ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. ธีรยุทธ

    ธีรยุทธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +750
    จากข้อความของคุณลุงเชียงใหม่ ที่คุณเกษม ได้นำมาโพสนี้ ในความคิดเห็นส่วนตัว มันมีความสอดคล้องกับคำทำนาย และ ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ได้กล่าวเตือนไว้ ผมเองก็เป็นคน ลำพูน ก็ได้ฟังคำเตือน จาก ครูบาอาจารย์ที่นี่เหมือนกัน ( นานแล้ว ตอนนี้ไม่ได้อยู่ลำพูน ) ผมว่า ผมจะเอาจุดนี้ เป็นจุดเริ่มต้น ของการเตรียมตัว ถ้าเหตุการณ์ที่คุณลุงเชียงใหม่ได้กล่าวไว้เกิดขึ้นจริง เรามาเริ่มต้นเตรียมการ โดยใช้บันทึกของคุณลุงเชียงใหม่เป็นเหตุ และนำไปสู่การเตรียมตัวตามลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดีกว่าไหมครับ

    ธีรยุทธ
     
  2. warrrior

    warrrior Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +64
    ท่านทราบ ได้ยังงัย อยากรู้ แล้วคิดจากอะไรว่า กี่ปี กี่วัน เอาอาไรมาเป็น สมมุติฐาน คือผมไม่ได้กวนอะนะ เพียงแต่ว่าผมไม่มีความรู้ ด้านนี้ก้อเลยสงสัย ครับ ขอบพระคุณในความกรุณา:'(
     
  3. Thongkerd

    Thongkerd เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    172
    ค่าพลัง:
    +152
    ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวั<WBR>ง
    สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยวหวาดเ<WBR>สียวใจ
    ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม
    หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได<WBR>้
    จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป
    เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่ง<WBR>ประชา
    คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น
    แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา
    ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศร<WBR>ัทธา
    ยามเมื่อฟ้าศรีทองผ่องอำไพ

    จิกซอกำลังเผยออกมาทีละนิด ๆ
     
  4. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ท่านรู้ได้ด้วยอำนาจของสมาธิจิต ที่ท่านปฏิบัติได้ ในทางพระพุทธศาสนาเราเรียกความรู้นี้ว่า อภิญญา 6 ครับ

    อภิญญา แปลว่า ความรู้ยิ่ง หมายถึงปัญญาความรู้ที่สูงเหนือกว่าปกติ เป็นความรู้พิเศษที่เกิดขึ้นจากการอบรมจิตเจริญปัญญาหรือบำเพ็ญกรรมฐาน

    อภิญญาในคำวัดหมายถึงคุณสมบัติพิเศษของพระอริยบุคคลซึ่งเป็นเหตุให้มีอิทธิฤทธิ์ต่างๆ มี 6 อย่าง คือ
    • อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ได้ เช่น ล่องหนได้ เหาะได้ ดำดินได้
    • ทิพพโสต มีหูทิพย์
    • เจโตปริยญาณ กำหนดรู้ใจผู้อื่นได้
    • ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้
    • ทิพพจักขุ มีตาทิพย์ รู้อดีต รู้อนาคต
    • อาสวักขยญาณ รู้การทำอาสวะให้สิ้นไป
    อภิญญา 5 ข้อแรกเป็นของสาธารณะ (โลกียญาณ) ข้อ 6 มีเฉพาะในพระอริยบุคคล ถ้าพบผู้แสดงฤทธิ์ได้ อย่าพึ่งหมายว่าผู้นั้นจะเป็นอริยบุคคล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2011
  5. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=ecxheadline vAlign=baseline align=left>ผู้ว่าฯ กทม.ขอความชัดเจน ย้ายเมืองหลวง หรือ ศูนย์ราชการ</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=40><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4><TBODY><TR><TD class=body vAlign=middle align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=ecxdate vAlign=middle align=left>15 พฤศจิกายน 2554 </TD><TD vAlign=middle align=left>

    <TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=middle align=center>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300><TBODY><TR><TD vAlign=top width=300 align=center>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=ecxImage vAlign=baseline align=left>ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริบัตร</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=5 vAlign=top align=center>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ผู้ว่าฯ กทม. ระบุ ไม่ขัดข้องแนวคิด สส.พท.เสนอย้ายเมืองหลวง แต่ขอความชัดเจนว่า ย้ายเมืองหลวง หรือศูนย์ราชการ

    วันนี้ (15 พ.ย.) ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ให้สัมภาษณ์ กรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคเพื่อไทย เสนอให้มีการย้ายเมืองหลวง ไปที่จังหวัดนครนายก หรือจังหวัดเพชรบูรณ์ ว่า

    แนวคิดการย้ายเมืองหลวง มีมาตั้งแต่สมัย จอมพล ป.พิบูลย์สงคราม อดีตนายกรัฐมนตรี จึงต้องแยกกัน ระหว่างจะมีการย้ายเมืองหลวง หรือศูนย์ราชการ

    อย่างที่ประเทศมาเลเซีย ก็มีการแยกระหว่างศูนย์ราชการ และเมืองหลวงอย่างชัดเจน

    ซึ่งการย้ายเมืองหลวง หรือศูนย์ราชการนั้น เป็นคนละเรื่องกัน เพราะเมืองหลวงของประเทศไทย ต้องมีสถานที่ ที่ให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ออกท้องพระโรง เช่น พระที่นั่งอนันตสมาคม หรือมีสถานที่ประกอบพระราชพิธีได้

    แต่ศูนย์ราชการ สามารถย้ายได้ ดังนั้น ต้องแยกแยะว่า จะมีการย้ายเมืองหลวง หรือศูนย์ราชการ แต่ในหลักการ ตนไม่ได้ขัดข้อง แต่ต้องมีความชัดเจนว่า จะมีการย้ายเมืองหลวงหรือศูนย์ราชการ

    โดยเฉพาะ หากเป็นการย้ายศูนย์ราชการ ต้องมีการวางระบบทั้งหมด เชื่อมต่อกัน ทั้งระบบสายไฟฟ้า สาธารณูปโภค อาคารเชื่อมต่อ ระบบโรงเรียน โรงพยาบาล เพื่อให้ทั้งข้าราชการ และประชาชน สะดวกในการใช้บริการ หากรวมกันได้ ก็จะสะดวกต่อการบริหารจัดการ

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <HR id=ecxstopSpelling>
    <STYLE>.ExternalClass .ecxhmmessage P{padding:0px;}.ExternalClass body.ecxhmmessage{font-size:10pt;font-family:Tahoma;}</STYLE><TABLE border=0 width=670 bgColor=#ffffff><TBODY><TR bgColor=#ffcae3><TD>“สมิทธ” ออกโรงเตือน ปีหน้า ท่วมอีก </TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width=668><TBODY><TR><TD class=ecxA2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=center></TD></TR></TBODY></TABLE>จี้ "ยิ่งลักษณ์" แสดงความรับผิดชอบ ทำน้ำท่วม เตือน ปีหน้าเสี่ยงน้ำท่วมใหญ่อีก แนะ ย้ายเมืองหลวงดีที่สุด


    เมื่อวันที่ 14 พ.ย. นายสมิทธ ธรรมสโรช อดีตผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ และในฐานะคณะกรรมการวางยุทธศาสตร์ทรัพยากรน้ำของประเทศ เปิดเผยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการวางยุทธศาสตร์ทรัพยากรน้ำ จะเชิญประชุมคณะกรรมการฯ ภายในสัปดาห์นี้


    เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์น้ำของประเทศให้ชัดเจนว่า ประเทศไทยจะเดินต่อไปอย่างไร ในสภาวะของสภาพอากาศโลก ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ ปัญหาอุทกภัยใหญ่ที่เกิดขึ้นในปีนี้

    ก่อนอื่น รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรี ต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบ ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด และเปิดเผยความผิดพลาดทั้งหมด ในการบริหารจัดการน้ำ

    โดยเฉพาะ ความบกพร่องอย่างร้ายแรง ในการประสานข้อมูลน้ำข องรัฐมนตรีทุกกระทรวง ที่เป็นคณะบริหารประเทศ รวมทั้ง ข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ของแต่ละหน่วยงาน ออกมาให้สาธารณะชนรับทราบ

    เพื่อเป็นการยืนยันต่อประชาชนว่า รัฐบาลจะไม่บริหารผิดพลาดอีก ในอนาคต เพราะครั้งนี้ เสียหายอย่างมหาศาล หากเตือนภัยล่วงหน้า แม้จะห้ามภัยพิบัติไม่ได้ แต่ความเสียหาย ก็จะน้อยลงมาก

    ทั้งนี้ สิ่งสำคัญ คณะกรรมการชุดนี้ เมื่อประชุมเสร็จแล้ว นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นประธานการประชุม จะต้องแถลงยุทธศาสตร์น้ำของประเทศ เพียงคนเดียวเท่านั้น


    โดยจะต้องสรุป ออกมาให้ชัดเจน ในครั้งแรกของการประชุมว่า จะทำโครงการใดบ้าง จะใช้เวลาสร้างเท่าใด การบริหารจัดการเป็นอย่างไร ตั้งแต่ก่อนเกิดภัย เกิดภัยแล้ว และหลังเกิดภัย

    อย่าให้เป็นเหมือน การทำงานของศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย หรือ ศปภ.ในขณะนี้ ที่ประชาชนไม่เชื่อถือแล้ว ไม่ว่าจะพูดอย่างไร บางคนออกมาแถลงว่าไม่ท่วม แต่ความเป็นจริงน้ำท่วมหนักหากไม่มีความชัดเจน ตนจะไปประชุมเพียงครั้งเดียว เพราะเสียเวลาตน ที่เข้าร่วมเป็นกรรมการด้วย

    นายสมิทธ กล่าวว่า ขณะนี้ ข้อมูลจากนานาชาติ ยืนยันตรงกันว่า ไทยมีโอกาสเกิดน้ำท่วมใหญ่อีก ในปีหน้า ถ้าขาดข้อมูลกลางที่แท้จริง จะเกิดความเสียหายอีกมาก

    รวมทั้ง จะเกิดแผ่นดินไหว อากาศแปรปรวน หนาวมาก ร้อนมาก โดยเฉพาะ ฝนจะตกมากขึ้น


    เป็นข้อมูลจาก องค์การสภาพภูมิอากาศโลก ของสหประชาชาติ และน้ำทะเลหนุนเพิ่มสูงขึ้นอีก 1.50 เมตร

    หากกรุงเทพฯและปริมณฑล ไม่เจอน้ำท่วม ก็ต้องท่วมขังอย่างถาวร จากน้ำทะเลหนุนสูงภายใน 9-10 ปีนี้

    จังหวัดสมุทรสงคราม สมุทรสาคร และสมุทรปราการ จะหายไปเลย

    ดังนั้น การป้องกันน้ำเหนือ และน้ำทะเลหนุน ต้องเป็นวาระแห่งชาติ ที่นายกรัฐมนตรี ต้องตัดสินใจทำทันที ว่าจะทำเขื่อนปิดปากอ่าวไทย กั้นตั้งแต่ พัทยาถึงชะอำ หากทำ จะกั้นน้ำไม่ท่วมกรุงเทพฯได้อีก 40 ปี

    เพราะถ้าน้ำแข็งขั้วโลกละลายหมด น้ำทะเลจะท่วมไทย จนถึงสระบุรี นครสวรรค์ จะกลายเป็นชายหาด

    หรือทำประตูปิด - เปิดปากแม่น้ำ หรือจะทำเป็นฟลัดเวย์ ขุดคลองแห่งใหม่ เพื่อระบายน้ำจากเขื่อน หรือตัดตอนไม่ให้เข้ากรุงเทพฯ และแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อลงทะเลโดยตรง

    เพราะทั้งคนไทยและนักลงทุนต่างชาติ รอฟังอยู่ว่า รัฐบาลจะแก้ปัญหาอย่างไร ถ้าไม่ตัดสินใจเด็ดขาด ต่างชาติก็หนีกันหมด

    อย่างไรก็ตาม การย้ายเมืองหลวงแห่งใหม่ เป็นมาตรการที่ดีที่สุด ซึ่งตนและนายอาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ได้เสนอมานานแล้ว

    จนประเทศพม่า ได้ย้ายเมืองหลวง จากย่างกุ้ง ไปเมืองใหม่ 7 - 8 ปีแล้ว แต่ของไทย ยังไม่เริ่มคิดกันเลย เพราะคนไทย มัวแต่ทะเลาะกันอยู่
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2011
  6. Thongkerd

    Thongkerd เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    172
    ค่าพลัง:
    +152
    ทุกอย่าง ทุกความคิด ทุกความเห็นที่เสนอ คือรากฝอยของจิกซอ ต่อไปอีกนิด ไม่ไกลเกินนี้ จะเจอรากแก้ว และเจอลำต้น เจอใบ เจอดอกและผล งดงามศิวิไลมาก
     
  7. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ดีครับ จุดมุ่งหมายของการตั้งห้องภัยพิบัติและการเตรียมการ นี้ขึ้นมาก็เพื่อแจ้งเตือนภัยพิบัติต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น เพื่อให้ทุกๆท่านได้เตรียมกายและใจ ให้พร้อมที่จะรับมือกับภัยพิบัติทุกประเภท ได้ทันกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ครับ
     
  8. Thongkerd

    Thongkerd เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    172
    ค่าพลัง:
    +152
    ติดตามพลังจิตมาตลอด ชาวพลังจิตเตือนภัยกันมานานแล้ว ตอนนี้สิ่งที่เตือนกำลังแสดงผลหลายประการ ขอบคุณชาวพลังจิตครับ....
     
  9. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    ส.ส.เพื่อไทย เข้าชื่อ เสนอญัตติด่วน ย้ายเมืองหลวง <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=40><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4><TBODY><TR><TD class=body vAlign=middle align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=middle align=left>15 พฤศจิกายน 2554 19:29 น.</TD><TD vAlign=middle align=left><SCRIPT type=text/javascript src="https://apis.google.com/js/plusone.js"> {lang: 'th'}</SCRIPT>

    <TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=middle align=center>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=12 vAlign=bottom align=left>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top align=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=160 align=center><TABLE border=0 cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=center></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=middle align=center>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=center>นายสถาพร มณีรัตน์ ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย (ภาพจากเฟซบุก "สถาพร มณีรัตน์")</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=1 vAlign=middle width=165 align=center>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=/images/linedot_vert3.gif width=4>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=7 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>ส.ส.เพื่อไทย เข้าชื่อ เสนอญัตติด่วนย้ายเมืองหลวงหนีน้ำ

    อ้างข้อมูล ระบุ กทม. จะจมบาดาลใน 10 ปี

    รื้อแนวคิดยุค“แม้ว”เคยสั่งสภาพัฒน์ฯ ศึกษา พบ“นครนายก”เหมาะ อยู่ไม่ไกลสุวรรณภูมิ

    ทำไฮสปีดเทรน เชื่อมตะวันออก-เหนือ-อีสานได้

    ย้ำ ดีกว่าละเลงงบทำ “นิวไทยแลนด์” ขณะ ส.ส.เมืองกรุง ไม่ลงชื่อร่วม

    วันที่ 15 พ.ย. ที่รัฐสภา นายสถาพร มณีรัตน์ ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล


    ตนพร้อมด้วย ส.ส.อีก 20 คน ได้ลงนามเพื่อเตรียมเสนอญัตติด่วน ต่อสภาผู้แทนราษฎร

    เพื่อขอให้ตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาเพื่อย้ายเมืองหลวง จากรุงเทพฯ ไป จ.นครนายก หรือ จ.เพชรบูรณ์ หรือจังหวัดอื่นๆ ที่มีความเหมาะสม

    โดยจะเสนอต่อวิปรัฐบาล ภายในวันที่ 16 พ.ย. เพื่อเสนอเป็นญัตติเร่งด่วน

    นายสถาพร กล่าวอีกว่า ด้วยสภาวะแวดล้อมของโลกและของประเทศไทย ที่เปลี่ยนแปลงไปหลายด้าน ส่งผลให้เกิดวิกฤตภัยธรรมชาติ


    ทั้งการเกิดน้ำท่วม แผ่นดินทรุด รอยเลื่อนแผ่นดินไหว ภัยสึนามิ และจะต้องใช้งบประมาณ ฟื้นฟูสภาพ เป็นจำนวนมหาศาล

    จากกรณีข้อเท็จจริงดังกล่าว ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ว่า กทม.ในฐานะเมืองหลวงของประเทศไทย แผ่นดินทรุดโดยเฉลี่ย ปีละไม่ต่ำกว่า 20 เซนติเมตร

    และประกอบกับ ภาวะโลกร้อน ทำให้น้ำทะเลหนุนสูงขึ้น จึงมีความเป็นไปได้ที่ กทม.จะกลายเป็นเมืองบาดาล

    ซึ่งอาจจะสร้างความเสียหาย และความเดือดร้อนแก่ประชาชนและบ้านเรือน ที่อยู่อาศัยในเขต กทม.ได้

    “จากสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น จึงเห็นได้ว่า ควรมีการพิจารณาศึกษา การย้ายเมืองหลวงจาก กทม.ไปยังพื้นที่เหมาะสม


    เช่น จ.นครนายก เพชรบูรณ์ หรือ จังหวัดอื่น ที่มีความเหมาะสมต่อไป

    เพื่อเตรียมการ และรับมือแก้ไข ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต

    เราต้องสร้างแนวคิดใหม่ จุดให้เป็นประเด็นใหญ่ให้เป็นเรื่องทอล์ก ออฟ เดอะทาวน์ไปเลย

    ใครไม่เชื่อก็อย่าเชื่อ เพราะเคยมีข้อมูลว่า กทม.จะจมบาดาลอีก 10 ปี เราจึงต้องย้ายไปที่แห่งใหม่” นายสถาพร ระบุ

    นายสถาพร กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ญัตตินี้ พรรคได้รับหลักการ ให้เสนอตามที่ ส.ส.ได้เข้าชื่อเสนอ โดยให้เป็นเรื่องของสภาฯ ที่จะพิจารณา


    สำหรับแนวคิดย้ายเมืองหลวง สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็เคยมีแนวคิด จะย้ายไปยัง จ.นครนายกมาก่อน และได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจสังคมแห่งชาติ ไปศึกษาข้อมูลเบื้องต้นแล้ว

    ปรากฎว่า จ.นครนายก มีความเหมาะสมทั้งทางกายภาพ และภูมิศาสตร์ พื้นที่เป็นแนวลาดชัน หากน้ำมาก็จะไหลระบายได้เร็ว

    ไม่เหมือนกับ กทม.ที่เป็นแอ่งน้ำมาก จึงเป็นพื้นที่รับน้ำอย่างเดียว

    “การย้ายเมืองหลวงไปแห่งใหม่ ดีกว่าจะไปทำนิวไทยแลนด์อยู่แล้ว มองทั้งเชิงโครงสร้างและแผนงาน ยังไงก็คุ้มค่ากว่า


    กทม.จะมีอะไรเป็นนิวได้อีก เราควรวางแผนสร้างความหวังให้ประชาชนใหม่ นครนายก เหมาะสม ไปถึงก็วางโครงสร้าง ผังเมืองใหม่

    ทั้งส่วนราชการ ศูนย์กลางเศรษฐกิจ หรือแม้แต่การขนส่ง ระบบคมนาคม ก็ไปทำรถไฟความเร็วสูงเชื่อมไปภูมิภาคตะวันออก เหนือ อีสาน

    หรือแม้กระทั่ง ทำรถไฟความเร็วสูง มายังสนามบินสุวรรณภูมิก็ไม่ไกลมาก กลับมา กทม.ก็ห่างกันเพียง 40 กม.เท่านั้น” นายสถาพรกล่าว

    สำหรับประเด็น เรื่องที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมที่พบว่า ได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ นายสถาพรแสดงความเห็นว่า


    หากคิดระยะยาว ก็ต้องกระจายให้อยู่รอบนอก ทั้ง จ.สระบุรี จ.ปราจีนบุรี หรือ จ.ฉะเชิงเทรา ก็ได้

    ส่วนแนวคิดใน จ.เพชรบูรณ์ นั้น ก็เหมาะสมเช่นกัน ทั้งทางภูมิศาสตร์และกายภาพ หากไม่เป็นเช่นนั้นสมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม อดีตนายกรัฐมนตรี คงไม่มีแนวคิด จะย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่ จ.เพชรบูรณ์

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรายชื่อ ส.ส.ทั้ง 20 คนของพรรคเพื่อไทยที่ร่วมเสนอญัตติ อาทิ นายวาสิต พยัคฆบุตร ส.ส.ลำปาง นายวิทยา ทรงคำ ส.ส.เชียงใหม่ นายเอี่ยม ทองใจสด ส.ส.เพชรบูรณ์ เป็นต้น

    แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่มี ส.ส.กทม.เพื่อไทย ร่วมลงชื่อด้วย


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. อวทม45

    อวทม45 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    330
    ค่าพลัง:
    +1,832
    ไม่ประมาท ทำกุศลให้ถึงพร้อม ไม่คิดไปในอนาคตที่มาไม่ถึง
     
  11. somemaybe

    somemaybe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2009
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +143
    ภัยพิบัติอย่างแรกที่จะพัดใจคนก่อนเกิดภัยหนักจริงๆ
    ก็คือ หลังน้ำท่วมนี่แหละ
    อาการคงจะออกกันชัด คนบางส่วนที่ไม่มีที่ไป
    ก็กลัวที่จะท่วมอีก
    คนที่หมดตัว ก็คงแทบหมดลมหายใจ (และถ้าปีต่อๆไป
    มันท่วมอีกหล่ะ.........................)

    ถ้าขยับขยายย้ายเมืองหลวงจริงๆ
    คงวุ่นวายพิลึก

    ประเทศไทยจะเกิดภัยตามทำนายมั๊ย
    อนาคตไม่มีใครรู้
    แต่เดาได้ว่า หลังน้ำท่วม
    ต้องห่อเหี่ยวเสียสุขภาพจิตกันเป็นทิวแถว
    ยิ่งถ้ามีการแจ้งย้ายกันโจ๋งครึ๋มอีก


    โอ้โห จะขนกันไปยังไงดีเนี่ยะ
    ตั้งกี่จังหวัด กี่เขตที่น้ำท่วม
    และกี่ครอบครัวที่ไม่มีที่ไป

    กลุ้มใจแทน แล้วรัฐบาลเค้าจะวางแผนปฏิบัติการกันยังไงเนี่ยะ
    มวลชนถึงจะไม่วุ่นวาย ๑. ๑
     
  12. ZZ

    ZZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    5,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,649

    ค่าจาก...ปฏิทินมายันครับ

    เพราะปฏิทินมายันคือ...ปฏิทินที่แสดงวงรอบการโคจรของแกแลกซี่



    <object style="height: 390px; width: 640px">


    <embed src="http://www.youtube.com/v/BeE-3BBqG58?version=3&feature=player_detailpage" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowscriptaccess="always" height="360" width="640"></object>


    The hierarchy of days is as follows:

    Day = Kin (keen)

    Month of 20 days = Uinal

    Year of 360 days = Tun (toon)

    20 Tuns = K’atun (k’a toon)

    20 K`atuns = Baktun (backtoon)



    "The emergence of humankind - Homo Sapiens - represents a particular stage in the evolutionary cycle of a star system, a stage in which the purposive integration of the four levels of consciousness becomes a distinct planetary possibility. The stage, Homo Sapiens, has a duration of 26,000 tun or five great cycles of 5,200 tun each. The 26,000-tun cycle is roughly equivalent to the so-called Platonic Great Year. The 5,200-tun cycle is but the fifth or last stage of the current evolutionary cycle. What we are experiencing is the climax of our particular species and evolutionary stage - the very last 26 years of a cycle some 26,000 years in length!"

    (Jose Arguelles, The Mayan Factor, p. 175)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2011
  13. sanoraya

    sanoraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +1,221
    เอ่อแจ้งข่าวนิดนึงนะ่คะ่ มีรถไฟวิ่งจากกรุงเทพลงใต้นะคะ่จากสถานีบางกอกน้อยคะ่ เที่ยวเย็นรถกรุงเทพราชบุรี และสายอื่นที่ไปใต้ช่วงบ่ายโมงนี่น่าจะวิ่งนะคะ่
     
  14. พญาเสือดาว

    พญาเสือดาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    452
    ค่าพลัง:
    +503
    พี่เกษมครับ บันทึกของพระคุณลุงคนเชียงใหม่นี่จะเกิดในช่วงใหนครับ ผมจะใด้บอกครอบครัวผมใด้หว่า ภัยอันตรายจะมาถึงเเล้ว ผมหว่าอีกไม่กี่ปีมาเยือนเราเเน่นอนครับ ขนาดหลวงปูดำ อายธรรมโม ยังบอกให้ระวังอันตรายเอาไว่อย่าประมาท
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2011
  15. bamrung

    bamrung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2006
    โพสต์:
    836
    ค่าพลัง:
    +1,524
    ช่วงนี้หลวงพ่อเกษมวัดสามแยก กำลังเทศน์เกี่ยวกับเรื่องภัยพิบัติ และ สัจจะ บ่อยขึ้น ลองไปฟังดูถ้าไม่มีอคติ
     
  16. พญาเสือดาว

    พญาเสือดาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    452
    ค่าพลัง:
    +503
    คุณbamrung พอมี file ที่เกียวกับหลวงพ่อเทศเกี่ยวกับภัยพิบัติมีใหมครับผมอยากฟังครับเเละอยากให้เพื่อนๆฟังอะครับ เพราะตอนนี่ผมอยู่ที่จีน ขอโทษนะครับที่ที่ผมอยู่มีคนไทยเยอะเเต่มีเเต่คนโง้ครับ ผมอยากให้ผวกมันฟังครับ อีกไม่นานจะถึงที่ตายเเล้วยังไม่รู้ตัวกันอีกครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2011
  17. พญาเสือดาว

    พญาเสือดาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    452
    ค่าพลัง:
    +503
    ชีวิตรันทด! ชายอินโดป่วยโรคท้าวแสนปม คนรอบข้างมองเป็นตัวประหลาด

    Mthainews: เว็บไซต์ข่าวเดอะซัน รายงานชายอินโดนีเซียป่วยเป็นโรคท้าวแสนปม ที่มีตุ่มลักษณะเนื้องอก โผล่ขึ้นมาเต็มทั่วร่างกาย นายจันทรา วิศนุ วัย 57 ปี ต้องป่วยด้วยโรคท้าวแสนปม หรือ neurofibromatosis ที่โอกาสน้อยมากที่คนทั่วไปจะป่วยเป็นโรคนี้ ซึ่งเป็นโรคพันธุกรรมชนิดหนึ่ง ก่อให้เกิดความผิดปกติที่กระดูก ระบบประสาท เนื้อเยื่ออ่อน และผิวหนัง โดยจะมีเนื้องอกลักษณะก้อนมีสีน้ำตาลหรืออมชมพู เมื่อกดด้วยนิ้วจะบุ๋มลงไป

    แน่นอนว่า ความประหลาดของโรคนี้ทำให้เขาต้องอยู่แต่ในบ้าน ไม่ค่อยออกไปไหนมาไหน แต่หากจำเป็นก็ต้องปิดพรางใบหน้า และสวมแว่นกันแดดเพื่อหลบเลี่ยงสายตาจากคนอื่นๆที่มองเป็นตัวประหลาด และพูดเสียดสีอย่างดูถูก

    ก่อนที่เขาจะอายุย่างเข้า 24 ปี ตุ่มเหล่านี้เริ่มลามไปยังหลัง จนกระทั่งอายุ 32ปี นายจันทราก็มีตุ่มขึ้นทั่วทั้งตัว แม้ว่าในช่วงแรก ครอบครัวของเขาได้พาไปพบแพทย์และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง แต่พวกเขาก็ประหลาดใจว่า เหตุใดจึงมีอาการมากขนาดนี้

    แพทย์ระบุว่า อาการเช่นนี้เป็นโรคทางพันธุกรรม และอาจเกิดจากความผิดปกติของระบบประสาท จนเกิดเนื้องอกลุกลามไปยังผิวหนังหรือกระดูก และแพทย์ได้สั่งยาทาผิวหนังหลายชนิด แต่ก็ไม่มียาใดช่วยให้หายขาดจาดโรค แถมยังลุกลามไปทั่วร่างกาย จนแพทย์จนปัญญาหมดทางรักษา

    ด้วยความโชคร้ายที่เกิดมาเช่นนี้ จันทราต้องทนทุกข์กับสภาพที่เป็นอยู่มานานหลายปี และไม่ได้ไปพบแพทย์อีกเลย

    “โรคนี้มันส่งผลกระทบต่อชีวิตผมมาก ตุ่มที่เป็นก้อนเริ่มคันมากโดยเฉพาะเวลาอากาศร้อน แต่เมื่อต้องออกไปข้างนอก ต้องสวมเสื้อคลุมถึง3ตัว แม้ว่าจะไม่เคยมีใครมาล้อเลียนซึ่งๆหน้า แต่เมื่อพวกเขาเห็นตุ่ม ก็จะจ้องมองด้วยความประหลาด จากนั้นก็เดินเลี่ยงออกไป ซึ่งส่วนใหญ่ก็ปฏิบัติกับผมแบบแปลกๆ ผมจึงรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัย และโกรธพวกเขากลัวใบหน้าที่เต็มไปด้วยตุ่ม กลัวว่าอาจจะติดโรคไปด้วยหากเข้าใกล้

    อย่างไรก็ตาม ผมเลือกที่จะอยู่แต่ในบ้าน แทบจะไม่ได้ออกไปไหน เว้นแต่ว่าต้องไปรับลูกสาวที่โรงเรียน ซึ่งก็ต้องพรางตัวให้มิดชิด “

    นานิก ตรี ฮาร์นายิ ผู้เป็นภรรยากล่าวว่า นานมาแล้วในช่วงที่สามีเริ่มป่วยเป็นโรคนี้ แล้วมีตุ่มขึ้นตามร่างกาย เขาบอกกับฉันว่า ให้ทิ้งไปเถอะ แล้วไม่ต้องกลับมาอีก แต่ฉันก็ยังคงเลือกอยู่กับเขา

    ทั้งนี้ ภรรยาของจันทรา ตัดสินใจเปิดเผยภาพสามีให้กับทั่วโลกได้เห็น เพราะว่าหวังว่าจะมีหนทางรักษาสามีบ้าง อีกทั้งลูกชายคนโต มาร์ติน อนันดา วัย32 ปี และและลูกสาว ลิส คานทรา วัย26 ปี ก็เริ่มจะมีอาการแบบนี้แล้วเช่นกัน

    ส่วนจันทรา เปิดเผยว่าไม่เคยพาลูกไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอาการ เพราะว่าไม่มีเงินมากพอที่จะรักษา โดยลูกทั้งสองเริ่มมีอาการเนื้องอกเล็กๆ ซึ่งพวกเขากังวลว่าอาจจะลุกลามเป็นเหมือนเขาก็ได้

    “หากว่ามีโอกาส หรือหนทางรักษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ก็จะไม่ปล่อยโอกาสนั้นไป แต่ขณะนี้ครอบครัวกำลังเผชิญกับชะตากรรม ที่พวกเขาต้องหาทางรักษา “ จันทรา กล่าว

    แต่แม้ว่ารูปกายภายนอกของจันทรา จะเต็มไปด้วยตุ่มที่ขึ้นทั่วตัว แต่จันทรายังคงมีกำลังใจ จากภรรยาที่คอยอยู่เคียงข้าง ไม่ยอมทอดทิ้ง และร่วมต่อสู้กับสภาพที่ยากลำบากมาจนถึงปัจจุบัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. พญาเสือดาว

    พญาเสือดาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    452
    ค่าพลัง:
    +503
    ดูสิครับ เขายังต่อสู้ต่อไป คนทีมีดีกว่าเขาต้องต่อสู้ต่อไปอย่ายอมเเพ้ไม่ใช้อะใรก็ยอมเเพ้นะครับ เเล้วอีกอย่างนึงหมั้นทำความดี เพราะเราไม่รู้หว่าอนาคตจะเจออะใร ดีกว่ารู้ตัวอีกทีก็สายเสียเเล้ว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 9376070.jpg
      9376070.jpg
      ขนาดไฟล์:
      179.6 KB
      เปิดดู:
      104
  19. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    <TABLE id=pid4302 cellSpacing=0 summary=pid4302 cellPadding=0><TBODY><TR><TD class=plc><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD id=postmessage_4302 class=t_f>อนาคตของประเทศชาติไทย โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน


    เรื่อง : อนาคตของชาติไทย

    (บรรยายเมื่อ วันพุธที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๘)

    โดย.. พระมหาวีระ ถาวโร (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
    มัชฌิมา : คัดลอก



    • เรื่องมีอยู่ว่า... ท่านพลตรียุทธศิลป์ เกสรศุกร์ ผู้บัญชาการกองพลที่ ๓ (ยศและตำแหน่งสมัยนั้น) ได้นิมนต์ หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) พร้อมด้วยพระเถระรวม ๖ รูป เพื่อไปบำรุงขวัญของทหารในเขตกองทัพภาคที่ ๒ โดยนำผ้ายันต์พิชัยสงครามและเหรียญเอกราชไปแจกให้แก่ทหารตามฐานปฏิบัติการ ชายแดน ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๘ และในวันสุดท้ายคือวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๘ ได้ทำการแจกให้แก่ทหาร ค่ายสุรนารี จ.นครราชสีมา และก่อนทำการแจกได้แสดงธรรมิกถาพิเศษ เรื่อง “อนาคตของชาติ” ณ พุทธศาสนสถาน ค่ายสุรนารี จ.นครราชสีมา
      มูลเหตุที่มาแจกวัตถุมงคล

    • “..เจริญสุข แก่บรรดาทหารของชาติทุกท่าน อาตมาได้ไปทำการจากจ่ายผ้ายันต์และเหรียญแก่ทหารทางภาคเหนือมาแล้ว ๓ ครั้ง ต่อมาได้ทราบจากข้าหลวงของสมเด็จพระบรมราชินีนาถว่า “...สมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงปรารภว่า หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านไม่ห่วงทหารภาคอีสานหรืออย่างไร จึงไม่ไปแจกของแก่ทหารทางภาคอีสานบ้าง..”

    • ความจริงอาตมาห่วงทหารทางภาคอีสานเช่นเดียวกับทหารทางภาคเหนือ เมื่อท่านผู้บัญชาการกองพลที่ ๓ รับจะอำนวยความสะดวกในการเดินทางมาแจกจ่าย จึงได้นำสิ่งของมาแจกให้ครั้งนี้

    • ขั้นแรกอนุศาสนาจารย์ได้อาราธนาให้แสดงธรรม ต่อมาท่านผู้บัญชาการกองพลได้อาราธนาให้เล่าเรื่องของที่นำมาแจกจ่ายว่าทรง คุณค่าอย่างไรบ้าง ผู้ที่ได้รับแจกไปจะได้เกิดศรัทธาความเชื่อมั่น

    • เพื่อสนองเจตนาของอนุศาสนาจารย์และท่านผู้บังคับบัญชากองพลที่ ๓ ได้อาราธนาจึงขอพูดเรื่องธรรมะก่อนสักเล็กน้อย จากนั้นจึงจะพูดถึงเรื่องสิ่งของที่นำมาแจกจ่าย

    • เราทุกคนอยากมีความดีด้วยกันทั้งนั้น แม้บางคนนึกว่าตนเองอยากมั่งอยากมี อยากมียศมีอำนาจ แต่ความจริงแล้วก็คืออยากมีดีนั่นเอง

    • แม้เราจะมียศสูง แต่ถ้าใครมาว่าเราเป็นคนไม่ดี เราก็ไม่ชอบ เพราะฉะนั้นใครจะอยากอะไรก็ตามเถอะ แต่ที่สุดของความอยากนั้นก็คือความดีนั่นเอง
      รักษาศีล 5 ให้ได้

    • ความดีนั้นมีกฏเกณฑ์ที่เราจะต้องทำเป็นเบื้องต้น 5 ประการ คือ
      1. เราไม่อยากให้ใครมาฆ่า รังแก ข่มเหงเรา เราก็อย่าไปฆ่า ไปรังแก ไม่ข่มเหงเขา
      2. เราไม่อยากให้ใครมาลักของๆ เรา เราก็อย่าไปลักของๆ เขา
      3. เราไม่อยากให้ใครมาผิดลูกผิดเมียเรา เราก็อย่าไปผิดลูกผิดเมียเขา
      4. เราไม่อยากให้ใครมาโกหกเรา เราก็อย่าไปโกหกเขา
      5. เราไม่อยากเป็นคนบ้า ก็อย่าไปดื่มสุราเมรัย เพราะถ้าเราดื่มสุรามากๆ เราจะกลายเป็นคนบ้า

    </TD></TR></TBODY></TABLE>




    </TD></TR><TR><TD class="plc plm">
    </TD></TR><TR><TD class=pls></TD><TD class=plc>แสดงความคิดเห็นตอบ อ้างอิง รายงาน กลับไปด้านบน
    <SCRIPT type=text/javascript reload="1">checkmgcmn('post_4302')</SCRIPT>

    </TD></TR><TR class=ad><TD class=pls></TD><TD class=plc></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE id=pid4303 cellSpacing=0 summary=pid4303 cellPadding=0><TBODY><TR><TD class=pls rowSpan=2>


    </TD><TD class=plc>คัดลอกลิงค์
    [​IMG] โพสต์เมื่อ 5-10-2011 23:55 |แสดงเฉพาะโพสต์ของสมาชิกนี้


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD id=postmessage_4303 class=t_f>เจริญพรหมวิหาร ๔ ไว้

    • ความดีที่สูงขึ้นไปอีกที่เราควรประพฤติเป็นหลักในการดำรงชีวิต เพื่อความสุขความเจริญแก่ตนเองคือ พรหมวิหาร มี ๔ ประการคือ
      1. เมตตา ความรัก เราต้องรักตัว รักครอบครัว รักญาติพี่น้องหมู่คณะ ตลอดจนถึงรักประเทศชาติ
      2. กรุณา ความสงสาร ที่มีต่อบุคคลที่ตกทุกข์ได้ยาก อยากให้เขาพ้นจากความทุกข์ทรมานที่เขารับอยู่
      3. มุทิตา ยินดีด้วยเมื่อบุคคลอื่นได้ดีมีความสุข ไม่ริษยาเขา เขาได้ดีก็ชื่นชมอนุโมทนาด้วย
      4. อุเบกขา วางเฉย เช่น เมื่อลูกของเรา ญาติพี่น้อง หรือพรรคพวกของเราไม่ทำผิด เราต้องวางตัวเป็นกลาง เมื่อเขาจะได้รับโทษก็ถือเป็นกรรมของเขา ไม่ช่วยเหลือเขาในทางที่ผิด
      เว้นจากความลำเอียงทั้ง ๔ ประการ
    ผู้ที่จะมีคุณธรรมในข้อที่ ๔ นี้จำเป็นจะต้องมีคุณธรรมข้ออื่นสนับสนุน คือเราต้องเว้นจาก อคติ คือ
    ๑. ความลำเอียงเพราะความรัก
    ๒. ความลำเอียงเพราะความชัง
    ๓. ความลำเอียงเพราะความหลง
    ๔. ความลำเอียงเพราะความกลัว

    ทหารแปลว่าคนหนุ่ม


    • ทหารทุกคนต้องเป็นคนหนุ่ม แม้จะแก่อายุมากแล้วก็ต้องทำตัวเป็นคนหนุ่ม เพราะคำว่า ทหาร แปลว่า คนหนุ่ม

    • คนหนุ่มนั้นจะต้องเป็นคนแข็งแรงว่องไวกล้าหาญบึกบึน มีไหวพริบปฏิภาณดี มีความสามัคคีรักใคร่กัน ไม่ทอดทิ้งกันเมื่อมีภัย ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท

    • และข้อสำคัญที่สุดนั้นต้องยอมตายเพื่อประเทศชาติบ้านเมืองเมื่อถึง คราวจำเป็น นี้พูดอย่างทหาร เพราะอาตมาเคยเป็นทหารเรือย่อมรู้จักชีวิตวิญญาณของทหารดี
      ทหารไปรบถือว่าทำเพื่อชาติบ้านเมือง

    • ทหารที่ไปราชการสงครามเพื่อป้องกันอริราชศัตรูนั้น หากไปฆ่าข้าศึกศัตรูก็ไม่ถือว่าเป็นความชั่ว แต่เป็นการทำดีต่างหาก เพราะเราทำหน้าที่ป้องกันสิ่งที่ดีงามเอาไว้

    • ความดีนั้นคือความอยู่รอดของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และความสงบสุขของปวงชนในผืนแผ่นดินไทยทุกคน

    • ความสงบสุขนั้นเป็นยอดของความดีทั้งมวล การที่เรายอมเสียสละเลือดเนื้อและชีวิตของเราเพื่อรักษาความดีทั้งหลายดังกล่าวมาแล้วนั้นไว้

    • จึงได้ชื่อว่าเราทุกคนได้ทำความดี สมศักดิ์ศรีของทหารไทย จึงไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นบาปกรรม
      ภูอันธพาล (ภูพาน)

    • อาตมาขึ้นเครื่องบินผ่านภูอันธพาล ไม่อยากเรียกว่า "ภูพาน" ดังที่เขาเรียกกัน เพราะภูนี้มีแต่พวกอันธพาลทั้งนั้น ได้พิจารณาถึงเหตุการณ์บ้านเมืองและการสู้รบของทหารเห็นว่า

    • เราทุกคนจะไม่แพ้ จะไม่ต้องตกเป็นทาสของใครๆ ดังที่พวกเราพากันวิตกกังวลกันอยู่ในขณะนี้
      แม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงปริวิตกและทรงมีความห่วงใยประเทศชาติบ้านเมืองเป็นอย่างยิ่ง
      ดังจะเห็นได้ว่า เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๑๘ พระองค์พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชินีนาถได้เสด็จไปยังวัดของอาตมา (วัดท่าซุง) และได้ตรัสถามความเป็นไปของบ้านเมืองในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร
    </TD></TR></TBODY></TABLE>




    </TD></TR><TR><TD class="plc plm">
    </TD></TR><TR><TD class=pls></TD><TD class=plc><SCRIPT type=text/javascript reload="1">checkmgcmn('post_4303')</SCRIPT>

    </TD></TR><TR class=ad><TD class=pls></TD><TD class=plc></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE id=pid4304 cellSpacing=0 summary=pid4304 cellPadding=0><TBODY><TR><TD class=pls rowSpan=2>


    </TD><TD class=plc>คัดลอกลิงค์
    [​IMG] โพสต์เมื่อ 5-10-2011 23:56 |แสดงเฉพาะโพสต์ของสมาชิกนี้


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD id=postmessage_4304 class=t_f>อนาคตของชาติ

    • อาตมาได้ถวายพระพรพระองค์ว่า “ประเทศชาติบ้านเมืองของเราจะไม่ตกเป็นทาสของใคร อาตมาขอถวายชีวิตเป็นประกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ นับตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๐ เป็นต้นไป ประเทศไทยจะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ความเยือกเย็นจะเริ่มปรากฏ ความมั่งคั่งสมบูรณ์จะมีขึ้นแก่ประเทศชาติและประชาชน แต่จะยังไม่ปรากฏชัดนัก แต่เราจะมองเห็นได้ชัดๆ ก็ต้องปี พ.ศ. ๒๕๒๔ เปรียบเหมือนอรุณได้ขึ้นดีแล้วและเริ่มฉายแสงให้เห็นความมืดหมดไป”

    • ที่อาตมากล้ายืนยันต่อพระองค์เช่นนั้น ก็เพราะเหตุผลหลายประการ คือ

      คำทำนายของพระพุทธโฆษาจารย์

    • ในประการแรก อาตมาได้พบและได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งเป็นสมุดข่อย ซึ่งพระอรหันต์ในอดีตนามว่า พระพุทธโฆษาจารย์ (ลำใย) เขียนไว้ ทำนายชะตาบ้านเมืองก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะแตกเสียอิสรภาพแก่พม่า ก่อนที่กรุงเทพฯ ยังไม่ปรากฏ

    • โดยท่านได้เขียนทำนายไว้ว่า

    • “กรุงศรีอยุธยาจะต้องถูกข้าศึกตีแตก แจ่จะเสียอิสรภาพไม่นานนัก จะมีคนดีของกรุงศรี
      อยุธยามากู้ชาติ แต่เมื่อกู้ชาติได้แล้วจะต้องไปตั้งเมืองหลวงอยู่ใหม่”

    • และเหตุการณ์ต่างๆ ของกรุงศรีอยุธยาก็ได้เป็นจริงตามคำทำนายทุกอย่าง
      ทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าทั้ง ๑๐ รัชกาล
    ในสมุดข่อยเล่มเดียวกันนี้ พระพุทธโฆษาจารย์ได้กล่าวทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแก่กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงใหม่ ในวันข้างหน้า ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแต่ละรัชกาลดังนี้

    รัชกาลที่ ๑. ทำนายว่า มหากาฬผ่านมหายักษ์
    รัชกาลที่ ๒. ทำนายว่า รู้จักธรรม
    รัชกาลที่ ๓. ทำนายว่า จำต้องคิด
    รัชกาลที่ ๔. ทำนายว่า สนิทธรรม
    รัชกาลที่ ๕. ทำนายว่า จำแขนขาด
    รัชกาลที่ ๖. ทำนายว่า ราษฎร์ราชาโจร
    รัชกาลที่ ๗. ทำนายว่า นั่งทนทุกข์
    รัชกาลที่ ๘. ทำนายว่า ยุคทมิฬ
    รัชกาลที่ ๙. ทำนายว่า ถิ่นกาขาว
    รัชกาลที่ ๑๐. ทำนายว่า ชาววิไล

    ความแม่นยำของคำทำนาย


    • เมื่อพิจารณาถึงคำทำนายและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ละรัชกาลก็จะเห็นได้ชัดว่า คำทำนายนั้นถูกต้องเพียงใด

    • รัชกาลที่ ๑. ผ่าน พระเจ้าตากสิน ขึ้นครองราชย์สมบัติ

    • รัชกาลที่ ๒. ท่านว่างจากศึกสงครามก็หันมาทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ให้พระสงฆ์ค้นคว้าพระธรรมวินัยรวบรวมกันเป็นการใหญ่

    • รัชกาลที่ ๓. ท่านมีหัวคิดริเริ่มหาเงินมาสร้างสรรค์บ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองปรากฏมาจนถึงทุกวันนี้

    • รัชกาลที่ ๔. ท่านสนิทธรรมก็เพราะพระราชาองค์นี้ทรงผนวชถึง ๒๗ พรรษา มีความคล่องตัวในพระธรรมวินัย ทรงไว้ซึ่งพระไตรปิฎกอย่างแตกฉาน และยังมีความสนิทสนมกับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) อย่างยิ่ง เป็นคู่บารมีกัน

    • รัชกาลที่ ๕. จำแขนขาด เราเห็นได้ชัดมาก เพราะเราต้องเสียดินแดนไปหลายครั้งหลายหน โดยพระองค์ทรงยอมเสียแขนขาดีกว่าเสียตัวทั้งหมด คือยอมเสียผืนแผ่นดินบางส่วน เพื่อรักษาเอกราชของชาติไว้

    • รัชกาลที่ ๖. เป็นโจร เพราะทรงใช้จ่ายเงินในท้องพระคลังจนหมดสิ้น แต่อาตมาเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นนักชาตินิยม มีพระปรีชาสามารถปลุกใจประชาชนให้รักชาติบ้านเมือง เช่นมีเพลงบทหนึ่งทรงพระนิพน์ไว้ว่า “ใครมาเป็นเจ้าเข้าครอง คงจะต้องบังคับขับไส เคี่ยวเข็ญเย็นค่ำร่ำไป ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย” ทรงเป็นนักประชาธิปไตย จึงได้ทำทุกอย่างให้บุคคลอื่นเห็นว่า พระองค์ไม่ทรงถือพระองค์ เช่น แสดงมหรสพ เล่นโขนกับข้าราชบริพาร

    • ยิ่งกว่านั้นพระองค์ยังสามารถทำให้ประเทศไทยเป็นที่ปรากฏแก่ชาวโลก โดยส่งทหารไปช่วยสงครามโลกครั้งที่ ๑. จึงจำเป็นต้องใช้เงินมาก แม้จะใช้เงินมาก แต่ประโยชน์ก็เกิดแก่ประเทศชาติอย่างหนัก

    • รัชกาลที่ ๗. นั่งทนทุกข์ พระองค์เสวยราชสมบัติอยู่ในเกณฑ์ตกอับพอดี เงินในท้องพระคลังก็หมดมาแต่รัชกาลก่อน

    • พระองค์จึงทรงประทับอยู่บนกองทุกข์ต้องดุลข้าราชการออกเป็นจำนวน มาก เท่านั้นยังไม่พอ ต่อมาพระองค์ต้องจำพระทัยสละราชสมบัติ ไปนั่งทนทุกข์อยู่ต่างแดน จนสิ้นพระชนม์

    • รัชกาลที่ ๘. ยุคทมิฬ บ้านเมืองอยู่ในภาวะสงครามโลกครั้งที่ ๒. ประชาชนตกอยู่ในสภาพบ้านแตก อดอยากยากแค้นแสนสาหัส พระมหากษัตริย์ก็ถูกลอบปลงพระชนม์จนสวรรคต

    • รัชกาลที่ ๙. ทำนายว่า ถิ่นกาขาว เราก็เห็นแล้วว่าฝรั่งมาอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ล้วนแต่คนผิวขาวทั้งนั้น

    • สำหรับรัชกาลต่อไป คือ รัชกาลที่ ๑๐. ทำนายว่า ชาววิไล หมายความว่า บ้านเมืองเราได้ผ่านยุคเข็ญมาแล้ว จะได้ประสบความเจริญรุ่งเรืองกันเสียที เราจะมั่งคั่งสมบูรณ์เหมือนนานาอารยะประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย
    </TD></TR></TBODY></TABLE>




    </TD></TR><TR><TD class="plc plm">
    </TD></TR><TR><TD class=pls></TD><TD class=plc><SCRIPT type=text/javascript reload="1">checkmgcmn('post_4304')</SCRIPT>

    </TD></TR><TR class=ad><TD class=pls></TD><TD class=plc></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE id=pid4305 cellSpacing=0 summary=pid4305 cellPadding=0><TBODY><TR><TD class=pls rowSpan=2>


    </TD><TD class=plc>
    โพสต์เมื่อ 5-10-2011 23:56 |แสดงเฉพาะโพสต์ของสมาชิกนี้


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD id=postmessage_4305 class=t_f>ราชวงศ์จักรีจะมีเพียง ๑๐ รัชกาลเท่านั้นรึ?

    • ปัญหาที่น่าคิดต่อไปก็คือว่า

    • ทำไมพระพุทธโฆษาจารย์จึงทำนายเหตุการณ์บ้านเมืองไว้เพียง ๑๐ รัชกาลเท่านั้น? กรุงเทพมหานครจะมีพระมหากษัตริย์เพียง ๑๐ พระองค์เท่านั้นหรือ?

    • เป็นเรื่องที่อาตมาสนใจเป็นพิเศษ

    • จึงได้สอบถามเรื่องนี้กับ หลวงพ่อปาน และพระอาจารย์ต่างๆ ซึ่งจิตของท่านเป็นสมาธิเข้าถึงขั้นอภิญญา สามารถที่จะรู้จริงในเรื่อง อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ซึ่งก็ยังมีอยู่หลายๆ องค์ในขณะนี้

    • ทุกๆ รูปที่อาตมาสอบถามจากท่าน ต่างก็ยืนยันตรงกันว่า

    • พระมหากษัตริย์จะยังคงมีอยู่คู่กับชาติไทยตลอดไปอีกนาน มิใช่เพียงแค่ ๑๐ พระองค์เท่านั้น แต่ที่พยากรณ์ไว้เพียงแค่นั้นก็เพราะว่าเริ่มตั้งแต่รัชกาลที่ ๑๐. เป็นต้นไป บ้านเมืองจะมั่งคั่งสมบูรณ์ ร่มเย็นผาสุก ประชาชนในชาติจะร่ำรวย ประเทศไทยจะเป็นประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่ง ซึ่งจะมีแต่ความเจริญตลอดไป ไม่ล้มลุกคลุกคลานดังที่แล้วมา จึงไม่จำเป็นจะต้องพยากรณ์ต่อไปอีก”
      พระพุทธทำนายเหตุการณ์ของโลก

    • ประการที่ ๒. ที่ยืนยันว่าประเทศไทยจักไม่ตกเป็นทาสของใครๆ นั้นคือ พระพุทธทำนายเหตุการณ์ของโลก พระพุทธทำนายนี้ก็มีปรากฏในสมุดข่อยของพระพุทธโฆษาจารย์เช่นเดียวกัน ซึ่งมีข้อความปรากฏโดยสังเขปดังนี้

    • “..อานันทะ ดูก่อน อานนท์ โลกต่อไปจะเต็มไปด้วยความเร่าร้อน ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี (ประมาณ พ.ศ.๒๔๘๕) จะมีฝนเหล็กตกจากอากาศ จะมีไฟลุกจากอากาศ เหล็กกล้าจะผุดจากน้ำมาทำลายมนุษย์ มนุษย์และสมณะชีพราหมณ์จะตายกันมาก

    • แต่ว่า.. อานนท์ ความเร่าร้อนก่อนกึ่งพุทธกาลนั้น ยังมีความเร่าร้อนน้อยกว่า ความเร่าร้อนหลังกึ่งพุทธกาล

    • หลังกึ่งพุทธกาลจะมีความร้ายแรงยิ่งไปกว่านั้น ยักษ์หินที่ถูกสาบจะลุกขึ้นมาอาละวาดสมณะชีพราหมณ์จะล้มตาย ยักษ์นอกพระพุทธศาสนาทั้งหลายจะฆ่าฟันกันและกัน จะตายกันไปคนละครึ่ง จึงจะหยุดยั้งเลิกรบกัน

    • แต่ทว่าประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างแน่นแฟ้น จะมีภัยเช่นนี้เหมือนกัน แต่ไม่มากนัก”

      ความแม่นยำของพุทธทำนาย

    • จากพระพุทธเจ้าทำนายนี้เราก็จะเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นความจริง ทุกอย่าง ก่อนพุทธกาลได้เกิด สงครามโลกครั้งที่ ๒. ลูกระเบิดต่างๆ ซึ่งเป็นเหล็กเป็นไฟได้หลั่งไหลลงมาจากอากาศพิฆาตมนุษย์

    • หลังกึ่งพุทธกาลได้เกิดสงครามลัทธิคือพวกยักษ์นอกศาสนา เพิ่งจะเลิกรากันไป แต่เมืองไทย ก็ยังได้รับผลกระทบกระเทือนมาจนกระทั่งบัดนี้

      มีเพียงไทยที่นับถือพุทธอย่างมั่นคง

    • ตามพระพุทธทำนายนั้นได้บ่งชี้ชัดว่าประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาจะ มีภัยบ้างแต่ไม่มากนัก หากเราพิจารณาให้ดีๆ ก็จะเห็นเด่นชัดว่า ประเทศไทย นี้เท่านั้นที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง และเป็นประเทศสุดท้ายที่พระพุทธศาสนายังเหลืออยู่ในท้องถิ่นบริเวณนี้ ประเทศอื่นๆ รอบบ้านเราก็กลายเป็นพวกเดียรถีย์นอกศาสนาพุทธไปเกือบหมดแล้ว

    • เพราะฉะนั้น ประเทศไทยจึงเป็นเมืองสุดท้ายที่พระพุทธศาสนาจะสถิตสถาพรอยู่ได้ตลอดไป

      พระเจ้าอังครัฐตั้งจิตขอพบพระอรหันต์

    • ในพระพุทธทำนายซึ่งปรากฏในตำนานบางแห่งได้เล่าไว้ว่า

    • พระเจ้าอังครัฐ เจ้าเมืองอังครัฐ ซึ่งเป็นเมืองที่ประดิษฐาน พระธาตุจอมทอง อยู่ในขณะนี้ ได้ทรงตั้งจิตอธิษฐานขอให้พระองค์ได้พบพระอรหันต์ ขอให้พระอรหันต์เสด็จมาโปรด

    • พระพุทธองค์ทรงทราบวาระจิตของพระเจ้าอังครัฐ จึงทรงส่ง พระโมคคัลลาน์ พร้อมด้วยพระเถระรวม ๔ รูป เดินทางมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่เมืองอังครัฐก่อน
    </TD></TR></TBODY></TABLE>




    </TD></TR><TR><TD class="plc plm">
    </TD></TR><TR><TD class=pls></TD><TD class=plc><SCRIPT type=text/javascript reload="1">checkmgcmn('post_4305')</SCRIPT>

    </TD></TR><TR class=ad><TD class=pls></TD><TD class=plc></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE id=pid4306 cellSpacing=0 summary=pid4306 cellPadding=0><TBODY><TR><TD class=pls rowSpan=2>


    </TD><TD class=plc>
    โพสต์เมื่อ 5-10-2011 23:57 |แสดงเฉพาะโพสต์ของสมาชิกนี้


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD id=postmessage_4306 class=t_f>ศาสนาจะอยู่ในเมืองไทยครบ ๕,๐๐๐ ปี

    • ส่วนพระองค์ได้เสด็จมาภายหลัง เมื่อเสด็จมาถึงเมืองนั้น ได้ทรงพยากรณ์เกี่ยวกับความเป็นไปในอนาคตของพระพุทธศาสนาไว้ว่า

    • “พระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองตั้งมั่นอยู่ในท้องถิ่นนี้ถึง ๕,๐๐๐ ปี”


    • เมื่อพระพุทธศาสนายังตั้งมั่นอยู่ได้ในผืนแผ่นดินไทยตามพระพุทธ ทำนาย ก็หมายความว่าเมืองไทยจะต้องไม่ตกเป็นทาสของใครๆ เพราะความมั่นคงของชาติและพระพุทธศาสนาเป็นของคู่กันมาแต่บรรพกาล เมืองไทยจะไม่ตกเป็นทาสของใคร

    • จากคำพยากรณ์ของพระพุทธโฆษาจารย์ก็ดี คำบอกเล่าของพระเถระผู้ได้ฌานสมาบัติก็ดี และจากพระพุทธทำนายก็ดี เป็นหลักชี้ชัดให้เรามั่นใจได้ว่า

    • “เมืองไทยเรานี้จะต้องเป็นปึกแผ่นมั่นคงตลอดไป ไม่ตกเป็นทาสของใครๆ
      พวกนอกศาสนาจะไม่สามารถย่ำยีเมืองไทยได้

    • แต่ข้อสำคัญนั้น เราทุกคนอย่าประมาท ต้องรักกัน สามัคคีกันไว้ ไม่แตกแยกกันและไม่ลุ่มหลงไปกับคำยุแหย่ของบุคคลผู้มุ่งร้ายต่อชาติบ้าน เมือง”

      ดวงทหารคู่กับดวงเมือง

    • ขอให้ทหารทุกคนจงสำนึกตนเองว่า เราต้องมีความสามัคคี-เด็ดเดี่ยว-ไม่ประมาท-กล้าหาญ-และพร้อมที่จะยอมตาย เพื่อชาติบ้านเมืองและพระบวรพุทธศาสนา เมื่อถึงคราวจำเป็น

    • เพราะบ้านเมืองจะอยู่รอดปลอดภัยก็เพราะทหารเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑. เมื่อพระองค์จะเริ่มสร้างเมืองหลวงใหม่ ได้ทรงผูกดวงเมืองและวางลัคนาดวงเมืองไว้ให้คู่กับดวงทหาร โดยให้ทหารเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองบ้านเมือง บ้านเมืองจึงจะอยู่รอด

    • ที่พูดนี้มิใช่จะมายุยงให้ท่านทั้งหลายกระด้างกระเดื่อง ทำการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจจากใครๆ เพียงแต่...ขอให้เราทุกคนช่วยกันควบคุมสถานการณ์ไว้ให้บ้านเมืองสงบสุขเท่า นี้ก็ได้ชื่อว่าทหารควบคุมรักษาเมืองแล้ว

    • ดวงชะตาของทหารนั้น เข้าเกณฑ์ราชาโชค ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๑๘ แล้ว และจะโคจรเข้าควบคู่กับดวงเมืองตั้งแต่เดือยมกราคม ๒๕๑๙ เป็นต้นไป ซึ่งจะมีอิทธิพลให้ประเทศชาติบ้านเมืองค่อยคลี่คลายไปในทางดีขึ้น ขณะนี้บ้านเมืองของเราอยู่ในสภาพป่วยไข้ จำเป็นจะต้องได้รับการเยียวยารักษาหรืออาจจะต้องถึงกับผ่าตัดบ้าง อาการของบ้านเมืองจึงจะดีขึ้น

      เมืองไทยมีขุมทรัพย์มหาศาล

    • สภาพการณ์ของบ้านเมืองจะคลี่คลายไปในทางดี เริ่มแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นต้นไป และตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ประเทศชาติและประชาชนจะเริ่มพบกับความสุขสบายขึ้นบ้าง แต่ก็ยังไม่มากนัก แต่จะปรากฏเด่นชัดว่าประเทศชาติและประชาชนจะร่ำรวยขึ้นมีความสุขสมบูรณ์ขึ้น ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๔ เป็นต้นไป

    • เพราะเรามีทรัพยากรมากมายมหาศาลล้วนแต่เป็นของมีค่าทั้งสิ้น อาทิเช่น น้ำมัน แร่ทองคำ แร่ยูเรเนียม วัตถุธาตุต่างๆ เหล่านี้มีอยู่พร้อมในเมืองไทย และเราก็ได้พบแล้ว แต่เรายังไม่สามารถจะนำเอาออกมาใช้ได้ เพราะเรามีขีดความสามารถอันจำกัด

      ทรัพยากรน้ำมันในประเทศไทย

    • อย่าง น้ำมัน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นและมีค่าที่สุดของคนทั้งโลกนั้น ในเมืองไทยเรามีมากมาย น้ำมันที่ใช้อยู่ในโลกขณะนี้มีไม่ถึงหนึ่งในสามที่มีในเมืองไทยเรา

    • ที่อาตมาพูดเช่นนี้มิได้กล่าวเกินความจริง แต่เป็นการกล่าวที่เกิดจากประสบการณ์ที่พอเชื่อถือได้ กล่าวคือ

    • เมื่อต้นปี พ.ศ.๒๕๑๗ อาตมาพร้อมด้วย พล.อ.ต.มรว. เสริม สุขสวัสดิ์ เจ้ากรมการสื่อสารทหารอากาศ ได้เดินทางไปยังจังหวัดชุมพร พักอยู่ ณ บ้านพักหลังหนึ่ง หลังจากคุยกันประมาณห้าทุ่มเศษก็เข้านอน

    • พอไฟดับลงเท่านั้น ก็มองเห็นภาพคนดำใหญ่เดินเข้ามาในห้องโดยไม่เปิดประตู เขาเดินเข้าเดินออกโดยไม่ต้องเปิดประตู

    • จึงถามเขาไปว่า อยู่ที่ไหน

    • เขาบอกว่า อยาในห้องนี้แหละ

    • แล้วก็คุยกันด้วยเรื่องต่างๆ เจ้าเทวดาดำใหญ่ได้เล่าให้ฟังว่า

    • “เมืองไทยเรานี้มีน้ำมันมากมายมหาศาลเป็นลำธารกว้างขนาด ๑ กิโลเมตร และยาวหลายร้อยกิโลเมตร ไหลผ่านประเทศไทยไปลงทะเล

      เมื่อใดที่ผู้บริหารดีทรัพยากรจะปรากฏขึ้น

    • เขาบอกว่า

    • น้ำมันนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะขุดนำมาใช้เพราะฝ่ายบริหารยังไม่ดีพอ หากปรากฏขึ้นในขณะนี้ พวกทุจริตก็จะงุบงิบเอาไปเป็นผลประโยชน์ส่วนตนหมด

    • เมื่อใดผู้บริหารประเทศมีมือสะอาดซื่อสัตย์สุจริต เห็นแก่ประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ ขุมทรัพย์มหาศาลในเมืองไทย
      เช่น บ่อน้ำมัน ก็จะค่อยผุดขึ้นมาให้เห็นเรื่อยๆ ไป ซึ่งจะนำผลรายได้อันมหาศาลมาให้เมืองไทย ทำให้เมืองไทยกลายเป็นเศรษฐีมีชื่อเสียงระบือไปทั่วโลก และจะได้เป็นมหาอำนาจประเทศหนึ่งในเอเชีย”
    </TD></TR></TBODY></TABLE>




    </TD></TR><TR><TD class="plc plm">
    </TD></TR><TR><TD class=pls></TD><TD class=plc><SCRIPT type=text/javascript reload="1">checkmgcmn('post_4306')</SCRIPT>

    </TD></TR><TR class=ad><TD class=pls></TD><TD class=plc></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE id=pid4307 cellSpacing=0 summary=pid4307 cellPadding=0><TBODY><TR><TD class=pls rowSpan=2>


    </TD><TD class=plc> โพสต์เมื่อ 5-10-2011 23:59 |แสดงเฉพาะโพสต์ของสมาชิกนี้


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD id=postmessage_4307 class=t_f>แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย saijungt เมื่อ 5-10-2011 23:59

    ไปพิสูจน์สถานที่มีน้ำมันอยู่


    • เจ้าเทวดาดำใหญ่ให้หลักฐานยืนยันคำพูดของตนว่า หากอยากข้อเท็จจริงเกี่ยวกับน้ำมัน ให้ไป ดูบ่อน้ำมันที่เมืองมะริด ในเขตพม่า ซึ่งเป็นบ่อน้ำมันสายเดียวกันอยู่ห่างจากผืนแผ่นดินไทยประมาณ ๓๐ กิโลเมตร


    • ณ. ที่นั้นจะมีหนองน้ำอยู่แห่งหนึ่ง มีน้ำมันลอยฟ่องเต็มไปหมด ถ้าอยากเห็นให้ไปดูด้วยตนเอง


    • อาตมาอยากพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงได้เดินทางไปดูสถานที่แห่งนั้น เมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๑๘ นี้เอง ปรากฏว่าเป็นความจริงทุกอย่าง


    • บริเวณนั้นมีหนองน้ำซึ่งมีน้ำมันลอยเต็มไปหมด ชาวบ้านนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงได้เป็นอย่างดี จึงมั่นใจได้ว่าเทวดาดำองค์นั้นไม่โกหก เมืองไทยเรามีน้ำมันแน่ๆ


    • ต่อเมื่อใดผู้บริหารใจซื่อมือสะอาดมาบริหารชาติบ้านเมือง ทรัพยากรเหล่านี้ก็จะปรากฏให้เห็น และนำมาใช้ให้บ้านเมืองเรามีความอุดมสมบูรณ์ดังกล่าวแล้ว

      ธงมหาพิชัยสงคราม


    • สำหรับ ผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงคราม ที่นำมาแจกจ่ายครั้งนี้ ได้ทำขึ้นครั้งแรก ๑๐๐,๐๐๐ ผืน นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๙๐,๐๐๐ ผืน มีเหลือนำมาแจกจ่ายคราวนี้เพียง ๑๐,๐๐๐ ผืน


    • การทำผ้ายันต์นี้ ก็ทำจากตำราของ หลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานเคยทำเพื่อมอบให้เป็นธงนำทัพเข้าตีข้าศึก

      ได้ตำราทำยันต์พิชัยสงคราม


    • ตามตำราบอกว่า ใครอยากเรียนตำรานี้ไปทำต่อ ต้องนำดาบสองเล่มออกไปรำกลางแจ้ง หากเกิดฟ้าผ่าในขณะรำดาบจึงจะเรียนตำรานี้ได้


    • อาตมาเป็นพระไม่สามารถจะนำดาบออกไปรำได้ แต่ก็อยากเรียนตำรา จึงตั้งจิตอธิษฐานว่า


    • หากตนมีบุญบารมีที่จะเรียนตำรานี้ได้แล้ว เวลาถือดาบออกพ้นจากชายคาขอให้เกิดฟ้าผ่า


    • เมื่อตั้งจิตอธิษฐานแล้วก็ถือดาบ ๒ เล่ม ออกนอกชายคา พอพ้นจากชายคาเท่านั้นแหละฟ้าก็ผ่าขึ้น ๒-๓ ครั้ง


    • จึงมั่นใจได้ว่าครูได้อนุญาตให้เรียนตำรานี้ได้แล้ว จึงได้เรียนตำรามาทำผ้ายันต์มหาพิชัยสงครามขึ้น

      มีพระเถระทางเหนือช่วยปลุกเสกด้วย


    • และเมื่อทำด้วยตัวเองแล้ว ก็ได้อาราธนาพระเถระผู้ทรงวิทยาคมในภาคเหนือหลายรูปมาช่วยปลุกเสกให้เมื่อ เดือนสิงหาคม จึงได้นำออกแจกจ่ายแก่ทหารทางภาคเหนือ ปรากฏว่าได้ผลดี


    • มีฐานปฏิบัติการบางแห่งที่ทหารรับผ้ายันต์ไปแล้ว ถูกถล่มด้วยปืน ค. และจรวดฐานแหลกหมด แต่ทหารในฐานปลอดภัยทุกคน ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ


    • อย่างไรก็ตาม คนเราเมื่อถึงกำหนดจะต้องอสัญกรรมแล้วก็หนีความตายไม่พ้น แม้แต่ผู้บรรยายหรือผู้ทำผ้ายันต์นี้ก็ต้องตาย

      อานุภาพของผ้ายันต์


    • ผ้ายันต์นี้จะช่วยได้ก็เพียงแต่ว่า หากเรามีเคราะห์กรรมจากอดีต เช่น เคยทำปาณาติบาต แรงอุปฆาตกรรม จะมาตัดรอนชีวิตเราให้หมดไปในเวลาอันไม่สมควร หากเรามีเคราะห์ถึงฆาตอย่างนี้ ผ้ายันต์จะช่วยให้เคราะห์เบาบางลง เพียงแค่ให้เราบาดเจ็บไม่ถึงตาย


    • หากเคราะห์เราไม่ถึงฆาต เพียงแต่มีเคราะห์จะได้รับบาดเจ็บ ยันต์นี้จะช่วยไม่ให้เราบาดเจ็บเลย แม้แต่ถูกปืนหรือสะเก็ดระเบิดก็จะไม่ทำให้เราเสียเลือดแม้แต่หยดเดียว ลูกปืนที่มากระทบเราจะมีค่าเท่ากับแมลงตัวหนึ่งบินมาปะทะเท่านั้น


    • ขอให้ทุกท่านถือว่า
      ยันต์ธงมหาพิชัยสงคราม

      เป็นสิ่งสำคัญที่สุด สำคัญกว่าเหรียญเอกราชที่ได้รับแจกไป



      ถ้านำไปใช้ในทางที่ผิดจะไม่มีผล


    • และทั้งธงและเหรียญจะไม่มีผลในทางป้องกันตัวเลย หากเรานำไปใช้ในทางที่ผิดคิดมิชอบ หรือยิ่งคนที่คิดคดทรยศต่อชาติบ้านเมืองด้วยแล้ว อาตมาอยากให้เขามารับโดยเร็ว เพราะเหรียญและธงจะช่วยสนับสนุนให้เขาประสบความวิบัติเร็วเข้า


    • มีอยู่รายหนึ่งมาขอผ้ายันต์จากอาตมา อาตมาไม่ให้เพราะเกรงว่าเขาจะนำไปใช้ในทางที่ผิด จะทำให้ชีวิตเขาสั้นเข้า


    • แต่เขารับรองตนเองเช่นนั้น อาตมาก็มอบให้ไป และได้ทราบต่อมาภายหลังว่า เขานำผ้ายันต์ไปใช้ในทางที่ผิดตามที่อาตมาคาดการณ์ไว้ ผลที่สุดเขาก็ถูกยิงตาย


    • สุดท้ายนี้ ขอตั้งจิตอธิษฐาน ด้วยอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย จงดลบันดาลให้ทหารทุกคน จงมีความสุขความเจริญและปลอดภัย ชนะข้าศึกตลอดกาล.

      .


    โปรด "คลิก" เพื่ออ่านคำทำนายที่ถูกต้องต่อ
    http://www.watthasung.com/

    http://palungjit.org//showthread.php?t=144136

    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ในความคิดเห็นส่วนตัวของผม คิดว่าน่าจะเป็นปี พ.ศ. 2555-2561 ครับ เพราะตามพุทธทำนายในศิลาจารึกในเขตวิหารเชตวัน ประเทศอินเดีย ได้บันทึกเอาไว้ดังนี้ครับ

    เมื่อศาสนาของอาตมาล่วงมาได้ ๒๕๐๗ (ปีมะโรง) คนเปลี่ยนสภาพเดินเป็นคลาน ...

    ปัจจุบัน ปีเถาะ ตรงกับ พ.ศ.๒๕๕๔ ที่กำลังใช้อยู่ พุทธทำนายปีมะโรง ตรงกับ พ.ศ.๒๕๕๕ ที่โลกมีโอกาสพลิกขั้ว..ดังนั้น จากเดินลงมาเป็นคลาน ก็หนักหนาเอาการอยู่ ที่ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นทั่วโลก....สนามแม่เหล็กจะกลับขั้ว โลกอาจจะไร้แรงดึงดูดชั่วคราว ดังที่พระอาจารย์รัตน์ ได้เห็นภาพอนาคต และได้เล่าให้ศิษย์ฟัง ที่วัดดอยเกิ้ง

    ล่วงได้ ๒๕๐๘ (ปีมะเส็ง) ตลิ่งจะพัง แผ่นดินถิ่นอธรรมจะถล่มเป็นทะเล ...

    ซึ่งในเมขลาพยากรณ์ ตรงกับ ๙ พ.ค. ๒๕๕๖ ในหนังสือพระมหาชนก ที่ไขปริศนาออกมา

    ล่วงได้ ๒๕๑๒ (ปีระกา) เมืองมนุษย์จะมืด ๗ วัน ๗ คืน โลกดิ่งสู่ความหายนะ

    ในปีนี้เป็นปี พ.ศ.๒๕๕๔ (ปีเถาะ) เมื่อนำมาเทียบกับปี พ.ศ.ในพุทธทำนายก็จะได้ปีนักษัตร ที่ตรงกับปีนักษัตรในพุทธทำนายพอดี เช่นในพุทธทำนายได้กล่าวเอาไว้ว่า ปี พ.ศ.๒๕๑๒ (ปีระกา) เมืองมนุษย์จะมืด ๗ วัน ๗ คืน เมื่อเราเอาปี พ.ศ.๒๕๖๐ มาลดจำนวนปีลง ๔๘ ปี ก็จะได้เป็นปี พ.ศ.๒๕๑๒ ซึ่งตรงกับปีระกาในพุทธทำนายอย่างไม่มีผิดเพี้ยน..

    ที่มา http://www.facebook.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...