ทําไงดีครับถึงจะละการอิจฉาริษยาได้ ช่วยทีผมทุกข์ ผมมีความอิจฉา :(

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ballbeamboy2, 5 ธันวาคม 2011.

  1. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ขอเล่าก่อนนะครับ ผมไม่ได้อิจฉาคนที่มีตังรวยกว่า มีแฟนสวยกว่า แต่คงเป็นประมาณว่า (ขอ ใช้สมมุติละกัน)

    สมมุตินะครับ มีอาจารย์ มีลูกศิษย์สองคน ชื่อว่า ปัญญา กับ อิจฉา

    ก่อนอาจารย์จะตาย อาจารย์ให้ได้ยก ให้ ปัญญานั้น เป็นอาจารย์แทน แล้ว อิจฉา เลยรู้สึกว่า เราก็เป็นศิษย์ของอาจารย์บําเพ็ญดูแลมาดีทําไมเราไม่ได้เป็นอาจารย์แทน

    อิจฉานั้นเลยโกรธ จะทําร้ายปัญญาให้ได้ อิจฉาอยากเป็นอาจารย์มาก เพราะอยากสอนคน แต่ปัญญา ได้เป็นแทน อิจฉาเลยโกรธมาก อิจฉาอีกด้วย

    ถ้าเป็นท่านควรทําไง ทําให้ อิจฉานั้น ได้มายินดี ด้วยกับปัญญาที่ได้เป็นครูแทน จะได้ไม่ต้องมาอิจฉาอีก ทําไงครับบอกที
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ธันวาคม 2011
  2. นายตถาตา

    นายตถาตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2010
    โพสต์:
    829
    ค่าพลัง:
    +705
    อืมอย่างนี้สิถึงไปได้สวย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ธันวาคม 2011
  3. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    เวงงั้นขอเปลี่ยน ขอเปลี่ยนครับ ขอเปลี่ยนเป็นปัญญาและอิจฉา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ธันวาคม 2011
  4. นายตถาตา

    นายตถาตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2010
    โพสต์:
    829
    ค่าพลัง:
    +705
    เปลี่ยน วอ2 เรียก วอ1 เปลี่ยน บิ๊ป ๆๆๆๆ
     
  5. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .........สติรู้เวลามันมา นะ .....มันร้อนรุ่มในอกเหมือนกรดใหลย้อน(อาการใครอาการมันแล้วแต่)...รู้โทษของมันว่ามันแสบร้อนแล้วจะ เอาไปทำไม...ทีเวลาก้อนถ่านหรือไฟร้อนร้อนให้กำเอาใหม...เหมือนกันแหละ...รู้อย่างนี้ก่อน:cool:
     
  6. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    โยนิโสมนสิการ สิ่งที่เป็นกุศลรู้ อกุศลรู้ สติระลึกจะตรงเข้าสู่ธรรมที่มีอยู่...เพราะฉนั้น สตินั้นแหละ:cool:
     
  7. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    การจะเอา อิจฉา มาผลิกเป็น สิ่งสื่อถึงธรรม

    มันก็อันเดียวกันกับ

    การจะเอา มานะ มาผลิกเป็น สิ่งสื่อถึงธรรม

    ก่อนจะผลิกมันมาเป็นสื่อ ก็ต้อง จับมันเป็นสิ่งถูกสังเกตุ

    เมื่อสิ่งใดก็ตาม ถูกจับ ถูกพิจารณา เป็น สิ่งถูกสังเกตุ คนโง่เท่านั้น ที่จะเชื่อตามมัน

    เพราะถ้า เราเชื่อตามมัน เราก็หมดสภาพ จะเป็นผู้สังเกตุ แต่ กลายเป็นผู้มีบทบาทแทน

    แต่ถ้า เรายกมันเป็นสิ่งถูกสังเกตได้ ให้มันเป็นของนอกๆ ตัวเรา ไม่ใช่เรา มันก็จะ
    ค่อยๆหมดอำนาจในการ ชักจูงใจเรา

    พอมันชักจูงเราไปไม่ได้ คราวนี้ เราจะค่อยๆเห็นว่า มันไม่เที่ยง มันแปรปรวน

    เช่น เมื่อกี้ มันบอกว่าเราเป็นโพธิสัตว์ แต่ เดี๋ยวก็อายม้วนแผ่นดินลบการกล่าวนั้นทิ้ง

    ระหว่างที่อายม้วนแผ่นดิน ต้องกลบสิ่งที่เป็น "ขี้" แทนที่จะเชิดชูสิ่งนั้น เหนือฟ้า

    นี่คือความแปรปรวนของมัน

    คนที่เห็นความแปรปรวนของมัน จะพึง กล่าวหรือว่า เราเหนือฟ้า

    คนที่เห็นความแปรปรวนของมัน จะพึง กล่าวหรือว่า เรายังกับ ขี้ ที่ต้องอายม้วน
    กลบด้วยดินที่เขี่ยด้วย..........

    พิจารณาอย่างนี้ไปบ่อยๆ เนืองๆ จนมันห่างๆ ชักจูงเราไม่ได้ เราไม่เคลื่อนไป
    สำคัญตัวว่าเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างนี้ จะเอาดีอย่างนั้น ไม่เอาแบบนี้ จะมีอย่าง
    นั้น ไม่พร่องแบบนี้ เลิกยึดถือมานะ การมี การเป็น เมื่อนั้น จำนวนสัตว์ ลำดับการ
    รู้ ก็ไม่สำคัญ ไม่อาจชักจูงใจให้เห็นว่าเป็นเรื่องมีนัยยะสำคัญใด ก็จะแจ้ง
    ขึ้นมาว่า ท้ายที่สุดไม่มีอะไร ไม่มีใคร มีแต่จิตที่แปรปรวนไปตามเหตุปัจจัย

    แม้แต่การเกิดขึ้นของพระพุทธ ก็ ตกอยู่ใต้การเกิดตามเหตุปัจจัย

    การมีพุทธเกษตรก็ไม่ใช่การตบแต่ง แต่ ตกอยู่ภายใต้ตามเหตุปัจจัย

    เหตุปัจจัยนั้น พ้นสภาพใครจะไปควบคุมได้ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือ
    กฏแห่งกรรม

    ดูไปอย่างนี้ ก็จะค่อยประจักษ์ ถึง การปราศจากตัวตน แต่ ก็ไม่ปฏิเสธ
    กฏแห่งกรรม ไม่เข้าไปส่วนสุดของการยึดถือจิต กับ ปฏิเสธการ
    มีอยู่และการทำหน้าที่ของจิตภายใต้บ่วงกฏแห่งกรรม

    เมื่อตัวตนไม่มี ลำดับก่อนหลัง จะมีสาระอะไร

    เมื่อตัวตนไม่มี จำนวนมากน้อย หรือไม่มี จะมีสาระอะไร

    แต่ถ้า ปฏิเสธกฏแห่งกรรม สาระก็หาไม่ได้จาก "รูป นาม นั้นๆ"
    เพราะเท่ากับไม่รู้อะไรเลยในเรื่อง เหตุปัจจัย

    อย่างไรก็ดี การจะรู้ในเหตุปัจจัย มันก็รู้ไม่ได้ หากคนนั้นๆ ปราศ
    จากความสงบ ที่มีเหตุปัจจัยจาก การประกอบกุศล ละอกุศลทั้งปวง
    มีจิตผ่องใส มีจิตตั้งมั่น มีการยังจิตให้ถึงพร้อม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ธันวาคม 2011
  8. phongpeera

    phongpeera เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +138
    พรหมวิหารสี่ (มุทิตา) ก็เจริญไปสิ
    ผมไม่สนว่าใครจะได้ดีกว่าผม ผมคิดแค่ว่าเราทำดีที่สุดแล้วได้เท่านี้ ยินดีกับเขาในสิ่งที่เขาได้รับ
    เราก็ต้องเอาในสิ่งที่ดีของเขามาปรับใช้กับตัวเอง ความขยัน ความเพียร อื่น ๆ ตราบใดที่ยังคิดว่าตัวเองดีเลิศ
    ก็ไม่มีวันที่จะยอมรับใคร ไม่เปิดกว้างทางสังคม ก็เหมือนคนที่จมปลักอยู่แบบนั้น
    แค่อิจฉาผมว่ามันง่ายน่ะ ถ้าไม่มีความอยากซะอย่าง อิจฉามันก็ไม่เกิด
    อิจฉา เพราะเขารวย แต่เราไม่รวย (เพราะอยากรวย)
    อิจฉา เพราะเขาได้ดีมีหน้าตา แต่เราไม่มี (เพราะอยากได้คำเยินยอ สรรเสริญ)
    อิจฉา เพราะเขาได้เป็น แต่เราไม่ได้เป็น (เพราะอยากเป็น)
    อิจฉา เพราะเขาได้สอน แต่เราไม่ได้สอน (เพราะอยากสอน) แต่ตัวเองสมควรสอนหรือไม่ในเมื่อยังอิจฉาอยู่
    แต่คนส่วนใหญ่ ก็อยากมี อยากได้กันทั้งนั้น เห็นคนอื่นมีตัวเองก็อยากมี
    ไอ้มีกันไปเยอะ ๆ หนะ เผาตามไปได้หรือไม่ ใจเราพออะไรมันก็จบ แต่ไม่จบเพราะไม่เคยพอกันเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ธันวาคม 2011
  9. Sonaz

    Sonaz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    761
    ค่าพลัง:
    +348
    พิจารณาไง ผมใช้แบบนี้ ว่า ทำไม ต้องอิจฉา เพราะอะไรเราถึงไม่ได้แบบเขา? พอคิดให้มันทันอารมณ์ แล้วมันจะละ และเข้าใจไปเอง
     
  10. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    คุณสร้างเงื่อนไขกับตัวเอง คุณเกลียดตัวเองและเห็นว่าตัวเองไม่มีคุณค่า คุณจึง
    สร้างเงื่อนไขว่าเมื่อมีคนอื่นมารักและเมตตาคุณมาก คุณก็จะได้เริ่มเชื่อว่าคุณมี
    คุณค่า และเลิกเกลียดตัวเอง ยอมรับตัวเองได้
    คุณเลยพยายามทำให้คนอื่นหัน
    มาสนใจคุณ ด้วยการสวดมนต์ การประกาศว่าตัวเองเป็นพระโพธิ์สัตว์ หรือการ
    สอนธรรมคนอื่น แต่มันไม่ได้ทำได้ง่ายอย่างนั้นหรอก ผลก็คือคุณยิ่งเกลียดตัว
    เองมากขึ้น เห็นว่าตัวเองไม่มีคุณค่ามากขึ้น ทำไมคุณไม่เลิกสร้างเงื่อนไขพวกนี้
    ล่ะครับ มีความสุขในการเป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องมีเงื่อนไขว่าคนอื่นต้องมาชื่น
    ชอบคุณ คุณถึงจะเห็นว่าตัวเองมีคุณค่า แต่เห็นคุณค่าของตัวเองตอนนี้เลย ไม่
    งั้นมันก็ต้องอิจฉาไปเรื่อยแหละ
     
  11. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ตัวผมร่างกายผมก็ไม่มีคุณค่าตั้งนานแล้ว
    ตัวผมก็รักตัวเอง (รักจิตตัวเอง) แต่ร่างกายไม่รัก เป็นแค่เครื่องมือทําความดี ทําความชั่ว ก็แค่นั้น ผมก็ไม่รู้หรอก ไปประกาศว่าเป็นพระโพธิสัตว์ทําไม (ผมยังคิดว่าตัวเองยังไม่เป็นพระโพธิสัตว์เป็นคนโง่ อวิชชาห่อหุ้มกิเลศท่วมหัว หาความสุขที่แท้จริงก็แค่นั้น)

    ที่สอนธรรมคนอื่น ธรรมะชนะการให้ทั้งปวงเลยอยากให้ ธรรม คุณค่าของผมคงเป็น ดูแลพ่อแม่ ทําให้เพื่อน พ้องเพื่อนมีความสุขตลกหัวเราะไปวันๆ จะสอนธรรมเพื่อนไม่ได้ เพื่อนเป็นคนคริสต์ บอกว่าพระเจ้า ฉัน พระเจ้านี่ ผมสอนไม่ได้ :p แต่เค้าก็นิสัยดีไม่ได้ชั่ว

    ผมไปอิจฉา พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ หรือคนที่ได้เจอพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์แล้วได้ฟังธรรม และ ที่หมดกิเลศไปนิพพานก่อน โดยเฉพาะพระพุทธเจ้าอิจฉา ใหญ่เลย
    ได้พระโพธิญาณ สอนคนไปนิพพานเป็นจํานวนมาก ทําไมผมไม่ได้เป็นก่อนเค้า นี่คือสิ่งที่ผมคิด เวลา เป็นอสงไขย ทําไมผมไม่ไปบําเพ็ญ :( อันนี้โทษตัวเอง

    ทําไมพระโพธิสัตว์พระองค์อื่นๆมีคุณธรรมเมตตา มากกว่่าเรา ตัวผมเมตตายังน้อยนิด

    จะลองเอาไปทําดูครับ

    อันนี้ผมคิดทันตลอด แต่บางครั้งดันไปหลงทางมัน เลยเซ็ง แล้วขอขมาแล้วทํากําลังใจใหม่

    ถูกของพี่แหะ เวลาจิตผมเป็นราคะ (มีอารมณ์อย่างนั้น) ก็รู้ทันที บางครั้งโกรธ อิจฉา ก็รู้ทันที แปลกดี แต่ก่อนไม่เป็น พอเจริญสติไปเรื่อยๆก็รู้แต่ไม่รู้ ทางพ้นทางดับ :p
     
  12. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    การอยากที่จะสอนธรรมะคนอื่นกับการอยากให้คนอื่นมารักและมาชื่นชมเรามัน
    เป็นคนละเรื่อง คุณถามตัวคุณเองหรือยังว่าอิจฉาพระพุทธองค์เพราะสอนคนให้
    หมดกิเลศหรืออยากเป็นพระพุทธเจ้าให้มีคนรักและชื่นชม ผมเห็นในห้องบทสวด
    มนต์คุณยังหาคาถาที่สวดแล้วให้มีคนรัก คนเมตตาเลย ตอนนี้คุณคิดอย่างหนึ่ง
    แต่พูดอีกอย่างหนึ่ง เอาเข้าจริงกลับทำอีกอย่างหนึ่ง คุณจะแก้ความอิจฉาได้ยัง
    ไงถ้าคุณไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วคุณต้องการที่จะสอนคนให้หมดกิเลศหรือต้องการให้
    คนมารักและบูชากันแน่
     
  13. นายดอกบัว

    นายดอกบัว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +5,676
    เมื่อไหร่เราอิจฉาเค้า คือเราลดตัวให้ต่ำกว่าเค้า ใยเราไม่มานั่งพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเค้าล่ะ จะไม่ต้องมาอิจฉา เมื่อก่อนผมก็เป็นคนที่อิจฉาคน เพราะรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยกว่า แต่ก็พัฒนาตัวเองมาตลอด จนทุกวันนี้กลับไม่ต้องอิจฉา เพราะผมอยู่สูงกว่าเค้าอีก (ความนับถือตัวเองเราสูงขี้นเราก็ไม่ต้องอิจฉาใคร)
     
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    คราวนี้มาดูต่อ เรื่อง อิจฉา หรือ มานะ ที่เราจะ ผลักมันให้ออกจากเรา ให้มัน
    ไปอยู่ห่างๆ แล้วเราเป็นผู้เฝ้าสังเกต

    มานะ และ อิจฉา จะตกเป็นที่นั่งเป็น ผู้ถูกสังเกต หรือ จ้องดูจากเรา เหมือนครู
    ที่ยืนอยู่หน้าชั้น ไม่ใช่เรา

    อีกทั้ง หากเขาจะบอกให้เราแสดงอาการอะไรออกมา ทางกาย ทางวาจา ทางใจ
    เราจะไม่เชื่อ จะไม่ปฏิบัติตาม ตามที่เขาบอก ตามที่เขาพูด เพราะ หากเราเชื่อ
    ก็แปลว่า เขาไม่ได้อยู่ใน ฐานะ ครูหน้าชั้น แต่ กลายเป็น เจ้านาย เหนือตัวเรา

    พอดูบ่อยๆ เราจะค่อยเห็นว่า มานะ กับ อิจฉา ตกลงมันมีคุณภาพเป็นอย่างไร
    ความแปรปรวนของมันเป็นอย่างไร

    ใช่ไหม เวลาเราเรียนรู้ หรือ ฟังอะไร แรกๆ ก็จำได้ แต่ พอทำไปสักหน่อย
    หรือ พุดคุยเล่นกับเพื่อน แป๊ปเดียว ความรู้ก็ตกหายไปหมดแล้ว ไม่เหลือความรู้
    ใดๆในธรรมะแล้ว ไม่เหลือความรู้ในการปฏิบัติแล้ว

    เจอคำว่า นิมิต แรกๆ ดีใจ เหมือนได้ความรู้ แต่พอเวลาผ่านไปนิดเดียว ก็ลืม
    หมดแล้ว ไม่รู้คืออะไร

    เจอคำว่า ปฏิภาคนิมิต แรกๆ ดีใจ เหมือนได้ความรู้ แต่พอเวลาผ่านไปนิดเดียว
    ก็ลืมหมดแล้ว ไม่รู้คืออะไร

    เจอคำว่า อุคหนิมิต แรกๆ ดีใจ เหมือนได้ความรู้ แต่พอเวลาผ่านไปนิดเดียว
    ก็ลืมหมดแล้ว ไม่รู้คืออะไร

    คนที่ความรู้กระพร่องกระแพร่ง สมควรหรือไม่ที่จะมี มานะไปเทียบชั้นโพธิสัตว์

    คนที่ความรู้กระพร่องกระแพร่ง สมควรหรือไม่ที่จะมี มานะไปคำนึงถึงจำนวนคน
    ที่สดับธรรมจากเราแล้วหลุดพ้น

    จะเห็นว่า มันขัดแย้ง

    ดังนั้น อิจฉา นั้น มันจะต้องมาจาก คนที่รู้สึกว่า ตัวเอง มีดีกว่าในทุกๆด้าน แต่
    กลับ แพ้

    เมื่อ ทราบความเป็นจริงว่า ไม่ใช่อิจฉา ความอิจฉาแสดงความผิดเพี้ยน ไม่ถูกต้อง
    ตรงตามความเป็นจริง นั่นแปลว่าอะไร

    แปลว่า แท้จริงแล้ว ไม่ได้ อิจฉา

    แต่กำลัง น้อยเนื้อต่ำใจ ที่บกพร่อง เรียกว่า "ใจแฟ๊บ"

    สรุปแล้ว

    เวลาได้ฟังธรรม ก็ดีใจ "เกิดใจฟู" แอบจดจำไว้ พอ ครูพัก(เราหยุดการดูมานะ)
    เราก็เอาสิ่งที่ลักจำไปเที่ยวสอน แต่พอออกสอน เดี๋ยวก็พบว่า บกพร่อง น่าอาย
    น่าขายหน้า จำได้บ้างไม่ได้บ้าง ตบแต่งเรื่องเพื่อให้ดูว่าจำได้บ้าง "ใจมันก็แฟ็บ"

    เมื่อดูใจฟู กับ ใจแฟ็บ ไว้เนืองๆ ตามเห็นความไม่เที่ยง จะค่อยๆ รู้ว่า แท้จริง
    แล้ว ธรรมะ เขาเรียนอะไรกัน

    เขาไม่ได้เรียนเพื่อไปเป็น จำอวด อวดจำ

    แต่เรียนเพื่อ ตามเห็นความไม่เที่ยง ในสิ่งที่เรายึดถือว่า เรามี เราเป็น เราคือ
    ออกไปเรื่อยๆ จนเหลือแต่การเล็งเห็น รูป กับ นาม

    จนเข้าใจเหตุของการเกิด รูป กับ นาม

    รู้แค่สองตัวนี้ เท่ากับรู้แจ้งโลกทั้งปวง
     
  15. Piagk3

    Piagk3 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    606
    ค่าพลัง:
    +1,222
    มันเป็นธรรมชาติของคน ทีมักจะอิจฉา และริษยา กับคนใก้ล กัน แม้จะไม่รู้จักกันมาก่อน แต่เมื่อได้อยู่ใก้ลกันอาการอิจฉา ริษยา, การแก้อาการอิจฉา ก็คือ ใช้พรหมวิหารสี่ เป็นธรรมปฏิบัติ
     
  16. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ชื่อชมมารัก นั้น ผมไม่ค่อยสน แต่ก็ยังดีกว่า มาเกียจมาชัง ที่ถามเพราะว่า อนาคต ผมจะทํางานที่ให้ผู้ใหญ่คอยเมตตา ไรพวกนี้อะครับจะได้ไม่เดือดร้อน จะได้ง่ายๆ เค้าจะได้เมตตา ผมก็ทํางานได้ง่ายๆไม่ต้องมากังวลอ่าครับ ผมก็อยากจะสอนให้คนหมดกิเลศจะได้พ้นจากกองทุกข์แต่ผมต้องพ้นตัวเองก่อนจะไปสอนได้ ผมก็ยังไม่รู้จะแก้ยังไง คงใช้ พรหมวิหาร4 แก้ได้ เห็นเค้าสุขก็โมทนา


    ครับเห็นด้วอย่างยิ่ง

    สรุปง่ายๆแปปครับ ผมยัง มึนๆอยู่ อิจฉา มานะถ้าจะให้เปรียบ เหมือนครู แต่จะลองใจว่า เราจะทําชั่วรึเปล่า ถ้าไม่ทํา อิจฉา มานะ ก็ค่อยๆหายไป ถ้ารู้เหตุ แห่งการเกิดรูปและนาม และวิธีดับรูปและนาม แบบนี้จะรู้แจ้งใช่ไหมครับ อิจฉาเหมือนใจแฟบ กําลังใจไม่พอใช่ไหมครับ
     
  17. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    ตัว "อิจฉาริษยา" นี่ เป็นเพียงแค่ตัวหมากเบี้ย บนกระดานอุปกิเลส ทั้งหลายแหล่
    พวกนี้จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับ "โกธะ" "พยาปาทะ"
    นายใหญ่มันคือ "โทสะ" เชื้อแห่งอวิชชา

    ตัวอิจฉาริษยานี้ เกิดขึ้นเพราะ ความน้อยเนื้อต่ำใจ เห็นใครดีกว่าเราเป็นไม่ได้
    ทนอยู่ไม่ได้ว่างั้นเหอะ มันขัดหูขัดตาไปหมดเลยล่ะ
    ไม่ว่าจะได้ยินเพียงแม้แต่เสียง ได้เห็นเฉพาะรูป หรือยิ่งทั้งได้ยินเสียงและได้เห็นรูป
    โอยย..คับใจแค้นใจแท้ จะต้องทำลายมัน ว่างั้นเหอะ

    อย่างประวัติ ของพระนางอุตตรา กับ นางสิริมา(ตอนหลังมาได้เป็นพระโสดาบัน)
    นางสิริมา ตอนที่เป็นปุถุชนนี่นะ ขี้อิจฉา พระนางอุตตรา มากเลยล่ะ
    ตั้งตนอยู่ใน มิจฉาดำริ อกุศลผุดขึ้นพึมพำอยู่ในใจ บ้างก็ว่า พระนางอุตตรานั้น คงมาจากสัตว์นรก

    คือว่าพระนางอุตตรานั้นจ้างนางมาเป็นผู้รับใช้ มาบำเรอคอยดูแลสามีนั่นล่ะ
    โดย พระนางจะได้ไปวัด ไปเข้าเฝ้าพระศาสดาได้สะดวก
    แล้วทีนี้นางสิริมา ก็ตั้งตนอยากครอบครอง เอาเองซะเลย
    ยิ่งเห็นคู่สามีภรรยาได้มาอยู่ใกล้กัน ยิ่งร้อนใจหนักเข้าไปอีก

    จึงหาวิธีด้วยการทุรยศ คิดคด คิดทำลาย กับพระนางอุตตรา
    นางสิริมาคับแค้นใจหลาย เอาน้ำมันร้อนไปลาดเทลงบนศรีษะ ของพระนาง
    แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลย เพราะท่านเจริญเมตตาเจโตวิมุติเสมอ
    ตอนหลังนางสิริมาสำนึกผิด ไปเข้าเฝ้าพระศาสดา ได้สำเร็จพระโสดาบัน

    ก็จะเห็นได้ว่า นั่นเพราะพระนางอุตตรา ท่านมีพรหมวิหารประจำใจ
    กับทั้งไม่เป็นผู้ตระหนี่ ไม่เหนียวต่อการสละอารมณ์ ที่ไม่น่าพึงปรารถนา

    ทั้งยังผู้ประทุษร้าย ให้เข้าถึงสัจธรรมนั้นได้อีกด้วย
    จนพระนางสิริมาต้องไปเข้าเฝ้าพระศาสดา เกิดดวงตาเห็นธรรมขึ้นมาได้
    นี่เป็นอำนาจแห่ง เมตตา อำนาจแห่งบุพกรรมร่วมกันมา

    ทีนี้เราไม่ได้เป็นผู้เพ่งฌานเมตตาเจโต คือ ฌานสมาธิในระดับ ก็ยังไม่ได้ นิวรณ์กลุ้มรุมตลอด
    ก็ต้องเฟ้นหาวิธีด้วย "ตทังคประหาน" โดยเข้าไปแบนสถานะ นั้นๆ สถานเดียว
    คือ แบนตัวอิจฉา ครั้นจะตัดให้ขาดฉับ เป็นสมุทเฉจ เสียเลย ก็ไม่มีกำลังพอ
    คือมันยังเป็นไปไม่ได้หรอก ต้องฝึกแบนในอารมณ์ หาธรรมคู่ปรับนั่นล่ะ เข้ามาคลาย

    พอเจ้าตัวอิจฉามันผุดขึ้นมานะ มานะ มานะ คือมันต้องรู้ตัวด้วยในขณะนั้น
    มีสติไปในการเห็นรูป ได้ยินเสียง เป็นต้น หรือแม้กระทั่งเราอ่านข้อความในบอร์ดอยู่นี้
    แล้วกระหน่ำซ้ำ เข้าไปด้วยการเจริญเมตตา มุทิตายินดี เข้าไป ฝึกอย่างนี้บ่อยๆ
    จะช่วยคลายทิฏฐิตัวอิจฉา ที่จะหยั่งเชื้อเป็นไฟกองใหญ่นั้นได้ ในระดับนั้นๆ ตามกำลังแห่งจิต

    แต่ไม่ใช่ว่าไป ยกยอปอปั้น เจ้าตัวอิจฉา นั้นนะ นั่นเพราะมันเป็น มิจฉาดำริ ไง เกิดอกุศลวิตก ขึ้นมาอีก

    ก็จะไปกล่าวหา อกุศลวิตกผุดซ้ำ ว่าคนนั้นคนนี้ "อ้ายสัตว์นรก..!"
    โอย..! เจริญแบบนี้นะ ไม่ใช่เฉพาะแต่ตัวอิจฉา แต่มันกลับเป็นไฟ เข้ามาทำลายล้างตนเอง

    "สุมทุมพุ่มไม้" คุณเอ็งวอดวาย ถูกเผาไหม้ตายห่า แน่ครับ

    คือมันวอดวายตายห่า จากคุณธรรมที่ควรเจริญให้ยิ่ง แต่กลับเป็นการเจริญลงหวบๆ

    "อกุศลวิตก" เกิดขึ้นเมื่อใด ให้ดำริเวียนออก ว่า "มิจฉาทิฏฐิ" หยั่งเชื้อไฟเผาลนจิตใจเรา นั้นแล้ว

    ลองพิจารณา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ธันวาคม 2011
  18. เฟลม

    เฟลม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +15
    ทศมหาปณิธานพระสมันตภัทร

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=Zr3HzfwpGLY&feature=related]ทศมหาปณิธานพระสมันตภัทร2_2 普賢菩薩 - YouTube[/ame]
     
  19. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .....ทั้งหมดที่เป็นกิเลส ตัณหา เกิดจาก อนุสัยกิเลสนอนเนื่อง จากรูป-นาม คือ อายตนะ ตาหรือหูหรือจมูกฯลฯรับ รูป รสกลิ่นเสียงเรียกว่า รูป เกิดผัสสะ เวทนา(สุข ทุกข์ เฉย)ถ้าชอบใจ(จากสุข)ก็เรียกว่ามี ราคะเกิด อนุสัย(ราคานุสัย สะสมนอนเนื่อง) ถ้า เจอสิ่งไม่ชอบใจ เกิด อนุสัย(ปฎิฆานุสัยนอนเนื่อง).ถ้าไม่รู้เรื่องอะไรเลย(อวิชชานุสัยนอนเนื่อง)..คราวนี้ถ้าไม่ได้เจอของชอบใจเหมือนเดิม จะเป็นไง? มันก็เกิดความอยาก(ตัณหา อยากประสพกับของชอบใจ)..ถ้าเจอสิ่งไม่ชอบใจเหมือนเดิมอีกครั้ง(เกิด วิภวตัณหาไม่อยากพบเจออีก).....................กิเลสตัณหาจึงเป็นสาเหตุแห่งทุกข์........การรู้จัก รูป-นามเป็นเบื้องต้น ที่ จะรู้เหตุ เกิดของมัน....ถ้าจะถามว่า ทำไมต้อง รู้จักรูป-นาม....จนกว่าจะรู้แจ้งเห็นจริง และ ดับทุกข์ได้ โน่นแหละ....มันจึงเป้นลำดับลำดับ จาก การฟังพระสัทธรรม(ศึกษา พระสูตร พระวจนะ) :cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...