ถามวิธีละ-ลดอารมณ์ทางเพศเพื่อรักษาศีล๘

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย dooddd, 10 ธันวาคม 2011.

  1. dooddd

    dooddd เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +4,855
    ตัวนี้เป็นหนึ่งในสังโยชน์กามราคะ ศีลข้อ๓ในศีล๘

    อะพรัหมะจะริยา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
    ข้าพเจ้าจะละเว้นจากการกระทำอันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ (ละเว้นการเกี่ยวข้องกับกามคุณ)

    ซึ่งวิธีปฏิบัติของผม มันทรมานกับตรงนี้ครับ เหมือนใจอยากจะปลดปล่อยตรงนี้ ช่วยตัวเองก็ยังดีอะไรแบบนี้
    โดยพยายามพิจารณาก็แล้ว ว่าที่ทรมานมันคืออะไร
    กายก็ไม่ใช่ กายมันปกติดี
    ทรมานตรงที่ใจ ทรมานตรงที่กิเลศพยายามลากใจให้ไปทางนั้นให้ได้
    ไปช่วยตัวเองทำไม ทำเสร็จก็จบ เดียวก็อยากใหม่ วนไม่รู้จบ

    ผมพิจารณาแบบนี้ บางครั้งก็หาย บางครั้งก็ไม่หาย มันทรมานขึ้นเรื่อยๆ (สงสัยพวกอยากยาคงเป็นแบบนี้แน่ๆเลย)
    บ้างทีความอยากมันก็ไปกระทบกายบ้าง มือเย็นเท้าเย็นบ้าง อยากอาเจียนบ้าง มวนท้องบ้าง
    บางครั้งอารมณ์มันครองที่ใจแล้ว สู้ไม่ไหวแล้ว ผมก็ไม่ยอมตามมัน(ต้องยอมทรมาน แต่ไม่ยอมตาม)

    ผมเลยสงสัยว่า ผมมาุูถูกทางหรือเปล่า การข่มพร้อมพิจารณาแบบนี้ เพราะมันก็ทรมานจริงๆ
    แบบนี้เป็น อัตตกิลมถานุโยค การทรมานตน หรือไม่
    หรือเป็น ขันติบารมี การอดทนต่อกิเลศหรือไม่

    ใคร่ผู้รู้ช่วยตอบทีครับ ขอบคุณอย่างยิ่งๆ
     
  2. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    เอามาจากหนังสือ เตโชวิปัสสนา..เปิดประตูนิพพานนะครับ

    เมื่อได้กลับมาปฏิบัติอีกครั้ง ข้าพเจ้าก็ตั้งใจพากเพียรปฏิบัติอย่างเคย
    การนั่งภาวนารวดเดียว 3 ชั่วโมงเป็นเรื่องปกติสำหรับข้าพเจ้า


    คืนหนึ่ง เมื่อกลับจากฟังธรรมะบรรยาย ทุกคนเตรียมตัวเข้านอน แต่
    ข้าพเจ้าเกิดจิตพากเพียรมุ่งต่อการปฏิบัติ จึงตัดสินใจปฏิบัติตั้งแต่ 3
    ทุ่มถึงตี 4 เจ็ดชั่วโมงรวด ได้พบกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน นั้นคือ
    กองทัพแห่งราคะกิเลศ! ได้รวมกำลังตีกระหน่ำจิตข้าพเจ้าจนแทบ
    ต้านทานไม่ไหว โดยปกติความเคลื่นไหวในจิตที่ข้าพเจ้าเห็น จะเป็น
    ความเคลื่นไหวในแบบที่ถูกคลุมด้วยสีดำ คือรู้ได้ว่าสิ่งที่เห็นเป็นใคร
    หรือตัวอะไร แต่เมื่อบุกเข้ามาถึงรังของราคะกิเลศ กองทัพกิเลศนี้ได้
    รวมพลังแน่นหนา แสดงตัวให้เห็นเป็นสีชัดๆ เหมือนนั่งดูหนังเลยที
    เดียว ที่เห็นเบื้องหน้าในจิตนั้นคือชายหญิงคู่หนึ่งกำลังกอดจูบกันต่อ
    หน้าต่อตา ในแบบของการโลมเล้าพัวพันกันนัวเนีย อยากให้ท่านลอง
    นึกถึงเวลาเราเข้าไปดูหนังจอใหญ่ๆ ในโรงภาพยนต์ เวลามีฉากคู่รัก
    กอดจูบกันชัดๆ เต็มจออยู่ตรงหน้า เราจะรู้สึกอึดอัดอย่างมาก


    พวกมารมันมาเขย่าจิตข้าพเจ้าให้หวั่นไหวในราคะ ทำให้เกิดความ
    ฟุ้งซ่านกำหนัดใจ ข้าพเจ้าพยายามข่มใจวางอุเบกขาปฏิบัติไปเรื่อยๆ
    แต่พวกกิเลศมารยิ่งรุกหนักเข้าๆ จนจิตเริ่มหวั่นไหวต้องเบือนหน้าหนี
    พอเกิดสติขึ้นมาอีก ก็เลยไม่พิจารณาส่วนอื่นๆ ของร่างกายแล้ว หัน
    มาเพ่งที่ฝ่ามืออย่างเดียว เพราะรู้สึกว่าเมื่อเพ่งที่นีที่เดียวแล้ว มารจะ
    อ่อนแรงลงได้ แต่ที่ไหนได้เหมือนเหล่ามารรวมพลังกันแผลงฤทธิ์ จะ
    โค่นข้าพเจ้าลงให้จงได้


    ปรากฏการณ์เบื้องหน้าต่อจากนั้นก็คือ การร่วมประเวณีหมู่ของชาย
    หญิงร่วม 100 คู่! เหมือนอยู่ในทะเลของกามราคะ ณ เบื้องหน้าขณะ
    นี้มองไหนอะไรเลย นอกจากร่างของมนุษย์เปลือยเปล่า ที่กำลัง
    เสพกามอย่างมัวเมา น่าขยะแขยงยิ่งนักราคะกิเลศที่ฝังอยู่ในความ
    เป็นมนุษย์ พุ่งพล่านขึ้นทันที หวั่นไหวสุดจะพรรณา แต่จะทำยังไงได้
    แล้ว เมื่ออาวุธเดียวที่มีอยู่คืออุเบกขา คือการรับรู้แล้ววางเฉย แค่รั...
    บ...รู้...แ...ล้...ว ว...า...ง เ...ฉ...ย มีหน้าที่ปฏิบัติก็ปฏิบัติไป สิ่ง
    ที่เกิดขึ้นตรงหน้าเมื่อไม่หวั่นไหวมารย่มทำอะไรไม่ได้ ย่อมพ่ายแพ้ไป
    เอง ข้าพเจ้าจึงเร่งภาวนาด้วยการเพ่งที่ฝ่ามืออย่างเดียว จิตไม่สั่น
    คลอน ไม่หวั่นไหวกับปรากฏการณ์เขย่ากามราคะเบื้องหน้านี้
    ยาวนานกว่า 2 ช.ม. กว่าพลังมารจะอ่อนกำลังลงในที่สุด นิมิตนั้นก็
    หายไปและไม่เคยมีนิมิตนั้นกลับมาอีกเลย
     
  3. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ที่ทรมาณ เพราะทุกข์สัจ คือ ยังมีขันธ์5(อัตวาทุปาทานว่าเป็น ฉัน ของฉัน ฉันเอง ตัวเราเอง)............ แท้จริงยังเสพอารมณ์จาก(หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ)ต่อเนื่องหรือเรียกว่าเพลินอยู่ จึงเกิดตัณหาและ อุปาทาน ภพ ชาติ (ความก่อของขันธ์5)ว่า ฉันโหยหา ฉันอยาก.....................................ที่จริงมันเพลินหรือเสพ อารมณ์ หรือจะเรียกว่าความคิด หรืออะไรก็ตามที่มาทางอายตนะ(รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธัมมารมณ์) ณ ปัจจุบัน เช่น....ถ้า ไม่เห็น รูป ไม่รู้ รส แต่ มาทางความคิด ณ ปัจจุบัน ใจรับมาเสพและเพลินไป ก่อ เป็นตัณหา...สติ....สติ...เท่านั้น ระลึกรู้ ว่า ขณะนี้ จิตรับรู้อายตนะใด?(รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธัมมารมณ์).......เห็นรู้ตรงนี้(ต้องรู้ว่ามันเป็นสภาพธรรมหรือ ธาตุทางอายตนะเท่านั้น ประกอบจากปัจจัยต่างต่างถ้าปัจจัยเปลี่ยนมันก้เปลี่ยน(ไม่เที่ยง) ไม่ใช่ฉัน บุคคล อย่างเช่น แข็งร้อน เย็น รู้เฉพาะตรงนั้น รู้กับ คิด ต่างกัน รสมันเป็นอย่างไรต้องศึกษาเพิ่มเติมครับ)...หรือ บางท่านเรียกว่า รู้ รูป รู้ นาม รู้ปัจจัยรูป-นาม...การรู้ตรงนี้ แม้ยังตัด กามคุณเป็นสมุจเฉทปหานไม่ได้...แต่ การรู้ รูป-นาม ตรงนี้ จะเป็น ตทังคปหานได้ โดย ไม่โหยหา หรือ ทรมาณทรกรรมแต่อย่างใด....อาจจะเปรียบเทียบได้ว่า... มันเหมือนอยากกิน "สเต้กสิสเลอร์"....แต่ อยากปั้บ มัน รู้ปุ้ป ว่า ไม่จำเป็น กินข้าวแกงก็ได้...ไม่ได้ทรมาณในความอยากนั้น แต่ อย่างใด....:cool:การโยนิโสมนสิการ จาก พระสูตรพระสัทธรรมทั้งหลายนะดีที่สุด อย่างเช่น อานาปานสติ สติปัฎฐานสี่ อินทรีย์สังวรณ์..ฯลฯ:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2011
  4. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ..........ดังนั้น สติปัฎฐาน สี่ คือ สติมหาสติ ที่ทำให้เข้าใจ ปัจจัยรูป-นาม รวมถึงสติพิจารณาความไม่เที่ยงไปในคราวเดียวกัน....เพราะฉนั้นการภาวนานั้นยังมีองค์ประกอบร่วมหลายอย่างมากมาย...ภาวนา ต่อไป เถอะครับผมก็เช่นกัน:cool:
     
  5. dooddd

    dooddd เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +4,855
    ตรงนี้สำหรับผมมันเหมือนกับการรู้ แต่ไม่รู้ว่าแก้อย่างไรครับ เพราะผมไม่ทราบว่ามาถูกทางหรือเปล่า

    เปรียบเหมือนไฟไหม้ผมรู้ แต่จะดับไฟอย่างไรนี้ผมไม่รู้ว่าจะดับวิธีไหนที่ดี
    เหมือนอารณ์ต้องการมันจำที่สัญญา เป็นอารมณ์อย่างเดียว ผมรู้ตัว มาเมื่อไหรผมก็พอทราบ
    แต่พอมาแล้ว อารมณ์นั้นยังอยู่ครับ มันไม่ใช่ความคิด มันเป็นอารมณ์ความรู้สึกทางใจอย่างเดียว ไม่มีเข้ามาทางตาหูจมูกลิ้นสัมผัส มันไม่มาทางนั้น แต่มาทางใจทีเดียวเลยครับ ผมก็รับรู้แล้วก็ไม่คิดปรุงแต่ง พยายามหาวิธีไล่อารณ์นั้นออกไป บางทีมันก็ไป บางทีมันก็ไม่ไป ก็รอให้มันดับไปเองครับ

    สงสัยผมต้องศึกษาลงลึกอย่างที่ท่านว่าแล้วครับ เดียวลองรอฟังท่านอื่นดูด้วย :cool:

    ขอบคุณ คุณ bluebaby2 เช่นกันครับ
     
  6. แจ๊กซ์69

    แจ๊กซ์69 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    3,142
    ค่าพลัง:
    +1,960
    น้ำมะตูม และแกงจืดฟัก เพราะน้ำมะตูม มักจะนิยมทำเป็น้ำปาณะ เพื่อให้พระฉัน ซึ่งจะช่วยลดความกำหนัดลง ส่วนฟักก็จะทำให้น้องชายไม่สู้งาน อันนี้เป็นความรู้ที่ได้มาจากภูมิปัญญาชาวบ้าน ฝากมาบอกด้วยจ้า เผื่อจะเป็นประโยชน์ทำให้มีลูกได้ง่ายขึ้น

    และบวกกับให้อยู่ในวิธีแห่งการฝึกตน มันจะช่วยได้ละกาม
     
  7. phongpeera

    phongpeera เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +138
    ขณะนี้คุณถือศีล 8 แล้วหรือยัง ถ้าคุณถือแล้วอารมณ์แบบนี้มันจะลดลงไปเอง ทำไมเหรอเพราะรับประทานอาหารมื้อเดียว ปฏิบัติธรรม นอนดึกหน่อย พวกความรู้สึกแบบนี้มันจะอ่อนกำลังเอง แต่หากอยู่เป็นปกติกินเยอะ นอนเยอะ ไม่ค่อยภาวนา อารมณ์เหล่านี้มันมาแน่นอน รู้ครับมันอึดอัดเมื่อเจออารมณ์นั้น มันก็มีสองอย่างจะไปตามมันแล้วมานั่งจิตตกเริ่มต้นใหม่ หรือจะอดทนเพื่อผ่านไปให้ได้ จะดีก็ต้องทนให้ได้ครับ อย่าไปสนใจกับความกำหนัดทางกาย เพราะเราคิดอยู่นี่ไงว่าเห้ออึดอัดจังได้ระบายหน่อยคงจะดี พอคิดตลอดเวลาบ่อยๆ มันก็เกิดความอยากขึ้นมากๆ มันก็จะทนไม่ไหว คิดซะว่าจะนานแค่ไหนแล้วที่ห่างไปอย่าไปสนใจปล่อยเลยมันอึดอัดเดี๋ยวมันก็กำจัดตัวมันเองอยู่แล้ว ไม่เกิน 15 วันหรอกถ้าทนได้อะครับ แล้วพอผ่านไปเราก็จะสบายขึ้น มันแค่ความกดดันทางร่างกาย
    สู้ๆ น่ะครับเป็นกำลังใจให้น่ะ งดตัวนี้จะรู้ว่ามันดียังไงน่ะ
    -----------------------------------------------
    ผมก็แค่เด็กหัดใหม่ เป็นกำลังใจให้ทุกคนน่ะครับ
     
  8. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .........แน่นอน ครับ จนกว่าจะแน่ใจหรือเข้าใจ ธรรมลักษณะ3ปรการของกาม คือ รสอร่อยของกาม(อัสสาทะ)..อาทีนวะ(โทษ)...นิสรณะ(อุบายเครื่องออกจากกาม)......ย้ำว่าต้องเห็นและแน่ใจ...ต้องเห็นและมั่นใจในทาง...ลองค้นความหมายของธรรมลักษณะ3ประการที่ว่ามา...จนเห็นจริงไม่ต่อต้าน...........ยกตัวอย่าง นิสรณะ(อุบายเครื่องออก) นั้นคือการนำออกเสียได้ซึ่ง ฉันทราคะ การละเสียได้ถึง ฉันทะราคะทั้งหลาย.................................พระวจนะ"ภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายสี่ประการเหล่านี้ เป็นไปพร้อมเพื่อความเจริญแห่งปัญญา ธรรม4ประการอย่างไรเล่า สี่ประการคือ....การคบหาสัปบุรุษ........การฟังพระสัทธรรม.............การทำในใจโดยแยบคาย(โยนิโสมนสิการ).........การปฎิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม.....ภิกษุทั้งหลาย ธรรมสี่ประการ เหล่านี้แล เป็นไปพร้อมเพื่อความเจริญแห่งปัญญา"......(อริยสัจจากพระโอษฐ์ ท่านพุทธทาส):cool:................. การภาวนา หรือ การเจริญสมถะวิปัสนา หรือการเจริญสติปัฎฐานสี่ หรือการสำรวมอินทรีย์ หรือการโยนิโสมนสิการพระสัทธรรม จึงยังต้องทำเนืองเนืองหรือตลอดไป เผลอ ก็รู้แล้วกลับมา...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2011
  9. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    ลองเจริญกายคตาสติดูสิครับ พิจารณาร่างกาย สำหรับผู้ชาย รูป รส กลิ่น เสียง
    สัมผัส ที่ทำให้พอใจได้มากที่สุดคือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ของผู้หญิง ถ้า
    พิจารณาเป็นอาการ 32 ไม่มองแต่ผิวหนังมันก็รู้ว่า ทั้ง 32 อย่างมันไม่มีอะไร
    งามเลยซักอย่าง เอามากองแยกกันไม่ทำให้หลงได้เลย แต่ทำไมเอามารวมกัน
    แล้วทำให้หลงได้ ก็พิจารณาไป
     
  10. dooddd

    dooddd เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +4,855
    ณ ตอนนี้ผมไม่ได้ถือศีล๘ครับ แต่ถือศีล๕แล้วเก็บศีล๘ทีละข้อครับ
    เหตุที่ผมทำแบบนี้เพราะว่าเคยถือแบบเต็มๆทีเดียว อยู่ได้เกือบอาทิตย์ครับ แล้วก็พังครืนไม่เป็นท่าเลย กำลังใจไม่แข็งพอ
    มารอบนี้ผมเลยเอาทีละข้อครับ เรื่องที่นอนโอเค เรื่องแต่งตัวน้ำหอมไรนี้โอเคครับ
    แต่เรื่องมหรศพ มีดูหนังฟังเพลงอยู่บ้างครับ อันนี้ยังไม่รักษาในข้อนี้
    ส่วนเรื่องการกินนั้น ผมกินตามสมควรครับ ผมดูว่าตอนนี้หิว คือกายหิว หรือใจหิว ถ้ากายหิวก็ไปกิน ถ้าหิวแค่ที่ใจด้วยความอยากก็ไม่ต้องกิน
    แต่ที่หนักหน่วงสุดคือพรหมจรรย์ คือไม่ข้องแวะเลย นี้สิครับที่ยาก ผมเลยเอาตรงนี้ก่อนครับ
    ขอบคุณครับ
    ได้คีย์เวิดล่ะครับ โยนิโสมนสิการ เคยแต่ได้ยิน ไม่ทราบคืออะไร ขอบคุณครับ
    สักครู่จะหาอ่าน
    ผมฝึกสติปัฏฐานกองแรกพอพิจารณาเป็นแล้วครับ แต่ที่มันเกิดกับผมมันไม่ได้เห็นแล้วเกิดอารมณ์(ความจริงคือเกิดขึ้นแล้วดับไปปกติ)
    แต่มันบุกมาที่ใจทีเดียวเลยครับ แบบนี้ต้องฝึกสติปัฏฐานกองไหนครับ 2หรือ4ครับ เพราะจิตมันไม่ได้คิดปรุงแต่งขึ้นต่อจากอารมณ์ที่เกิด แต่เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นครับ
     
  11. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ......ธัมมานุปัสนาสติปัฎฐาน... ตามเห็นความจางคลาย เกิด ดับ ของสภาพธรรมอยู่เป็นประจำ...อารมณ์ นั้น เป็นสภาพธรรมที่เกิดที่ใจ(เสพ) แท้จริงคูณไม่ได้เจริญสติต่อเนื่อง เลย ไม่เห็นความจางคลาย เกิด ดับ เห็นแต่ความสันตติต่อเนื่อง...ต้องเจริญสติ ว่า ขณะนี้ สิ่งใด สภาพธรรมใดเกิด เปลี่ยนไปสู่ สภาพธรรมใด...จากทั้งกาย ทั้ง ใจ...(สติปัฎฐานสี่)...... ไม่มีอารมณ์ใดเกิด แล้ว ไม่ดับหรอกครับ คุณไม่เห็นมันเอง...แค่ไปคิดรู้เรื่องอื่น ก็ ถือ ว่า ดับแล้ว...........:cool:
     
  12. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ทีนี้ โยนิโสมนสิการ(การทำในใจอย่างแยบคาย) เรื่อง อนุสัยนอนเนื่อง(ราคะ) (ปฎิฆะ)(อวิชชานุสัย)...สังโยชน์...โอฆะ...อาสวะ กิเลส..เหล่านี้เป็นตัณหาอันวิจิตร108..อันเป็นสมุทัย แห่งทุกข์.... คงต้องภาวนากันต่อไปแหละครับ...เยอะ...:cool:
     
  13. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ทีนี้ การเพลินไปในอารมณ์ นั้นไม่รู้เวลาเพลินไปเรื่อย...ถ้าเป็นหมู่บ้านพลัม ของท่าน ติชนัทช์ฮัน เขาจะมีระฆัง ไว้เคาะ ใครได้ยินเสียงระฆัง นั่นเป็นอุบายดึง สติกลับมารู้ที่ปัจจุบัน เหมือนกระชาก อารมณ์ที่เพลินนั้น กลับมาอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก..หรือ ปัจจุบันขณะ... คราวนี้คุณ ต้องมีอุบายการภาวนาของคุณเองแล้วหละครับ:cool:
     
  14. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    ศีล 8 ไม่ได้ก็เอาศีล 7 ก่อนสิครับ.....เดี๋ยวกำลังใจมันเต็มได้ตามศีลเมื่อไร มันก็จะลงตัวมันเอง.....ถ้าจะรักษาศีล 8 เต็มๆ อาราธนาก่อนนอนเลยครับได้ทุกวัน....

    พยายามลดอาหารที่เป็นของฉุนนะครับ....เช่น กระเทียม กระชาย หอมแดง เป็นต้น ของพวกนี้กระตุ้นดีมาก....
     
  15. จิงทรงฌาณ

    จิงทรงฌาณ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +29

    คุณสุดยอดจริงๆ ข่มต่อ เกือบละ

    พระท่านบอกว่า ตอนนี้ละ สำคัญ

    กิเลสมาร เขารู้ ว่าเราจะไปแน่ๆ

    เขาก็เล่นเราเต็มที่ ชนะตรงนี้ได้

    ความดี ในใจจะก้าวไปอีกลำดับขั้น

    สู้ๆครับ เป้นกำลังใจไห้ มาถูกทางแล้วครับ
     
  16. Lumos

    Lumos สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +1
    สำคัญสุดคือเรื่องความคิด ไม่คิดถึงเรื่องกาม ไม่ดูภาพ ลามก หรือสาวๆสวย
    ถ้ายังทำสมาธิ ให้ใจสงบไม่ได้ ให้อ่าน หรือ ฟังธรรม แล้วคิดพิจารณาตามจะ
    ทำให้ใจสงบ ขึ้น แล้วความต้องการทางเพศมันจะลดลงไปหรือไม่มีเลย
     
  17. สาวอุทัย

    สาวอุทัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    2,293
    ค่าพลัง:
    +6,620
    ขอแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้วยคนละกัน....แต่อาจจะไม่ใช่อารมณ์ทางเพศซะทีเดียว คือ ดิฉันก็เป็นคนที่ชอบรับรู้ความรู้สึกทางใจเช่นกัน บางทีก็รู้สึกว่าตัวเองมีอารมณ์โหด (แบบงงๆ เพราะมันไม่มีเหตุทำให้เกิด..แต่เป็นอารมณ์โหดล้วนๆ บางครั้งก็กระตี๊กระด๊า..เสียใจ ตื่นเต้น..กลัว...ฯลฯ แต่ยังไม่เคยมีอารมณ์ทางเพศมาจู่โจม) พอรับรู้ว่ารู้สึกเช่นไร ก็หยุดแค่ตรงนั้น ไม่ได้คิดต่อ..เสริมต่อ มองว่าเป็นอารมณ์ อันหนึ่งเท่านั้นเอง บังเอิญดิฉันเคยเห็น(รูปธรรม)ของอารมณ์โกรธ ที่ดิฉันเรียกว่าตัวโกรธ.ที่แยกออกจากตัวตนของเรา จึงเข้าใจเรื่องของอารมณ์ล้วนๆ และอีกเรื่องที่อยากบอกคือ หลวงปู่เจี๊ยะท่านบอกว่า ให้รัว
    พุทธโธ ถี่ยิบเป็นปืนกล อาจจะช่วยคุณได้บ้าง..เพราะคุณจะไม่มีช่องว่างคิดอย่างอื่นเลย
     
  18. ประเสริฐ2522

    ประเสริฐ2522 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    658
    ค่าพลัง:
    +409
    อยากทำให้ได้เหมือนกัน แต่แพ้ทางมันทุกทีครับ................
     
  19. สาวอุทัย

    สาวอุทัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    2,293
    ค่าพลัง:
    +6,620
    ดิฉันก็ไม่ใช่คนเก่งอะไรหรอกนะ ก็คงแนะนำอะไรใครไม่ได้ ทำได้แต่เพียงเล่าให้ฟังเท่านั้น ว่าเคยพบเจออย่างไร แต่เห็นว่าใช้สัมผัสทางใจเหมือนกัน (อ่านน้อย ได้แต่ทำเลย) หลวงปู่ชาบอกว่า ให้ สักแต่ว่า ดิฉันก็คอยแต่จะรั้นครูบาอาจารย์ ชอบรู้สึกว่า ทุกที พอรู้สึกว่าปุ๊บเป็นตัวเราทันที รู้สึกว่าทีไร ก็โดนเล่นงานไปหลายวันเหมือนกัน วิธีหนึ่งที่ใช้คือ พอรู้สึกว่าใจมีอารมณ์อะไร ก็จะดึงไปให้รู้สึกทางกายแทน (หรือทางตัว ให้มีความรู้สึกว่า มีตัว มีหน้า มีหัว มีแขน มีขา ) และดูแขน ดูขา ทำงาน ถ้านั่งสมาธิก็ให้รู้สึกว่ามีกายมีตัว ห่างๆ เรื่องรู้สึกทางใจ ก็อาจจะพอช่วยได้ บอกแล้วดิฉันเล่าให้ฟังได้เท่านั้น ส่วนวิถีทางเป็นเรื่องของเฉพาะตัว เฉพาะตน แต่อย่างไรก็ขอให้คุณโชคดี ... และเชื่อมั่นในการทำความดี วิบากกรรมเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเส้นทางสายนี้ ทำดีย่อมได้ดีแน่นอน ได้ตั้งแต่คิดทำดีแล้วด้วยซ้ำ ส่วนความดีจะส่งผลเมื่อไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีที่สะสมมา
     
  20. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    แก้ให้ถูกจุดครับ ตามพุทธพจน์
    "ธรรมใดเกิดแต่เหตุใด.. พระองค์ทรงตรัสถึงเหตุแห่งการเกิดและการดับของเหตุนั้น"..!
    การตัดกาม..ไม่ใช่เรื่องง่าย เรามาเกิดทุกวันนี้ก็เพราะ "กาม" ตัวนี้แหละ โลภ โกรธ หลง ทั้ง3 ตัวนี้รวมกันเป็น กามครับ แม่ทัพใหญ่..เพราะมีตัวกูของกู..ยังไงครับ
    1.การไม่สะสม (สุข-ทุกข์-อยากมี-อยากเป็น-อยากได้..ไม่เกิด มันจะค่อยๆถูกทำลายไป..)
    2.การดุกาย..กำจัดอารณ์ เพราะจิตจะไม่ส่งออกไปเสพอารมณ์นอกกาย (กามรูปไม่เกิด เพราะดูแต่กายตนเอง)
    3.การอดอาหาร สติจะเด่น..อารมณ์กามจะลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด เหมาะในการตั้งสติเพื่อดูกาย..
    ทีนี้ก็ลองไปเรียงลำดับการปฏิบัติเอาเองครับ..จะเริ่มจากตรงไหนก่อนก็ได้ปัญหาคือ..คุณกล้าทำรึไม่และต้องใช้ปัญญาอย่างยิ่งในการปฏิบัติ ดูเพศภาวะตนเองด้วยครับเหมาะสมรึไม่ (เช่น มีครอบครัวไหม เป็นสมณะรึไม่-สังคมรอบข้างต้องรองรับการปฏิบัติด้วยครับ) :cool:
    การช่วยตัวเอง เป็นแค่เหตุบรรเทาเท่านั้น..ไม่ถาวรแต่มันก็เป็นธรรมชาติไม่ใช่รึครับ แต่ผิดที่เบียดเบียนตนเองและเป็นมิจฉาทิฏฐิครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...