาว ยี่ห้อ Rothschild ไวน์ราคาแพงที่ส่งไปยังราชสำนักต่างๆในยุโรป จึงไม่แปลกที่ชาวนิคมเริ่มลงมือปลูกองุ่น นอกจากนั้นเพื่อเป็นไปตามคำในคัมภีร์โตรา ที่กล่าวว่า ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นดินแดนที่อุดมไปด้วยองุ่นและน้ำผึ้ง ปัจจุบันตราประจำเมืองเยรูซาเล็มเป็นรูปเถาองุ่นและรวงผึ้ง กลุ่มผู้อพยพนิคมยิวรุ่นบุกเบิกนี้เป็นยิวที่มีศาสนายิวทั้งหมด ในบันทึกของยิวเองบางบันทึกเขียนเล่าไว้ชวนให้คิดว่า ถึงแม้จะมีบางคนที่ไม่ใช่คนที่นับถือศาสนายิว มาด้วย แต่พวกเขาก็ถือวาเป็นคนยิว.. น่าจะหมายถึงอาจมียิวบางคนที่เป็นคริสเตียนอพยพมาด้วย แต่ไม่มีการระบุว่ามาเพราะต้องการเริ่มต้นชีวิตใหม่ หรือมีความศรัทธาตามแนวคิดไซออนิสต์ นิคมนี้กลายเป็นภาพที่ใช้โฆษณาชวนเชื่อที่ได้ผล เพราะต่อมาไม่นานนิคม Petah Tikva กลายเป็นแม่เหล็กดูดชาวยิวกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยที่อยู่ในดินแดนอาหรับให้เข้ามาอยู่ร่วมกัน เช่น ยิวจากเยเมน ทำให้กลุ่ม The First Aliya มีสมาชิกมากถึง 25,000 คน แต่ต่อมาอีกหลายปีพบว่านิคมยิวมีจำนวนชาวยิวลดลงเนื่องจากความยากจน ความล้มเหลวในอาชีพเกษตรกรรม และความขาดแคลนสุขอนามัยและขาดน้ำ ทำให้ชาวยิวบางส่วนเปลี่ยนใจและอพยพกลับ ยิ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า ...
    ที่แท้ “การอพยพสู่ปาเลสไตน์และการตั้งรัฐเป็นของชนชาติยิว” ให้จงได้ ไม่ว่าต้องปล้นฆ่าคนอื่นอย่างไร ที่แท้นั้นก็เป็นแค่ ไอเดียของคนกลุ่มหนึ่งคิดขึ้นมา แล้วขายไอเดีย แอบอ้างพระเจ้า โฆษณาชวนเชื่อ จูงใจ เพื่อบรรลุเป้าหมายของไซออนิสต์ หาใช่เป้าหมายที่พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ ดังที่ยิวทุกวันนี้ชอบอ้างจนติดปากไม่..
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ไขปริศนา..ไซออนิสต์ (3)
    นิยายปรำปรา 4 เรื่อง ที่ไซออนิสต์ กรอกหูชาวโลก ?
    Shaffi : เขียน ( มีนาคม 2009)


    Ralph Schoenman ผู้เขียนหนังสือชื่อ The Hidden History of Zionism (แปลว่า ประวัติศาสตร์ที่ซ่อนเร้นของไซออนอสต์) เล่าว่า ใครก็ตามที่พยายามขุดคุย ตรวจสอบ เรื่องราวความเป็นมาของไซออนิสต์ในแง่มุมที่ค่อนข้างเป็นลบและนำมาเปิดเผยต่อสาธารณะ เขาคนนั้นมักจะถูกขามขู่ คุกคามด้วยวิธีการต่างๆ ซึ่ง Ralph Schoenman กล่าวว่านี่ไม่ใช่เรื่องอุบัติเหตุ (ส่วนหนึ่งมาจากการกระทำของแนวร่วมที่เรียกว่า Jewish Defense League หรือ JDL ที่ทำงานรวมกันแบบหลวมๆ เป็นแก็ง ที่ผมเคยเรียกว่า แก็งออฟยิว..นั่นแหละครับ) Ralph Schoenman เล่าว่าเขาประสบมาด้วยตัวเองเมื่อไปให้สัมภาษณ์ทางสถานีวิทยุ KPFK ในลอสแองเจลลิส โดยในการให้สัมภาษณ์นั้นเขาเอ่ยถึงสภาพของชาวชาวปาเลสไตน์ ที่น่าสงสารที่เขาได้ไปพบปะมาในการลงพื้นที่เพื่อค้นคว้าข้อมูลมาเขียนหนังสือ หลังจากนั้นเขาถูกข่มขู่ว่าจะถูกวางระเบิดจากชายนิรนามหากยังพูดถึงเรื่องนี้ทางสื่อมวลชนอีก


    คนยิวโดยเฉพาะคนที่ทำงานบนแนวคิดไซออนิสต์ รู้ดีว่าแนวคิดไซออนิสต์ไม่เป็นที่ยอมรับต่อสาธารณะชน เพราะแนวคิดของไซออนิสต์แม้มุ่งหมายเพื่อชนชาติยิว แต่วิธีการเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น เป็นวิธีการที่ผิดหลักการสากลทั้งทางกฎหมายและ จริยธรรม ซึ่งยากที่จะยอมได้ได้ในสภาพแวดล้อมของวัฒนธรรมคริสเตียน พวกเขาจึงพยายามปกปิดสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังแนวคิดไซออนิสต์เอาไว้ ไม่ต้องการให้สังคมหบิบยกขึ้นมากล่าวถึง แม้แต่ในการเจรจาสันติภาพปาเลสไตน์ทุกครั้ง รัฐบาลอิสลามเอลจะเริ่มต้นด้วยการตั้งข้อแม้ว่า อิสราเอลจะยอมร่วมเจรจาใดๆ หากการการเจรจานั้นไม่บรรจุวาระและเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์เอาไว้ ซึ่งวาระและเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ที่อิสราเอลหมายถึงก็คือ ข้อเท็จจริงที่ว่า “..แนวคิดการอพยพชนชาติยิวมารวมตัวกันตั้งเป็นรัฐยิวในดินแดนปาเลสไตน์ ไม่เกี่ยวข้องกันเหตุผลทางศาสนา แต่เป็นเป้าหมายทางการเมืองของขบวนการยิวไซออนิสต์ ..” และ เหตุผลที่ยิวชอบนำมาอ้างว่า “ดินแดนปาเลสไตน์เป็นดินแดนตามพันธสัญญาที่ระบุให้เป็นของชนชาติยิว..ตามคัมภีร์โตรา” เป็นเรื่องที่ไร้น้ำหนัก ไร้เหตุผล และไม่สามารถยอมรับได้ อิสราเอลจึงไม่ต้องการให้ใครหยิบยกเอาประเด็นที่ยิวต้องการซ่อนไว้ใต้พรมออกมาพูดซ้ำ .. นี่คือเหตุผลว่า ทำไมไซออนิสต์ ต้องเดือดร้อนเวลาที่มีคนเอาเรื่องไซออนิสต์ออกมาพูดต่อสาธารณชนอีก


    ไซออนิสต์ต้องการควบคุมความคิดสาธารณะ ที่มีต่อไซออนิสตืไปตามแนวทางที่พวกไซออนิสต์กำหนดไว้ ไซออนิสต์ตีกรอบแนวติดเกี่ยวกับไซออนิสต์ให้ชาวตะวันตกคิดถึงภาพไซออนิสต์ ไส้ภายใต้สิ่งที่Ralph Schoenman ผู้เขียนหนังสือชื่อ The Hidden History of Zionism เรียกว่า Myths แปลว่านิยาย หรือนิทาน หรือเรื่องปรำปราก็ได้ ไซออนิสต์กำหนดนิยายไว้ 4 เรื่อง ดังนี้


    นิยายปรำปราเรื่องที่ 1 ไซออนิสต์บอกคนทั้งโลกด้วยข้อความที่ว่า
    “A land without a people for a people without a land.” แปลว่า “แผ่นดินที่ไร้ผู้คน สำหรับคนที่ไร้แผ่นดิน”
    ซึ่งเป็นเรื่องโกหกหน้าด้านๆ ที่บรรดาผู้นำขบวนการยิว-ไซออนิสต์ใช้เป็นข้อต่อสู้ในทางการเมือง ไซออนิสต์โฆษณาชวนเชื่อว่าดินแดนปาเลสไตน์อันห่างไกล เปลี่ยวร้าง ไร้ผู้คน แม้ว่าชาวปาเลสไตน์ และชาวอาหรับเพื่อนบ้านต่างออกมาปฏิเสธความเท็จข้อนี้อย่างแข็งขัน แต่ไซออนิสต์ก็ยังดึงดัน นำเสนอแนวคิดนี้ ผ่านปากนักการเมืองยิวทุกคนในทุกรัฐสภาของทุกประเทศในยุโรป และสหรัฐ เพื่อเป่าหูรัฐบาลของประเทศเหล่านั้นมิให้ออกมากีดกันแผนการอพยพชาวยิวอย่างเอาจริงเอาจังในเวลานั้น ไซออนิสต์รู้ดีว่าสุดท้ายแม้ว่าจะไม่มีใครสนใจว่านิยายเรื่องนี้จะเป็นจริงหรือไม่ แต่ไซออนิสต์ต้องการเพียงระยะเวลาช่วงหนึ่งที่จะเปิดทางให้โดยไม่มีหน้าไหนโดดมาขวางทาง ในระหว่าการรณรงค์ให้ชาวยิวเดินทางมาปาเลสไตน์ และถึงตอนที่กว่าจะมีใครออกมาขวางยิว ตอนนั้นคนยิวในปาเลสไตน๋ก็เพิ่มขึ้นเป็นแสนเป็นล้าน และเมื่อถึงเวลานั้นการปล้นประเทศเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว ยิวจะพูดคำเดียวว่า “NO”


    นิยายปรำปราเรื่องที่ 2 ไซออนิสต์บอกคนทั้งโลกด้วยข้อความที่ว่า
    “Only One Democratic State”
    ยิวใช้สื่อทั้งสื่อสหรัฐ ซึ่งเป็นสื่อในมือยิว โฆษณาชวนให้เชื่อว่า ยิวเป็นรัฐประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ เพียงรัฐเดียวในภูมิภาคตะวันออกกลาง การโฆษณาเช่นนี้เพื่อให้ตะวันตกซึ่งสนับสนุนค่านิยมประชาธิปไตย ให้การสนับสนุนรัฐยิว ทั้งที่โดยความจริงแล้วแม้ว่ารูปแบบทางการเมืองของอิสราเอลจะมีความคล้ายคลึงกับระบบประชาธิปไตย แต่เป็นประชาธิปไตยแบบรัฐที่แบ่งแยกเชื้อชาติ (คล้ายแอฟริกาใต้ในยุค ประธานาธิบดี เดอ เคิร์ก ที่จับเนลสัน แมนเดลา ขังลืมเพราะเรียกร้องอิสระภาพ) ซึ่งการแบ่งแยกและเหยียดเชื้อชาติ และศาสนาของรัฐยิว ขัดต่อหลักการและอุดมการณ์ขั้นพื้นฐานของความเป็นประชาธิปไตย ที่ต้องถือหลักการนิติรัฐและสิทธิมนุษยชน เป็นเนื้อหาสำคัฐ ไม่ใช่รูปแบบภายนอก


    นิยายปรำปราเรื่องที่ 3 ไซออนิสต์บอกคนทั้งโลกด้วยข้อความที่ว่า
    “Security”
    อิสราเอลใช้คำว่า Security หรือความมั่นคงปลอดภัย เป็นกลไกในนโยบายต่างประเทศของอิสราเอลเรื่อยมา ยิว-ไซออนิสต์ อ้างว่าการที่อิสราเอลต้องมีกองทัพซึ่งมีแสนยานุภาพสูงที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ของโลก (อันดับที่ 1 สหรัฐ-อันดับ 2 จีน-อันดับที่ 3 รัสเซีย) ก็เนื่องจากอิสราเอลต้องมี “ความมั่นคงปลอดภัย” นโยบายต่างประเทศสหรัฐทุกนโยบายก็เพื่อ ความมั่นคงปลอดภัยของอิสราเอล ความมั่นคงของอิสราเอลเป็นเป้าหมาย ที่ถูกกำหนดไว้เป็นส่วนหนึ่งในนโยบายตะวันออกกลางของรัฐบาลสหรัฐทุกยุคทุกสมัย ประธานาธิปดีสหรัฐทุกคนต้องเดินทางไปที่รัฐสภายิวเพื่อกล่าวยืนยัน ต่อหน้าสมาชิกรัฐสภาอิสราเอลว่า สหรัฐจะปกป้องความมั่นคงปลอดภัยอิสราเอล ผู้สมัครชิงตกแหน่งประธานาธิบดีทุกคนอย่างน้อยต้องกล่าวต่อสาธารณะหนึ่งครั้งว่า เมื่อเขาได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ เขาสัญญาว่าอิสราเอลจะต้องปลอดภัย ทั้งๆที่อิสราเอลมั่นคงปลอดภัยมากที่สุดในโลกอยู่แล้ว..และไม่มีใครจะแตะต้องอิสราเอลให้ระคายผิวได้เลย เว้นแต่อิสราเอลจะแกล้งทำเป็นสำออย..ออกมาบ่นว่าไม่ปลอดภัยอย่างโน้น ถูกคุกคามอย่างนี้ เวลาที่ฮามาสยิงจรวดเด็กเล่นไปตกใส่อิสราเอล.. ได้ยินยิวพูดซ้ำๆว่า ยิวไม่ปลอดภัย เลยชักสงสัยว่าแสนยานุภาพอันดับ 4 ไม่ปลอดภัย ..ปาเลสไตน์ จะเหลืออะไร...


    นิยายปรำปราเรื่องที่ 4 ไซออนิสต์บอกคนทั้งโลกด้วยข้อความที่ว่า
    “Jewish, The Victim of the Holocaust”
    ชนชาติยิวถูกรังแก..พวก Anti-Semitism รังแกยิว จับยิวไปฆ่าเป็นล้านๆคนเป็นผักเป็นปลา ยิวใช้กรณีการสังหารโหดที่นาซีปฏิบัติต่อชาวยิว เป็นเครื่องมือทางการเมือง แสวงหาความเห็นใจ และทำให้ชาวยุโรปรู้สึกผิด ทำให้ชาวคริสต์รู้สึกผิดที่ปล่อยให้ชะตากรรมของชาวยิวต้องเป็นเช่นนี้ ดังนั้น ชาวยุโรป รัฐบาลฝ่ายสัทพันธมิตรที่ชนะสงคราม ต้องถือว่าเรื่องเป็นวาระแห่งโลก เป็น World Agenda ที่ต้องช่วยให้ชนชาติยิวพ้นจากหายนะของมนุษยชาติ รัฐบาลตะวันตกต้องผลักดันให้ยิวมีรัฐเป็นของตนเอง เพื่อไม่ให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก .. เรื่อง Holocaust ของยิว เรียกน้ำตาชาวโลกได้ไม่น้อยเลย ไซออนิสต์ใช้พลังแห่งความเห็นใจ เปลี่ยนเป็นพลังทางการเมืองจนประสบความสำเร็จ


    ปาเลสไตน์กำลังมีชะตากรรมไม่ต่างจากยิวในยุคนาซี ผิดแต่คราวนี้ ยิวกลับ กลายเป็นนาซี เสียเอง..
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ไขปริศนา..ไซออนิสต์ (4)
    ไซออนิสต์ .. หลบมาข้างหลังจักรวรรดิ์นิยมปล้นดินแดนปาเลสไตน์?
    Shaffi : เขียน ( 8 มีนาคม 2009)


    ตอนที่แล้วเราคุยถึงนิยายปรำปราที่ไซออนิสต์เป่าหูยิวด้วยกันและชาวโลก ยิวต้องการสร้าง Mind Set หรือชุดความคิดขึ้นมาชุดหนึ่ง ทุกครั้งที่ใครก็ตามจะนึกถึงยิว นิยาย 4 เรื่อง จะตามมาอยู่ในความคิดเสมอ และยิวก็ทำสำเร็จด้วยนิยายหรือชุดความคิดสำเร็จรูป 4 ชุด คือ 1) ยิวบอกว่าดินแดนปาเลสไตน์เป็นที่ว่างเปล่าสำหรับคนที่ไร้ประเทศ เพื่อบอกว่ายิวไม่ได้มาแย่งใครนะ อาหรับต่างหากที่ทอดทิ้งปาเลสไตน์ 2) ยิวบอกว่าอิสราเอลเป็นรัฐประชาธิปไตยรัฐเดียวในภูมิภาค ถ้าตะวันตกอยากส่งออกความคิดค่านิยมประชาธิปไตย จงเก็บรัฐยิวเอาไว้ 3) ยิวอ้างว่าความปลอดภันของรัฐยิวสำคัญมาก ยิวอยู่อย่างไร้ความมั่นคงปลอดภัยตลอดเวลา โลกต้องช่วยให้ยิวปลอดภัย และ 4) ยิวบอกว่าเป็นความผิดของโลกที่ปล่อยให้ยิวถูกนาซีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ดังนั้นโลกต้องเห็นใจยิว ปกป้องยิว แต่อย่ายอมให้ลุกขึ้นมาจุดความคิดต่อต้านยิวได้อีก ยิวมั่นคงปลอดภัยกับชุดความคิดที่โลกหลงเชื่อ มาจนถึงศควรรษที่ 21 อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อนิยายปรำปราเริ่มคลายมนตร์ขลัง


    ยิวไซออนิสต์ คิดจะทำอะไรกับปาเลสไตน์ ไม่มีใครล่วงรู้ ยิ่งฝ่ายอาหรับด้วยแล้วยิ่งไม่รู้ ความที่่อาณาจักรออตโตมานทอดทิ้งไม่สนใจใยดีมานานหลายร้อยปี อาหรับไม่รู้จัก คำว่า “รัฐชาติ” หรือ “ชาตินิยม” เพราะไม่เคยมีชาติ วิถีชีวิตทะเลทราย ไม่ต้องมีชาติ มีแต่ “เผ่า” หรือ “ตระกูล” ที่สำคัญต่อการอยู่รอดมากกว่าคำว่า ชาติ ทะเลทราย ไม่มีเส้นแบ่งเขต ใครอยากไปอยู่ตรงไหนก็ได้ ตราบใดที่ไม่มี เผ่าใด หรือ ตระกูลใด จับจองอยู่ก่อน ความคิดเรื่องรัฐ และชาตินิยมอยู่ห่างไกลความคิดอาหรับไปหลายร้อยปี แต่กับยิว..มันอยู่ใกล้แค่เอื้อม..แล้วเหตุผลใดกัน ที่พวกเขาจะไม่คว้ามัน


    ความคิดอันแยบยลของไซออนิสต์ คือ การแอบมาข้างหลังลัทธิจักรวรรดิ์นิยมล่าเมืองขึ้น การปฏิวัติอุตสาหกรรมยุโรป ในศตวรรษที่ 17 เปลี่ยนโฉมหน้าระบบเศรษฐกิจโลกให้กลายเป็นโลกเพื่อการผลิตจำนวนมาก ยุโรปพึ่งพาวัตถุดิบและแรงงานราคาถูกจากอาณานิคม รวมทั้งเป็นตลาดระบายผลผลิตส่วนเกิน ประเทศมหาอำนาจต่างไล่ล่าอาณานิคมในอัฟริกา และโลกตะวันออก นักการเมืองยิว-ไซออนิสต์ ที่แทรกซึมอยู่ในรัฐสภา รวมทั้งในหลายรัฐบาลของประเทศนักล่าอาณานิคมเหล่านี้ เล็งเห็นผลประโยชน์ที่ยิวจะได้รับ หากแอบไปข้างหลังเจ้าของนโยบายเรือปืนพวกนี้ (Gun Boat Policy คือนโยบายล่าเมืองขึ้นโดยการข่มขู่ด้วยกำลัง) และผลักดันแนวติดจักรวรรดิ์นิยมอย่างเต็มที่


    Execution หรือแผนขั้นปฏิบัติการสู่เป้าหมายของไซออนิสต์ ก็คือ
    “เพื่อปฏิเสธการมีอยู่ของชาวอาหรับเจ้าของถิ่น ในดินแดนปาเลสไตน์ โดยสลับแทนที่ด้วยการชาวนิคมยิวอพยพ โดยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าอาณานิคม”


    โดยเป้าหมายนี้ ไซออนิสต์หวังจะ “เพิกถอนสิทธิ์การมีอยู่มาตั้งเดิมของชาวอาหรับปาเลสไตน์ จากการรับรู้ของโลกตะวันตก ไม่เพียงด้วยการเข้าครอบครองพื้นที่แทนชาวอาหรับด้วยการสร้างนิคมยิวเท่านั้น แต่ยังพยายามเปลี่ยนแปลงบริบททางประวัติศาสตร์ให้เห็นว่า ชาวอาหรับเป็นชนชาติเร่ร่อน ไม่ยึดติดกับการมีดินแดนหรือความเป็นรัฐชาติ แต่ชาวนิคมยิวผู้อพยพต่างหากที่สมควรเป็นเจ้าของรัฐบนดินแดนที่ว่างเปล่านี้ ... “


    ยิว-ไซออนิสต์ จะเลือกแอบไปข้างหลังของจักรวรรดิ์นิยมชาติไหน จะเจาะไข่แดงเข้าหาเจ้าอาณาจักรออตโตมาน ก็ไม่ใช่เรื่องยากเพราะในราชสำนักเติร์กก็เต็มไปด้วยคนของยิว หรือจะไปข้างหลังจักรวรรดิ์เยอร์มันของไกเซอร์ หรือจะไปกับของแท้อย่างจักรวรรดิ์นิยมที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดินอย่างอังกฤษ หรือนักเลงโตอย่างจักรวรรดิ์ฝรั่งเศส หรือผู้ดีอย่างจักรวรรดิ๋ของพระเจ้าชาร์แห่งรัสเซีย ไซออนนิสต์เริ่มมองหาว่าจะทำอย่างไรให้ยิวอพยพ ผสมปนเปไปกับคนพื้นถิ่น ไซออนิสต์มองไปที่ชาวอเมเนียน ซึ่งชาวคริสต์กลุ่มหนึ่งที่อาศัยในปาเลสไตน์มาเป็นเวลานานแล้ว ใช่แล้ว..ยิวจะแอบอยู่ในปาเลสไตน์ในนามของชาวอเมเนียน


    ขณะที่จักรวรรดิ์อังกฤษ และฝรั่งเศสเล็งมาที่ดินแดนตะวันออกกลาง ดินแดนใต้ร่มธงอาณาจักรออตโตมาน มาก่อนที่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งจะเกิดขึ้นเสียอีก ในปี 1840 อังกฤษจัดตั้งสำนักงานกงศุลประจำเยรูซาเล็ม โดยมี Lord Palmerston เป็นกงศุลอังกฤษคนแรก แผนการของยิว-ไซออนิสต์ กับจักรวรรดิ๋อีงกฤษจึงมาบรรจบกันในที่สุด ไซออนิสต์เสนอว่า “ชาวยิวอพยพจะมีส่วนช่วยรักษาผลประโยชน์ให้จักรวรรดิ์อังกฤษได้อย่างมหาศาล” จนเมื่ออาณาจักรออตโตมานตกต่ำถึงขีดสุดนั่นแหละ ชาวอาหรับปาเลสไตน์ จึงเพิ่งรู้ตัวว่า ชาวยิวอพยพได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชุมชนพื้นถิ่นของพวกเขาไปเรียบร้อยแล้ว ถึงตอนนี้ความไม่เหมือนกันเริ่มทำให้เกิดความรู้สึกไม่ใช่พวกเดียวกันมากขึ้น การต่อต้านระหว่างกันเพิ่มขึ้น นิคมยิวแห่งแรก คือ Petah Tikvah เริ่มเจอกับการต่อต้านจากเจ้าของแผ่นดินชาวปาเลสไตน์ แต่การต่อต้านเหล่านั้นไม่ใช่การต่อต้านศัตรูที่มีเชื้อชาติต่างกัน แต่เป็นการแย่งที่ทำกินกันมากกว่า แม้กระทั่งมาถึงปี 1917 ที่อังกฤษมีคำประกาศบัลโฟร์ เพื่อรับรองให้ยิวมีรัฐของตนเองแล้วก็ตาม ชาวปาเลสไตน์เจ้าของถิ่นก็ไม่ได้มีการจัดตั้งองค์กรเพื่อต่อต้านยิวอย่างจริงจัง ไม่มีการยกพวกไปเข่นฆ่าหรือสังหารหมู่ เหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นในโปร์แลนด์ หรือรัสเซีย ที่ทางการปลุกระดมให้เกลียดยิว จนชาวคริสต์ยกพวกไปสังหารโหดยิวถึงในบ้าน แต่ปฏิกริยาของอาหรับต่อกลับไม่เป็นเช่นในยุโรป เพราะชาวปาเลสไตน์ไตน์ไม่ได้เกลียดชนชาติยิวเพราะความเป็นยิว เหมือนอย่างที่ชาวยุโรปเกลียดชังยิว แต่ชาวอาหรับปาเลสไตน์เป็นศัตรูกับยิวเพราะยิวมาแย่งแผ่นดินของพวกเขาไป แถมยิว-ไซออนิสต์ยังสมคบกับเจ้าอาณานิคม สนองผลประโยชน์เพื่อจักรวรรดิ์อังกฤษ


    ขณะเดียวกันยิว-ไซออนิสต์ ก็หาได้วางใจการพึ่งพิงจักรวรรดิ์อังกฤษแต่เพียงฝ่ายเดียวไม่ ในปี 1896 Theodor Herzl ผู้ก่อตั้งขบวนการไซออนิสต์ยุคใหม่ วางแผนก้าวหน้าไปถึงการเจาะเข้าสู่ราชสำนักเติร์ก เพื่อขอให้เติร์กยอมมอบความช่วยเหลือแก่ไซออนิสต์ Max Nordau ผู้นำไซออนิสต์ คนสำคัญคนหนึ่งกล่าวในการประชุม ไซออนิสต์คองเกรส เกี่ยวกับแผนการนี้ว่า “สมมติว่าสุลต่านแห่งเติร์กยกแผ่นดินปาเลสไตน์ให้เรา..เราจะตอบสนองสุลต่านด้วยการจัดการกับพวกป่าเถื่อนที่ต่อต้านอาณาจักรของพระองค์ “ ในปี 1905 ชาวปาเลสไตน์รวมตัวกันจัดตั้งองค์กรทางการเมืองเพื่อปลดแอกตนเองออกจากอำนาจของราชอาณาจักรออตโตมาน ไซออนนิสต์จึงเสนอแนวคิดเสนอตัวไปปรายเสี้ยนหนามของเติร์ก แลกกับแผ่นดินปาเลสไตน์


    ดูเอาเถอะ..ไซออนิสต์นี่มันช่างคิดจริงๆ เรื่องไร้ศีลธรรมแบบนี้ คิดได้ยังไงเนี่ย ...

     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ไขปริศนา..ไซออนิสต์ (5)
    เวลาฝรั่งจะยึดประเทศไหนจะเอาปืนจี้ แต่ยิวจะเอาประเทศไหนใช้วิธีแบบหัวขโมย
    Shaffi : เขียน ( 10 มีนาคม 2009)




    มาถึงปี 1914 ขบวนการยิวไซออนิสต์ก็เติบโตล้ำหน้าไปไกล และกล้าเล่นกับเกมแห่งอำนาจที่กำลังย้ายดุลย์อำนาจในยุโรปไปมาระหว่างจักรวรรดิ์อังกฤษ กับจักรวรรดิ์ออตโตมาน Dr. Chaim Weizmann ศาสตราจารย์วิชาเคมีในมหาวิทยาลัยเคมบริจด์ แห่งอังกฤษ เข้ามาทำหน้าที่ใน World Zionists Organization ในฐานะประธานองค์กร และรับบทบาทให้เป็นผู้เล่มเกมแห่งอำนาจ


    Dr. Chaim Weizmann ประกาศว่า “ปาเลสไตน์ควรเป็นของจักรวรรดิ์อังกฤษ และอังกฤษควรเป็นผู้ปกครองของชาวนิคมยิว อังกฤษไม่ต้องทำอะไรปกครองปาเลสไตน์ไว้เฉยๆสักยี่สิบสามสิบปี รอให้ชาวยิวเพิ่มขึ้นเป็นล้านๆ หรือหลายล้าน เราจะพัฒนาประเทศนั้น พลิกฟื้นมันขึ้นมานำไปสู่ความเป็นอารยะ”


    ขณะที่ผู้นำไซออนิสต์อื่นก็วิ่งขาขวิดเพื่อเล่มเกมอำนาจทั้งจักรวรรดิ์เยอรมัน และจักวรรดิ์ออตโตมาน คือ แบ่งสายกันวิ่งล๊อบบี้ไปทั่วยุโรป ท่ามกลางความระส่ำระสายและการแตกขั้วทางการเมืองในกลุ่มมหาอำนาจต่างๆที่เป็นผู้นำในยุโรป Dr. Chaim Weizmann วิ่งล๊อบบี้อังกฤษ จนได้รับหลักประกันจากรัฐบาลอังกฤษ ว่ากันว่าอังกฤษเกรงใจ Dr. Chaim Weizmann เป็นอันมาก เชื่อกันว่าเขาคือผู้อยู่เบื้องหลังการคิดค้นอาวุธเคมี ที่มีต่างงัดออกมาใช้กันในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีการตกลงกันว่าอะไรใช้ได้ อะไรใช้ไม่ได้ สิ่งที่ยืนยันว่าอังกฤษให้หลักประกันแก่ไซออนิสต์ก็คือ เอกสารชิ้นหนึ่ง ที่รู้จักกันว่า “คำประกาศบัลโฟร์” นั่นเอง
    ในคำประกาศเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ปี 1917 นั้น บางส่วนมีความว่า


    “ His Majesty’s Government view with favor the establishment in Palestine of a national home for the Jewish People, and will use their best endeavors to facilitate the achievement of this object “


    ความว่า “รัฐบาลแห่งพระเจ้าอยู่หัว เห็นสมควรสถาปนาปาเลสไตน์ ให้เป็นรัฐสำหรับชาวยิว และจะพยายามอย่างเป็นที่สุด เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายนั้น”


    พวกยิว-ไซออนิสต์ เห็นคำประกาศบัลโฟร์ ลุกขึ้นร้องรำทำเพลงดีอกดีใจ พวกยิวที่โดนถากถางว่าฝันไกลเกินตัว ลบล้างคำสบประมาทลงได้ ดินแดนปาเลสไตน์ซึ่งครั้งหนึ่งไซออนิสต์บอกว่าเป็นแผ่นดินว่างเปล่าที่มีแต่เผ่าอาหรับทะเลทรายเร่ร่อนมาอยู่อาศัยบ้างชั่วครู่ชั่วยาม วันนี้กำลังจะกลายเป็นบ้านของยิวทั้งโลก ขณะที่ชาวปาเลสไตน์ยังไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวชะตากรรมของพวกเขาที่กำลังจะมาเยือนในไม่ช้า


    ตอนที่จักรวรรดิ์อังกฤษกรีฑาทัพเข้าสู่ตะวันออกกลางดินแดนในปกครองของอาณาจักรออตโตมานเติร์ก อังกฤษใช้ชาวอาหรับพื้นเมืองที่ต้องการปลดปล่อยตัวเองจากความทาสอาณานิคมเติร์กมาหลายร้อยปี เป็นเครื่องมือบ่อนทำลายกองทัพเติร์ก โดยอังกฤษเที่ยวไปสัญญากับชาวเผ่าเหล่านั้นว่า ใครที่ช่วยอังกฤษตลบหลังออตโตมานเติร์ก อังกฤษจะสมนาคุณด้วยการมอบเอกราชให้ ด้วยวิธีการนี้อังกฤษส่งนายทหารอังกฤษเข้ามาร่วมทำงานให้กองทัพใต้ดินอาหรับ..ความจริงต้องเรียกพวกใต้ทรายจึงจะถูกต้อง นายทหารคนนี้ชื่อ ร้อยโทรอเร็นส์ นายทหารแผนที่ที่แอบเข้ามาทำแผนที่ยุทธศาสตร์ และทำงานร่วมกับกองทัพกู้ชาติอาหรับเผ่าต่างๆ จนได้รับการขนานนามว่า รอเร็นส์ออฟอาระเบีย ...


    ไซออนิสต์แม้ถือประกาศบัลโฟร์ ที่ประกันว่ายิวต้องได้ปาเลสไตน์ แต่ก็ยังไม่กล้าประมาท สงครามยังไม่จบ..ถ้าอังกฤษแพ้ไซออนิสต์ก็จบเห่กัน..ขืนอยู่เฉยๆคงวางใจใครไม่ได้ ไซออนิสต์ยังคงเดินหน้าดันทุรังโฆษณาชวนเชื่อไปหาชาติมหาอำนาจต่างๆปากก็พร่ำว่า ปาเลสไตน์เป็นดินแดนรกร้างว่างเปล่าไร่ค่าไม่มีผู้ไม่มีคน พอผู้นำอาหรับที่อยู่ข้างอังกฤษรู้เรื่องที่อังกฤษเขียนประกาศยกปาเลสไตน์ให้ยิว ก็ตกอกตกใจกันใหญ่ ก้ไหนว่าช่วยอังกฤษเสร็จสงครามแล้ว จะให้อาหรับมีอำนาจตัดสินใจอนาคตกันเอง ทำไมจึงไปทำออฟไซต์ให้ไซออนิสต์เช่นนั้นได้ อังกฤษแก้ตัวน้ำขุ่นๆว่ายังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย แค่บอกว่ายิวมีสิทธิ์ที่จะอยู่ร่วมกับชุมชนที่ไม่ใช่ยิวในปาเลสไตน์ได้ก็เท่านั้น สุดท้ายประชาชนต้องตัดสินใจเองว่าจะเอาอย่างไร ร้อยโทรอเร็นส์ สายลับอังกฤษรู้เรื่องหักหลังอาหรับเข้าถึงกับงอนลาออกและกลับเกาะอังกฤษไปเลย จริงๆแกอาจจะอายก็ได้นะ..ที่ไปรับปากอาหรับไว้ แล้วรัฐบาลตัวเองกลับคำสัญญา


    ในช่วงที่อังกฤษทำสงครามกับเยอรมัน พวกยิวไซออนิสต์ชั้นหัวกะทิ หลายคนกลายเป็นกำลังสนับสนุนหลักให้ฝ่ายอังกฤษ เช่นพวกนักลงทุนยิว พ่อค้ายิว นักการธนาคารยิว เมื่อพวกใต้ดินอาหรับที่เคยเป็นพันธมิตรอังกฤษ เริ่มไม่สบายใจกับอังกฤษ พวกยิวไซออนิสต์ก็เสนออังกฤษขอให้นิคมยิวในปาเลสไตน์ทำหน้าที่ควบคุมชาวปาเลสไตน์แทนอังกฤษ ดินแดนที่ยิวโม้ว่า The Land Without a People for a People Without Land ที่จริงตอนนี้มีสภาพเป็นดินแดนที่บ่มเพาะเชื้อกบฎที่พร้อมจะลุกขึ้นมาต่อต้านการยึดครอง


    มีเรื่องลับๆเรื่องหนึ่งที่ไซออนิสต์พยายามปกปิดมาตลอด เป็นเรื่องเกี่ยวกับลอร์ดบัลโฟร์ ผู้ทรยศชาวอาหรับ กับผู้นำยิวไซออนิสต์คนหนึ่ง ผู้นำยิวคนนี้เป็นเพื่อนสนิทกับ Dr. Chaim Weizmann และต่อมายิวไซออนิสต์คนนี้ไปไกลถึงนายกรัฐมนตรีแห่งอัฟริกาใต้ เขาคือพลเอก Jan Smuts เขาคนนี้ร่วมเป็นหนึ่งในคณะรัฐบาลอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นคนที่มีส่วนผลักดันให้เกิด “คำประกาศบัลโฟร์” และเป็นคนที่รับปากอังกฤษว่าจะสร้างนิคมไซออนิสต์ ในอัฟริกาใต้ให้เป็นไปตามนโยบายและแนวทางที่อังกฤษต้องการ พูดง่ายๆว่าอังกฤษใช้ไซออนิสต์ให้ไปช่วยยึดประเทศต่างๆแทนตัวเอง และไซออนิสต์ก็ยินดีทุกอย่าง ขออย่างเดียวคือ ปาเลสไตน์ต้องเป็นของยิวก็แล้วกัน ไซออนิสต์ถือว่าการไปยึดอัฟริกาใต้เป็นความจำเป็นทางการเมือง ในข้อที่ต้องต่างแลกเปลี่ยนกับคำมั่นสัญญาของอังกฤษ


    Sir Cecil Rhodes นักอุดมการณ์คนสำคัญของขบวนการยิว-ไซออนิสต์ เสนอยุทธศาสตร์สำคัญในการอพยพสู่ปาเลสไตน์ เป็นแผนบันไดหลายขั้น ต่อมา Theodor Herzl ประธานไซออนิสต์ คนแรกได้ประกาศนำยุทธวิธีของ Sir Cecil Rhodes มาใช้ กับการสร้างอาณานิคมยิวในอัฟริกาใต้ วิธีการก็คือ เริ่มจากไซออนิสต์ส่งชาวยิว โดยเริ่มจากส่งคนยิวยากจน ชนชั้นแรงงาน เข้าไปในดินแดนที่ต้องการยึกเป็นอาณานิคมยิว เป็นกลุ่มแรกๆเพื่อเข้าไปปลูกธัญพืชเป็นเสบียง ค่อยๆแอบสร้างถนนหนทาง สะพาน ทางรถไฟ เดินสายโทรเลข อย่างเงียบเชียบ จัดระบบชลประทาน สร้างบ้านเรือน กลุ่มแรงงานขั้นต้นจะสร้างการค้าขาย การค้าขายจะสร้างตลาด และตลาดการค้าจะดึงดูดให้ชาวยิวรุ่นต่อไปอพยพเข้ามาเรื่อยๆ วิธีนี้ทดลองใช้กับอัฟริกาใต้ได้ผลสำเร็จอย่างมาก


    วิธีคิดชองยิว เกือบไม่ต่างจากวิธีคิดของพวกจักรวรรดิ์นิยมมหาอำนาจอย่างอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย สเปน โปรตุเกส แต่ที่ต่างกันก็ตรงที่ ฝรั่งเบ่งกล้ามโชว์ที่หน้าบ้านแล้วเอาปืนจี้ แต่ยิวใช้วิธีหน้าด้านๆ..แอบเข้ามาเงียบๆแล้วขโมยไปดื้อๆ ...
     
  8. Nat_usp

    Nat_usp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    676
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ขอบคุณมากๆครับผม ขอให้คุณ k.kwanเจริญทั้งในทางโลกและทางธรรมครับผม


    Life Vest Inside - Kindness Boomerang - "One Day"


    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=nwAYpLVyeFU&feature=player_embedded"]Life Vest Inside - Kindness Boomerang - "One Day" - YouTube[/ame]
    <!-- end watch-headline-container -->
     
  9. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    ดูจากแนวโน้มการโหวตรับรองสถานะของรัฐปาเลสไตน์ที่ผ่านมา โลกจะเข้าข้างปาเลสไตน์มากกว่าอิสราเอล-สหรัฐฯ นะคุณขวัญ
    ประเทศสมาชิกส่วนใหญ่ยืนอยู่ข้างผู้ถูกรุกราน

    ยิ่งข่มขู่-วางอำนาจกับชาติอื่นมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งได้รับการต่อต้าน
    แต่คงถือตัวว่าเป็นชาติมหาอำนาจ จึงไม่ยอมรับความเห็นของประเทศอื่นๆ

    ใครว่ายูเอ็นเป็นร่างทรงของอเมริกา แต่งานนี้ดูจะต่างออกไปนะ

    :: ยูเนสโกเชิญธงชาติปาเลสไตน์ขึ้นสู่ยอดเสาในฐานะสมาชิก195-หวังสู่รัฐอิสระ ธงชาติปาเลสไตน์ถูกเชิญขึ้นสู่ยอดเสา ณ สำนักงานใหญ่ยูเนสโก ที่กรุงปารีส ในฐานะสมาชิกลำดับที่ 195 ถือเป็นชัยชนะทางการทูตครั้งสำคัญของปาเลสไตน์ แม้จะถูกทัดทานอย่างหนักจากสหรัฐฯ และอิสราเอล
    [​IMG]

    เอเอฟพี รายงานว่า (14ธ.ค.54) ประธานาธิบดีมาห์มูด อับบาสแห่งปาเลสไตน์ ได้ทำพิธีเชิญธงชาติปาเลสไตน์ขึ้นสู่ยอดเสา บริเวณสำนักงานใหญ่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ในกรุงปารีส ฝรั่งเศสแล้วอย่างเป็นทางการ เพื่อฉลองรับปาเลสไตน์เป็นสมาชิกใหม่
    ยูเนสโกคือองค์กรแรกของสหประชาชาติที่รับปาเลสไตน์เข้าเป็นสมาชิกอย่าง สมบูรณ์ หลังจากให้สถานะผู้สังเกตการณ์มาเป็นเวลานาน ประธานาธิบดีอับบาสซึ่งเดินทางไปร่วมในพิธีเชิญธงปาเลสไตน์ขึ้นสู่ยอดเสา แสดงความหวังว่าการเข้าเป็นสมาชิกยูเนสโกจะเป็นก้าวแรกที่นำไปสู่การยอมรับ จากนานาชาติว่าปาเลสไตน์เป็นรัฐอิสระ ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อเดือนกันยายน ปาเลสไตน์ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติ แต่กำลังรออนุมัติ


    ประธานาธิบดีอับบาส กล่าวระหว่างพิธีว่า นี่ถือเป็นช่วงเวลาครั้งประวัติศาสตร์ของชาติ ท่ามกลางกลุ่มผู้เข้าร่วมพิธีราว 50 คน และหวังว่าปาเลสไตน์จะอยู่ในฐานะรัฐอิสระในอนาคต และยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมกับอิสราเอล ด้านนางอิรินา โบโควา เลขาธิการยูเนสโกกล่าวว่า เธอหวังว่าการรับปาเลสไตน์เข้าเป็นสมาชิกจะนำไปสู่การสร้างสันติภาพร่วมกับ อิสราเอล ผ่านทางการศึกษาและวัฒนธรรม


    อย่างไรก็ตาม การเข้าเป็นสมาชิกยูเนสโกของปาเลสไตน์เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ทำให้สหรัฐฯ และอิสราเอลไม่พอใจ โดยสหรัฐฯประกาศตัดเงินช่วยเหลือยูเนสโก หรือราว 1 ใน 5 ของเงินงบประมาณที่ยูเนสโกได้รับในแต่ละปี เพื่อเป็นการประท้วง และกล่าวว่าความเคลื่อนไหวแต่เพียงฝ่ายเดียวของปาเลสไตน์จะเบี่ยงประเด็นกระบวนการสันติภาพกับอิสราเอล



    ขณะนี้ ยูเนสโกกำลังประสบปัญหาเงินทุนในการดำเนินงาน จึงต้องเสาะหาเงินบริจาคเพิ่มเติมจากรัฐบาลของชาติสมาชิกและจากสาธารณชน เพื่อให้มีการดำเนินงานต่อไปได้

    Palestinian flags were invited up to the top of the pole at the UNESCO headquarters in Paris as a member of the 195 as a major diplomatic victory for the Palestinians. Despite being over bitter heavily from the U.S. and Israel.
    ข้อมูลจาก www.thaimuslim.com
     
  10. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    สันติภาพ เป็นเพียงเรื่องๆ หนึ่งของโลกใบนี้
    โลกแบบที่จอห์น เลนนอน จินตนาการไว้คงไม่ได้อยู่ที่นี่
    โลกใบนี้เป็นโลกที่ว่าด้วยเรื่องของ การเมือง อำนาจ ความมั่นคง เศรษฐกิจ และการแย่งชิง
    สันติภาพจะถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงเมื่อถึงคราวจำเป็น และจะถูกใช้เป็นการชั่วคราวเสมอ
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=BWf-eARnf6U&ob=av2e]Michael Jackson - Heal The World - YouTube[/ame]
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=aIFY9h8DImg]Imagine - John Lennon with Lyrics - YouTube[/ame]
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=SC70HxuM64k]Linkin Park- Not Alone Lyrics - YouTube[/ame]
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ชีวิตนี้เป็นหนี้ทองคำ ตอนที่ 1
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>20 ธันวาคม 2554 21:44 น.</TD><TD vAlign=center align=left><SCRIPT src="http://platform.twitter.com/widgets.js" type=text/javascript></SCRIPT>


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    โดยวรวรรณ ธาราภูมิ
    ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
    บลจ.บัวหลวง

    บทวิเคราะห์ Gloom, Boom and Doom (ความหมดหวัง ความเจริญรุ่งเรือง และความหายนะ) ของ ลุงมาร์ค ฟาเบอร์ เจ้าของฉายา Dr.Doom ล่าสุดนี้ ลุงมาร์ค เล่าเรื่องของ Marion Szablicki ผู้เป็นปู่ของลุงมาร์ค และเราจะเรียกท่านว่า “ปู่มาคิยง” ซึ่งหากเป็นคนจีนเราก็คงจะเรียกท่านว่า ย้งเล่ากง

    ลุงมาร์ค เล่าว่า การเรียนรู้เกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ของลุงเนี่ยะเริ่มตั้งแต่ลุงยังเป็นลูกเจี๊ยบ และครูคนแรกก็คือ ย้งเล่ากง นี่เอง

    น่าสนใจจริงๆ เพราะปู่มาคิยง หรือ ย้งเล่ากง สอนลุงมาร์ค เรื่อง “คุณค่าของทองคำ” เป็นเรื่องหลักเลยละ

    ทำให้นึกไปถึงคุณทวดของเราเองที่บ้านอยุธยา เพราะตอนเรายังเป็นลูกเจี๊ยบ คุณทวดจะจับไปนั่งตัก ปั้นข้าวสุกร้อนๆ เป็นคำเล็กๆ ใส่ปาก แล้วตามด้วยเกลือเม็ดเล็กๆ ให้แทะ ในระหว่างนั้น คุณทวดก็จะเล่าเรื่องพระพุทธเจ้าหลวง (รัชกาลที่ ๕) เล่าเรื่องชาดกเก่าๆ แบบสุวรรณสาม ยอพระกลิ่น เล่าเรื่องประวัติบรรพบุรุษ และเรื่องการรู้จักหากับวิธีเก็บรักษาเงินโดยสั่งสอนให้สะสมเป็นทองคำไว้เผื่อเกิดสงคราม เพราะค่าเงินจะลดฮวบฮาบ แต่ค่าทองตรงกันข้าม

    ใครที่เคยเหยียดหยาม ดูหมิ่น ว่าคนโบราณเป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปี ก็จงคุกเข่า เอาหัวไปโขกพื้นแรงๆ พร้อมกับพูดว่า ผู้น้อยสมควรตายๆๆๆ ได้แล้ว

    ลุงมาร์ค บอกว่า ในช่วงบั้นปลายชีวิตของปู่มาคิยง ปู่รู้สึกว่าโลกนี้มีหนี้มากไป และเราทุกคนกำลังเดินไปสู่อนาคตที่มืดมนยากลำบากเหมือนกับที่ปู่เคยผ่านมาในยุคที่มีแต่เงินกระดาษอันไร้ค่า มีสงครามทั่วทุกที่ ในขณะที่ทองคำเป็นสิ่งที่มีค่ามาก

    ปู่มาคิยง บอก ลุงมาร์ค ว่า “ผู้อยู่รอดมาได้ควรเตือนคนรุ่นหลังว่า “ใครก็ตามที่ละเลยบทเรียนที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ ก็เชิญทำไปตามลำบากด้วยความเสี่ยงของเขาเอง”

    ปู่ของลุงมาร์คเล่าเรื่องรัสเซียบุกเข้ายึดโปแลนด์ในวันที่ 17 กันยายน 1939 และภายใน 1 ปีหลังจากนั้น คนโปลิชหากไม่ถูกจับส่งไปทำงานหนักที่แคมป์แรงงาน ก็จะถูกจับส่งไปตายหยังเขียดที่คาซัคสถานกับไซบีเรีย

    อืม ... ล้างเผ่าพันธุ์ของแท้เลยละ หากจะพูดว่าอาชญากรรมอย่างเดียวในสมัยนั้นคือการเกิดมาเป็นโปลิช ก็ไม่ผิดหรอก ซึ่งเป็นเพราะชาวโปลิช เป็นนักรบที่เกรียงไกร กล้าหาญ จนขึ้นชื่อมาก ทำให้รัสเซีย ต้องการกำจัดให้กำลังอ่อนแอลง จึงได้ประหารชีวิต หรือส่งไปตายนอกประเทศโปแลนด์

    และเมื่อสงครามโลกสิ้นสุดลง รัสเซียก็ไม่เคยคืนบ้าน ที่ดิน ให้คนโปแลนด์เลย แถมในปี 1943 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง โปแลนด์ตะวันออกก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียอยู่ดี

    ในช่วงสงคราม ค่าของเงินกระดาษอ่อนแอและเปราะบางมาก ยิ่งประเทศใดแพ้สงคราม ค่าเงินของประเทศนั้นก็ไม่เหลือ ซึ่งลุงมาร์คเล่าว่ามันเกิดขึ้นกับปู่มาคิยงหรือย้งเล่ากงผู้อาศัยอยู่ทางโปแลนด์ตะวันออกในปี 1939

    ปู่มาคิยง เล่าให้ลุงมาร์คฟังว่า ......

    “ในวันที่ 18 กันยายน 1939 (1 วันหลังรัสเซียยึดโปแลนด์) ปู่ได้รู้ว่าข่าวลือที่รัสเซียจะเข้ายึดโปแลนด์ตะวันออกเป็นเรื่องจริง ทั้งที่ก่อนหน้านั้น 3 สัปดาห์เราเพิ่งถูกเยอรมันนีเข้าตี ทวดโดนเกณฑ์เข้ากองทัพเพื่อไปต่อสู้ป้องกันประเทศตั้งแต่เยอรมันนีเข้าบุก แต่เมื่อรัสเซียเข้ายึดได้หลังจากนั้น เขาก็บอกพวกเราทั้งหมดที่โดนเกณฑ์ทหารไปรบกับพวกเยอรมันให้กลับบ้าน ปู่มีเมียกับลูกสาว 3 ขวบที่ต้องไปปกป้อง จึงรีบเดินเท้า 40 กิโลวันเดียวรวด เพื่อกลับหมู่บ้านที่โปแลนด์ตะวันออกทันที ด้วยความเป็นห่วงลูกเมีย”

    “บ้านเราอยู่ใกล้ชายแดนรัสเซียซึ่งพวกมันจะเข้ามาถึงได้ในเวลาไม่นานเลย แม้ว่าปู่จะเป็นแค่คนใช้แรงงานแต่เมียของปู่มีฐานะดีกว่า เราจึงมีทองคำกับเพชรนิลจินดาของครอบครัวเธอไม่น้อย ปู่รีบขุดหลุมเอามันไปซ่อนไว้ให้ปลอดภัย เพราะปู่รู้ว่าเงินสกุล Zloty ของเราจะพังทลาย และทองคำจะเป็นสิ่งเดียวที่เป็นเงินตราได้ ซึ่งต้องเก็บไว้ใช้เพื่อดำรงชีวิตครอบครัวของเรา นี่ก็เพราะปู่จำได้ไม่ลืมเลยว่าในตอนเด็กๆ โปแลนด์เคยเจอภาวะเงินเฟ้อรุนแรงมาแล้วในปี 1923 แล้วตามมาติดๆ ด้วยภาวะเงินเฟ้อแบบ Hyperinflation ที่ประเทศเยอรมันนี ซึ่งทำให้พ่อกับพี่น้องของปู่และปู่เองต้องซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากับอาหารด้วยสินค้าอื่นหรือทองคำเพราะเงินกระดาษไม่มีค่าเลย คนขายไม่ยอมรับ ทองคำได้รับการยอมรับมากที่สุดเพราะมีค่าสูงและพกพาไปแลกเปลี่ยนสินค้าได้ง่าย พ่อของปู่เคยเล่าเรื่องคล้ายๆ กันที่เคยมีประสบการณ์สมัยก่อนปฏิวัติฝรั่งเศสที่เกิดเงินเฟ้อรุนแรง ก็ได้พ่อของปู่นี่หละ ที่สอนว่า ทองคำเป็นเงินตราเพียงสกุลเดียวที่ไม่มีเส้นแบ่งของประเทศ”

    “แล้วกองทัพรัสเซียก็เข้ามาถึงหมู่บ้านเราใน 2 วันหลังจากนั้น มันก็โชคดีจริงๆ ที่ปู่เกิดในไซบีเรียตะวันออก และเคยเป็นนักมวยในรัสเซียมาหลายปี เพราะมันทำให้ปู่พูดภาษารัสเซียได้สบายๆ และปู่จำได้ไม่ลืมเลยว่าในช่วงปฏิวัติรัสเซียก่อนหน้านั้น ใครที่ไม่ใช่พวกมันหรือดูมีการศึกษา มีชาติตะกูลที่ดีกว่า (คงจะแบบอำมาตย์บ้านเรา) จะตกอยู่ในอันตรายจากผู้ร่วมปฎิวัติรัสเซียที่โกรธแค้น ชิงชัง ขนาดไหน”

    “ปู่จึงสื่อสารกับทหารรัสเซียหลายคนเพื่อหาทางออกให้กับชะตากรรมของพวกเรา แล้ว 2 สัปดาห์ถัดมา พ่อตาของปู่ซึ่งเพิ่งเกษียณจากการเป็นทหารโปแลนด์ก็ถูกจับไป เราไม่ได้พบท่านอีกแล้ว และคาดเดาได้ว่าท่านคงถูกพวกรัสเซียประหารชีวิตไปพร้อมๆ กับข้าราชการชาวโปแลนด์อีกหลายพันคน ปู่ต้องรีบให้แม่ยายอพยพออกไปทันที แล้วเราก็ไม่ได้พบท่านอีกเลย”

    “ฤดูหนาวมาถึงพร้อมกับความหนาวเย็นที่สุดและการขาดแคลนอาหารกับสินค้าต่างๆ ที่จำเป็นในชีวิต มันมาพร้อมกับข่าวว่าพวกรัสเซียจะจับคนโปลิชไปโยนทิ้งนอกแผ่นดินของเรา ในเดือนกุมภาพันธุ์ 1940 ชาวโปแลนด์ที่เป็นตำรวจ เจ้าของที่ดิน และผู้มีการศึกษามากมาย พร้อมญาติๆ โดนจับตัวไปทิ้งนอกประเทศในดินแดนที่ยากลำบาก แล้วเรื่องนี้ก็มาถึงบ้านเราในกลางดึกที่มีทหารรัสเซีย 4 นายพร้อมอาวุธสงคราม มาเคาะประตูบ้านปู่ ปู่ต้อนรับพวกเขาอย่างสุภาพด้วยภาษารัสเซีย แต่พวกเขาก็สั่งให้ปู่ใส่เสื้อโค้ทและตามพวกเขาไป ปู่ก็ทำตามโดยดี และโดนซักฟอกด้วยคำถามมากมาย”

    “โชคดีจริงๆ ที่ 1 ในทหาร 4 คนที่มาเอาตัวปู่ไปนั้น เป็นคนที่ปู่วิสาสะด้วยหลายครั้งในหลายๆ เดือนที่ผ่านมา ปู่จึงไม่โดนฆ่า และได้รับคำตัดสินว่า เนื่องจากปู่เกิดในไซบีเรีย พูดรัสเซีย และเป็นคนไม่มีการศึกษาเหมือนพวกเรา เขาจึงปล่อยให้กลับไปบ้านก่อน แล้วทหารคนนั้นก็มาจับข้อศอกปู่แล้วกระซิบว่า กลับไปหาครอบครัวซะ มาคิยง เตรียมตัวให้ดีเพราะพวกคุณจะถูกส่งไปไซบีเรียในวันหลัง”

    Mutual Fund - Manager Online -
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ชีวิตนี้เป็นหนี้ทองคำ ตอนที่ 2

    “ปู่โกยแน่บกลับบ้านทันที แล้วขุดเอาทองคำกับเพชรนิลจินดาออกมาในช่วงค่ำ แล้วเอาเหรียญทองคำอันเล็กวางเรียงบนพื้นในรองเท้าบูธ เอาหนังปูทับอีกทีจะได้เดินไม่เจ็บ แล้วเอาเหรียญทองคำขนาดใหญ่ไปใส่ในส้นรองเท้า เหรีญทองคำกับสร้อยทองหลายเส้นที่เหลือซ่อนไว้หลายๆ ตำแหน่งในเสื้อโค้ทตัวใหญ่อย่างระมัดระวังไม่ให้ตรวจเจอได้”

    “หลายวันหลังจากนั้น พวกมันมาเคาะประตูบ้านตอนตีสี่ บอกให้เราขนของและรีบอพยพไปไซบีเรียภายใน 15 นาทีเท่านั้น โชคดีที่นายทหารคนนั้นกระซิบบอกไว้ก่อน และตอนนี้บ้านเรา ที่ดินเรา ทรัพย์สินอื่นๆ ที่ยังอยู่ในนั้นก็ยังกลายเป็นทรัพย์สินของพวกรัสเซียจนทุกวันนี้”

    “เมียและลูกสาว 3 ขวบ กับปู่ ถูกจับใส่รถบรรทุกรวมกับคนอื่นๆ ที่มีชะตากรรมเดียวกัน มันพาเราไปสถานีรถไฟเพื่อส่งไปไซบีเรีย หลังจากวันนั้นพวกเราก็ไม่เคยพบพ่อแม่พี่น้องอีก และไม่เคยกลับไปเหยียบแผ่นดินโปแลนด์อีกเลย ปู่ดีใจที่มันไม่ได้ตรวจเสื้อโค้ทกับรองเท้าของปู่ เพราะทองคำเล็กๆ น้อยๆ ที่ปู่ซ่อนไว้มันจะช่วยให้เรารอดตายได้”

    “รถไฟมาถึงในหลายชั่วโมงต่อมา พวกเราถูกจับยัดไปในขบวนตู้ขนฝูงสัตว์ ที่ต้องใช้เวลาเดินทางไปถึงไซบีเรียใน 3 สัปดาห์ และนรกมีจริง ตู้ขนฝูงสัตว์ที่แออัดแน่นเอี้ยด ไม่มีห้องน้ำ พอ 2-3 วันที พวกมันก็มาให้ขนมปังแข็งโป๊กกับน้ำนิดหน่อย หลายคนตายไปแล้ว แต่ก็แค่ถูกโยนศพทิ้งออกไปนอกหน้าต่างไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง ผู้ชาย คนแก่ หรือเด็ก ไม่มีสองมาตรฐาน ปู่ร้องไห้ครั้งสุดท้ายในการเดินทางครั้งนั้นเมื่อมีผู้หญิงคนหนึ่งคลอดเด็กทารกออกมา ไม่นานเด็กก็ตาย แล้วทหารก็เอาศพเด็กโยนทิ้งเหมือนเศษขยะ”

    “เราถูกต้อนลงที่คาซัคสถานใกล้ชายแดนไซบีเรีย ที่นี่จะเป็นแหล่งที่อยู่ใหม่ของเรา เพราะชาวโปแลนด์ไม่ได้รับอนุญาตให้มีชีวิตอยู่ต่อไปเนื่องจากโดนโทษประหารให้หมด เราหนาวจนจะแข็งตายเพราะอุณหภูมิที่ -20 องศาเซลเซียส คนท้องถิ่น 1 ครอบครัวโดนสั่งให้รับพวกเราเข้าไปอยู่ด้วย 3-4 ครอบครัวต่อ 1 บ้าน ทั้งๆ ที่เขายากจนมาก แต่พวกคนรัสเซียท้องถิ่นเหล่านั้นก็ดีกับพวกเราเท่าที่จะทำได้ภายใต้สถานการณ์ขณะนั้น

    “ทองคำที่ปู่ซุกซ่อนมานั่นแหละที่ทำให้เรารอดมาได้ ปู่ใช้มันแลกกับที่อยู่ที่ดีขึ้น แลกเป็นเหรียญรูเบิ้ลแล้วใช้มันไปซื้ออาหารมาตุนไว้ตลอดฤดูหนาวอันทารุณ ปู่ซื้อเครื่องมือใช้สอยที่จำเป็น ใช้มันรับจ้างเลื่อยไม้ ซ่อมบันได และทำงานให้คนอื่นๆ เพื่อแลกกับเงินรูเบิ้ล หรืออาหาร บางวันปู่ต้องออกไปทำงานโดยไม่แตะอาหารเลยเพราะต้องเก็บให้ลูกเมียได้มีประทังชีวิต เราผ่านฤดูหนาวจนมาถึงฤดูร้อน ปู่เกือบตายเพราะเชื้อมาเลเรีย และเมียปู่ก็เกือบตายจากไทฟอยด์ แต่ในเมื่อเรายังมีทองคำ เราก็เลยเข้าถึงยาได้ มันเป็นตามที่ปู่คิด คือเงิน Zloty ของโปแลนด์ไม่มีใครรับ รูเบิ้ลรัสเซียถึงจะใช้ได้ แต่ไม่มีอะไรดีเท่าทองคำ”

    “แล้วในปี 1941 พวกเราทั้งหมดก็ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระโดยไม่รู้เหตุผล (เยอรมันนีโจมตีรัสเซียวันที่ 22 มิถุนายน 1941 แล้วทำข้อตกลงให้ชาวโปแลนด์เป็นอิสระจากพวกรัสเซีย แต่ต้องไปเป็นทหารในเปอร์เซีย”

    “ปู่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทหารรัสเซียบอกปู่ว่า .... มาคิยง รีบพาครอบครัวไปขึ้นรถไฟด่วนที่สุดเลย ก่อนที่พวกนั้นจะเปลี่ยนใจ .... ปู่พาครอบครัวออกจากที่นั่นในเวลาไม่กี่ชั่วโมง หลายๆ คนที่โดนนำมาทิ้งที่นี่ล้วนอ่อนแอเกินกว่าจะเดินทางได้อีกแล้ว เขาเลยตัดสินใจอยู่ต่อ พอมาถึงสถานีรถไฟ ปู่ถึงรู้ว่าเขากำลังจะจัดตั้งกองกำลังโปแลนด์เพื่อส่งไปรบอีก แต่เจ้าหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนย้ายพวกเราบอกว่ารถไฟเต็มหมดแล้ว”

    “ปู่จึงเดินไปหาเขาอย่างเงียบๆ และเสนอทองคำให้ 3 เหรียญทองเพื่อแลกกับที่ว่างในขบวนรถสำหรับเรา 3 คน เขาตกลง และเมื่อรถไฟมาถึง เขาค่อยๆ พาเราไปที่อีกด้านของขบวนรถ บอกกับเจ้าหน้าที่บนรถไฟว่ามีคำสั่งพิเศษให้พาพวกนี้ 3 คนขึ้นไป เราจึงรอดพ้นจากคาซัคสถานมาได้ และอยู่ในกลุ่มชาวโปแลนด์หลายพันคนที่ยินดีจะจากคาซัคสถานเพื่อลงใต้อย่างเร่งด่วนแล้วไปเข้าร่วมกับกองทัพโปแลนด์ที่เปอร์เซีย

    “เราข้ามทะเลแคสเปียนด้วยเรือ มาถึงเปอร์เซีย (อิหร่าน) เป็นพวกแรกๆ ซึ่งเป็นโชคดีจริงๆ เพราะพวกที่มาทีหลังต้องเดินเรือถอยกลับไปรัสเซียมหาโหดอีกครั้ง เนื่องจากโควต้ากองทัพเต็มแล้ว พวกเราได้รับการต้อนรับจากชาวเปอร์เซียอย่างอบอุ่น เขารักษาพยาบาลพวกเราจนฟื้นฟูเป็นปกติ ให้เราไปอยู่ในบ้านเขา ปู่พบว่าชาวเปอร์เซียเป็นคนใจดีมีเมตตาที่สุดในโลก

    “ปู่เข้าร่วมในกองทัพของนายพล Anders ชีวิตเริ่มมีความหวังบ้างแล้ว ลูกเมียถูกส่งไปอยู่ที่อินเดียเพื่อความปลอดภัย ปู่ไม่ได้พบพวกเขาเลยตลอด 6 ปีในกองทัพ ไม่รู้กันเลยว่าใครจะเป็นอย่างไรกันบ้าง อยู่หรือตายก็ไม่รู้

    “ปู่รบในอาฟริกาและอิตาลี และทำวีรกรรมไว้ที่ Monte Cassino ไม่เคยเจอเลือดมากมายขนาดนี้มาก่อนในชีวิต แล้วเราก็ตัดสินใจเข้าตีเมือง Abbey ที่เยอรมันยึดไว้ ปู่ภูมิใจเหลือเกินที่เป็นชาวโปลิช ได้เข้าร่วมในกองทัพโปแลนด์ที่กล้าหาญและเก่งกาจที่สุดในวันนั้น”

    “สงครามสิ้นสุด แล้วปู่ก็ตามไปค้นพบลูกเมียที่อินเดีย ซึ่งด้วยเหตุที่พวกเธออยู่อินเดียจึงทำให้พวกเธอต้องถูกส่งกลับไปอยู่ใกล้ๆ ลอนดอน ปู่จะตามไปเมื่อจบภารกิจในกองทัพ แล้วปู่ก็ทำได้ใน 2 ปีถัดมา มันมหัศจรรย์ที่สุด และขอบคุณ วินสตัน เชอร์ชิล นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ที่ไม่ยอมให้ใครผลักดันพวกเราชาวโปลิชออกไปไหนโดยไม่เต็มใจอีกแล้ว พี่น้องผู้ชายของปู่ทุกคนตายในสงครามป้องกันโปแลนด์จนหมดสิ้น หากปู่ไม่เรียนรู้ประวัติศาสตร์จากพ่อเรื่องเงินเฟ้อ สงคราม กับคุณค่าของทองคำ เราคงไม่รอด ปู่และลูกเมียเป็นหนี้ชีวิตต่อเหรียญและสร้อยคอทองคำเพียงหนึ่งกำมือ แล้วหลายวันก่อนที่พวกเราจะอพยพจากอังกฤษเพื่อไปอยู่ออสเตรเลียตามความต้องการของเราเอง ปู่ก็ได้รับโทรศัพท์ว่า ... มาคิยง เรามีที่ว่างให้พวกคุณในอเมริกา สนใจป่ะ ... ปู่บอกว่า... เอาสิ .. เขาตอบว่ามาเลย เร็วที่สุด ... ปู่วิ่งเต็มสปีดไปตลอดทางเลย แล้วเราก็เลยได้มีชีวิตที่ดีที่สุดในอเมริกา”

    หมายเหตุ : Victoria Szablicki ภริยาของ มาคิยง เสียชีวิตในวันที่ 5 มิถุนายน 2011 หลังจากนั้น 11 วัน ปู่มาคิยง ของลุงมาร์ค ฟาเบอร์ ก็เสียชีวิตตามไปในวัย 100 ปี หลังจากได้รับเหรียญกล้าหาญอันสุดท้ายที่ทรงเกียรติยิ่งจากรัฐบาลโปแลนด์ คือ Siberian Cross ไปในวัย 98 ปี เขาทั้งสองคนมีชีวิตสมรสร่วมกันยาวนานถึง 76 ปี

    Mutual Fund - Manager Online -
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    "ครบ10ขวบ"

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    [​IMG]

    เหรียญยูโรและเหรียญฟรังก์ฝรั่งเศส โดยยุโรปเตรียมฉลองครบรอบปีที่ 10 การใช้เงินสกุลยูโรวันที่ 1ม.ค.ที่จะถึงนี้

    "
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ราคาทองคำดิ่ง2% ต่ำสุดในรอบ 5 เดือน

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

    [​IMG]

    ราคาทองคำดิ่งลงต่ำสุดในรอบกว่า 5 เดือน 31.40 ดอลลาร์หรือเกือบ 2% เผยตลอดเดือนธ.ค.ปรับตัวลดลงกว่า 10%
    <!--<script type="text/javascript"> google_ad_channel = '3694366847'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </script> <script type="text/javascript" src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js"></script> <script type="text/javascript" src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js"></script>--><SCRIPT language=JavaScript src="http://ads.nationchannel.com/adserverkt/adx.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript type=text/javascript> if (!document.phpAds_used) document.phpAds_used = ','; phpAds_random = new String (Math.random()); phpAds_random = phpAds_random.substring(2,11); document.write ("<" + "script language='JavaScript' type='text/javascript' src='"); document.write ("http://ads.nationchannel.com/adserverkt/adjs.php?n=" + phpAds_random); document.write ("&what=zone:119"); document.write ("&exclude=" + document.phpAds_used); if (document.referrer) document.write ("&referer=" + escape(document.referrer)); document.write ("'><" + "/script>"); </SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript src="http://ads.nationchannel.com/adserverkt/adjs.php?n=707034594&what=zone:119&exclude=,&referer=http%3A//www.bangkokbiznews.com/home/" type=text/javascript></SCRIPT><NOSCRIPT>[​IMG]</NOSCRIPT><!-- <iframe src="http://www.bangkokbiznews.com/home/banner/all-ad-300-indetail.php" frameborder="0" scrolling="no" width="300" height="250"></iframe> -->ราคาทองคำ ส่งมอบล่วงหน้าเดือนก.พ. ปรับตัวร่วงลง 31.40 ดอลลาร์หรือเกือบ 2% ปิดที่ราคา 1,564 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ถือเป็นระดับปิดต่ำสุด นับตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค.เป็นต้นมา
    ทั้งนี้ ช่วงเดือนที่ผ่านมา ราคาทองคำร่วงลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสัญญาณที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังขยายตัวแข็งแกร่งกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้
    โดยเทรดเดอร์หลายเลือกลงทุนในทองคำ เพราะกลัวว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะอ่อนแอ แต่ขณะนี้ กลายเป็นว่า การลงทุนในตลาดเงินมีความเสี่ยงมากขึ้นเหมือนการลงทุนในตลาดหุ้น
    อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมเป็นต้นมา ราคาทองคำปรับตัวร่วงลงไป 10% แล้ว


     
  18. JSR

    JSR สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +0
    หยวน ผนึก เยน ถึงเวลาตัดหางดอลลาร์









    กลายเป็นข่าวใหญ่ที่ทำให้ทั่วโลกต้องจับตาไปแล้ว กับความร่วมมือทางการเงินครั้งประวัติศาสตร์ระหว่าง 2 บิ๊กเศรษฐกิจ
    โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ
    กลายเป็นข่าวใหญ่ที่ทำให้ทั่วโลกต้องจับตาไปแล้ว กับความร่วมมือทางการเงินครั้งประวัติศาสตร์ระหว่าง 2 บิ๊กเศรษฐกิจ เบอร์ 2 และ 3 เมื่อจีนและญี่ปุ่นประกาศเตรียมจับมือค้าขายกันโดยใช้สกุลเงินของตัวเอง โดยที่ไม่ต้องแลกผ่านตัวกลางในสกุลเงินเหรียญสหรัฐ หรือเปิดสวอปไลน์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
    นอกจากนี้ ญี่ปุ่นซึ่งเป็นทั้งคู่แข่งเศรษฐกิจและยังไม่ลงรอยทางการเมืองกับจีนในหลาย เรื่อง ยังประกาศจะซื้อพันธบัตรสกุลเงินหยวนของจีน เป็นส่วนหนึ่งของทุนสำรองระหว่างประเทศมูลค่า 1.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ของญี่ปุ่นด้วย
    นี่คือความสำเร็จส่งท้ายปีของจีน กับการดันเงินสกุลหยวนให้ขึ้นไปมีบทบาทในเวทีโลกมากขึ้น และยังเป็นชัยชนะในเชิงสัญลักษณ์ว่า เงินหยวนจะผงาดขึ้นเป็นผู้นำของสกุลเงินในภูมิภาคนี้อย่างแน่นอน แม้ว่าความสำเร็จในวันนี้จะยังเป็นแค่ก้าวแรกในอีกหลายสิบก้าวก็ตาม
    ในระหว่างการเดินทางเยือนจีนอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี โยชิฮิโกะ โนดะ แห่งญี่ปุ่น ผู้นำของทั้งสองประเทศได้ประกาศความร่วมมือทางการเงินครั้งใหญ่หลายด้านด้วย กัน
    [​IMG]

    ประการแรก ทั้งสองฝ่ายจะดำเนินข้อตกลงการแลกเปลี่ยนเงินตราแบบทวิภาคี หรือสวอปไลน์ เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายสามารถทำการค้าระหว่างกันได้โดยที่ไม่ต้องใช้เงินเหรียญ สหรัฐเป็นตัวกลางในการซื้อขาย ซึ่งจะช่วยให้ภาคธุรกิจไม่ต้องเสียทั้งค่าธรรมเนียมการแลกเปลี่ยน หรือต้องเสี่ยงความผันผวนของค่าเงิน โดยปัจจุบันมีการค้าระหว่างจีนและญี่ปุ่นที่ใช้เงินเหรียญสหรัฐในการชำระ เงินอยู่ที่ราว 60% ของการค้าทั้งหมด
    ประการที่สอง ญี่ปุ่นจะหันมาซื้อพันธบัตรรัฐบาลจีนมาเก็บเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศรูปแบบ หนึ่ง และจะสนับสนุนให้มีการขายพันธบัตรจีนทั้งในญี่ปุ่นและตลาดต่างประเทศผ่าน ทางบริษัทของญี่ปุ่น ส่วนในตลาดจีนเองนั้น จะหนุนให้มีการขายพันธบัตรจีนผ่านทางธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ ญี่ปุ่น (เจบิก) ของญี่ปุ่นเป็นอีกช่องทางหนึ่ง นอกเหนือจากในปัจจุบันที่จีนยอมให้ขายผ่านทางธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) และบรรษัทการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอฟซี) ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เท่านั้น
    นั่นหมายความว่า เขตเศรษฐกิจหมายเลข 2 และ 3 ของโลกจากเอเชียทั้งคู่นี้ กำลังเริ่มจะ “เตะ” เงินเหรียญสหรัฐที่เอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้ในช่วงหลังมานี้ออกจากวงโคจร และหันมาสนับสนุนสกุลเงินของตัวเองกันมากขึ้นแทน
    เป้าหมายของจีนนั้น คือ ต้องการดันบทบาทสกุลเงินของตัวเองให้โกอินเตอร์มากขึ้น เพราะแม้ทุกวันนี้จีนจะเป็นเบอร์ 2 ทางเศรษฐกิจโลก และเป็นมหาอำนาจในด้านการผลิตและการค้าขาย แต่ระบบการเงินของจีน โดยเฉพาะสกุลเงินหยวนนั้น กลับยังไม่แพร่หลายในวงกว้างเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ ยูโร หรือเงินเยน เนื่องจากจีนไม่ได้ใช้ระบบลอยตัวค่าเงิน ที่ปล่อยเสรีตามกลไกตลาดเหมือนในหลายประเทศ
    หลังประสบความสำเร็จในด้านการค้าแล้ว จีนจึงเดินหน้าอย่างหนักที่ดันเงินหยวนให้โกอินเตอร์ตามไป โดยผ่านช่องทางหลักๆ คือ ข้อตกลงการค้าโดยใช้สกุลเงินท้องถิ่น เช่น ที่ตกลงกับประเทศในกลุ่มสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) โดยเริ่มที่การค้าตามแนวชายแดน และข้อตกลงการสวอปเงินกับธนาคารกลางของประเทศพันธมิตร
    ในปีนี้จีนได้เดินหน้าทำข้อตกลงสวอปเงินกับหลายประเทศในฝั่งเอเชีย แปซิฟิกอย่างหนัก อาทิ กับนิวซีแลนด์ ภายใต้วงเงิน 2.5 หมื่นล้านหยวน เมื่อเดือน เม.ย. กับเกาหลีใต้ ซึ่งขยายวงเงินสวอปเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเมื่อเดือน ต.ค. ไปอยู่ที่ 64 ล้านล้านวอน (ราว 5.65 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ) ในข้อตกลงระยะเวลา 3 ปี กับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) วงเงิน 7 หมื่นล้านหยวน (ราว 3.2 แสนล้านบาท) เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา และล่าสุดกับปากีสถานในวงเงิน 1 หมื่นล้านหยวน
    จากเดิมที่การค้าโดยใช้เงินหยวนในการชำระเงินมีสัดส่วนเพียงไม่ถึง 1% ของการค้าจีนทั้งหมดเมื่อปีที่แล้ว ตัวเลขกลับเพิ่มสูงขึ้นถึง 10% ในปีนี้
    การเตรียมทำข้อตกลงแบบเดียวกันนี้กับญี่ปุ่น ที่ถือเป็นพันธมิตรเหนียวแน่นกับสหรัฐมากกว่าจีนซึ่งเป็นเพื่อนบ้านกัน ย่อมสร้างความประหลาดใจให้กับหลายฝ่าย โดยมีรายงานในวอลสตรีต เจอร์นัล ว่า ญี่ปุ่นถึงกับโทร.ไปแจ้งเรื่องข้อตกลงนี้กับสหรัฐ ก่อนที่จะแถลงร่วมกับจีนด้วยซ้ำ
    แต่เมื่อพิจารณาถึง “ความจำเป็น” ของญี่ปุ่นในเวลานี้ก็อาจไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ
    ภัยพิบัติ 3 ครั้งซ้อนทั้งแผ่นดินไหว สึนามิ และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์รั่วไหล บวกกับปัจจัยสำคัญที่เงินเยนถูกเก็งกำไรจนแข็งค่าอย่างหนักในช่วงไม่กี่ปีมา นี้ และยังถูกซ้ำเติมล่าสุดด้วยภาวะน้ำท่วมไทย ที่ส่งกระทบต่อฐานการผลิตของญี่ปุ่นอย่างหนัก ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความจำเป็นที่ทำให้ญี่ปุ่น ซึ่งยังเป็นเศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก ต้องดิ้นหนีเอาตัวรอดจากปัญหาเงินเยนแข็งค่า ซึ่งไม่สามารถใช้การแทรกแซงค่าเงินเข้าสู้ได้ และยังมีแนวโน้มจะแข็งค่าต่อเนื่องไปจนถึงปี 2555
    นายกรัฐมนตรี โนดะ ซึ่งเป็นนายกฯ คนที่ 6 ภายในระยะเวลา 6 ปี ต้องเดินทางเยือนจีนทั้งที่เป็นช่วงวันหยุดคริสต์มาส เพื่อถกความร่วมมือทางเศรษฐกิจและสถานการณ์ในเกาหลีเหนือ ก่อนจะบินต่อไปยังอินเดีย ซึ่งคาดว่าจะมีข้อตกลงสวอปค่าเงิน 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ กับธนาคารกลางอินเดียด้วย
    อย่างไรก็ตาม วอลสตรีต เจอร์นัล ระบุว่า การจับมือระหว่างจีนญี่ปุ่นครั้งนี้ ยังเป็นเพียงแค่ก้าวแรกที่สหรัฐยังไม่กังวลเท่าใดนัก และยังอาจถือเป็นข่าวดีสำหรับสหรัฐด้วยซ้ำ เพราะยิ่งจีนดันเงินหยวนให้โกอินเตอร์เท่าไร ก็หมายความว่าจีนต้องเล่นตามระบบและยอมให้เงินหยวนลอยค่าตามกลไกตลาดมากขึ้น เท่านั้น ซึ่งจะถือเป็นเรื่องดีสำหรับสหรัฐที่กดดันเรื่องค่าเงินของจีนมาตลอด โดยอ้างถึงการขาดดุลการค้ากับจีนมหาศาลในแต่ละปี เพราะปัจจัยเรื่องค่าเงินหยวนที่ถูกตรึงให้อ่อนค่าต่ำกว่าความเป็นจริง
    อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า ก้าวแรกนี้ถือเป็นก้าวที่ชนะและมีความหมายในเชิงสัญลักษณ์ที่สำคัญยิ่งต่อ จีน และยังมีแนวโน้มที่จะเป็นก้าวต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว ในยามที่สหรัฐและยุโรปต่างเอาตัวไม่รอดกันในวันนี้
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    สิทธิมนุษยชนบนแผ่นฟิล์ม

    โดย : ชาธิป

    [​IMG]

    ช่วงนี้ของปี คนส่วนใหญ่คงนึกถึงเทศกาลงานฉลองรื่นเริงก่อนหยุดยาวเข้าปีใหม่
    <!--<script type="text/javascript"> google_ad_channel = '3694366847'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </script> <script type="text/javascript" src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js"></script> <script type="text/javascript" src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js"></script>--><SCRIPT language=JavaScript src="http://ads.nationchannel.com/adserverkt/adx.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript type=text/javascript> if (!document.phpAds_used) document.phpAds_used = ','; phpAds_random = new String (Math.random()); phpAds_random = phpAds_random.substring(2,11); document.write ("<" + "script language='JavaScript' type='text/javascript' src='"); document.write ("http://ads.nationchannel.com/adserverkt/adjs.php?n=" + phpAds_random); document.write ("&what=zone:119"); document.write ("&exclude=" + document.phpAds_used); if (document.referrer) document.write ("&referer=" + escape(document.referrer)); document.write ("'><" + "/script>"); </SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript src="http://ads.nationchannel.com/adserverkt/adjs.php?n=181815882&what=zone:119&exclude=,&referer=http%3A//www.bangkokbiznews.com/home/" type=text/javascript></SCRIPT><NOSCRIPT>[​IMG]</NOSCRIPT><!-- <iframe src="http://www.bangkokbiznews.com/home/banner/all-ad-300-indetail.php" frameborder="0" scrolling="no" width="300" height="250"></iframe> -->จะบอกให้ใครมานั่งคิดเรื่องหนักๆ เครียดๆ อย่างเรื่องของ “สิทธิมนุษยชน” ณ เวลานี้อาจจะโดนถามว่าเครียดผิดเทศกาลไปหรือเปล่า

    แต่ที่กรุงวอร์ซอ โปแลนด์ เขาเลือกช่วงเวลานี้เป็นเวทีของเทศกาล WATCH DOCS.” เทศกาลภาพยนตร์สิทธิมนุษยชนที่เก่าแก่และยิ่งใหญ่ที่สุดงานหนึ่งของโลก แต่ละปีมีผู้เข้าร่วมงานนับหมื่นคน ด้วยแนวคิดที่ว่า ในโลกปัจจุบัน การส่งเสริมสิทธิของคนเป็นเรื่องสำคัญ จึงเกิดมีเทศกาลนี้ขึ้นมา และในทุกๆ ปี จะมีการมอบรางวัล WATCH DOCS Award ให้กับหนังสารคดีสิทธิมนุษยชนที่โดดเด่นที่สุดในรอบปี โดยมีการเสนอชื่อหนังสารคดีนับพันเรื่องจากทั่วโลกเข้าพิจารณา

    นอกจากการฉายหนังสารคดีที่ว่าด้วยสิทธิมนุษยชน เทศกาลนี้ยังเป็นเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนของนักเคลื่อนไหวทางสังคม นักกิจกรรม องค์กรพัฒนาเอกชน นักการเมืองและสื่อมวลชน อีกด้วย

    ดูเพิ่มเติมได้ที่ http://watchdocs.pl/en/festiwal/

     
  20. JSR

    JSR สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +0
    Jimmy Siri


    ดูเหมือนการที่พวกอิลลูมินาติแบ<wbr>งค์เกอร์ล้ม MF Global อาจจะส่งผลข้างเคียงหรือผลกระทบ<wbr>เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ต่อตลาดโลหะ<wbr>และระบบธนาคาร มากกว่าที่เรามองเห็นในช่วงเวลา<wbr>ที่ผ่านมาครับ!!

    Did Bankers Deliberately Crash MF Global to Crash Gold and Silver Prices? | ZeroHedge

    Jimmy Siri อาจจะได้เห็นครับ เค้ากัดไม่ปล่อยเลย เทศกาลก็ไม่เว้น(รู้สึกได้ถึงรังสีอำมหิต อย่าคิดว่าเค้าหยุดกันแล้ว หรือขาทุบไม่อยู่เหมือนปีก่<wbr>อนๆ จังหวะตอนนี้แหละครับหวานหมูเลย) ยูโรดิ่งลงเรื่อยๆ ถ้ายังไม่มีวี่แววว่าจะเด้ง<wbr> หากไปกันอย่างนี้โลหะทั้งกลุ่มอาจจะเกาะตามไปเรื่อยๆเพ<wbr>ราะสวนทางกับดอลล่า อาจจะไปจนถึงจุดที่เงินยูโร<wbr> Crash อย่างเต็มตัว (เงินสกุลยูโร "ล่ม") ซึ่งคงยากต่อการคาดเดากรอบเ<wbr>วลาที่แน่นอนครับ ดังนั้นความเป็นไปได้ที่จะล<wbr>งลึกแบบ "เกินคาด" มีครับ 1563, 1550 ไม่ควรหลุด ไม่งั้นได้เห็น 1531 หรือแม้กระทั่งหลุด 15xx-14xx ลงไปก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน เทคนิคตอนนี้อ่านได้แค่เส้น<wbr>แนวรับแนวต้าน(หลีกเลี่ยงกา<wbr>รทำนายทิศทางหรือจุดต่ำสุด)<wbr> เพราะสถานการณ์และปัจจัยมัน<wbr>แรง ท้ังเรื่อง Position Limit, MF Global, ปัญหาของกลุ่มยุโรป ทุกเรื่องหนักและกดตลาดเต็ม<wbr>ๆในทิศทางขาลง แล้วทั้ง 3 ประเด็นเป็นอะไรที่ยืดเยื้อ<wbr>และต้องใช้เวลาทั้งสิ้นครับ<wbr>...เค้าจัดให้

    Position Limit ถ้าไม่มีการดึงเกมส์หรือตุก<wbr>ติก อะไรมากไปกว่านี้ จะไปมีผลหรือเริ่มใช้ 5 กุมภา 2012 ส่วน การประชุมใหญ่ของ EC (European Commission) ก็ซื้อเวลาไปถึงมีนาคม ดังนั้นช่วงเวลาตรงนี้เป็นเ<wbr>หมือน "ช่องว่าง" ซ้ำตลาดคอมโมโดนเรื่อง MFG เข้าไปอีกดอก ทำเอาวงแตก เหลือแต่พวกขาใหญ่อยู่ในตลา<wbr>ด เม่าน้อยเม่าใหญ่มีเสียวต้อ<wbr>งคิดหนัก เพราะใหญ่ขนาดนั้นยังเจ๊งได้ อาจจะโดนเหมือนเหยื่อของ MFG ทั้งถูกโกงเงินค้ำประกัน ไม่ได้รับการส่งมอบของ หรือล๊อคไม่ให้เทรดเป็นการชั่วคราว ให้นั่งดูเฉยๆทั้งที่สัญญายัง expose อยู่ .......เกมส์ตอนนี้จึงตกอยู่ในมือของพวกเค้าเต็มๆอีกแล้วครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...