เข้าฌานสมาบัติในช่วงน้ำท่วมกันดีไหม?

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย NICKAZ, 4 พฤศจิกายน 2011.

  1. NICKAZ

    NICKAZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +812
    ตอนนี้ประเทศไทยกำลังประสบกับปัญหาอุทกภัย เกิดเหตุข้าวปลาอาหารก็ขาดแคลน น้ำดื่มขาดแคลน การเดินทางไปไหนติดขัดตลอดเวลา แถมบางที่ถูกตัดน้ำตัดไฟ ปัจจัยต่างๆ ในการดำรงชีวิตขาดแคลนจริงๆ

    ในเมื่อปัจจัยในการดำรงชีวิตต่างๆ ขาดแคลนขนาดนี้ ผมคิดไปถึงการเข้าฌานของพวกโยคี ที่สามารถเข้าฌาน แล้วหยุดกิจกรรมต่างๆ ของร่างกาย ไม่ต้องกินอาหาร ไม่ต้องกินน้ำ ไม่ต้องขับถ่าย กันหลายๆวัน บางทีเป็นเดือนๆ

    ถ้าทำได้แบบนี้ ในช่วงเวลาอย่างนี้ก็น่าจะสะดวกดี ในภาวะขาดแคลนอย่างนี้ คิดๆแล้ว ก็อยากลองทำดูบ้าง เบื้องต้นเอากันเบาๆ ก่อน สัก 3 วัน 7 วัน ถ้าทำได้ ไม่มีผลกระทบอะไร ค่อยขยายเวลายาวไปอีก ถ้าทำได้นานๆ คงจะประหยัดไปได้เยอะเลยทีเดียว

    การนอนหลับในฌาน การตั้งเวลาในกรรมฐาน ทำตามปกติที่เคยชินอยู่แล้ว แต่ไม่เคยกำหนดเวลาแบบยาวๆ หลายๆวันเสียที เพราะยังมีหน้าที่การงานทางโลก ที่ต้องรับผิดชอบ อีกทั้งยังไม่เคยศึกษาแนวทางเรื่องฌานสมาบัติแบบโยคี จึงสงสัยว่าฌานในระดับใด จะสามารถหยุดกิจกรรมต่างๆของร่างกายได้อย่างสิ้นเชิง แบบที่พวกโยคีเขาทำกัน จึงเรียนมาเพื่อปรึกษากับท่านผู้รู้ในฌานสมาบัติ ว่าการเข้าฌานแบบนี้ เข้าแค่ระดับจตุถตฌาน นี่เพียงพอที่จะหยุดกิจกรรมต่างๆ ของร่างกายได้หรือไม่ หรือต้องเข้าฌานในระดับอรูปฌาน ถึงจะหยุดกิจกรรมต่างๆของร่างกายได้ครับ

    กรุณาอย่าตอบว่าต้องถึงขั้นสัญญาเวทยิตนิโรธนะครับ เพราะผมไม่ได้มีความสามารถ มีภูมิธรรมถึงขั้นนั้น

    ขอความอนุเคราะห์วิเคราะห์ วิจารณ์ เพื่อประโยชน์ในเชิงวิทยาการต่อไปด้วย ขอขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2011
  2. constantin4115

    constantin4115 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +22
    เห็นไม่มีใครตอบ เลยเข้ามาคุยเล่นเป็นเพื่อนครับ

    สำหรับผมเอง ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับ ว่าต้องเข้าฌานระดับลึกขนาดไหน ถึงจะอยู่อย่างนั้นได้ ตัวผมเอง นั่งสมาธิแค่3-4ชั่วโมงนี่ก็จะตายแล้วครับ 555 ผมก็เคยตั้งข้อสงสัยเหมือนกับคุณนั่นล่ะครับ ว่ามันต้องฌานระดับไหนน๊า ถึงจะอยุ่อย่างนั้นได้ แต่ผมคิดของผมเอาเองนะครับว่า ฌาน4ถึงอรูปฌานเบื้องต้น ก็น่าจะอยุ่ได้ ที่ผมคิดอย่างนั้น เพราะผมสังเกตุจากเวลาเรานั่งสมาธิ ช่วงที่จิตมันทรงอุเบกขา โดยเป็นไปตามระบบ จิตของเราจะเป็นจิตที่มีกำลังมาก มันจะเป็นอะไรที่สุขอย่างบอกไม่ถูก (อันนี้เป็นจุดที่ผมตั้งข้อสังเกตุไว้อย่างหนึ่ง ว่ามันน่าจะอยู่ได้จากตรงนี้อย่างหนึ่ง ผมไม่ขออธิบายนะครับ ว่ามันสุขขนาดไหน หรือ ประมาณไหน หรือ อะไร ยังไง ขอละไว้ในฐานที่ผู้ทำได้เข้าใจ) ยิ่งเป็นช่วงที่เยื้องกันมาอีกนิด คือช่วงที่ร่างกายของเราหายไป มีแต่ความรู้สึกว่า เราอยู่กลางอากาศ ในเมื่อมันไม่มีความรู้สึกทางกายมาเกี่ยวข้องแล้ว ผมก็เลยคิดว่ามันน่าจะอยู่ได้ (อันนี้เป็นจุดสังเกตุข้อที่สอง) จะถูก หรือ ผิด ผมไม่รับประกันนะครับ เพราะผมไม่เคยลองอยุ่นานขนาดนั้น แค่คิดว่าน่าจะเฉยๆ
     
  3. NICKAZ

    NICKAZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +812
    ขอบคุณที่เข้ามาคุยกันครับ

    ไม่ค่อยมีท่านสมาชิกเข้ามาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันในประเด็นนี้เลย ขอขอบคุณคุณคอนสแตนตินเป็นอย่างยิ่งที่ได้เสียสละเวลามาคุยกันครับ

    เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมจะไปทดลองเองล่ะกัน จริงๆแล้วผมมองไปที่สัญญาเวทยิตนิโรธนี่ล่ะครับ น่าจะตอบโจทย์ของผมได้ทั้งหมด แต่น่าเสียดายความรู้และ ภูมิธรรมของผมนั้นยังไม่ถึงขั้น แต่ก็ตั้งใจไว้ว่าจะพยายามพัฒนาตัวเองให้ไปถึงจุดนั้นให้ได้ต่อไป

    สำหรับฌานสมาบัติชั้นรองๆลงมา ผมว่าน่าจะต้องมีตัวที่ตอบปัญหาให้ได้อยู่เหมือนกัน พูดก็พูดเถอะ ตอนนี้ผมยังหาจุดลงตัวไม่เจอเลยว่า ที่จุดใดจิตกับกายเมื่อแยกกันเด็ดขาดแล้ว แต่กำลังของสมาบัติจะส่งผลให้กลไกของร่างกายหยุดได้ชั่วคราว โดยยังคงสภาพและหน้าที่ของอวัยวะต่างๆเอาไว้ได้ เปรียบเหมือนกับการปิดสวิทช์ โดยอยู่ในช่วง stand by ซึ่งมีความพร้อมที่กลไกต่างๆ จะทำงานได้ทุกเมื่อ ถ้ามีการเปิดสวิทช์อีกครั้ง

    อรูปฌาน น่าสนใจมาก แต่อย่างที่บอก จุดที่ลงตัวระหว่างจิตกับร่างกาย ยังควานหาไม่เจอ คงต้องทดลองกันต่อไป
     
  4. กูไม่กินPALA

    กูไม่กินPALA สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +12
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 พฤศจิกายน 2011
  5. NICKAZ

    NICKAZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +812
    ขอบคุณที่ได้แวะเข้ามาดูกระทู้

    ขอขอบคุณคุณมหาหิงค์อย่างยิ่งที่ได้แวะเข้ามาดูที่กระทู้นี้ ผมอยากให้กระทู้นี้เป็นกระทู้เปิดกว้างนะครับ ถ้าท่านมีอะไรจะเสนอแนะกับผมก็ขอเรียนเชิญในกระทู้นี้เลยก็ได้ครับ เผื่อท่านสมาชิกอื่นๆ จะได้มีโอกาสอ่าน หากมีประเด็นที่แต่ละท่านสนใจเป็นการเฉพาะจะได้เข้ามาร่วมพูดคุย และได้แลกเปลี่ยนกันได้อย่างกว้างขวางไปด้วย

    อีกอย่าง ผมมีความรู้จำกัดครับ ถ้าท่านใดมีฌานญาณที่แจ่มชัด ซึ่งในที่นี้มีอยู่หลายท่าน ก็จะทราบว่าผมนั้นไม่มีความรู้อะไรเลย (เรื่องนี้ผมเปิดให้ดูได้ตลอดนะครับ ไม่ได้ปิดไว้แต่อย่างใด) แล้วก็นานๆที ถึงจะได้มีโอกาสเข้ามาในบอร์ดนี้ การเข้ามาก็ถือว่าเป็นผู้มีความรู้น้อย มักจะไม่ได้มาตอบกระทู้ของท่านผู้ใดหรอกครับ ส่วนมากก็จะเข้ามาอ่านหาความรู้ต่างๆมากกว่า และที่สำคัญไม่ค่อยจะชอบใช้สื่อออนไลน์มากนัก เหตุผลก็คือการมาใช้เวลาในโลกออนไลน์มากๆ ผมว่ามันเสียเวลาสำหรับการฝึกปฏิบัติของผมน่ะครับ

    ดังนั้นเรื่อง MP เรื่องอีเมลล์ ผมคงจะยังไม่สะดวกในช่วงนี้ เนื่องจากมีภารกิจสำคัญตามที่ได้เรียนไว้ในข้างต้น อย่างไรก็ตาม หากมีอะไร อยากจะเสนอแนะหรือชี้แนะกับผม ขอเชิญในกระทู้นี้ได้ครับ และขอน้อมรับไว้ด้วยความขอบคุณ เพื่อเป็นความรู้เพิ่มเติมกับผมต่อไปครับ
     
  6. กูไม่กินPALA

    กูไม่กินPALA สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +12

    ยินดีครับ โมทานาการปฏิบัติด้วยครับ
    ส่วนอรูปฌานผมทำสมาธิให้ถึงฌานสี่ แล้วอรูปฌาน
    มันเกิดเองน่ะครับ หยุดไม่ได้เลยนอนก็ไม่ได้เลย3วัน2คืน ร่างกายจะแข็งๆชาๆไปหมดเลยเหนื่อยมากออกไม่ได้ถอยก็ไม่ได้ นั่นเป็นครั้งแรกที่ทำได้น่ะครับ พอถึงจุดสูงสุดแล้วจะออกเองครับมีความสุขมาก สุขจนเห็นชีวิตเป็นสิ่งไร้ค่าไปเลยน่ะ(ลองกั้นลมหายใจเล่น ไม่รู้สึกอึกอัดด้วย) สุขได้อยู่ประมาณครึ่งวันครับ ก็ถูกวิปัสสนาญาณ จี้ตามอีก สับกันไปสับกันมาน่ะครับ ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนกันนะครับ ส่วนตัวผมจะไปฝึกกสินเพิ่ม จะได้เข้าเป็นถอยเป็น หุหุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 พฤศจิกายน 2011
  7. NICKAZ

    NICKAZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +812
    สวัสดีครับ

    หายหน้าหายตาไปหลายวัน ผมต้องขออภัย พอดีเห็นคุณมหาหิงค์มาโพสต์ตอบอยู่ เลยต้องเข้ามาคุย เดี๋ยวจะเสียมารยาทของเจ้าของกระทู้

    อ่านเรื่องของคุณแล้วย้อนคิดถึงตัวเอง

    เรื่องเข้าฌาน ถอยฌาน สมัยก่อนผมก็มีปัญหาเหมือนคุณนั่นล่ะ เพราะผมเป็นพวกไม่สนใจฌาน ขอให้มีความสงบอย่างเดียว ถึงแค่ไหนไม่สนใจ เพราะเรามีหน้าที่ปฏิบัติ ผลจะได้หรือไม่ได้ ไม่ได้คิด ไม่ได้หวัง ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร

    แต่ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าไม่ได้ ถ้าเราสนใจแนวฉฬภิญโญ จะต้องคล่องในเรื่องฌาน ท่านจึงให้การบ้านไปทำ คือให้หัด "เล่นกีฬาทางจิต" ไปพลางก่อน กีฬาทางจิต ก็คล้ายกับการเล่นกีฬาทางร่างกายนี่ล่ะ เพียงแต่เราใช้จิตออกกำลังแทน

    การฝึกไม่มีอะไรมาก เอาจิตอยู่กับฌานตลอด ผมชอบการจับภาพพระ (พุทธานุสติกรรมฐานควบกสิณ) จับภาพพระให้สุดอารมณ์จนเป็นประกายพรึก
    ระดับสีของภาพนิมิตจะบอกถึงระดับฌาน เราก็ฝึกไป เวลาไหนว่างจากการทำงาน ไม่ต้องเจรจาความกับใคร ก็เอาทันที จับภาพพระไปเรื่อย หรือจะเอาให้หนักไปกว่านั้นคืออานาปนสติกรรมฐาน ควบพุทธานุสติกรรมฐาน ควบกสิณ ก็ไม่เกี่ยง จับลมหายใจไปด้วย จับภาพพระไปด้วย (จิตมันฟุ้งซ่านมาก เลยต้องหางานให้ทำหลายๆอย่าง จะได้ไม่เฉไฉไปนอกลู่นอกทาง จนเสียงานเสียการไปเปล่าๆ) จะเดิน จะวิ่ง จะยืน จะนอน ขึ้นรถ ลงเรือ ไปเหนือ ล่องใต้ เข้าห้องน้ำ อุจจาระ ปัสสาวะ มีเวลาเล็กน้อยเป็นฝึกหมด

    พูดง่ายๆคือ มีเวลาว่างเมื่อไหร่ ก็ไล่ฌานเล่นแก้กลุ้มตอนนั้น เอาเรื่อยๆ แบบพื้นฐาน 1234 4321 2143 4132 2314 3241 1432 2431 1324 3412 3241 กลับไปกลับมาอย่างนี้

    เหมือนการขับรถยนต์ ต้องสร้างคันเร่งกับเบรค ไว้ใช้งานในจิตให้ได้ จังหวะไหนเอื่อยเฉื่อยก็ต้องกดคันเร่ง จังหวะไหนพรวดพราดนัก ก็ต้องเหยียบเบรค หน่วงฌานไว้บ้าง

    เล่นกีฬาทางจิตกันอยู่อย่างนี้ ก็แค่พอเอาตัวรอดในวงการ แต่ความเป็น "วสี" ยังห่างไกล

    อันนี้พูดถึงเรื่องฌานมาตรฐานก่อนในระดับรูปฌานนะครับ ที่ฉฬภิญโญจะต้องขึ้นลง สลับให้คล่องกันเป็นของธรรมดา ยังไม่ขอพูดกันเรื่องของอรูปฌานที่ผู้สนใจแนวฉฬภิญโญต้องทำกันให้ได้เป็นปกติวิสัย เดี๋ยวจะยาวมากเกินไป เสียเวลาของท่านผู้อ่านเปล่าๆ

    ทุกวันนี้ยังต้องฝึกกันเรื่อยๆ ทิ้งไม่ได้ ตราบใดที่ยังเป็นฌานโลกีย์ มีเสื่อมได้ทุกเวลา แต่หากได้โลกุตรฌานแล้ว ก็สบาย เพราะฌานจะไม่มีเสื่อมถอย มีแต่จะพัฒนาขึ้น

    แถมท้าย เวลาวิปัสสนา ถ้าเป็นผม ผมชอบใช้วิธีทวนฌานก่อนจากต่ำไปสูง สูงลงมาต่ำ ต่ำไปสูงอีก สูงลงมาต่ำอีก จนจิตนิ่งดีแล้ว ค่อยไปวิปัสสนาต่อ อย่างนี้ไม่ปรากฎว่าวิปัสสนาจี้ตาม สับกันไปสับกันมาเลย ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าเราเป็นผู้ฝึก ต้องควบคุมตัวเองให้ได้ ว่าเวลาไหนจะสมถกรรมฐาน และเวลาไหนควรจะวิปัสสนากรรมฐาน ถ้าไม่มีการควบคุมก็จะวุ่นวายจริงๆ

    แลกเปลี่ยนประสบการณ์นะครับ แนวทางของคุณน่าสนใจดี แต่อย่างว่าล่ะจริตของใครก็ของคนนั้น จะเอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้เด็ดขาด ทางที่ดีไม่ควรจะไปสนใจในจริตของผู้อื่น แต่ควรมุ่งฝึกฝน พัฒนาตัวของเราให้มีความดียิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ จะดีกว่า ผมคิดของผมอย่างนี้

    ช่วงนี้คงไม่ได้เข้าบอร์ดอีกนาน อย่างที่เล่าให้ฟังล่ะครับ ขืนใช้เวลาในการออนไลน์มากๆ มันเสียเวลาสำหรับการฝึกปฏิบัติของผมน่ะ ก็ขอเป็นกำลังใจให้คุณมหาหิงค์และอนุโมทนากับการปฏิบ้ติของคุณด้วยเช่นเดียวกัน

    ขอบคุณที่ได้เข้ามาคุยกับคนด้อยความรู้และยังไม่ได้อะไรเลยอย่างผมเป็นอย่างยิ่งครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2011
  8. constantin4115

    constantin4115 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +22
    เข้ามาคุยเล่นเป็นเพื่อนอีกรอบครับ

    ห้องอภิญญาXP สงสัยคงจะเป็นมุมอับนะครับ ดูแล้ว ไม่ค่อยจะมีสมาชิกเดิน

    ผ่านมาเลย อุตส่าว่าจะรอดูคนเก่งเข้ามาให้ความรู้ ที่ไหนได้ ดันไปเข้าฌานกันซะหมด 555


    ถือว่าน่าสนใจนะครับ กับแนวทางและการปฏิบัติที่คุณNICAZกำลังกระทำอยู่

    จากที่เห็นคุณตอบ และบังเอิญ เห็นอีกหลายคำตอบ จากหลายกระทู้แล้ว ผมว่า

    คงไม่ใช่คนที่มีความรู้น้อย และไม่มีอะไรแล้วล่ะครับ ถ้าสังเกตุจากสิ่งที่คุณเล่ามา

    ผมว่า ตัวผมเองยังปฏิบัติได้ ไม่ถึงเศษเสี้ยวขี้เล็บของคุณเลย และถ้าสังเกตุ

    จากสิ่งที่คุณกล่าวมาอีก ผมว่าอย่างน้อยๆ อภิญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง

    คงจะมีเกิดกับคุณบ้างแล้ว หรือเป็นของแซมเปิ้ลให้เห็น แต่ผมว่าถ้าคนไล่ระดับฌานได้ขนาดนั้น

    น่าจะถอดจิตได้ด้วยซ้ำ แต่บังเอิญผมว่า คุณอาจจะไม่อยากกล่าวถึงถึงเฉยๆ

    แค่สันนิฐานจากสิ่งที่เคยประสบมาเท่านั้นน่ะครับ:VO
     
  9. นายตถาตา

    นายตถาตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2010
    โพสต์:
    829
    ค่าพลัง:
    +705
    เป็นอย่างไรบ้าง

    เป็นยังไงบ้างครับสำหรับฌาณสมาบัติในช่วงน้ำท่วม คุณNICKAZ:cool:
    เข้าไปกี่วันครับอย่าลืมมาเล่าประสพการณ์ดีดีให้ฟังบ้างนะครับ
     
  10. NICKAZ

    NICKAZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +812
    ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่กันแต่เนิ่นๆเลยล่ะกัน

    เข้ามาอ่านหาความรู้ในบอร์ด เห็นมีท่านผู้ปฏิบัติเข้ามาคุยด้วย ยินดีครับ เลยต้องรีบเข้ามาคุย เดี๋ยวจะเสียมารยาทเจ้าของกระทู้กันพอดี

    คุณตถาตานี่ เคยสนทนากันมาหลายครั้ง หลายวาระแล้ว ยินดีที่ได้เห็นท่านยังอยู่ในบอร์ด ส่วนมากท่านจะเข้ามากระเซ้าผมเสียส่วนมาก ก็ถือว่าท่านได้เตือนสติผมในหลายๆเรื่อง ต้องขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วย เรื่องฌานสมาบัติช่วงน้ำท่วมก็เรื่อยๆ ล่ะครับ เนื่องจากยังเป็นฆราวาส จะล่อแต่ฌานสมาบัติทั้งวัน ทั้งคืน จนไม่ได้ทำงานทำการ อย่างนี้เห็นจะไม่ได้ ก็ต้องเอาแต่ที่เหมาะสมกับกาละเทศะนั่นล่ะครับ ถึงจะพอดี เป็นจุดสมดุลด้วยกันทุกอย่าง

    สำหรับคุณ constantin4115 ยังไม่ค่อยจะได้มีโอกาสคุยด้วยเท่าไหร่ ผมก็เหมือนกันล่ะครับ ชอบเข้ามาหาความรู้จากคนดี มีฝีมือในบอร์ดนี้อยู่เสมอ ท่านเองก็กล่าวถึงผมไว้เกินไป ผมก็เป็นแค่ผู้ฝึกปฏิบัติเหมือนกับทุกท่านในบอร์ดนั่นล่ะครับ ไม่ได้มีความรู้พิเศษอันใดที่เหนือกว่าผู้อื่น แต่เท่าที่ติดตาม ผมขอชื่นชมในความอุตสาหะของท่านจริงๆ เคยเห็นท่านตอบกระทู้ ในห้องอภิญญา-สมาธิ ไว้ว่าอย่างนี้

    ได้อ่านความเห็นแล้ว รู้สึกว่ามีความพากเพียรจริงๆ เป็นผมคงไม่มีความพยายามขนาดนั้น ผมเป็นพวกขี้เกียจครับ รักความสบายว่างั้น ไม่ยอมนั่งหลังขดหลังแข็งสู้เวทนาแน่ๆ ก็เลยต้องหนีไปท่าอื่นๆ อย่างที่กล่าวในตอนต้นคือ ผมเลยทำทุกท่า นั่ง ยืน เดิน วิ่ง นอน มีเวลาเป็นฝึกปฏิบัติหมด โดยเฉพาะท่านอนนี่ชอบมาก เพราะมันสบายดี (เราฝึกจิตครับ ไม่ได้ฝึกกาย) ถึงได้ชอบหลับในฌาน ตั้งเวลาการนอน การตื่น ไว้เป็นปกติอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

    เรื่องอภิญญาสมาบัติ นั้นไม่มีอะไร ถ้าทุกท่าน มีกำลังจิต กำลังใจที่เข้าถึง ได้เวลาที่เหมาะสมก็จะมีโอกาสสัมผัสได้เอง ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะอภิญญาสมาบัติเป็นของสามัญของมนุษยชาติ สามารถฝึกปฏิบัติกันได้ ไม่เลือกเพศ ชาติพันธุ์ ชั้นวรรณะ ขอเพียงปฏิบัติให้ถูกเรื่องถูกราว มีโอกาสสัมผัสกันได้ทุกท่าน

    เรื่องอย่างนี้ ในความเห็นผม ผมว่าการฝึกอภิญญาสมาบัติ น่าจะมีครูสอนให้เป็นเรื่องเป็นราว จะดีที่สุดครับ เพราะการอธิษฐานผลแต่ละอย่าง ใช้กำลังใจไม่เสมอกัน โดยเฉพาะการอธิษฐานผลที่พลิกแพลง ผาดโผน ที่เรียกว่าการเล่นกีฬาทางจิต นั้น ต้องอาศัยความชำนาญในการกำหนดจิตอย่างมาก จังหวะ เหตุการณ์ต่างๆ ถึงจะพอเหมาะพอดีกันทั้งหมด แต่ถ้าจะฝึกเองก็ได้อยู่เหมือนกัน แต่อาจจะนานหน่อย ถึงจะหวังผลได้ เพราะต้องใช้เวลาสำหรับการลองผิดลองถูกอยู่พอสมควร

    การฝากเนื้อฝากตัวกับครูบาอาจารย์ ถ้าได้ครูที่สอบอารมณ์เราได้ ชำนาญในเจโตปริยญาณ อย่างนี้สะดวกมาก บางทีไม่ต้องอ้าปากถาม ครูจะบอกแก้ได้ก่อนทันที ว่าตอนไหนเราใช้กำลังใจหนักไป ตอนไหนวางกำลังใจเบาไป ได้อย่างนี้การพัฒนาฝีมือของเราก็จะรุดหน้าได้อย่างรวดเร็ว

    เคยอ่านนิตยสารโลกทิพย์ไหมครับ ผมเคยอ่านแล้วอ้าปากค้างเลย เพราะประสบการณ์ทางจิตของเกจิอาจารย์แต่ละท่านนี่ โลดโผนพิสดารเป็นอันมาก แต่นั่นก็เป็นแค่เรื่องเล่า ถ้าอยากจะพิสูจน์ความจริงของความพิสดารพันลึกของปรากฏการณ์ทางจิตอย่างท่านพระเกจิอาจารย์บ้าง ก็ไม่มีทางเลือก นอกจากจะต้องฝึกปฏิบัติด้วยตัวเอง ก็จะได้รับรู้ รับทราบด้วยตัวเองได้อย่างดี

    เหนือไปกว่านั้น กล่าวกันว่า หากได้ครูบาอาจารย์ที่ไม่มีขันธ์ 5 มาสอนให้ อันนี้จะสุดยอดมาก แต่ก็ต้องเลือกครูด้วยนะครับ เพราะครูฝ่ายโลกีย์ท่านก็ยังมีพวกมิจฉาทิฐิ และสัมมาทิฐิอยู่ แต่ถ้าได้พบครูที่เป็นพระอริยเจ้า อันนี้สบายเรา เพราะท่านจะไม่บอก ไม่สอนอะไรที่นอกลู่นอกทางแน่ๆ

    แต่สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่อยู่ที่อภิญญาสมาบัติ เพราะที่ชมรมนี้ ที่บอร์ดนี้ (ส่วนมาก) เราไม่ได้หวังมนุษยโลก เทวโลก หรือพรหมโลก สิ่งที่ชมรมนี้ ที่บอร์ดนี้(ส่วนมาก) ต้องการคือ นิพพาน ใช่ไหมครับ ดังนั้น แนวทางที่แต่ละท่าน แต่ละสมาชิกได้ถือปฏิบัติกันอยู่ ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ดีด้วยกันทั้งสิ้น

    การถอดจิต ไม่ต้องมีอะไรยุ่งยากเลยครับ ในส่วนของมโนมยิทธิ เดี๋ยวนี้มีการเรียนการสอน โดยปรับใหม่ให้ลดกำลังส่วนหน้าลง ใช้เพียงแค่อุปจารสมาธิก็ใช้การได้แล้วครับ จะเห็นได้ว่าง่ายมากๆ

    เวลาไปเรียนกับครู เช่นที่บ้านสายลม ครูมักพาพวกเราไปเที่ยวที่ดาวดึงส์ ไปชมพระจุฬามณีเจดีย์สถาน บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ นะครับ เขาก็ไปกันได้เป็นปกติ อันนี้คือการถอดจิตไปกันที่อุปจารสมาธิ

    สิ่งที่น่าสนใจสำหรับผมคือ การหาวิธีที่จะทำอย่างไรให้สามารถเอากายเนื้อ กายหยาบทั้งกายขึ้นไปที่เทวโลกได้โดยตรง ไม่อยากไปเพียงแค่จิต ซึ่งการทำอย่างนี้ต้องอาศัยกำลังของอภิญญาใหญ่เพียงสถานเดียวถึงจะทำได้ ถ้าจะถามว่าต้องการทำแบบนั้นไปทำไม? ก็ต้องตอบว่าเป็นความสะใจส่วนตัวมากกว่าครับ

    แต่อย่างว่า การจะเอากายเนื้อทั้งกายขึ้นไปเทวโลกนี่ ต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดจริงๆ ต้องมีความชำนาญในสมาบัติอย่างมาก ยังไม่ทราบชาตินี้จะมีโอกาสทำได้หรือเปล่า ถ้าทำไม่ได้ในชาตินี้ คงหมดโอกาส เพราะหวังไว้ว่าชาตินี้อยากให้เป็นชาติสุดท้าย (หวังไว้สูง แต่จะทำได้อย่างที่หวังหรือไม่ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง)

    ในช่วงปีใหม่ ผมก็ไม่ได้ไปเคาท์ดาวน์ที่ไหนกับเขา เพียงแต่ตั้งใจว่าจะปฏิบัติกรรมฐานข้ามปี เข้าไปอยู่ในฌานช่วงรอยต่อระหว่างปี คงจะเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ

    สุดท้ายนี้ ขออนุโมทนากับการปฏิบัติของทุกท่านในบอร์ดและเจริญในธรรมทุกท่านครับ
     
  11. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
    การเข้าฌานสมาบัติมันไม่ใช่ดั่งที่คุณเข้าใจครับ ห้องนี้ที่ไม่มีคนค่อยเข้ามาเพราะว่า การขึ้นไปเที่ยวชมจุฬามณีแล้วบอกว่า ตนเองไปถึงพระนิพพานนั้น มันขัดแย้งกับพระธรรมคำสั่งสอนของคถาคตครับ ฌานพุทธที่ได้นั้นจะต้องถอยไม่ได้ พระอาจารย์มั่นเคยกล่าวไว้
    ส่วนวิชาที่พวกคุณฝึกเจริญกรรมฐานแล้วบอกว่าคือดินแดนพุทธภูมินั้น ถ้าได้จริง คุณต้องลองสื่อสารกับภพภูมิต่ำๆนั้นได้ เช่น เจ้าที่ พระภูมิ ที่อยู่ติดกับของเรานะครับ แต่ส่วนใหญ่จะทำไม่ได้ นั่นแสดงถึงการขัดแย้งในหลักของความเป็นจริง เปรียบเหมือนคุณเดินไปบนยอดเขา คุณต้องผ่านตีนเขา คุณต้องมองตีนเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เมื่อคุณอยู่บนยอดเขา แต่ความจริงคุณบอกว่าคุณอยู่บนยอดเขา แต่ไม่สามารถมองเห็นตีนเขา ใครเขาฟัง ก็ต้องเกิดคำถามขึ้นในใจว่า จริงๆแล้ว คุณอยู่บนยอดเขาจริงหรือไม่ครับ พระที่ได้ฌานสมาบัติต่างๆ เช่น ศิษย์หลวงปู่มั่นทุกรูป สามารถสื่อสารกับภพภูมิต่ำๆได้หมดทุกคนครับ แต่อย่างว่าทิฐิที่เกิดขึ้นในใจย่อมแก้ยาก ดั่งคำสอนหลวงปู่มั่นที่สอนหลวงปู่แหวนตอนเป็นลูกศิษย์ใหม่ๆว่า "ติดดีนี้ แก้ยากกว่าติดชั่วเสียอีก"

    ขอให้เจริญในธรรม
     
  12. NICKAZ

    NICKAZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +812
    ขอขอบคุณ คุณคุรุวาโรเป็นอย่างยิ่งครับ ที่ได้กรุณาตักเตือนและแนะนำไว้ ณ ที่นี้ ในโอกาสหน้า หากมีสิ่งใดที่จะกรุณาแนะนำอีก ขอเรียนเชิญนะครับและขอน้อมรับไว้ด้วยความขอบคุณต่อไป
     
  13. ศุภกร_ไชยนา

    ศุภกร_ไชยนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    627
    ค่าพลัง:
    +1,122
    ติดตามอยู่คับ
     
  14. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
    การถอดจิตออกจากกายนั้น ต้องได้เห็นกายเนื้อของตนเองครับ จึงจะถือว่าไม่ใช่อุปทานครับ ลองเจริญกรรมฐานดูนะครับ ว่าคุณสามารถมองเห็นกายเนื้อขณะที่ออกจากกายใหม่ๆได้หรือไม่ ภาวะภวังค์นั้นเกิดเหตุการณ์ต่างๆได้อย่างมากมายครับ

    ขอให้เจริญในธรรม
     
  15. constantin4115

    constantin4115 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +22
    ห้องสารภาพบาป

    ก่อนอื่นผมต้องผมต้องขอโทษคุณ"NICKAZ"เป็นอย่างมากก่อนน่ะครับ ที่ผมขอโทษนี่ ไม่ใช่อะไรหรอก บางทีผมก็รู้สึกว่า เอ!!! เราทำถูกหรือเปล่าหนอ จากการเข้ามาคุยครั้งที่2ของผม ผมเพียงอยากรู้จักความคิดและแนวทางของคุณมากกว่านี้เท่านั้น การตั้งคำถามของผม ผมก็ตั้งไปงั้นๆแหละ ผมไม่นับว่ามันจะเป็นสาระอะไรมากหรอก

    ผมเพียงอยากดูทัศนะคติของท่านให้มากนี้เท่านั้น เพราะเวลาผมคุยกับใคร ผมมักพยายามทำความเข้าใจในแนวทางความคิดของเขาให้มากที่สุด จะได้วิเคราะห์ว่า ตัวตนจริงๆของเขาเป็นคนอย่างไรกันแน่ อันนี้ขอสารภาพบาปจริงๆครับ แต่คิดว่าด้วยความไม่มีเจตนาร้าย คงไม่เป็นบาปแก่ผมมากเกินไป อิอิ

    และอีกอย่าง ที่ท่านได้ยกคำตอบผมมาแสดงไว้ ผมอยากบอกอย่างนี้ดีกว่านะครับ จริงๆแล้วผมเพียงแค่นึกสนุก อยากตอบแบบขำๆเท่านั้น เพราะผมเคยเห็นเจ้าของกระทู้เขาตั้งคำถามไว้หลายครั้งแล้ว ซึ่งบางทีผมคิดว่ามันเป็นคำถามแบบเด็กๆ หรือคนที่ไม่ค่อยรู้อะไรมากเท่าไหร่ ผมก็เลยอยากร่วมแจม

    เผื่อว่ามันจะมีอะไรที่มันดูแล้วขำๆ และสิ่งที่ผมตอบ ผมก็เพียงยกเอาอารมณ์เมื่อ14-17ปีที่แล้วมาตอบ เพราะตอนนั้นมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ถ้ามองโดยปัจจุบัน บางอย่าง ผมก็คิดว่ามันไร้สาระพอสมควร และที่ท่านได้กรุณาแนะนำในเรื่องของการถอดจิต จริงๆแล้วผมเคยทำดูหลายครั้งน่ะครับ บางครั้งก็เป็นผลดีพอสมควร

    แต่มันยังเป็นสิ่งที่ผมยังไม่ประทับใจ เพราะผมคิดว่า ถ้าคนที่ไม่ชำนาญพอจริงๆ อาจจะโดนอุปปาทานหรอกเอาได้ง่ายๆ และบางครั้ง มันเป็นสิ่งที่ตัวเราเองพิสูจน์ได้ยาก แต่ถ้าคุณเคยทำได้ คุณก็น่าจะพอรู้น่ะครับว่า ระหว่างการส่งจิตออกไปดู กับการถอดจิตแบบเต็มๆเลย มันมีความแตกต่างกันพอสมควร

    จริงๆแล้วผมประทับใจในคำตอบของท่าน"คุรุวาโร"มากเลยน่ะครับ มันบ่งบอกถึงว่าท่านเคยสัมผัสสิ่งนั้นมาจริงๆ ไม่ใช่เป็นการอนุมาณเอา เพราะคนที่เคยทำได้จริงๆ มันต้องพิสูจน์กับตัวของเขาเองได้ ก็คงจะเหมือนที่ท่านคุรุวาโรกล่าว

    ถึงเรื่องตีนเขา กับยอดเขานั้นล่ะครับ ถ้าอยู่บนยอดเขาแต่ไม่รู้เรื่องตีนเขาก็คงจะน่าแปลก อิอิ จริงๆแล้วผมก็แอบอิจฉาคุณNICKAZอยู่เหมือนกันน่ะครับ ปฏิบัติแบบสบายๆ แต่ได้ผลที่ดีเป็นอย่างยิ่ง ผมก้มหน้าก้มตาทำอยู่ตั้งนานยังไม่ค่อยจะได้เรื่องซักเท่าไรเลย คือที่ผมทำอย่างนั้น มันเป็นเพราะผมเชื่อในครูบาอาจารย์ของผมเหมือนกันแหละครับ

    ตั้งแต่ตอนที่ผมเริ่มฝึกเลย ท่านบอกให้ก้มหน้าก้มตาฝึกไปก่อน อย่าพึ่งถามมาก เพราะถามในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ ยังไงมันก็ไม่รู้อยู่ดี มันต้องปฏิบัติให้เจอก่อนแล้วค่อยถาม ท่านบอกผมให้ทดลองความอดทนตัวเองให้ถึงที่สุดดูซะก่อน ถ้าเราทดสอบกำลังใจของตัวเองถึงที่สุดแล้ว เราจะได้รู้ว่า ความเป็นสายกลางของ

    เรามันอยู่ตรงไหน หรือขนาดไหนถึงจะพอดีกับเรา ถ้าเราทำแบบสบายๆมาก่อน แล้วมาเจอบทหนักๆ ท่านว่าบางครั้งเราอาจจะรับไม่ได้ แต่ถ้าเราเจอแบบหนักๆมาแล้ว มาเจอเรื่องสบายๆ ท่านว่าอันนั้นมันจะทำให้เราอยู่สบายได้ยิ่งขึ้น นั่นล่ะครับคือสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนผมมาแต่แรก ถึงผมจะทำแบบไม่ได้เรื่องซักเท่าไร

    แต่มันก็ทำให้ผมพิสูจน์ในหลายเรื่องที่ผมสงสัยได้เหมือนกันน่ะครับ แล้วเรื่องที่คุณNICKAZบอกว่าเราฝึกจิตไม่ใช่ฝึกกาย ข้อนี้เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งครับ แต่มันมีข้อเพิ่มเติมอีกนิดน่ะครับ คือต้องบอกว่าเราต้องการผลอย่างไรดีกว่าครับ ถ้าเราต้องการผลของทางปัญญา อริยาบท4 ได้ตลอดครับ แต่หวังผลทางอภิญญา

    ผมว่าการนั่งก็ยังมีส่วนสำคัญมากน่ะครับ บางครั้งเราอย่าลืมน่ะครับว่า เราอยู่กับร่างกายของเรามากี่ปี ถ้าร่างกายของเราไม่สงบถึงที่สุด จิตของเราก็ยากที่จะสงบถึงที่สุดได้ อันนี้ผมกล่าวในฐานะว่าคนกำลังฝึกน่ะครับ แต่ถ้าชำนาญแล้ว ส่วนนี้ก็คงจะเป็นเรื่องไร้สาระไป อิอิ วันนี้ว่างครับเลยนั่งร่ายซะยาวเลย 555

    ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ก็ขอให้คุณNICKAZจงไปเหยียบพรหมโลกด้วยกายเนื้อไวๆน่ะครับ แล้วอย่าลืมแวะมาเหยียบหลังคาบ้านผมให้เป็นสิริมงคลมั่งล่ะ(deejai)ขอให้ท่านคุรุวาโร และทุกๆท่านจงมีแต่ความสุข ความเจริญ นึกถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เป็นไปโดยชอบ ประกอบด้วยธรรมแล้วไซ้ ก็ขอให้ทุกๆท่านสมความมุงมาดปราถนาด้วยน่ะครับ สาธุ ( อวยพรแต่เนิ่นๆเลยครับ เผื่อไม่ได้เข้ามาอีก(deejai)
     
  16. constantin4115

    constantin4115 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +22
    เห็นด้วยกับท่าน"คุรุวาโร"น่ะครับ เพราะการถอดจิตออกจากกายได้
    นั้น มันต้องเห็นกายที่เรียกว่าจิตด้วย และเห็นกายที่เป็นกายเนื้อด้วย
    ถึงจะเรียกว่าถอดได้ เหมือนดั่งที่พระพุทธเจ้าท่านทรงเปรียบไว้ว่า งู
    คืออย่างนึง และคราบของงู คืออีกอย่างนึง แต่ตัวงูก็ออกมาจากคราบ
    ของงูนั้น จึงเห็นด้วยประกาละฉนี้แล
     
  17. NICKAZ

    NICKAZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +812
    เข้ามาเสริมเล็กน้อย

    วันนี้เปิดคอมมาเช็คอีเมลล์เรื่องงาน แล้วตงิดๆในใจ ว่าในบอร์ดนี้จะมีอะไรๆน่าสนใจ พอเข้ามาดู ตายล่ะวา กระทู้นี้ที่เคยจะคุยกันเรื่องการอบรมจิตที่ภายใน กลายเป็นว่ามีประเด็นเรื่องการถอดจิตเข้ามาเกี่ยวด้วย แต่นับว่าดีที่ทำให้มีความหลากหลายทางความคิดเกิดขึ้นในกระทู้ แต่ก็ต้องขอเข้ามาจัดการเกี่ยวกับความเชื่อมโยงของประเด็นสักเล็กน้อย

    คุณ constantin4115 อย่าได้หนักใจในเรื่องใดๆ อย่างนั้นเลยครับ อย่างที่ผมคุยกับคุณมหาหิงค์นั่นล่ะว่าเรื่องของการปฏิบัติ ไม่ควรจะมาเปรียบเทียบกัน เพราะจริตของใครก็เป็นจริตของคนนั้น ทางที่ดี ไม่ควรจะต้องสนใจเรื่องราวของผู้อื่น สิ่งที่ควรทำคือควรมุ่งมั่นฝึกตัวเองเพื่อพัฒนาไปเรื่อยๆ อย่างนี้จะดีกว่า (เรื่องนี้ผมคิดของผมเองนะครับ) ไม่มีใครถูก ไม่มีใครผิด ไม่มีใครมีสาระ ไม่มีใครไม่มีสาระหรอกครับ การยึดถือตามที่ครูบาอาจารย์ถ่ายทอดมา นั่นล่ะดีที่สุด ที่ยุ่งวุ่นวายกันอยู่ในทุกวันนี้ เห็นจะมาจากพวกที่ไม่เชื่อครู ปฏิบัตินอกครูเสียเป็นส่วนมาก

    การถอดจิต ผมอาจจะละเลยไปเพราะเห็นว่ายังไม่ใช่ประเด็นที่ผมสนใจในกระทู้นี้ แต่เห็นมีคุยกัน งั้นผมขอคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันด้วยคนดีกว่า เรื่องการถอดจิต ตามที่คุยกันข้างต้น สำหรับผมเคยเล่าเรียนมาในหลักสูตร
    มโนมยิทธินะครับ ตามสายของหลวงพ่อฤษีวัดท่าซุง เรื่องนี้ตามหลักสูตรจะมีอยู่สองแบบ คือแบบครึ่งกำลัง (ไปด้วยกำลังอุปจารสมาธิ)และแบบเต็มกำลัง(ไปด้วยกำลังของฌาน 4) ไปได้เหมือนกัน แต่ความแจ่มชัดในการรับรู้ต่างกัน อย่างที่ทราบกันล่ะครับว่า เปรียบเหมือนมีห้องสองห้อง ในชั้นล่างและชั้นบน มองวิวทิวทัศน์ได้เหมือนกัน แต่ชั้นสูงกว่า ก็จะมองได้กว้างขวางกว่าเป็นธรรมดา

    อย่างที่คุณคุรุวาโรกล่าวไว้อย่างนั้นเลยครับ ว่าการถอดจิต (ไม่ใช่การใช้ทิพยจักขุญาณที่เป็นหลักสูตรของเตวิชโช) จะต้องมองเห็นตัวตนของผู้ถอดด้วย ทั้งกายเนื้อ กายละเอียด รวมทั้งการติดต่อสื่อสารต่างๆ จะต้องทำให้ได้ ทั้งจากชั้นต่ำ ไปถึงชั้นสูง อันนี้เป็นหลักสูตรของฉฬภิญโญอยู่แล้ว ที่พึงจะปฏิบัติกัน ผมจึงไม่ต้องมีอะไรจะกล่าวเสริมท่านอีกแล้ว และก็เลยเชียร์ให้ท่านเข้ามาให้ความรู้กันอีกเรื่อยๆ

    เท่าที่อ่าน คุณ constantin4115 มีประเด็นในเรื่องของอุปทานที่จะเกิดมีขึ้นเวลาที่จะถอดจิต ที่เล่าให้ฟังว่า มุ่งมั่นจะไปด้วยกำลังของฌาน 4 ให้ได้ สำหรับผมมองว่า การถอดจิต สำคัญที่วิปัสสนาญาณของเราเข้มข้นพอแล้วหรือยัง ถ้าวิปัสสนาญาณของเราเข้มแข็ง อุปทานก็จะมีน้อยลงมา แต่ถ้าเมื่อไหร่ยังมั่วๆอยู่ อุปทานก็จะเกาะติดได้มากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม อุปทานก็จะมีอยู่ตามปกตินั่นล่ะครับ ตราบใดที่เรายังไม่บรรลุอรหันตผล

    ผมมีประเด็นจะแลกเปลี่ยนกัน ในเรื่องการเช็คเรื่องอุปทานและความเท็จจริงของการถอดจิตนี้ ที่เคยใช้ได้ผลดี รู้ผลได้ด้วยตัวเองและให้ความสนุกสนานเพลิดเพลินอีกด้วย

    ปกติแล้วในชั้นโลกีย์อย่างผม (ชั้นโลกีย์ ไม่ใช่ชั้นโลกุตร มีได้ มีเสื่อมกันเป็นเรื่องปกติวิสัย กำลังใจถึงก็ทำได้ กำลังใจอ่อนลงก็เสื่อม ต้องรวบรวมกำลังใจใหม่ ถึงจะทำได้อีก) ไม่มีอะไรมาก สิ่งที่ต้องทำเป็นปกติคือการที่จะต้อง ซ้อม ซ้อม ซ้อมและซ้อม เพื่อความคล่องแคล่ว ไม่งั้นจะมีความฝืด เนื่องจากเรื้อเวที แต่การเช็คว่าการซ้อมแต่ละครั้ง มีอุปทานเข้ามาสอดแทรก ทำให้ข้อเท็จจริงเบี่ยงเบนไปมากน้อยแค่ไหน ก็ยังมีวิธีที่ให้เล่นกันครับ

    ผมใช้วิธีเดินเข้าไปดู (ด้วยจิต) ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยสักที่หนึ่ง ไปถึงแล้วก็ทำการสำรวจสภาพให้ทั่ว แล้วจดจำไว้ว่า มีอะไร สิ่งใดบ้างอยู่ตรงไหน หลังจากกลับมาแล้ว ก็จดบันทึกไว้ วันหน้าวันหลัง หาโอกาสเดินทางไปสถานที่นั้นอีกสักครั้ง เอาบันทึกที่จดไว้มาดูว่าที่จดไว้นั้นเป็นจริงกับสถานที่จริงๆ ของที่นั่นหรือไม่

    อย่างนี้ตรวจสอบได้ทันที ว่าเรามีอุปทานครอบงำแค่ไหน ถ้าครั้งใดที่เราจดมานั้นตรงกับความจริงส่วนมาก แสดงว่าใช้ได้ แต่ถ้าครั้งไหนข้อมูลที่ได้มาชักจะมั่วแล้ว แสดงว่าวิปัสสนาในช่วงนั้นยังอ่อนไป จะต้องเพิ่มความเข้มข้นของวิปัสสนากรรมฐานเข้าไปอีก เป็นต้น

    วิธีการนี้ผมว่าได้ทั้งความสนุกและเพลิดเพลิน ไม่ต้องไปไหนไกลหรอกครับไปเที่ยวในประเทศให้ทั่วถึงก่อน แล้วขยับไปต่างประเทศบ้างก็ได้ หนักหน่อยออกไปนอกโลกไปเที่ยวดวงจันทร์ ดาวเคราะห์ต่างๆ ก็ได้ หากมั่นใจในความแน่นอนของจิตแล้วแล้วค่อยไปที่ไกลมากๆอย่างนรก สวรรค์ต่อไป

    ที่สำคัญเป็นการฝึกซ้อมที่สนุกและสอดคล้องกับแนวของครูที่กำชับให้หมั่นฝึกซ้อมอยู่ตลอดเวลา (คงจะเห็นว่าผมเป็นพวกขี้เกียจ รักความสบายก็เป็นได้ เกรงว่าจะเอาดีไม่ได้ จึงต้องเอาเรื่องฤทธิ์ เรื่องเที่ยวมาล่อให้สนใจฝึกกรรมฐาน)

    ที่สำคัญที่สุดสำหรับผม ไม่ใช่การส่งจิตออกภายนอก แต่อยู่ที่การอบรมจิตที่ภายในมากกว่า หน้าที่ที่พึงปฏิบัติของฉฬภิญโญ คือการอาศัยกำลังของจิตที่มีกำลังจากการฝึกมาอย่างดีแล้ว พิจารณาความจริงของธรรมชาติ เพื่อให้บังเกิดญาณที่สำคัญคือ อาสวักขยญาณ ต่อไป อันเป็นเป้าหมายสำคัญที่สุด เพื่อนำไปสู่จุดมุ่งหมายเพื่อการจบกิจของการฝึกในที่สุด

    การฝึกอบรมจิตจากภายใน จำเป็นต้องทบทวน ขึ้นลงฌานจากต่ำมาสูง สูงมาต่ำ สลับกันไปมาให้คล่อง ในแต่ละแดนก็จำเป็นต้องสำรวจตรวจสอบให้ครบถ้วนทุกซอกทุกมุม เปรียบเสมือนเราทำการสำรวจอาณาเขตในความรับผิดชอบของเรา ที่จะต้องทำความรู้จักกับพื้นที่ให้หมดทุกซอกทุกมุม การทำความรู้จักกับทุกแดนของฌาน ก็เพื่อประโยชน์ในการนำใช้งานในโอกาสที่จำเป็นนั่นเอง

    จิตใจนั้นเป็นสิ่งที่เร้นลับ ขนาดทำการสำรวจแบบนี้แล้ว ก็ยังมีซอกมุมซ่อนเร้น ให้ทำความรู้จักอีกมาก แต่ก็เป็นวิสัยของพวกเรา ที่สนใจแนวฉฬภิญโญ ที่จะต้องเล่นในเรื่องฌานและทำความรู้จักกับจิตของเรากันต่อไป ตราบเท่าที่ อาสวักขยญาณ ยังไม่บังเกิดขึ้น

    ในที่สุด ผมก็นำเอากระทู้เชื่อมโยงมาเข้ากับหัวข้อได้อีกครั้ง (เล่นเอาบรรยายความเสียเมื่อย) ขอขอบคุณ คุณconstantin4115 ที่ได้อวยพรให้ผมได้เดินทางไปต่างโลกด้วยความมีสวัสดิภาพ ยังไงๆ ถ้าถอดจิตด้วยฌาน 4 คล่องแล้ว อย่าลืมมาเที่ยวที่ใจผมบ้างนะครับ อย่างที่บอกไว้ในตอนต้น ผมเปิดไว้ให้ดูอยู่ตลอด ไม่เคยปิดไว้แต่อย่างใด ซึ่งสมาชิกท่านใดที่มีฌานญาณที่แจ่มชัด (ในนี้ก็มีอยู่หลายท่าน) ดูแล้วคงจะบอกว่า ไม่มีอะไรเลยนี่หว่า เสียเวลาเปล่า ก็เป็นได้ แต่ก็อย่าไปงงงันอะไรมากนักเลย ถือเสียว่า มาเยี่ยมเยียนบ้านเพื่อนฝูงกัน ก็แล้วกันครับ

    ไปล่ะครับ จากนี้ไป หากจะหาโอกาสเข้ามาหาความรู้จากทุกท่านในบอร์ดอีก ก็คงจะเป็นปีหน้าเลย ช่วงนี้ต้องทำตามคำสั่งของครูครับ สำหรับคนขี้เกียจที่จะต้องถูกกำชับให้หมั่นฝึกซ้อมตลอดเวลาถือเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องพบเจอ

    สุดท้ายนี้ขอให้สมาชิกบอร์ดทุกท่านมีความสุขสวัสดีตลอดปีใหม่ 2555 และเจริญในธรรมทุกท่านครับ
     
  18. นายตถาตา

    นายตถาตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2010
    โพสต์:
    829
    ค่าพลัง:
    +705
    คุณ NICKAZ ถ่อมตัวอยู่เรื่อยนะครับ ขออนุโมทนาบุญกับการปฏิบัติของคุณด้วยนะครับ ที่ปฏิบัติจริงโดยมีประสพการณ์จริง มิได้อิงตามตำราเหมือนบางคนที่ผมรู้จักเพราะเขาคนนั้นเป็นได้แค่หมอเดาสมัครเล่น 555555 เจริญในธรรมและปราศจากความทุกข์ทั้งปวงเถอญ
     
  19. NICKAZ

    NICKAZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +812
    การสื่อสารที่แท้จริงต้องมีการสื่อสารสองทาง

    ขอขอบคุณ คุณตถาตาเป็นอย่างยิ่งที่ได้เข้ามาพูดคุยกันครับ ความจริงผมว่าคุณตถาตานี่ขยันนะครับ กระทู้ทั้งหลายคงผ่านการอ่านมาเกือบทั้งหมด แล้วก็เข้าไปพูดคุยกับเจ้าของกระทู้บ้างตามสมควร อันนี้ผมขอชื่นชมครับ เพราะระหว่างสมาชิกด้วยกัน การมีปฏิสัมพันธ์กันบ้างย่อมเป็นสิ่งที่ดี

    เข้ามาขอบคุณคุณตถาตาที่ได้เข้ามาเยี่ยมชมกระทู้แล้ว เห็นพอจะมีประเด็นที่จะเสริมคุณคุรุวาโรได้สักเล็กน้อย ในแง่การแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับท่านสมาชิก ก็เลยเข้ามาโพสต์ต่ออีกเล็กน้อย

    คุณคุรุวาโรให้ความเห็นว่าการติดต่อสื่อสารระหว่างภพภูมิต่างๆ ควรต้องทำให้ได้ในการติดต่อสื่อสารในทุกระดับ ตั้งแต่ภพภูมิต่ำๆ ไปจนถึงภพภูมิชั้นสูงสุด เรื่องนี้ผมก็มีประสบการณ์ที่จะนำมาแลกเปลียนกันอีกเล็กน้อยนะครับ

    ในหลักสูตรของฉฬภิญโญมีเรื่องให้ได้สนุกเพลิดเพลินอยู่หลายอย่าง บางท่านอาจจะเห็นว่าผมนี่เป็นพวกซุกซนก็ตามทีนะครับ แต่ผมเห็นว่าเราควรเดินทางตามสายกลางดีกว่า ไม่ตึงหรือหย่อนเกินไป การยอมตาย ถวายชีวิต ฝึกกรรมฐานอย่างเอาเป็นเอาตายก็อาจจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็เป็นการสมควรที่จะต้องมีการพักผ่อนหย่อนใจกันบ้าง เพื่อเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศของการฝึก ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ย่อมขึ้นอยู่กับจริตของแต่ละท่านที่เหมาะสมกับวิธีการที่แตกต่างกันนะครับ

    เรื่องของเรื่องคือการฝึกกรรมฐานในหมวดฉฬภิญโญ ที่ผมเห็นว่าสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้จริงในชีวิตประจำวันและให้ความสนุกสนานเพลิดเพลินด้วย คือการฝึกในส่วนของทิพยโสตญาณ คือความรู้ที่เปรียบเสมือนมีหูที่เป็นทิพย์น่ะครับ ไม่ใช่การฝึกให้เรามีหูทิพย์นะครับ เพราะคนธรรมดาอย่างเราจะมีตาทิพย์ หูทิพย์นั้นเป็นไปไม่ได้

    ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะการติดต่อสื่อสาร จำเป็นต้องฟังให้ได้ก่อนว่าเขาพูดอะไร ถึงจะคุยกับเขาได้รู้เรื่อง เหมือนกับการหัดพูดภาษาอังกฤษนั่นล่ะครับ เราจำเป็นต้องฟังให้ออกก่อนว่าฝรั่งเขาพูดว่าอย่างไร แล้วถึงหัดออกเสียงตามเป็นคำๆ แล้วเอามาผสมเป็นประโยค พูดสื่อสารกันได้ในที่สุด

    ในส่วนของการฝึก ถ้าว่ากันตามวิสุทธิมรรคท่านบอกว่าให้เข้าฌาน 4 ในกสิณกองใดกองหนึ่งจนเป็นอุเบกขาและเอกัคคตารมณ์แล้ว ถอยลงมาที่อุปจารสมาธิ กำหนดจิตรับฟังเสียงต่างๆ เริ่มต้นให้ฟังเสียงดังๆก่อน พอฟังได้ชัดเจนแล้ว ค่อยกำหนดจิตรับฟังเสียงที่เบาลงไปเรื่อยๆ จนไปถึงเสียงเดรัจฉาน เสียงเปรต เสียงอสุรกาย ไปเรื่อยจนไปถึงรุกขเทวดา อากาศเทวดาและพรหม

    นั่นว่ากันตามวิสุทธิมรรค แต่ในทางปฏิบัติจากประสบการณ์แล้ว ผมว่าไม่จำเป็นต้องใช้ฌาน 4 จากกสิณในการฝึกเพียงอย่างเดียว แต่โดยส่วนตัวแล้วเห็นว่ากรรมฐานกองใดก็ตามที่คุมกำลังจิตให้ถึงฌาน 4 ได้ สามารถเอามาฝึกได้ทั้งหมด โดยเฉพาะฌาน 4 ของอานาปนสติ ใช้ฝึกได้ดีมาก อันนี้จากประสบการณ์นะครับ คงจะแตกต่างกันตามจริด สำหรับท่านอื่นๆ

    การฝึกทิพยโสตญาณให้ความสนุก เพลิดเพลินและเอามาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้เยอะมาก โดยเฉพาะการพัฒนาความฉับไวในการรับฟังของประสาทสัมผัสทางหู ที่สำคัญต้องขยันหมั่นฝึกซ้อมครับ วันๆถ้าว่างๆ ไม่ต้องเจรจาความกับใคร ก็ลองเล่นได้ทันที ซ้อมมากก็คล่องมาก ที่สำคัญลองเอา
    ไปเปรียบเทียบกับสุนัข แมวที่แถวๆบ้านดูเอาก็ได้

    ในทางวิทยาศาสตร์เขาค้นคว้าทดลองกันมาแล้วว่า ระบบประสาทสัมผัสทางหูของสัตว์ต่างๆ เช่นสุนัข แมว ช้าง เสือพวกนี้จะมีประสาทสัมผัสในการรับฟังเสียงได้ดีกว่ามนุษย์ แต่ถ้าลองเป็นมนุษย์ผู้ทรงฌาน และฝึกทิพยโสตญาณมาล่ะก็ รับรองได้ว่าประสาทสัมผัสทางหูของคนเราเหนือกว่าพวกสุนัข แมว ช้าง เสือ แบบกินขาดเลยครับ

    สัตว์ต่างๆพวกนี้ มีการฟังเสียงดีกว่าคนเรา เพราะมีโครงสร้างของหูที่ดีกว่าในการฟังเสียง แต่ผู้ทรงฌาน นอกจากจะใช้ประสาทสัมผัสทางหูรับฟังเสียงแล้ว ยังใช้จิตช่วยในการรับฟังอีกด้วย ดังนั้น ประสาทสัมผัสในการรับฟัง จึงเหนือกว่าบรรดาสัตว์ทั้งหลายที่กล่าวถึงนั่นเอง

    จะเห็นว่าการฝึกทิพยโสตญาณนี่จะสร้างความสนุกเพลิดเพลินและใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้มาก แต่มีข้อระวังอย่างหนึ่ง เวลาถ้าฝึกแล้ว จะไปลองวัดความสามารถในการฟังเทียบกับสุนัขและแมว แถวๆบ้านดู ควรจะฝึกเจโตปริยญาณให้คล่องๆหน่อย จะได้คุยกันรู้เรื่อง อย่างน้อยๆ รับรู้ความรู้สึก อารมณ์ของมันบ้างได้ก็ดี จะได้ทดลองได้สะดวกขึ้นและพิสูจน์กันได้ชัดเจนว่าใครจะฟังเสียงได้ดีกว่ากัน แต่เรื่องนี้ไม่สำคัญ เพราะการฝึกกรรมฐานเราควรจะฝึกอบรมจิตใจจากภายในเพื่อพัฒนาไปสู่จุดหมายตามที่ต้องการ จะดีกว่าเอาเวลาไปสนใจเรื่องอื่นๆ ที่ไม่เป็นสาระสำหรับเรา

    แต่อย่าถามว่าผมฝึกไปถึงขั้นไหนเลยครับ เพราะแท้จริงก็ยังอ่อนหัด แค่ระดับอนุบาล ไม่ใช่ คงแค่ระดับทารกเท่านั้นเอง เพราะจะฟังเสียงแต่ละทีต้องไปที่ฌาน 4 แล้วถอยมาอุปจารสมาธิ จากนั้นถึงใช้กำหนดจิตเพื่อรับฟังเสียงต่างๆ ก็ใช้เวลาไปหลายอยู่ ซึ่งครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า "ยังใช้ไม่ได้" เพราะผู้ชำนาญจริงเขาไม่เสียเวลากันอย่างนี้ เมื่อใดที่อยากฟัง ต้องฟังให้ได้ทันที ดังนั้น สำหรับผมคงไม่ต้องทำอะไรมาก นอกจากจะต้อง ซ้อม ซ้อม ซ้อมและซ้อมต่อไป จนกว่าจะทำได้ในระดับที่ท่านทั้งหลายในวงการเห็นว่า "ใช้ได้" ต่อไป

    แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันเท่านี้ก่อนครับ และต้องขอตัวไปฝึกปฏิบัติเพิ่มเติมต่อไป เพื่อความมุ่งหมายที่สำคัญคือ การทำให้ "อาสวักขยญาณ " ก่อเกิด เพื่อไปให้ถึงจุดจบของภารกิจที่สำคัญของการฝึกตัวเองต่อไปในที่สุด อันเป็นหน้าที่หลักของฉฬภิญโญที่ต้องถือปฏิบัติ

    ปล.แก้ไขคำผิดครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มกราคม 2012
  20. constantin4115

    constantin4115 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +22
    สวัสดีปีใหม่ครับ

    ดีใจด้วยนะครับ อย่างน้อยก็ยังมีคนที่พยายามปฏิบัติ และสามารถทำได้ รอบนี้คงไม่มีอะไรเสริม แค่แวะเข้ามาทักทาย เพราะคิดว่า จขกท น่าจะมีความรู้และความสามารถพอสมควร หางอึ่งอย่างผมเลยไม่รู้จะเสริมอะไร 555

    ก่อนหน้านี้เคยคิดว่าจะเข้ามาคุยด้วยอีกรอบ แต่มานั่งคิดดู รู้สึกว่ามันไร้สาระสำหรับตัวเอง เพราะถ้ากล่าวขึ้นมา มันต้องยกตัวเองขึ้นมาด้วย เลยรู้สึกว่าอีโก้หรือความอยากอวดมันได้เริ่มขึ้นแล้ว เลยตัดสินใจไม่คุยต่อดีกว่า อิอิ

    สนุกกับการปฏิบัติต้อนรับปีใหม่นะครับ:cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...