ตำนานเล่าลึกลับที่น่าขนหัวลุก

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย เหมยหลิน, 18 พฤศจิกายน 2011.

  1. เหมยหลิน

    เหมยหลิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +220
    ตำนานเรื่องเล่าลึกลับที่น่าขนหัวลุก


    The Clown Status / The Clown Doll

    ชาวอเมริกันบางคนกลัวตัวตลกครับ(จากการวิเคราะห์ของนักจิตวิทยาพบว่าเด็ก ส่วนใหญ่ไม่ชอบตัวตลก) ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่ภาพยนตร์หลายเรื่องมักใช้ตัวตลกมาทำเป็นสัตว์ ประหลาดทำร้ายคน นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าที่น่าขนหัวลุกเกี่ยวกับตัวมันอีก

    โดย เรื่องเริ่มขึ้นว่าในระหว่างที่บ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง ในกลางคืนดึกวันหนึ่ง ระหว่างที่พ่อแม่ดูทีวีในห้อง อยู่นั้นก็มีเด็กซึ่งเป็นลูกของพวกเขามายังในห้อง(บางที่ก็บอกพี่เลี้ยง เด็ก) พ่อแม่เด็กถามเด็กว่าทำไมไม่ไปนอน ตื่นขึ้นมาหาพวกเขาทำไม เด็กคนนั้นตอบว่าช่วยจัดการกับรูปปั้นตัวตลก(ตุ๊กตาตัวตลก)ในห้องของผมที ครับ มันจ้องหน้าผมเวลานอนจนผมเป็นประสาทและนอนไม่หลับ

    เมื่อ พ่อแม่ได้ยินเด็กพูดดังกล่าวก็อึ้ง เพราะว่าบ้านพวกเขาไม่ได้มีรูปปั้นตัวตลกในห้องนอนสักหน่อย และเขาก็ไม่เคยซื้อรูปปั้นดังกล่าวมาด้วย และรูปปั้นตัวตลกในห้องนั้นนั่นคืออะไรล่ะ? ด้วยความกลัว พวกเขาก็โทรเรียกตำรวจทันทีและผลปรากฏว่าไม่พบรูปปั้นตัวตลกในห้องนอนของพวก เขา แต่พบว่ามีร่องรอยบุกรุกจากภายนอก สันนิษฐานว่าคนจรจัดไม่ก็คนบ้าได้ปลอมเป็นตัวตลกแอบบุกรุกในบ้าน หรือไม่ก็คนบ้าหลบหนีจากคุกเพื่อฆ่าเด็ก และเรื่องเล่าดังกล่าวก็เคยถูกนำมาแต่งเป็นนิยายของสตีเฟ่น คิง และถูกนำมาเป็นภาพยนตร์ในชื่อ Stephen King's It (1990) หรือเรื่อง Killer Klowns(1988), Clownhouse(1990) ที่นำเสนอเป็นสัตว์ประหลาดที่มันจะออกมากินเด็กในเมืองนั้น

    และ มันก็เกิดขึ้นจริงซะงั้น? ในปี 1990 ที่ West Palm Beach ฟลอริด้า หญิงสาวคนหนึ่งชื่อเชียลา(shelia keen) อายุ 27 ปีถูกยิงตายโดยผู้เห็นเหตุการณ์กล่าวว่าคนฆ่าอยู่ใกล้ศพของเธอนั้นแต่งตัว เป็นตัวตลกใส่วิกผมสีส้มทอง(และคดีนี้ไม่สามารถไขได้ จนกลายเป็นคดีปริศนาในเวลาต่อมา) แต่ฆาตกรตัวตลกนี้เทียบไม่ได้กลับฆาตกรต่อเนื่องนาม จอห์น เวยน์ เกซี(John Wayne Gacy 1942 ~ 1994) ที่ทำการฆาตกรรมฆ่าข่มขืนเด็กหนุ่ม 33 ชีวิตในระหว่างปี 1970-1978 ในเมืองชิคาโก้ รัฐอิลินอยส์ เขาถูกตั้งฉายาว่า “ฆาตกรตัวตลก” เนื่องจากเขาชอบ แต่งตัวเป็นตัวตลกไปเยี่ยมเด็กๆในโรงพยาบาลหรืองานกุศล สุดท้ายเขาก็ถูกประหารชีวิตด้วยการฉีดยาพิษเข้าเส้นเลือด

    The Living Severed Head


    ป็น ความเชื่อของคนหลายคนทั่วโลกไม่ใช่เฉพาะแค่อเมริกา โดยเชื่อว่าเมื่อคนโดนตัดหัวหลุดจากบ่า แต่แล้วหัวนั้นมันมีชีวิตอยู่ระยะหนึ่ง มันยังคงพะงาบๆ และมันเหลือบมองหน้าคนตัดอย่างอาฆาต!!

    และมันก็เกิดขึ้นจริงซะงั้น!! เมื่อหัวเราหลุดจากบ่า เรายังมีชีวิตอยู่ต่อได้ไหม เราสามารถกระพริบตา พะงาบๆ สมองยังทำงานได้ไหม

    เรื่อง เหล่านี้เริ่มขึ้นในช่วงที่กิโยตินหรือเครื่องตัดหัวเป็นที่นิยมใช้ ประหารนักโทษ ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นการประหารที่ทำให้ผู้ถูกประหายตายอย่างรวดเร็ว หมดจด สมองไม่เสียหาย เวลาประหารแต่ละทีจะทำท่ามกลางประชาชนที่มามุมแน่นขนัด และนั้นเองทำให้พวกเขามีโอกาสเห็นหัวยังมีชีวิต หนึ่งในนั้นคือ สมัยปฏิวัติฝรั่งเศส วันที่ 17 กรกฎาคม 1793 สาวนาม ชาร์ล็อตต์ คอร์เดย์(Charlotte Corday) สาวบ้านนอกที่ทำการฆาตกรรม พอล มารัต(Jean-Paul Marat)เธอถูกประหารด้วยกิโยติน หลังจากคมมีดตัดเอาศีรษะเธอกระเด็นออก ผู้ช่วยประหารคนหนึ่งหยิบหัวเธอมา แล้วตบแก้ม พยานโดยรอบยืนยันว่าดวงตาของเธอกลอกมามองเขาพร้อมกับสีหน้าไม่พอใจและได้พูด คำว่า “ไม่ได้”(couldn) หลังจากนั้น ผู้คนที่จะถูกประหารด้วยกิโยตินก็จะถูกขอให้กระพริบตา ผลคือมีนักโทษหลายคนแสดงให้เห็นว่าแม้ถูกตัดหัวตนก็ยังมีชีวิตอยู่

    ใน 1905 จากหลักฐานต่างๆ สามารถสรุปได้ว่าแม้ถูกตัดหัวแล้ว สมองของคุณ ยังคงสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ได้หลายวินาทีก่อนที่จะตาย โดยหนึ่งในนั้นมาจากงานทดลองของดอกเตอร์ โบเรียคซ์ (Beaurieux) ผู้ซึ่งทำทดลองจากฆาตกรฝรั่งเศสชื่อ แลงกุยล์เลอ(Languille) หลังจากเขาถูกแท่นตัดคอนักโทษด้วยเครื่องประหารด้วยกิโยติน(แท่นตัดคอนักโทษ ที่ถูกออกแบบให้ประหารแบบมนุษยธรรม) ตาของ แลงกุยล์เลอ และปากยังคงขยับดำเนินต่อไปนานถึงห้าถึงหกวินาที และต่อมาเมื่อโบเรียคซ์ ตะโกนเรียกชื่อนักโทษ ก็พบเรื่องน่าขนลุกเมื่อ ตาของ แลงกุยล์เลอเปิดออกครั้งและจ้องมองเขา ทำให้เกิดความเชื่อว่าเมื่อคนหัวขาดอาจสามารถคลองสติได้ 15 วินาที

    แพทย์ สมัยใหม่เชื่อว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดจากการ reflex ของกล้ามเนื้อ (คือกล้ามเนื้อกระตุกจากการสูญเสียเลือด หรือการควบคุม ทำให้ตากระพริบหรือกลอก) ไม่ใช่สติรู้ตัว

    แม้ สมัยนี้กิโยตินถูกยกเลิกแล้ว แต่ใช่ว่าเหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก เมื่อมีเหตุการณ์อุบัติเหตุเกิดขึ้น เช่นในเดือนมิถุนายนปี 1989 เมื่อคนสองคนนั่งแท็กซี่แล้วประสบอุบัติเหตุชนกับรถบรรทุก เพื่อถูกตัดศีรษะออก ส่วนอีกคนที่รอดได้พบเหตุการณ์น่าสยอง เธอได้เล่าเรื่องนี้หลังรอดชีวิตว่า

    "หัว นั้นหงายหน้ามองฉัน ฉันยังสังเกตว่า ปากของเขาพยายามพูดสื่อสารอะไรบางอย่างกับฉันอยู่ แม้ตอนนั้นฉันกำลังสับสน หวาดกลัวและเศร้าโศก แต่ฉันไม่พูดเกินความจริง เขายังกะพริบตาและจ้องกับฉัน ก่อนที่หัวนั้นจะหลับตาลงและไม่ตื่นอีกเลย”


    The Body in the Bed



    มี ชายหญิงคู่หนึ่งไปลาสเวกัส เพื่อไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของพวกเขขา ทั้งคู่เช่าโรงแรม และเมื่อทั้งคู่เข้ามาในห้องก็พบกลิ่นเหม็นเหมือนซากศพที่รุนแรงมาก พวกเขาพยายามหาที่มาของกลิ่นนั้นแต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่พบ ทั้งคู่เลยเรียกผู้จัดการมาต่อว่า ผู้จัดการขอโทษและอธิบายว่าตอนนี้ห้องโรงแรมเต็มเพราะมีการประชุมครั้งใหญ่ ไม่สามารถหาห้องว่างห้องอื่นได้ เขาเลยเสนอชดเชยอาหารกลางวันโรงแรมฟรีและส่งแม่บ้านเพื่อมาทำความสะอาดห้อง และพยายามกำจัดกลิ่น

    หลัง จากรับประทานอาหารกลางวันทั้งคู่กลับมาที่ห้องนอนของตน พวกเขายังได้กลิ่นเหม็นเหมือนเดิม เลยเรียกผู้จัดการมาต่อว่าอีกครั้งและขอให้เปลี่ยนห้องเดี๋ยวนี้ ผู้จัดการบอกว่าตอนนี้ห้องเต็มเหลือแต่ห้องวีไอพีเท่านั้น แต่ทั้งคู่พึ่งเสียเงินไปกลับการพนันเลยไม่มีเงินมาเช่าห้องที่ดีกว่านี้ ผู้ชัดการเลยส่งแม่บ้านมาอีกครั้งคราวนี้สั่งให้เปลี่ยนของใช้ในห้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาดพรม เปลี่ยนผ้าเช็ดตัว เปลี่ยนผ้าม่าน วางตำแหน่งของต่างๆ ให้ต่างจากเดิม แต่ปรากฏว่าเมื่อทั้งคู่มาห้องนี้อีกครั้งก็พบกลิ่นเหม็นเหมือนเดิม ฝ่ายผู้ชายหมดความอดทนและโมโหจัดจึงทำลายของใช้ในห้องจนเกือบหมด

    และแล้วเมื่อเขาดึงที่นอนสปริงเขากลับว่าข้างในนั้นมีศพผู้หญิงยัดอยู่!!

    มัน เป็นจริงซะงั้น!! เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าที่นิยมกันในต่างประเทศ รวมถึงไทยด้วยนะครับ คงเคยได้ยินเรื่องผีช่องแอร์ใช่เปล่าครับ นั้นแหละมีเค้าโครงมาจากเรื่องนี้เช่นกัน และบางครั้งรายละเอียดจะแตกต่างกันบ้างแต่รวมๆ ก็แนวๆ นี้แหละ พักโรงแรม ได้กลิ่นเหม็นที่ห้อง และพบซากศพ

    และ ตำนานที่ว่านี้ก็เป็นเรื่องจริงซะด้วยสิ เมื่อมีเหตุการณ์ใกล้เคียงที่เกิดขึ้นจริงในการพบศพนิรนามที่ไม่สามารถระบุ ได้ว่ามันมาได้อย่างไรในเตียงนอนของโรงแรม อีกทั้งมันอยู่ที่นั้นมานานหลายวันกว่าที่จะถูกค้นพบ เช่น ในแอตแลนติกซิตี นิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา ปี 1999 มีการพบร่างของ ซาอูล(Saul Hernandez) อายุ 64 ในห้องของโรงแรม Burgundy Motor หลังจากสองนักท่องเที่ยวชาวเยอรมันนอนค้างคืนในห้องนั้นและบ่นว่าห้องมี กลิ่นหื่นจนออกมาบ่นกับผู้จัดการโรงแรมหลายครั้ง และแม่บ้านก็ไปทำความสะอาดห้องหลายครั้ง จนกระทั้งพบศพใต้เตียงดังกล่าว

    ที่ แคสซัสซิตี้ 14 กรกฎาคม 2003 เจ้าหน้าที่ตำรวจถูกเรียกให้ไปสอบสวนกรณีมีการพบศพชายนิรนามถูกฆ่าและยัดใต้ ที่นอนในโรงแรมท้องถิ่น ซึ่งศพนั้นถูกยัดทั้งอาทิตย์แต่ไม่มีใครสังเกต จนกระทั้งแขกที่เข้ามาพักในห้องทันไม่ไหวต่อกลิ่นจนกระทั้งเรียกแม่บ้านมาทำ ความสะอาดก็พบเรื่องน่ากลัว

    วัน ที่ 15 มีนาคม 2010 เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เมนฟิสได้รับแจ้งว่ามีการพบศพที่ห้อง 222 ที่โรงแรม Budget lnn เป็นร่างกายของหญิงคนหนึ่งชื่อโซนี่ (Sony Millbrook) ที่พบภายในเตียงสปริง โดยฆาตกรได้ฆ่าเธอและยัดใส่เตียงสปริงเพื่ออำพรางคดี จากการสอบสวนพบว่าศพดังกล่าวอยู่ในห้องมานานโดยมีห้องเช่าที่มีศพในเตียง นั้นถึง 5 รายและทำความสะอาดหลายครั้ง โดยไม่เอะใจเลยว่าในเตียงสปริงมีศพอยู่

    หรือจะเอาประเทศไทย ก็มีข่าวทำนองนี้มากมาย (ลองพิมพ์คำว่า ยัดศพใต้เตียง ที่กูเกิ้ลละกัน)

    Drugs Smuggled in Baby's Corpse



    โดย เรื่องนี้เป็นตำนานเมืองเก่าที่ไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลยตั้งแต่ปี 1970 โดยเรื่องเล่าว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งกับเพื่อนร่วมงานไปท่องเที่ยวสนุกสนานที่ ชายแดนเม็กซิโกโดยพวกเขานำทารกสองขวบไปด้วย หากแค่พวกเขาคาดสายตาทารกแค่แป๊ปเดียวเท่านั้นเองเด็กทารกก็หายไป พวกเขาได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ออกตามหา และ 15 นาทีต่อมาพวกเขาก็ได้พบ ผู้เป็นแม่วิ่งไปขอบคุณตำรวจ แต่นั่นวินาทีหลังจากนั้นความดีใจก็หายไปทันทีเมื่อพวกเขาพบว่าเด็กทารกที่ ว่านั่นตายนานตั้งแต่ 45 นาทีที่หายไปแล้ว ที่ท้องเด็กถูกผ่าออกและข้างในยัดด้วยโคเคน สาเหตุคือพวกโจรลักพาเด็กต้องการศพเด็กนั้นเพื่อซ่อนยาเสพย์ติดเพื่อหนีจุด ตรวจไปสหรัฐนั่นเอง

    มัน เป็นจริงซะงั้น! เรื่องการยัดยาเสพย์ติดเข้าไปในศพเพื่อเลี่ยงการตรวจสอบก่อนเข้าสหรัฐ อเมริกา มีมาช้านานแล้วครับ ดั่งข่าวหนึ่งในวอชิงตันโพสต์ ค.ศ.1985 ที่หน้าย่อว่าเมื่อวันจันทร์ ในไมอามี่ มีการลักลอบขนโคเคนเข้ามาในประเทศสหรัฐอเมริกาโดยยัดศพเด็กทารก ในเที่ยวบินจากโคลอมเบียไปยังไมอามี่ โดยตอนแรกเจ้าหน้าที่พบว่าศพเด็กที่ตอนแรกนั้นมาแบบเด็กที่เหมือนมีชีวิตและ คนแอบลักลอบทำท่าทำทางเป็นแม่ของเด็ก หากแต่พวกเขาพบพิรุธเสียก่อน ข้างล่างคือคลิปสยองนิดๆ หน่อยๆ นะครับ



    Buried Alive!



    และแล้วก็มาถึงอันดับ 1 ของเรา “ฝังทั้งเป็น” เรื่องนี้ผมอ่านแล้วน่ากลัวมากดังนั้นอาจยาวหน่อยเพราะผมจะละเมียดแปล

    เรื่องเล่ากันว่ามีหญิงชายคนหนึ่งแต่งงานกับ และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข จนกระทั้งแก่เฒ่า จนกระทั้งวันหนึ่งภรรยาของเขาได้จากไป เขาจัดพิธีศพตามหลักศาสนาคริสต์ คือนำศพของเธอมาฝังในโลงศพอย่างดีมาฝังในสุสานเพื่อให้เธอพักผ่อนถาวร

    เรื่องคงจบแต่เพียงเท่านี้ หากแต่ไม่ เมื่อดึกคืนหนึ่งในขณะที่ฝ่ายชายนอนหลับ เขาได้ฝันน่ากลัวเข้า เมื่อเขาเห็นภรรยาที่อยู่ในโลงศพลืมตาดื่นขึ้น เธอพยายามตะเกียดตะกายเพื่อออกจากโลงที่ถูกฝังในดิน ความมืด ความแคบ อาการน้อยลงทุกที ทำให้เธอกลายเป็นบ้า เธอกำลังร้องชื่อเขาเพื่อมาช่วยเหลือเธอ

    ฝ่ายชายฝันร้ายแบบนี้ทุกค่ำคืน จนกระทั้งทนไม่ไหว เขาเลยร้องขอให้แพทย์และหน่วยงานท้องถิ่นนำโลงศพของภรรยาของเขาออกมา และเมื่อทั้งหมดเปิดฝาโลงก็ตะลึงเมื่อศพภรรยาของเขาไม่ได้เน่าเบื่อ ซ้ำที่เบิกตาโพลง ทำหน้าตาหวาดกลัว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยขีดข่วน ที่เล็บมีเลือดเกรอะกรัง และที่ฝาโลงด้านในมีรอยขีดข่วนชัดเจน ..........

    มันเป็นจริงซะงั้น! เรื่องของศพที่คิดว่าตายแล้วนำมาฝังตามพิธีกรรมทางศาสนา หากแต่ต่อมากลับพบว่าผู้ตายนั้นไม่ได้ตายจริง และกลับมาคืนชีพในโลงศพและพยายามตะเกียดตะกายเอาชีวิตรอด เรื่องราวเหล่านี้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์สยองขวัญมากมาย แต่ที่น่าแปลกคือเรื่องเหล่านี้กลายเป็นจริงอีกทั้งมีมากกว่าหนึ่งกรณี สาเหตุง่ายมากก็เพราะสมัยก่อนนั้นการตรวจสอบผู้ตายนั้นตายจริงหรือไม่ นั้นไม่ค่อยทันสมัย ทำให้มีการฝังในโลงศพทั้งๆ ที่ผู้ตายคนนั้นแค่ตายชั่วขณะ และนี้คือตัวอย่าง ของผู้มีประสบการณ์ฝังทั้งเป็นที่ฟื้นคืนชีพในโลงศพที่ถึงฝังในดินอย่างน่า สยดสยอง

    ปี 1851 เวอรจิเนีย เเมคโดเนล(Virginia Macdonald) อาศัยอยู่กับพ่อแม่ของเธอในนิวยอร์กซิตี้และป่วยตายเธอถูกนำไปฝังในสุสานกรี นวู๊ด(Greenwood) บรู๊คลิน นิวยอร์ค อเมริกา หลังจากพิธีฝังศพผ่านไป แม่ของเธอกลับบอกคนอื่นว่าเธอเชื่อว่าลูกของเธอไม่ตาย เธอพูดแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนครอบครัวของเธอทนไหมไหวเลยต้องขุดโลงศพเปิดฝา โลงให้แม่ของเธอหายข้อข้องใจซะ แต่ปรากฏว่าพวกเขาพบว่าศพของเวอจิเนียนั้นยังไม่เน่า เธอคืนชีพในโลงและพยายามตะเกียดตะกาย ที่มือของเธอนั้นสภาพเละอย่างไม่มีชิ้นดี แสดงให้เห็นว่าเธอพยายามทำลายโลง แต่ล้มเหลวและขาดใจตายไปเสียก่อน (ปล. หลังจากนั้นป่าช้าแห่งนี้ได้ถูกย้ายไปที่แห่งใหม่ หลายโรงถูกนำมาตรวจสอบก็พบว่ามีศพหลายศพที่ถูกฝังทั้งเป็นจำนวนมาก

    เครดิต
     
  2. virgin killer

    virgin killer Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    134
    ค่าพลัง:
    +28
    โจ๊กเกอร์ในเรื่อง เเบ๊ทเเมน ด้วย

    ขนาดผมเป็นทหารผมยังกลัวเลย 55+++ เรียกว่าไม่ชอบดูดีกว่า มันฝังใจอ่ะคราฟตอนเด็ก555+
     
  3. pledae

    pledae สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    92
    ค่าพลัง:
    +21
    หลอนมากเลยอ่ะ ...................
     
  4. untear

    untear Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +80
    ชีวิตไม่แน่นอน...ความตายสิแน่นอน.....
     
  5. ThaiKun

    ThaiKun สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +12
    น่ากลัวหง่ะ
     
  6. jinniezaa

    jinniezaa สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +8

แชร์หน้านี้

Loading...