พ่อแม่สามีซึ่งเป็นชาวต่างชาติหัวเราะดิฉันเวลาตักบาตร

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย samaice, 17 ธันวาคม 2011.

  1. naron

    naron เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2009
    โพสต์:
    2,515
    ค่าพลัง:
    +3,573
    ให้กำลังใจจ้า
    ลองดื่มดูจ้า ตามเขาบ้าง แล้วบอกเขาว่าแพ้ อะไรก็ว่าไปครับ
    เขารู้ก็จะไม่กวนเลยครับ
    หลายเรื่อง ต้อง ตามเขาบา้งครับ เพราะเขาเป็นเจ้าบ้าน อิอิอิอิ
    อย่าขัดชะทุกอย่างนะครับ เขาจะรังเกียจเอาง่ายๆนะครับ
     
  2. ธานะ

    ธานะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +113
    :cool:รักษากําลังใจเราให้ดีครับ เราบอกเค้าแล้วไม่ทําก็วางอุเบกขา อีกอย่างคําว่าตักบาตรเป็นกริยาของการเอาออก ควรใช้คําว่าใส่บาตรดีกว่าครับ
     
  3. taxrefund

    taxrefund เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +234
    ...the poeple around you are the best teachers for you to practice dhamma, please take adventage of the situation...
     
  4. Chang_oncb

    Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    12,276
    ค่าพลัง:
    +80,027
    เนื้อคู่กัน บุญกุศลต้องเท่าเทียมกัน

    ครูบาอาจารย์สอนเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็น อายุ สั้นหรือยาว วรรณโณ ผิวพรรณหน้าตาจะผ่องใสงดงาม หรือน่าเกลียด สุขขัง ความเป็นอยู่จะเป็นสุขหรือทุกข์ พะลัง หมายถึง สุขภาพร่างกาย แข็งแรงหรือเจ็บป่วย ไม่เป็นโรคก็เป็นลาภอันประเสริฐ
    ครูบาอาจารย์สอนเอาไว้ ทั้งหมดทั้งมวลอยู่ภายใต้อำนาจของ “บุญและกุศล”
    และ “อบุญอกุศล” ด้วยเหตุฉะนี้ หลวงพ่อฤาษีลิงดำจึงได้เน้น ลูกศิษย์ของท่านว่าแม้ไม่มีเงินจะทำบุญเห็นคนอื่นเขาทำบุญ กล่าวโมทนา ก็ได้บุญเท่ากับเขา เมื่อลูกศิษย์ของท่านทุกคนกล่าวโมทนาบุญของกันและกัน บุญจะเท่าเทียมกัน เมื่อเท่าเทียมกัน ถ้าไปสวรรค์ชั้นดุสิต ก็ไปดุสิตด้วยกัน ไปนิพพานก็ไปนิพพานด้วยกัน
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เคยยกตัวอย่าง ของคนที่เคยเป็นเนื้อคู่กันและแต่ละคู่นั้นมิได้หมายความว่า เคยเป็นเนื้อคู่กันมาเป็นครั้งแรก และก็มิได้หมายความว่าแต่ละชาตินั้นจะเกิดเป็นมนุษย์เสมอไป เวียนว่ายเป็นเนื้อคู่กันทั้งคนและสัตว์หลายภพหลายชาติ ตัวอย่างคนเนื้อคู่แต่ปางก่อน แต่ทำบุญ ทำกุศลไม่เท่าเทียมกัน ทำให้ชาตินี้
    อยู่ในเมืองหลวงเหมือนกัน แต่อีกคนอยู่ในสลัม อีกคนเป็นลูกเศรษฐี
    มีการศึกษาเหมือนกันอีกคนจบเมืองนอก อีกคนจบปริญญาเมืองใน
    มีงานเหมือนกันอีกคน เป็นพนักงานขับรถ อีกคนเป็น ผู้อำนวยการ
    มีตำแหน่งเหมือนกันแต่อีกคนเป็นหัวหน้า อีกคนเป็นลูกน้อง
    อยู่ในบ้านหลังเดียวกัน แต่อีกคนเป็นเจ้าของบ้าน อีกคนเป็นหญิงรับใช้
    เกิดมาพร้อมกันอีกคนเป็นชาย และอีกคนก็เป็นชาย
    ความไม่เท่าเทียมกัน ทำให้เกิดความทุกข์ พระท่านจึงได้ให้ศีลให้พรหลังจากทำบุญทุกครั้งว่า “ขอให้เพียบพร้อมด้วย อายุ วรรรณะ สุขะ และพละ”
    [www.marateebook.com]
     
  5. ชัยบวร

    ชัยบวร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2011
    โพสต์:
    928
    ค่าพลัง:
    +1,642
    เข้าใจครับ ก่อนอื่นคุณก็ต้องศึกษาและเข้าใจในพระพุทธศาสนาให้ดี ๆ พระพุทธศาสนาเป้นศาสนาแห่งปัญญานะครับ ไม่เหมือนศาสนาอื่นที่เป็นศาสนาแห่งศรัทธาอย่างเดียว คุณจะต้องอธิบายให้สามีคุณเข้าใจ อย่างง่าย ๆ และลองหยั่งเชิงความคิดและภูมิธรรมของเขาสักหน่อยว่าเขาและแม่สามีมีภูมิมากน้อยแค่ไหน และลองดูสิว่าสิ่งที่เขาพยายามให้เรายอมรับนะ เป็นระบบความคิดเชิงวิทยาศาสตร์หรือเป็นศาสนาของพวกฝรั่ง คือศาสนาคริสต์ จริง ๆ แล้วฝรั่งมานับถือพุทธเยอะเยอะมากมาย เพียงแต่คุณไปเจอคนประเภทนี้เข้าเท่านั้น ถ้าเป็นเชิงวิทย์คุณก็สามารถอธิบายได้เลยว่าพุทธเป็นความจริงแท้แบบเดียวกับวิทยาศาสตร์ต่างแต่บางจุดเท่านั้น แต่ถ้าเป็นศาสนาคริสต์ละก็คุณโต้กลับได้เลยว่า ศาสนาของฝรั่งเหลวไหวมากกว่าอีก มีแต่ความเชื่ออย่างเดียว และไม่ได้เป็นอิสระอย่างที่พวกเขาเข้าใจ เพราะอะไร ๆ ก็อ้างว่าพระเจ้าสร้างบ้าง ทั้ง ๆ ที่ไม่เป็นความจริงเลย จะอ้างว่าความคิดต่างกันไม่ได้ เพราะไม่ใช่เหตุที่แท้จริง ผมเคยโต้กลับไปแล้วก็มี จนเขาไม่กล้าเอ่ยเรื่องนี้เลย...ผมคิดว่าไม่เหมาะสมแน่ ถ้าจะบอกกล่าวกันในนี้เพราะการใช้คำพูดในการพูดคุยอธืบายจะดีกว่าการพิมพ์ครับ ความจริงนะครับจากการศึกษาในวิชาวิทยาศาสตร์ ทำให้ผมอธิบายเชิงพุทธได้หลายอย่างมากมาย ทั้งการเวียนว่ายตายเกิดก็อธิบายได้แล้ว เพียงแต่ว่าจะเข้าใจถูกต้องมากน้อยแค่ไหนเท่านั้น ถ้าคุณสนใจผมจะตอบคำถามให้ถ้าคุณถามมาและผมมีคำอธิบายที่เข้าใจได้ตอบไป ขอให้คุณมั่นคงในพระพุทธศาสนา และมุมั่นที่จะเชิดชูและเผยแพร่พระศาสนาให้รุ่งเรืองไปสู่พวกฝรั่งให้มาก ๆ อย่าท้อครับ หรือไม่นั้นก็ลองหาหนังสือของคุณทันตแพทย์สม สุจิรามาอ่านดู จะเป็นประโยชน์มากขึ้นครับ
     
  6. a5g1aeka

    a5g1aeka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    728
    ค่าพลัง:
    +1,578
    :cool:คุณมีสามีที่เข้าใจคุณ:cool: ไม่คัดค้านคุณในการปฏิบัติตัวเป็นชาวพุทธที่ดี ถือว่าโชคดีแล้ว:boo: และเชื่อว่าเขารักคุณด้วยใจจริง:cool: ในยุโรปคนไม่นับถือศาสนามี ๕๐% และนับถืออีกที่เหลือ:boo: ขณะเดียวกันที่นับถือยังแบ่งเป็นคาทอริก ๒๐% โปแตสแตนส์ิีอีก ๒๐%ส่วนที่เหลือก็มี อิสลาม พุทธ และอื่นๆจากการคุยกับชาวฮอลแลนด์ในงานศพของคริสเตียน เขาคงหมายถึงในฮอลแลนด์มัง(k) ถ้าจำไม่ผิด คุณทำตัวเป็นชาวพุทธให้คงเส้นคงวา :cool:ไม่แสดงอารมณ์ให้เห็น:'( เขาก็คงค่อยๆเลิกตอแยไปเอง:boo: ยึดขันติ โสรัจจะ รับรอง ไปโรด อิอิ.. โชคดีครับๆๆๆ:cool::boo:(k)({):cool:
     
  7. ชัยบวร

    ชัยบวร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2011
    โพสต์:
    928
    ค่าพลัง:
    +1,642
    อีกเรื่องหนึ่งลองคิดดี ๆ สิครับ ขนาดชาวพุทธ 2 คนมีทัศนคติต่างกันก็มีเลย เพราะคน 2 คนมีเหตุปัจจัยต่างกัน บุญกรรมก็ต่างกัน สิ่งแวดล้อมก็ต่างกัน แต่ก็เป็นชาวพุทธด้วยกันทั้งคู่ พระพุทธศาสนาสอนให้ใช้สติและปัญญาในการเรียนรู้ สติ นั้นทางฝรั่งไม่มีสอนเรื่องนี้นะครับ มีในพระพุทธศาสนาเท่านั้น แต่เพราะวัฒนธรรมของไทยเราที่อิงพระพุทธศาสนามานานจนกลายเป็นปกติ ก็เลยไม่รู้ไม่เข้าใจอะไร บางทีก็เพราะการรับสิ่งอื่นเข้ามา แล้วถูกคนบางกลุ่มกล่อมให้เรายอมรับบ้าง และผสมปนเปกันจนไม่รู้อะไรเลย สติ เป็นสิ่งที่มนุษย์มีตามธรรมชาติ แต่มีแค่พระพุทธศาสนาเท่านั้นที่สอนและนำออกมาใช้ ว่ากันว่าพวกเรายังนำ สติ ออกมาใช้ไม่ถึง 100 % ด้วยซ้ำไป ผมศึกษามาพอสมควร ยิ่งศึกษาก็ยิ่งรักพระพุทธศาสนามากขึ้น คุณพูดภาษาอังกฤษได้ดีและมากแค่ไหนครับ ในสมัยก่อน มีพระสงฆ์ที่พูดได้หลายภาษามาก เช่น "พระสังฆวรมัน" ในสมัยฟูนัน ซึ่งท่านนี้มีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่พระพุทธศาสนาไปในหลายประเทศ หลายภาษาอ้างจาก "ตำนานตุ๊เจ้าชาวเหนือ" ของคุณสันติรักษ์ เศวตอาชา ถ้าคุณพูดภาษาอังกฤษได้ดีละก็ ก็ใช้ประโยชน์จากความสามารถด้านนี้ดูสิครับ
     
  8. thongchai394

    thongchai394 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 เมษายน 2011
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +136
    ดูจิต...ด้วยความรู้สึกตัว
    Path to Enlightenment I [​IMG]
    Path to Enlightenment II [​IMG]
    For You The Newcomer
    A Simple and Ordinary Essay on Dhamma
    หลักของการเจริญวิปัสนา คือให้มีสติ
    รู้รูปธรรม นามธรรม
    ตามความเป็นจริง
    ด้วยจิตที่ตั้งมั่น และเป็นกลาง

    จิตหลงไปคิดแล้วก็รู้
    ขณะที่รู้นี่แหละจิตจะตั้งมั่น

    ที่นี่หลวงพ่อจะเน้นสอนเรื่องการปฏิบัติให้ หลักของ
    การปฏิบัติเราก็ต้องรู้ว่า เราจะปฏิบัติอะไร ปฏิบัติเพื่อ
    ปฏิบัติอย่างไร ปฏิบัติแล้วได้ผลเป็นอย่างไร ต้อง
    ตอบได้ชัดเจน

    พวกเราต้องเรียนหลักของการปฏิบัติให้แม่นๆ นะ
    และเราต้องทำด้วยตนเอง ชาวพุทธเราไม่มีของฟรีหรอก
    ทุกอย่างอยู่ในเรื่องของกฏแห่งกรรม ใครทำคนนั้นก็ได้
    ไม่ทำก็ไม่ได้ ทำแบบไหนก็ได้แบนั้น ทำชั่วก็ได้รับผล
    ของความชั่ว ทำดีก็ได้รับผลของความดี รักษาศีลก็ได้รับ
    ผลของศีล ทำทานก็ได้รับผลของทาน ทำสมถะได้ความสุข
    ได้ความสงบ ได้ความดี ทำวิปัสสนาได้ปัญญาเห็นความ
    จริง เพราะฉะนั้นต้องทำให้ตรง

    เป้าหมายของเราก็คือ เราจะต้องรู้กายรู้ใจ
    จนเห็นความจริงของกายของใจว่าเป็นไตรลักษณ์
    จนหมดความยึดถือกายยึดถือใจ
    แล้วจิตก็จะเข้าถึงวิมุตติความหลุดพ้น...
    ส่วนวิธีการก็คือการเจริญสติปัฏฐาน
    สติปัฏฐานมี 2 ส่วน
    คือส่วนที่เป็นสมถะ กับส่วนที่เป็นวิปัสสนา
    อย่านึกนะว่าทำสติปัฏฐานแล้วจะเป็นวิปัสสนาเสมอไป
    ถ้ารู้กาย ถ้ารู้ใจ แต่ไม่เห็นไตรลักษณ์
    ไม่เรียกว่าวิปัสสนา ยังเป็นสมถะอยู่
    แต่ถ้าเห็นกายเห็นใจเป็นไตรลักษณ์จึงจะเป็นวิปัสสนา

    ผู้ใดเข้าใจอริยสัจอย่่างแจ่มแจ้ง
    ผู้นั้นจะพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้อย่างน่าอัศจรรย์
    ยิ่งกว่าความน่าอัศจรรย์ใดๆ ในโลก...
    เรื่องการดูจิตนั้นสำคัญมาก
    ถ้าอ่านจิตตนเองแล้วจะเห็นอริยสัจแห่งจิต
    เพราะทุกข์ก็เกิดที่จิต ถ้าจิตไม่ทุกข์
    แล้วใครจะทุกข์ ตัณหาคือตัวสมุทัยก็เกิดที่จิต
    นิโรธคือนิพพานก็ประจักษ์ด้วยจิต
    อริยมรรคก็ดำเนินอยู่ที่ิจิต ท่านสอนรวบรัด
    ถ้าเห็นเข้ามาให้เห็นถึงจิตถึงใจตัวเอง
    การปฏิบัติก็ลัดสั้นนิดเดียว


    <DD style="WIDOWS: 2; TEXT-TRANSFORM: none; BACKGROUND-COLOR: rgb(255,255,255); TEXT-INDENT: 0px; FONT: 15px Tahoma, Arial, sans-serif; WHITE-SPACE: normal; ORPHANS: 2; LETTER-SPACING: normal; COLOR: rgb(0,0,0); WORD-SPACING: 0px; -webkit-text-size-adjust: auto; -webkit-text-stroke-width: 0px">การดูจิต ก็คือการรู้สึกว่าจิตเป็นอย่างไร เพื่อให้จิตเกิดสติ-สัมปชัญญะ เมื่อรู้สึกว่าจิตมีกิเลส สติจะเกิด และถ้ามีสัมปชัญญะ จิตที่มีกิเลสก็จะดับไป เหลือแต่ความรู้ ตื่น เบิกบาน ไม่รู้สึกว่าพอใจ-ไม่พอใจต่อจิตที่มีกิเลส (ที่เพิ่งดับไป)


    <DD style="WIDOWS: 2; TEXT-TRANSFORM: none; BACKGROUND-COLOR: rgb(255,255,255); TEXT-INDENT: 0px; FONT: 15px Tahoma, Arial, sans-serif; WHITE-SPACE: normal; ORPHANS: 2; LETTER-SPACING: normal; COLOR: rgb(0,0,0); WORD-SPACING: 0px; -webkit-text-size-adjust: auto; -webkit-text-stroke-width: 0px">เมื่อไม่รู้สึกว่าพอใจ ก็ไม่พยายามสร้างจิตที่มีกิเลสขึ้นใหม่ เมื่อไม่รู้สึกว่าไม่พอใจ ก็ไม่พยายามทำให้จิตที่มีกิเลสไม่สามารถเกิดขึ้นอีก สติสัมปชัญญะที่เกิดขึ้นมีผลให้จิตเหลือแต่ รู้ เท่านั้น



    <DD style="WIDOWS: 2; TEXT-TRANSFORM: none; BACKGROUND-COLOR: rgb(255,255,255); TEXT-INDENT: 0px; FONT: 15px Tahoma, Arial, sans-serif; WHITE-SPACE: normal; ORPHANS: 2; LETTER-SPACING: normal; COLOR: rgb(0,0,0); WORD-SPACING: 0px; -webkit-text-size-adjust: auto; -webkit-text-stroke-width: 0px">จิตที่มีสติสัมปชัญญะ เรียกอีกอย่างว่า รู้สึกตัว หรือ รู้ตัว เมื่อเกิดสติสัมปชัญญะ (รู้สึกตัว) ได้บ่อย ๆ จิตเองจะค่อย ๆ เกิดความเข้าใจต่อกายต่อจิตเอง จนกระทั่งเกิดความเข้าใจได้ว่า กายไม่ใช่ตัวเรา จิตเองก็ไม่ใช่ตัวเรา กายนี้เกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมสลายดับไป จิตนี้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เมื่อเข้าใจถึงระดับหนึ่ง ความเข้าใจผิด ความเห็นผิดไปว่ากายนี้จิตนี้เป็นตัวเรา ก็จะถูกละออกไปอย่างชนิดไม่กลับไปเข้าใจผิด ไม่กลับไปเห็นผิดอีกเลย



    <DD style="WIDOWS: 2; TEXT-TRANSFORM: none; BACKGROUND-COLOR: rgb(255,255,255); TEXT-INDENT: 0px; FONT: 15px Tahoma, Arial, sans-serif; WHITE-SPACE: normal; ORPHANS: 2; LETTER-SPACING: normal; COLOR: rgb(0,0,0); WORD-SPACING: 0px; -webkit-text-size-adjust: auto; -webkit-text-stroke-width: 0px">เมื่อละความเข้าใจผิด ความเห็นผิดไปแล้ว สติสัมปชัญญะที่เกิดจากการรู้สึกว่าจิตเป็นอย่างไร ก็จะพัฒนาไปตามลำดับจนในที่สุด การปล่อยวางกายปล่อยวางจิตก็จะเกิดขึ้น สภาวะที่เรียกกันว่า นิพพาน ก็จะปรากฏขึ้น

    สุรวัฒน์ เสรีวิวัฒนา
    ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๔๙ ๑๐:๔๓ น

    ที่มาดูจิต...ด้วยความรู้สึกตัว ไปลองศึกษาดู แก้ความเบื่อนหน่าย
    <DD style="WIDOWS: 2; TEXT-TRANSFORM: none; BACKGROUND-COLOR: rgb(255,255,255); TEXT-INDENT: 0px; FONT: 15px Tahoma, Arial, sans-serif; WHITE-SPACE: normal; ORPHANS: 2; LETTER-SPACING: normal; COLOR: rgb(0,0,0); WORD-SPACING: 0px; -webkit-text-size-adjust: auto; -webkit-text-stroke-width: 0px">www.wimutti.net

    </DD>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2011
  9. konkoh

    konkoh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    97
    ค่าพลัง:
    +298
    คนดีถึงใครประนามว่าเลวก็ยังเป็นคนดี คนเลวถึงใครจะยกยอปอปั่นว่าเป็นคนดีแต่ก็ยังเป็นคนเลว
     
  10. dogsman

    dogsman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,094
    ฝรั่ง ก่อนจะกินข้าว ยังต้องขอบคุณพระเจ้า เลยนะ..แมนบ่..
     
  11. ชัยบวร

    ชัยบวร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2011
    โพสต์:
    928
    ค่าพลัง:
    +1,642
    จะขอบคุณทำไมพระเจ้า...คนที่ควรขอบคุณนะคือชาวนามากกว่าครับ เพราะคนที่ปลูกข้าวนะคือชาวนา และข้าวก็เป็นธรรมชาตินะครับ ส่วนคนที่ทำกับข้าวก็คนในครอบครัวนะแหละ...เนื้อที่กินก็มาจากชีวิตอื่น ถ้าจะขอบคุณเปลี่ยนมาแผ่เมตตาจะ work กว่าเห็น ๆ แม่นกว่าอีกนะครับ...อ้าย
     
  12. JIT_ISSARA

    JIT_ISSARA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    790
    ค่าพลัง:
    +1,163
    ทุกอย่างเป็นเช่นนั้นเอง ไม่มีถูก ไม่มีผิด ไม่ตัดสินใจใดๆทั้งสิ้น ไม่ส่งจิตหรือความคิดออกนอกตัวเองแล่นไปข้างนอก มุมมองทัศนคติ ความคิด ความเชื่อต่างๆ อย่าไปเปลี่ยนเขา ให้เปลี่ยนทัศคติและมุมมองตัวเอง ว่าทุกคนเรียนรู้มาต่างกัน จงเชื่อมั่นใจ หรือ mind ตนเองว่ามาถูกทาง
     
  13. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,561
    ค่าพลัง:
    +2,122
    ผมก็มีญาติต่างศาสนา เป็นอิสลาม พูดผ่านแม่ผมมาว่าศาสนาอิสลามมีคนนับถือแยะที่สุดในโลก คริสที่สอง พุทธที่สาม ... แหม ผมเสียดายไม่มาคุยกับผม ผมจะถามว่าแปลกใหมศาสนาที่1กับศาสนาที่2 อยู่ด้วยกันไม่ยักจะมีความสุขอยู่ร่วมประเทศกันได้ยาก
    แต่ต้องมาอยู่ในประเทศที่ศาสนาอันดับ3หรือครับ
    ศาสนาที่1กับที่2 ใช้วิธีเผยแพร่แบบไหนกันนะ ศาสนาที่1ระเบิดพระพุทธรูป เผาตำรา ปิดหูปิดตาคนของตนไม่อยากจะพูด
    ศาสนาที่2ถึงเวลาก็ต้องจุ่มน้ำสาบาน
    ทำแบบนี้ได้ที่1ที่2แล้วภูมิใจกันจัง
    บ่นๆๆ ต้องเอาคำพูดอาจารณ์สรรชัยมาถามละมั๊ง ผู้คนมีปัญญา กับคนโง่นั้นหนา อย่างไหนมีมากกว่ากัน
     
  14. ชัยบวร

    ชัยบวร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2011
    โพสต์:
    928
    ค่าพลัง:
    +1,642
    คุณกล่าวได้ดีครับ...damrong
     
  15. JolieAcidus

    JolieAcidus สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +20
    ถ้าเรายืนหยัดพอวันนึงจะมีคนทำตามค่ะ
    ไม่เชื่อลองเอาผ้าสามสีไปผูกต้นไม้แล้วไหว้ทุกวันสิคะ ไม่นานต้องมีคนมาขอหวยแน่ๆ 555
    ขนาดเรื่องงมงายยังมีคนทำตามแบบไม่ต้องมีเหตุผลเลยค่ะ แล้วนี่เราทำสิ่งดีๆมีเหตุและผล ทำไมวันนึงเค้าจะไม่เห็น สู้ๆนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
     
  16. makcloud

    makcloud เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    424
    ค่าพลัง:
    +535
    สู้ ๆ นะครับ อันนี้ผมไม่รู้จะแนะนำยังไงดี แต่อยากให้ปฏิบัติไปเหมือนเดิมครับ อย่าเลิกทำ เพราะถ้าเลิกเท่ากับคุณแพ้ให้กับตัวเองแล้วล่ะครับ สู้ ๆ นะครับ
    ขอบคุณมากนะครับ
     
  17. gaiou419

    gaiou419 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    331
    ค่าพลัง:
    +716
    ทำใจค่ะ บัวมีสี่เหล่า บางทีคนที่รับไม่ได้ก็รับไม่ได้จริงๆ การที่ต้องมาอยู่ร่วมกับ
    เหล่าที่แปลกแตกต่างจากเราไป บ่อยครั้งก็สร้างความอึดอัดในใจไม่ใช่น้อย
    ดิฉันอยู่เมืองนอกเหมือนกัน เคยมีแฟนต่างชาติ ก็อีหรอบเดียวกันเลย
    บางทีก็หาว่าเราทำอะไรโง่ๆ หรือประมาณว่าอยากโง่ก็โง่ต่อไปเถิด
    ดิฉันเคยคิดว่า เดี๋ยวก็รู้ ว่าใครโง่กันแน่ ตายเมื่อไหร่อย่ามานั่งเสียใจทีหลัง
    เพราะเสียใจไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ มันสายไปแล้ว แต่ตอนนี้คิดว่า เขาน่าสงสารมาก
    กว่า ที่สงสารเพราะอวิชชามันปิดหูปิดตาไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เรียนรู้อะไรได้เลย
    ก็เร่งความเพียรไว้ เผื่อสักวันจะเขาเดือดร้อน อาจจะช่วยเขาได้
    หากคุณมีเจตนาแรงกล้า มีเมตตาสูง ความอดทนสูง ก็ลองหาอ่านเรื่องนางวิสาขา
    มหาอุบาสิกา ดูดีมั้ยคะ รายนั้นท่านเจอพ่อสามีแบบนี้ ท่านอดทนสอนจนได้
    แต่ดิฉันความอดทนต่ำ ขี้เกียจสอน เลยขอบายไปก่อนค่ะ อิอิ
     
  18. Fabreguz

    Fabreguz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +1,911
    ผมก็เจอครับ มีคนไข้เป็นฝรั่งอายุประมาณ 20 ปี ครอบครัวเขาเป็นคริสต์ นิกายโปรแตสเต้นท์ ต่างจากคาโทลิก คือ โปรแตสเต้นท์จะไม่มีแม่ชีไม่มีนักบวช สื่อสารกับพระเจ้าโดยตรง แต่พ่อของเขาก็เป็นเจ้าของโบสถ์ด้วย แต่ไม่ใช่นักบวช ก็ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันมากมายยาวมาก แต่น้องคนนี้เขาก็ตั้งใจฟังผมพูดนะครับ เขาเหมือนจะเข้าใจ แต่ว่าเขารู้จักพระเจ้าของเขามาตั้งแต่เด็กกับครอบครัวพ่อแม่ที่ปลูกฝังรากลึก อีกทั้งยังมีโบสถ์ของตนเองอีก.................. มีหลายเรื่องที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ไล่ตั้งแต่ เขาบอกว่า การกลับชาติมาเกิดไม่มี กรรมไม่มี ผีไม่มี เป็นต้น เขาเชื่อว่า ใครเชื่อพระเจ้าก็ได้ไปอยู่สวรรค์ตลอดกาลหลังตายแล้ว ส่วนใครไม่เชื่อ ก็ไปอยู่ในนรกตลอดกาล อย่างนี้.............. ผมก็อธิบายว่า คนเราเกิดมาไม่เท่ากันเพราะทำเหตุมาไม่เหมือนกัน บางคนรวย จน สุขภาพ ครอบครัวต่างกัน ไม่ใช่เพราะพระเจ้าลิขิตเพราะถ้าพระเจ้าลิขิตทำไมถึงไม่เท่าเทียมกัน เป็นเพราะแต่ละคนทำเหตุปัจจัยในอดีตมาต่างกัน.. น้องก็บอกว่า มันมี เดมอนหรือปีศาจ และเองเจิล
    ...... เขาบอกว่าสิ่งที่ทำให้คนไม่ดีหรือฝันไม่ดีหรือเห็นบางอย่าคือ เดมอน หรือปีศาจ
    .
    แต่ไม่เชื่อว่าเป็นผี ส่วนคนที่จนหรือไม่ดีแสดงว่ามีเดมอนครอบงำอยู่ ส่วนคนที่เป็นคนดี
    .
    คือมีเองเจิลหรือพลังที่ดีจากพระเจ้ามอบให้ทำ.... และเขาก็สงสัยต่อว่าศาสนาพุทธ
    .
    คิดว่าพระเจ้าคือใคร ผมก็ตอบไปว่า ศาสนาพุทธไม่มีพระเจ้า ทุกคนจะสูงหรือต่ำ
    .
    อยู่ที่ ศีล สมาธิ ปัญญา และพัฒนาตนให้ไปสวรรค์หรือนรกได้ด้วยตนเอง และสวรรค์
    .
    นรก ก็ไม่ได้มีชั้นเดียวขุมเดียว มีตามลำดับ เหมือนคนบนโลกมีจนแต่ละระดับ ปานกลาง
    .
    รวย มหาเศรษฐี และผมก็บอกเขาว่า ความสุขของคนไม่ได้คงทนถาวรตลอด ลองคิดดู
    .
    ใน 1 วัน เรามีสุขช่วงหนึ่ง มีทุกข์ปะปนกันไป เช่นเราหิวต้องไปหาของกิน ก็ทุกข์ละ
    .
    น้องเจ็บป่วยมาหาพี่ก็ทุกข์ละ เช่นกันในสวรรค์หรือนรก ก็ไม่ได้อยู่ตลอดกาล ก็มีอายุขัย
    .
    เช่นมนุษย์มีอายุ 70 - 80 ปี แต่สวรรค์อาจจะมีอายุ 500 - 1000 ปี แต่พอหมดอายุ
    .
    ก็ต้องไปเกิดตามเหตุปัจจัย เช่นกันกับสัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน เช่น สุนัขแมว หรืออื่นๆ
    .
    ก็เคยเป็นมนุษย์ วนเวียนไปอย่างนี้ ลองสังเกตุพฤติกรรมของสัตว์บางอย่างคล้ายมนุษย์
    .
    ส่วนมนุษย์ที่ทำพฤติกรรมคล้ายๆสัตว์ ก็อาจจะไปเกิดในภพภูมินั้นได้ เช่นชอบขโมย
    .
    อาจจะไปเป็นลิง ชอบสืบพันธ์ชอบพวกพ้องตีกัน อาจจะไปเป็นสุนัข ชอบฆ่าอาจจะ
    .
    เป็นสัตว์ดุร้าย เพราะว่าจริงๆแล้วมีหลายภพภูมิเวียนวนกันอยู่อย่างนี้ ซึ่งจริงๆแล้ว
    .
    พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ถึงทางดับทุกข์จริงๆ ซึ่งก็คือนิพพาน ผมบอกน้องเขาว่านิพพานะ
    .
    น้องเขาก็พยักหน้า อืม ซึ่งก็คือการไม่เกิด เพราะสวรรค์นั้นก็ไม่ตลอดกาล
    .
    การไม่เกิดคือ เราต้องปฏิบัติด้วยหนทางคือ การละโลภ โกรธ หลง รู้ตัวเรา รู้ใจเรา
    .
    ความคิดเรา เรารู้ทันไหม และดับทันไหม เขาถามว่า นิพพานอยู่ที่ไหน ผมก็ตอบว่า
    .
    ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร แต่เปรียบเสมือนน้ำเปล่าที่บริสุทธิ์ไม่มีสี แต่ถ้าเรามี ความสุข
    .
    อาจจะเหมือนเราใส่สีขาวเหมือนนมลงไป น้ำก็เปลี่ยนสี หรือเราโกรธก็ใส่สีดำหรือตะกอน
    .
    ลงไป เราก็ต้องรู้ทันคือตกตะกอนความคิดให้น้ำใสบริสุทธิ์ คือ ไม่สุข ไม่ทุกข์
    .
    เมื่อเราตัดกิเลสได้ เราก็จะตัดภพชาติได้ ก็ไม่ต้องเกิด นี่คือความสุขที่เป็นอมตะจริงๆ

    .
    ............... ซึ่งผมก็ได้อธิบายไปหลายอย่าง รวมถึง เรื่องศีล เขาเคารพพระเจ้า
    .
    แต่เขาก็ยัง ฆ่าสัตว์มาทำอาหาร เช่น กวาง ไก่งวง หรืออะไร พ่อเขาซึ่งเป็นเจ้าของโบสถ์
    .
    ก็น่าจะมีจิบไวน์อะไรด้วย เขาถามผมว่า คุณคิดว่ากินเนื้อสัตว์ผิดไหม ผมตอบว่า
    .
    ถ้าเราไม่ได้ฆ่า หรือมีส่วนรู้เห็นว่าเกิดการฆ่า เราก็ไม่ผิด เหมือนเรากินซากอาหาร
    .
    ผมก็บอกเขาว่า การฆ่าสัตว์ก็เป็นบาปเพราะสัตว์ก็มีชีวิต แล้วก็บอกถึงเรื่องศีล 5
    .
    ว่ามีอะไรบ้าง เขาก็พยักหน้า เขาบอกว่าเขารู้จักไทยพุทธ แต่บางคนก็ชอบว่าคนอื่น
    .
    ไม่ดี แบบเห็นแก่ตัวอะไรบ้าง แต่กลุ่มของเขาจะทำเพื่อส่วนรวมเด็กด้อยโอกาสบ้าง
    .
    ผมก็ตอบว่า ถ้าเป็นชาวพุทธแท้ ต้องปฏิบัติศีล5 ให้บริสุทธิ์ รู้จัก ทาน ศีล ภาวนา
    .
    หรือ meditation และฝึกการรู้กาย รู้ความคิดเวทนา เพื่อตามทันกิเลส
    .
    เขาก็พยักหน้า แต่ก็ยังคงยึดในพระเจ้า แต่ผมคิดว่าเขาคงได้ความรู้ใหม่ๆไปเยอะเหมือนกัน

    .
    ยังมีอีกเรื่องนึงคือ ผมบอกเขาว่า พระเจ้าสอนให้อภัยแม้แต่ศัตรู ใช่ไหมครับ เขาก็ตอบว่าใช่ แต่น้องเขาก็บอกว่า
    .
    ทำได้แต่ก็ยากเหมือนกัน แล้วผมก็ถามไปว่า ทำไม คริสต์ถึงแยกเป็นคาโทลิกกับโปรแตสแต้นท์ เขาก็บอกว่า
    .
    คาโทลิก เกิดขึ้นเพราะกษัตรย์ในยุคนึงของยุโรปต้องการให้ทุกคนในประเทศนับถือเหมือนกัน คือมีพระหรือนักบวช
    .
    เป็นผู้สอนและเขียนกฏระเบียบขึ้นมาใหม่ และนับถือพระแม่มารี ซึ่งมีคนเห็นต่างจึงแยกเป็นคาโทลิก กับ โปรแตสเต้นท์
    .
    ที่นับถือแต่พระเจ้าโดยตรงสื่อสารกับพระเจ้าโดยตรง โดยไม่มีนักบวช และเขาก็บอกว่าไม่ควรบังคับให้ใครนับถือเหมือนกัน
    .
    เพราะคนเราแต่ละคนก็ความคิดไม่เหมือนกัน ซึ่งก็มีที่เขาให้หนังสือแจกเกี่ยวกับพระเจ้าหรือพูดจูงใจให้ผมเชื่อ
    .
    ผมก็จะบอกประโยคตามที่น้องเขาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับการแยกของสองนิกายว่า เราไม่สามารถบังคับให้ใครเชื่อตามใครได้
    .
    เพราะความคิดของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน.. ^^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ธันวาคม 2011
  19. Heureuse

    Heureuse เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2008
    โพสต์:
    857
    ค่าพลัง:
    +3,446
    คุยกับฝรั่่ง ต้องพยายาม นำเหตุการณ์ที่กำลังเกิดเฉพาะหน้าหรือเกิดจริง ในปัจจุบัน นำมาสอดเเทรกเวลาคุยกับพวกเขา หรือคุยเรื่องอารมณ์ความรู้สึกหรือเรื่องแบบปรัชญาๆมาคุย ให้เขาเกิดความรู้สึกฉลาดทางอารมณ์ขึ้นมา หรือตอนที่เขามีปัญหาหรือมีเรื่องทุกข์ใจ เราจึงนำคำสอนพุทธศาสนาอธิบายโดยไม่ต้องบอกว่าคือพุทธศาสนา มาช่วยเขา ทำให้เขารู้สึกดี แล้ววันหลังๆก็บอกเขาว่านี่คือ คำสอนมาจากศาสนาของฉัน แล้วเขาจะเริ่มเข้าใจมากขึ้น และจะเริ่มสนใจขึ้น ว่าเป็นแบบนี้ๆ เพราะเหตุใด พระพุทธเจ้าจึงสั่งสอนเรื่องนี้ๆๆเป็นต้น และสุดท้ายเราจึงบอกพวกเขาว่า นี่คือเหตุผลที่เราชาวพุทธยกย่องพระองค์ พวกเขาอาจจะมีสงสัยงงๆอยู่บ้าง แต่สุดท้ายจะมาถามหากันเอง

    แฟนเราและครอบครัวเขาเป็นคริสทั้งบ้าน พ่อเขาเป็นคาทอลิก แม่มีตระกูลมาจากโปรแตสเเตนท์ แต่เดี้ยวนี้เวลาแฟนเราพาเราไปบ้านเขา จากเมื่อก่อนแม่เขาไม่ค่อยชอบเรา
    เดี้ยวนี้เราพาแม่เขา เดินจงกรม นั่งสมาธิ และวาระวันเกิดหรือเทศกาลที่สำคัญ เรากับเเฟนก็จะซื้อหนังสือเกี่ยวกับปรัชญาหรือหนังสือทางพุทธศาสนาให้กับเขา


    เราลองนึกในใจเผื่อแผ่ก่อนว่า

    ความรู้ทางพระพุทธศาสนาที่เรามีนี้ ถ้าเปรียบเป็นเหมือนอาหารอร่อยรสเลิศ เราจะแบ่งให้กับเขา ผู้ซึ่งแร้นแค้นและห่างไกลพระพุทธศาสนาได้กินบ้าง โดยไม่บังคับ แต่โดยความเมตตาจากจิตใจซึ่งจะผลักอาการอยากช่วยเหลือหรือปราถนาดีออกมา และเวลาเจอเหตุการณ์์ที่เกิดขึ้นจริงเราจะนำออกมาจากใจเราช่วยเหลือให้เขาเห็นได้ดีขึ้น
    แต่ถ้าพยายามสุดๆแล้วก็ยังไม่ได้ก็ต้องอุเบกขาและ
    อย่าโกรธเขาเลยเพราะเขายังไม่รู้


    หวังว่าคอมเม้นของเราอาจจะช่วยแนะนำเจ้าของกระทู้ได้บ้างนะจ๊ะ

    ขอให้ทุกอย่าง ลงเอยด้วยดีจ้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...