"เลิกนั่งนับชั่วโมง" คำวิจารณ์ "เร่งลัดบรรลุโสดาบัน หลักสูตร 30 ชั่วโมง"

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย karan20, 14 พฤศจิกายน 2011.

  1. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    คัดลอกจาก บทความเรื่อง " เลิกนั่งชั่วโมง " ลิ้งค์อ้างอิง

    เนื้อความว่า....

    เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นแล้วในสังคมชาวพุทธ
    เมื่อมีคนอุตริจัดหลักสูตรเร่งรัดโสดาบัน delivery ขึ้นแล้ว

    แหม มันช่างหัวใสจริงๆ

    ถ้าเร่งรัดได้จริง ป่านนี้พระพุทธเจ้าท่านทรงทำเองไปแล้วครับ
    ไม่ต้องรอให้ถึงพวกเดียรถีหัวใสขโมยเครดิตไปแอบดัดแปลงทำกันหรอ
    อีกหน่อยคงมีแข่งบรรลุโสดาบันแบบจับเวลาแน่ๆ

    จะบอกให้ว่าไอ้ที่ไปเร่งได้น่ะ มันไม่ใช่นิพพาน
    อะไรที่เร่งได้เขาเรียกว่าตัณหา แล้วผลที่ได้จากการเร่งรัดเอามันก็คือโมหะ
    อุปาทานทั้งนั้น นิพพานเสียที่ไหนเล่า

    ก็คนสอนมันยังไม่รู้เลยว่านิพพานคืออะไร แล้วมันจะเร่งให้ไปไหนได้เล่า
    ตัณหาตลบหลังยังไม่รู้ตัวจะมาสอนคนอื่นให้บรรลุเนี่ยนะ

    เดี๋ยวนี้ถึงขนาดนั่งนับชั่วโมง เดินนับชั่วโมงกันแล้ว
    ตกลงนี่จะนิพพานหรือวิชาทรมานกายกันแน่
    เพราะการทำแบบนั้นมันเป็นวิถีของพวกฤาษี ดาบสทั้งนั้น
    ไอ้ยิ่งทำยิ่งได้อะไรน่ะ ได้อะไร ก็ได้อุปาทานไง ยิ่งทำก็ยิ่งเคร่งเครียดจริงจัง
    ยิ่งทำก็ยิ่งห่างไกลนิพพาน ก็มันนิพพานอยู่แล้วทั้งนั้น
    ส่วนที่เกินนิพพานนั่นแหละกรรม ก็ปลงเจตนากรรมเสีย
    มันก็จะตรงเนื้อหานิพพานที่นิพพานอยู่แล้วทันที

    การปฏิบัติธรรมนั้นมันมีสมมติฐานอยู่ที่ว่า
    เรายังหลงในอวิชชาความไม่รู้อยู่จึงต้องปฏิบัติให้รู้แจ้ง
    เห็นจริงถึงความเป็นจริงแห่งสัจธรรม
    วิถีวิธีการทั้งหมดจึงมุ่งไปสู่การปฏิบัติอย่างเอาเป็นเอาตาย
    เจริญรู้ เจริญเห็น เจริญปัญญา พิจารณาอะไรไปเรื่อย เพื่อที่จะได้รู้แจ้งเห็นจริงด้วย"ตัวเอง"
    โดยหารู้ไม่ว่าไอ้ที่เข้าไปดูเข้าไปรู้เข้าไปเจริญปัญญาน่ะ มันโมฆะหมด
    ก็เพราะมันหลงไปปฏิบัติอยู่บนความหลงของ "ตัวเอง" นั่นแหละ
    ไอ้ตัวเองที่ไปปฏิบัตินั่นแหละคือสังสารวัฏ คืออัตตา ไม่รู้อีกหรือไงเล่า

    ก็แค่หลงเอา"ตัวเอง"เข้าไปนั่งสมาธิ เอา "ตัวเอง"
    เข้าไปเดินจงกรมก็จบเห่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงนิพพานนะ
    ถ้ายังปฏิบัติอย่างนี้ต่อให้กี่ชาติก็ไม่ต้องหวัง
    ก็เอาตัวเองไปเจริญ หรือเจริญตัวเองนี่มันจะจบตรงไหนถามหน่อย?
    มันก็จบที่ตัวเอง ติดคาอยู่ที่ตัวเองไงเล่า

    พระพุทธเจ้าท่านก็เอาสัจธรรมมาประกาศตรงๆแล้ว
    ฟังให้คลายออกจากความหลง ออกจากตัวเอง ไม่ใช่ให้ไปปฏิบัติเพื่อเอาอะไร
    มันไม่ใช่ฟิตเนสที่เข้าไปเพาะกายเพาะจิตให้แข็งแรงจะได้มีกำลังออกจาก สังสารวัฏเสียที่ไหนเล่า

    ก็โดยความเป็นจริงที่พระพุทธเจ้าท่านทรงบอกอยู่แล้วว่า
    ทุกสิ่งนั้นล้วน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยู่แล้วตลอด
    สัจธรรมนี้เป็นความจริงเสมอไม่มีว่างเว้น
    นั่นก็แปลว่ากระทั่งกายกระทั่งใจของสรรพดวงจิตทั้งหลายนั้น
    ก็ล้วนแล้วแต่ไม่เที่ยง บังคับไม่ได้ และไม่เป็นตัวตนอยู่แล้ว
    เสื่อมลงไปเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ดับไปเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
    ไม่มีอะไรที่สามารถยึดเอาเป็นตัวเป็นตนของเราได้อยู่แล้ว
    ซี่งสรุปก็คือมันนิพพานอยู่แล้วนั่นเอง

    แล้วจะมี "ใคร" เข้าไปเจริญสติอีกเล่า
    แล้วจะมี "ใคร" ต้องพัฒนาจิตอีกเล่า
    แล้วจะมี "ใคร" ต้องหลุดพ้นอีกเล่า

    ในเมื่อนิพพานอยู่แล้ว แล้วจะต้องมี "ใคร" ต้องจบกิจกับอะไรอีก....
    ไม่มี มันจบอยู่แล้ว

    ไม่มีตัวใครตัวเราตัวเขาอะไรตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
    ส่วนที่มานั่งหลับตาเอาชั่วโมง
    เดินเอาชั่วโมงอะไรนี่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนิพพานเลย
    มันเป็นการเพาะอัตตา ก็ปกติมันก็อัตตากันอยู่แล้ว
    ไม่ต้องไปเจริญอัตตาซ้อนลงไปบนจิตอีก
    ก็ฟังสัจธรรมให้มันหายหลง ให้มันคลายจากอัตตาไปเอง

    ก็ในความเป็นจริงที่ว่ามันไม่มีตัวเราอยู่แล้ว
    ก็ให้ปลงไอ้อัตตาที่มันมีอยู่ลงเสีย คือไม่ต้องอะไรหรืออย่างไรกับธาตุขันธ์
    แบบนี้เรียกว่าปลงในส่วนที่เป็นอัตตาตัวตนทิ้งไป
    เพราะอัตตามันก็เกิดจากโมหะอวิชชา ที่ไปหลงรู้ความเห็นความหมาย
    หลงยึดเอาว่ามันเป็นจริงนั่นแหละ

    ไอ้การเจริญสติมันก็เจริญบนความหลงไง
    แล้วมันจะออกจากอุปาทานได้อย่างไรเล่า
    พระพุทธเจ้าท่านก็บอกอยู่แล้วว่าขันธ์เป็นของหนักและไม่ใช่ของเรา
    ท่านก็หมายความว่าทั้งกายทั้งใจนั่นแหละไม่ใช่เรา
    แล้วจะเอา"ตัวเรา" เข้าไปเจริญขันธ์ที่ไม่ใช่ของเราอีกเหรอ

    สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงทิ้งเอาไว้นั้นไม่ใช่ให้ตั้ง"ตัวเรา"ขึ้นมาแล้ว
    ไปดูไปพิจารณาอะไร ก็ไอ้ตัวดูตัวรู้ที่ตั้งขึ้นมาน่ะมันเป็นอัตตาซ้อน
    พิจารณาได้ปัญญามาก็เป็นปัญญาบนอัตตา
    แล้วก็เอามาทะเลาะกันในเว็บสนทนาธรรมดูน่าสมเพช
    ทั้งๆที่มันก็ไม่เห็นมีใครออกจากตัวเองได้สักคน

    พระพุทธองค์จึงให้ปลง จะรู้จะเห็นจะอะไรก็ช่างมัน
    ไม่ต้องตั้งดู ไม่ต้องตั้งรู้ เดี๋ยวมันก็จะหมดตัวตนซ้อนลงไปในสภาวะต่างๆไปเอง
    อัตตามันก็คลายไปเอง ความหลงก็คลายออกเอง
    แล้วเดี๋ยวมันก็แจ้งในเนื้อหาสัจธรรมเอง
    นี่คือสติปัฏฐานสี่ของจริง ส่วนไอ้ที่ไปนั่งไปเดินเอาชั่วโมงน่ะมันวิชาฤาษี
    ทำไปก็ไม่จบ ยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งหลงในอวิชชา ให้รู้ไว้ด้วย


    Download หนังสือ "บันทึกสัจธรรม" ฉบับ pocket book A5 คลิก ที่นี่
    หรือจะขนาด A4 ก็มีครับ คลิก ที่นี่
    หรือจะเข้าไปอ่าน "บันทึกสัจธรรม" ฉบับเต็ม ก็คลิก ที่นี่ ได้เลยครับ
    คติหรืออคติ ก็อโหสิ
    ถูกใจหรือไม่ถูกใจ ก็อโหสิ
    rombodhidharma.net จ้าอยู่แล้ว!!!

    Bookmark/Search this post with:

    • [​IMG]
    • [​IMG]
    • [​IMG]
    • [​IMG]
    • [​IMG]
    • [​IMG]
    Rombodhidharma Dotnet | Facebook
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2011
  2. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    บทความดังกล่าวเข้าใจว่า
    ในส่วนคำวิจารณ์นั้นเป็นความคิดเห็นของฆราวาสที่ทำหน้าที่เป็น Admin ผู้ดูแลเว็บ
    แต่ในส่วนการสอนธรรมนั้นเป็นแนวของหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต
    ซึ่งโดยส่วนตัวผมมีความเคารพในหลักคำสอนของท่าน

    ดาวน์โหลด ธรรมะของหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต
    http://www.rombodhidharma.com/05-Dharma/Pg-05-Dharma.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2011
  3. ZZ

    ZZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    5,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,649
    บทความที่คัดมา...มองโลกแคบไปหน่อย

    ต้องดู...เจตนา...เป็นหลัก

    เรา...เจตนาอย่างไร

    เขา...เจตนาอย่างไร

    สำหรับผมเห็นว่า...คุณ karan ทำดีแล้ว...ครับ

    .
     
  4. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
  5. bjeed

    bjeed เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +155
    เห็นด้วยกับคุณ ZZ
    และเป็นกำลังใจให้คุณ karan ค่ะ
     
  6. gogogourmet

    gogogourmet สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +24
    ข้อความทั้งหมดที่คุณkaranยกมา ชอบแค่ข้อความนี้ค่ะ

    คติหรืออคติ ก็อโหสิ
    ถูกใจหรือไม่ถูกใจ ก็อโหสิ

    อโหสิให้เค้าไปก็แล้วกันนะคะ

    ปล.เป็นกำลังใจให้อีกคนค่ะ
     
  7. นักรบธรรม

    นักรบธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    969
    ค่าพลัง:
    +1,174
    ผมว่าเขาควรจะทำหลักสูตร

    30 ชั่วโมงถึง ฌาณ 4 ง่ายกว่านะเพราะถ้าบอกว่าโสดาบันเนี้ย
    คนที่จะรู้อารมณ์พระโสดาบันได้ไม่ใช่เรื่องง่าย

    แต่ถ้าทำแบบนี้แสดงว่าแค่ให้ นิ่งเป็นสมาธิระดับขนิก หรือ อุปาจาร ก็พอ
    แล้วก็ให้ทำวิปัสนาและเรียนรู้อารมณ์พระโสดาบัน
    และก็ให้ผู้เรียนจดจำหรือทำอารมณ์นั้นอยู่ตลอดเวลา
    ก็ถือว่าตัวเองอยู่ในระดับโสดาบัน

    อารมณ์พระโสดาบัน
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย เวลานี้ท่านทั้งหลายได้สมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐานแล้ว ต่อไปนี้ขอได้โปรดฟังคำแนะนำ อารมณ์ของพระโสดาบัน
    สำหรับวันนี้จะได้พูดถึงอารมณ์ของท่านที่ทรงความเป็นพระโสดาบัน ท่านทั้งหลายจะได้ทราบไว้ว่า คนที่เป็นพระโสดาบันแล้วมีอารมณ์เป็นยังไง ส่วนใหญ่คนทั้งหลายมักจะมีความรู้สึกว่า คนที่เข้ามาเจริญพระกรรมฐาน หรือสมถภาวนา หรือ วิปัสสนาญาณ และเริ่มเข้ามาเจริญแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องตัดหมดนั้นเป็นความรู้สึกผิดของท่านผู้มีความคิดอย่างนั้น
    ความจริงการเจริญพระสมณธรรมมีอารมณ์เป็นขั้น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านที่ทรงจิตเป็น ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิหรือ อัปปนาสมาธิ สำหรับอัปปนาสมาธินี้หมายถึงอารมณ์ฌาน ตั้งแต่ฌานที่ 1 ถึงฌานที่ 8 อารมณ์ประเภทนี้จะระงับได้เพียงนิวรณ์ 5 ประการ แต่ก็เป็นเพียงระงับเท่านั้นไม่ใช่ตัด ถ้ายังมีความประมาทจิตคิดชั่ว ฌานก็สลายตัว เป็นอันว่าผู้ทรงฌานโดยเฉพาะอย่างยิ่งฌานโลกีย์ ยังไม่มีความหมาย ในการเจริญสมณธรรมในพระพุทธศาสนา ถึงแม้ว่าท่านผู้นั้นจะได้มโนมยิทธิก็ดี ได้อภิญญา 5 ในอภิญญา 6 ก็ดี ได้ 2 ในวิชชาสามก็ดี ก็ยังไม่มีความหมายในการตัดอบายภูมิ ท่านที่จะตัดอบายภูมิได้จริง ๆ ก็คือ ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป
    คำว่า พระโสดาบัน แปลว่า ผู้เข้าถึงกระแสพระนิพพาน
    ฉะนั้นพระโสดาบันก็ยังตัดอะไรไม่ได้หมด เป็นแต่เพียงว่ามีอารมณ์ชนะสังโยชน์ 3 ประการเบื้องต้น แต่เพียงอย่างอยาบเท่านั้น อารมณ์ชนะสังโยชน์ 3 ประการเบื้องต้นก็คือ 1. สักกายทิฏฐิ ที่มีความรู้สึกว่าสภาพร่างกายหรือว่าขันธ์ 5 เป็นเรา เป็นของเรา เรามีในขันธ์ 5 ขันธ์ 5 มีในเรา เฉพาะอย่างยิ่งในด้านสักกายทิฏฐินี้ พระโสดาบันลดลงมาได้เพียงเล็กน้อย ยังมีความรู้สึกว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเราอยู่ แต่ทว่ามีอารมณ์ไม่ประมาท มีความรู้สึกอยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย ที่ท่านกล่าวว่าบรรดาพระโสดาบันกับพระสกิทาคามี เป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ มีสมาธิเล็กน้อย คำว่าสมาธิเล็กน้อย คือ อารมณ์สมาธิของท่านผู้เจริญฌานสมาบัติ มีอารมณ์ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป ยังไม่ถึงฌาน 4 ก็สามารถจะเป็นพระโสดาบันได้
    สำหรับที่ว่ามีปัญญาเล็กน้อย ก็เพราะว่ายังไม่สามารถตัดขันธ์ 5 ได้เด็ดขาดด้วยกำลังของจิต ยังมีความรู้สึกว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา แต่ทว่าความรู้สึกของท่านมีความดีอยู่หน่อยหนึ่งว่าเราจะต้องตาย ยังไง ๆ ก็ต้องตายแน่ เหมือนกับที่เปสการีมีอารมณ์คิดถึงคำสั่งสอนของสมเด็จพระธรรมสามิสร ที่ทรงตรัสว่า
    ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ท่านทั้งหลายจงอย่ามีความประมาทในการสร้างความดี
    นี่ความรู้สึกของพระโสดาบันในด้านสักกายทิฏฐิ มีอยู่จุดนี้เข้าใจไว้ด้วย มีคนพูดกันว่าถ้าเจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน จะต้องสามารถระงับทุกขเวทนาได้หมด ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่ร้อน ไม่หนาว นี่ไม่ใช่ความจริง ร่างกายยังมีความรู้สึก ร่างกายยังมีมีจิตเป็นเครื่องรักษา ร่างกายยังมีวิญญาณรู้การสัมผัส ถึงแม้ว่าพระอรหันต์ก็ดี พระพุทธเจ้าก็ดีก็ยังรู้สึก รู้สึกเจ็บ รู้สึกปวดเหมือนกัน
    นี่ว่ากันถึงอารมณ์ของพระโสดาบัน เมื่อจิตเข้าถึงพระโสดาบันแล้ว มีความไม่ประมาทในชีวิต มีความรู้สึกเสมอว่าเราจะต้องแก่ เราจะต้องตาย แล้วก็ขึ้นชื่อว่าความตายนี้ไม่มีนิมิตเครื่องหมาย ไม่ใช่ว่าจะไปกำหนดอายุการตายว่าต้องตายเท่านั้นเท่านี้ จะตายตั้งแต่ความเป็นเด็ก หรือ ความเป็นหนุ่มเป็นสาว ความเป็นคนแก่ อาการที่จะตาย อาจจะด้วยโรคภัยไข้เจ็บ อาจจะตายด้วยอุบัติเหตุ หรือตายเช้า ตายสาย ตายบ่าย ตายเที่ยง ตายกลางคืน ตายดึก ตายหัวค่ำก็เอาแน่นอนไม่ได้
    ฉะนั้น พระโสดาบันจึงไม่ประมาทในชีวิต คิดว่าถ้าเราจะตายก็เชิญ แต่เราจะตายอยู่กับความดี อารมณ์ของพระโสดาบันที่จะคัดค้านคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินศรีนั้นไม่มี คือว่าเป็นคนไม่สงสัยในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นี่เป็นอันดับที่ 2 ที่เรียกว่า วิจิกิจฉา พระโสดาบันตัดสังโยชน์ตัวที่ 2 ได้ คือ ความสงสัย ที่เรียกว่า วิจิกิจฉา ขึ้นชื่อว่าความสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่มีในพระโสดาบัน เกิดขึ้นด้วยกำลังของปัญญา ที่พิจารณาหาความจริงว่า
    พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นปัจจัยให้เกิดความสุข
    และอันดับ 3 สีลัพพตปรามาส พระโสดาบันย่อมทรงศีลบริสุทธิ์ตามฐานะของตัว คำว่า ฐานะของตัวก็หมายความว่า ถ้าเป็นฆราวาสก็มีศีล 5 เป็นปกติ มีศีล 5 บริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา ไม่มีเจตนาในการทำลายศีล รักษาศีลบริสุทธิ์ ไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง ไม่ยุให้บุคคลอื่นทำลายศีล แล้วก็ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว เป็นอันว่าพระโสดาบันเป็นผู้มีความทรงอารมณ์อยู่ในศีลเป็นสำคัญ หนักหน่วงในเรื่องของศีล ยอมตัวตายดีกว่าศีลขาด
    ที่กล่าวมานี้หมายความว่า สังโยชน์ 3 ประการนี่ พระโสดาบันปฏิบัติมีจิตเข้าถึงตามนี้ นี่ก็พูดกันไปว่าก่อนที่จะเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันจากโลกียะเป็นโลกุตตระ ตอนนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเรียกว่า โคตรภูญาณ ขณะเมื่ออารมณ์จิตของท่านผู้ปฏิบัติเข้าถึงโคตรภูญาณ
    คำว่าโคตรภูญาณ นี่ก็หมายความว่า จิตของท่านผู้นั้น ยังอยู่ในระหว่างโลกียะกับโลกุตตระ
    แต่ทว่าอารมณ์ตอนนี้จะไม่ขังอยู่นาน บางท่านจิตจะทรงอยู่เพียงแค่ชั่วโมงหนึ่ง หรือไม่ถึงชั่วโมง และบางท่านก็อยู่ถึงอาทิตย์สองอาทิตย์ถึงเป็นเดือนก็มี สุดแล้วแต่ความเข้มแข็งของจิต ในช่วงที่จิตเข้าถึงโคตรภูญาณ ท่านกล่าวว่า ในขณะนั้นอารมณ์จิตของนักปฏิบัติ จะมีความรักพระนิพพานอย่างยิ่ง คือมีความรู้สึกอยู่เสมอว่ามนุษย์โลกก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี ไม่เป็นแดนแห่งความสุข ถ้าเราเกิดเป็นมนุษย์ มันก็ทุกข์ตลอดเวลา ถ้าเกิดเป็นเทวดาก็พักทุกข์ชั่วคราว หรือ พรหมก็เช่นเดียวกัน ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีแล้วก็จะต้องจากเทวดา จากพรหมมาเกิดเป็นคนบ้าง บางรายก็เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นอันว่าเขตทั้ง 3 จุด ไม่มีความหมายสำหรับใจ
    จิตใจของท่านที่มีอารมณ์เข้าถึงโคตรภูญาณ ใจมีความต้องการอย่างเดียวคือ พระนิพพานเป็นปกติ
    แต่ทว่าพอจิตพ้นจากโคตรภูญาณไปแล้ว ก้าวเข้าสู่ความเป็นพระโสดาบันเต็มที่ ที่เรียกว่า โสดาปัตติผล ตอนนี้อารมณ์จิตของท่านละเอียดขึ้นมานิดหนึ่ง นอกจากจะรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ แล้วก็มีความรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลก มันเป็นของธรรมดา
    การนินทาว่าร้ายที่จะปรากฏขึ้นกับบุคคลผู้ใดกล่าวถึงเรา จิตดวงนี้มีความรู้สึกว่า ธรรมดาของคนที่เกิดมาในโลกมันเป็นอย่างนี้ ความป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้น การพลัดพรากจากของรักของชอบใจเกิดขึ้น มีความรู้สึกหนักไปในด้านของธรรมดา แต่ทว่าธรรมดาของพระโสดาบัน ยังอ่อนกว่า ธรรมดาของพระอรหันต์มาก
    ฉะนั้น ท่านที่เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน จึงยังมีความรักในระหว่างเพศ ยังมีการแต่งงาน ยังมีความอยากรวย ยังมีความโกรธ ยังมีความหลง ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า ท่านกล่าวไว้แล้วว่า พระโสดาบันมีสมาธิเล็กน้อย และก็มีปัญญาเล็กน้อย หากว่าท่านทั้งหลายจะถามว่า ถ้าคนยังมีความรักในเพศ ยังมีการแต่งงาน ยังมีการอยากรวย ยังมีความโกรธ ยังมีความหลงก็ดูเหมือนว่าพระโสดาบันก็คือ ชาวบ้านธรรมดา
    แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น ความรักในระหว่างเพศก็ดี ความอยากรวยก็ดี ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดี ของพระโสดาบันอยู่ในขอบเขตของศีล เรารักในรูปโฉมโนมพรรณ มีการแต่งงานกันได้ระหว่างสามีภรรยาของตนเอง ยอมเคารพในสิทธิซึ่งกันและกัน จะนอกใจสามีและภรรยา ขึ้นชื่อว่า กาเมสุมิจฉาจาร จะไม่มีสำหรับพระโสดาบัน จะทำให้ครอบครัวนั้นมีอารมณ์เป็นสุข
    และประการที่ 2 พระโสดาบันยังมีความโกรธ ท่านโกรธจริง พูดเป็นที่ไม่ถูกใจท่านก็โกรธ ทำให้ไม่เป็นที่ไม่ถูกใจท่านก็โกรธ แต่ทว่าพระโสดาบันมีแต่อารมณ์โกรธ ไม่ประทุษร้ายให้เขามีการบาดเจ็บ และไม่ฆ่าคนหรือสัตว์ที่ทำให้ตนโกรธ ให้ถึงแก่ความตาย เป็นอันว่าความโกรธหรือความพยาบาทของท่าน อยู่ในขอบเขตของศีล จิตโกรธแต่ว่าไม่ทำร้าย คือ แตกต่างกับคนธรรมดาตรงนี้
    สำหรับด้านความหลงของพระโสดาบัน ที่ขึ้นชื่อว่าหลง เพราะยังมีความรักในเพศ ยังมีความอยากรวย เมื่อสักครู่นี้ข้ามคำว่าอยากรวยไป การอยากรวยของพระโสดาบัน คือ ต้องการความรวยในด้านสุจริตธรรมเท่านั้น เรียกว่า การทุจริตคิดร้ายคดโกงบุคคลอื่นใด ไม่มีในอารมณ์จิตของพระโสดาบัน ประกอบอาชีพด้วยความสุจริต เพราะอาศัยยังรักในความสวยสดงดงาม คือ รูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่าเพศยังมีอยู่ ยังมีความอยากรวย ยังมีความโกรธ ยังมีความหลง เพราะว่ายังคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ยังมีของสวยของงาม การถือตัวถือตนแบบนี้ จึงเชื่อว่ายังมีความหลง แต่ความหลงของพระโสดาบันนั้น ไม่สามารถจะนำบุคลผู้นั้น ในเวลาแล้วไปสู่อบายได้
    จุดนี้ขอบรรดาท่านทั้งหลายผู้รับฟัง จงจำไว้ว่า ความจริงอารมณ์ของพระโสดาบันนั้น ไม่แตกต่างกับชาวบ้านธรรมดาเท่าไรนัก ชาวบ้านธรรมดา ยังมีความรักในเพศ ยังมีสามี ภรรยา แต่ทว่ายังมีการนอกใจภรรยา สำหรับพระโสดาบันไม่มี ชาวบ้านอยากรวยก็ยังมีการคบคิดกันคดโกง การโกงมีการยื้อแย่งฉกชิงวิ่งราวดูทรัพย์ สำหรับพระโสดาบันนี่ ถ้าต้องการรวยก็รวยด้วยการสุจริต หากินด้วยความชอบธรรม ต่างกันตรงนี้
    พระโสดาบันยังมีความโกรธ ชาวบ้านโกรธแล้วก็ปรารถนาจะประทุษร้าย ถ้ามีโอกาสก็ประทุษร้ายบุคคลที่เราโกรธ ถ้าสามารถจะฆ่าได้ก็ฆ่า สำหรับพระโสดาบันมีแต่ความโกรธ การประทุษร้ายไม่มี การฆ่าการประหารไม่มี นี่ต่างกันกับชาวบ้าน
    พระโสดาบันยังมีความหลง ตามที่ได้กล่าวมาด้วยอาการที่ผ่านมาแล้ว แต่ทว่าพระโสดาบันก็ไม่ลืมคิดว่า เราจะต้องตาย เมื่อเราตายแล้ว เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ตอนนี้พระโสดาบันไม่เสียใจ ไม่เสียดาย ถือว่าถ้าตายเราจะมีความสุข นี่ขอท่านทั้งหลายจำอาการอารมณ์จิตที่เข้าถึงพระโสดาบันไว้ด้วย
    ตอนนี้จะขอพูดอีกนิดหนึ่งถึงอารมณ์ความจริงของพระโสดาบัน ที่เรียกกันว่า องค์ของพระโสดาบัน
    คำว่า องค์ ก็ได้แก่ อารมณ์จิตที่ทรงไว้อย่างนั้นอย่างแนบแน่นสนิท นั่นก็คือ
    1.พระโสดาบันมีความเคารพในพระพุทธเจ้าอย่างจริงใจ ไม่คลายในความเคารพในพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะมีเหตุผลใด ๆ เกิดขึ้น ใครจะมาจ้างให้รางวัลมาก ๆ ให้กล่าวว่าพระพุทธเจ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้า พระธรรมไม่ใช่พระธรรม พระสงฆ์ไม่ใช่พระสงฆ์ แม้แต่พูดเล่นพระโสดาบันก็ไม่พูด ทั้งนี้เพราะว่าอะไร เพราะว่าท่านมีความเคารพในพระพุทธเจ้า มีความเคารพในพระธรรม มีความเคารพในพระอริยสงฆ์อย่างจริงใจ แต่ทว่าระวังให้ดี ถ้าพระสงฆ์เลว พระโสดาบันไม่ใส่ข้าวให้กิน
    ตัวอย่าง ภิกษุโกสัมพี มีความประพฤติชั่ว ตอนนั้นฆราวาสที่เป็นพระอริยเจ้านับหมื่น ไม่ยอมใส่ข้าวให้กิน เพราะถือว่าเป็นโจรปล้นพระพุทธศาสนา เป็นผู้ทำลายความดี ไม่ใช่ว่าเป็นพระอริยเจ้าแล้วละก็ จะเมตตาไปเสียทุกอย่าง ท่านเมตตาแต่คนดีหรือว่าบุคคลผู้ใดมีความประพฤติชั่วท่าน แนะนำแล้วสามารถจะกลับตัวได้ พระโสดาบันก็เมตตา ถ้าเขาชั่วแนะนำแล้วไม่สามารถจะกลับตัวได้ พระโสดาบันก็ทรงอุเบกขา คือ เฉยไม่สงเคราะห์ โปรดจำอารมณ์ตอนนี้ไว้ให้ดี
    2. ในประการต่อไป พระโสดาบันมีศีลบริสุทธิ์ ขอพูดย่อให้สั้น เพราะองค์ของพระโสดาบันก็คือ
    (1) มีความเคารพในพระพุทธเจ้า
    (2) มีความเคารพในพระธรรม
    (3) มีความเคารพในพระอริยสงฆ์
    นี่จัดเป็นองค์ที่มี 3 ประการ
    (4) และสิ่งที่จะแถมขึ้นมาก็คือรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ ทำทุกสิ่งทุกอย่างไม่หวังผลตอบแทน ไม่หวังความดีมีชื่อเสียงในชาติปัจจุบัน มีความรู้สึกต้องการอยู่อย่างเดียวว่าเราทำความดีทุกอย่างเพื่อพระนิพพานเท่านั้น อารมณ์จิตตอนนี้ขอบรรดาท่าพุทธบริษัทภิกษุ สามเณรทุกท่านต้องจำไว้ จงอย่าไปคิดว่าพระโสดาบันเลอเลิศไปถึงอารมณ์อรหันต์โดยมากมักจะคิดว่าอารมณ์ของพระอรหันต์เป็นอารมณ์ของพระโสดาบัน ก็เลยทำกันไม่ถึง นี่เป็นการคิดผิด ความจริงการเป็นพระโสดาบันเป็นง่าย มีอารมณ์ไม่หนักที่หนักจริง ๆ ก็ คือ ศีลอย่างเดียว
    ต่อไปนี้ขอพูดถึงอาการของพระโสดาบันที่จะพึงได้ พระโสดาบันจัดเป็น 3 ขั้น คือ
    1.สัตตักขัตตุง สำหรับที่ท่านเป็นพระโสดาบันมีอารมณ์ยังอ่อน จะต้องเกิดและตายในระหว่างเทวดาหรือพรหมกับมนุษย์อีกอย่างละ 7 ชาติ เป็นมนุษย์ชาติที่ 7 และเข้าถึงความเป็นอรหัตผล
    2. ถ้ามีอารมณ์เข้มแข็งปานกลาง ที่เรียกกันว่า โกลังโกละ อย่างนี้จะทรงความเป็นเทวดาหรือมนุษย์อีกอย่างละ 3 ชาติครบเป็นมนุษย์ชาติที่ 3 เป็นพระอรหันต์
    3.สำหรับพระโสดาบันที่มีอารมณ์เข้มแข็งเรียกว่า เอกพิชี นั่นก็จะเกิดเป็นเทวดาอีกครั้งเดียว มาเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็เป็นพระอรหันต์
    4.ที่พูดตามนี้ หมายความว่า ท่านผู้นั้นเมื่อเป็นพระโสดาบันแล้วเกิดใหม่ไม่ได้พบพระพุทธศาสนา จะต้องฝึกฝนตนเองอยู่เสมอทุกชาติ แต่ว่าความเป็นมิจฉาทิฏฐิในชาติต่อ ๆไป จะไม่มีแก่พระโสดาบัน เพราะว่า พระโสดาบันไม่มีสิทธิที่จะไปเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน จะเกิดได้แค่ช่วงแห่งความเป็นมนุษย์กับเทวดาหรือพรหมสลับกันเท่านั้น
    เป็นอันว่าพระโสดาบันนี่ ถ้าท่านทั้งหลายพิจารณาให้ดีแล้ว ก็มีความรู้สึกว่าเป็นของไม่ยาก
    หากว่าท่านจะถามว่า พระโสดาบันทั้งสัตตักขัตตุง โกลังโกละ และเอกพีชี มีอารมณ์ต่างกันอย่างไร
    ก็จะขอตอบว่า พระโสดาบันขั้นสัตตักขัตตุง มีจริยาคล้ายชาวบ้านธรรมดามาก ยังมีอารมณ์รุนแรงในความรัก ยังมีอารมณ์รุนแรงในความโลภ ในความโกรธ ในความหลง แต่ทว่าเป็นผู้มั่นคงในศีล ไม่ละเมิด
    สำหรับพระโสดาบันขั้นโกลังโกละ ขั้นโกลังโกละนี้มีอารมณ์เยือกเย็นมาก หรือว่ามีความมั่นในคุณพระรัตนตรัย มีศีลมั่นคงมาก ความจริงเรื่องศีลนี่มั่นคงเหมือนกัน แต่ว่าจิตท่านเบาบางในด้านความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความคำนึงถึงอารมณ์อย่างนี้มีอยู่แต่ก็น้อย ถ้ามีคู่ครองเขาจะโทษว่า กามคุณท่านจะลดหย่อนลงไป ความสนใจในเพศ ความสนใจในความโลภ อารมณ์แห่งความโกรธ อารมณ์แห่งความหลงมันเบา กระทบไม่ค่อยจะมีความรู้สึก
    สำหรับพระโสดาบันขั้นเอกพีชี ในตอนนี้อารมณ์ของท่านผู้นั้น จะมีอารมณ์ธรรมดาอยู่มาก ขอท่านทั้งหลายโปรดอย่าลืมว่า พระอริยเจ้าจะเป็นฆราวาสก็ดี จะเป็นพระก็ดี จะเป็นเณรก็ดี จะเป็นคนมีจิตละเอียด ไม่ขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา และไม่ขัดคำสั่ง ไม่ฝ่าฝืนกฎระเบียบวินัยและกฏหมาย อันนี้เป็นอารมณ์ของพระโสดาบัน ที่ท่านทั้งหลายจะพึงทราบ
    สำหรับเอกพิชีนี่ ความจริงมีอาการจิตใจใกล้พระสกิทาคามี แต่ทว่าสิ่งที่จะระงับไว้ได้นั้น กดด้วยกำลังของศีล มีความรู้สึกว่าเราจะต้องประคับประคองศีลของเราให้แจ่มใสอยู่เสมอ มองดูความรักในระหว่าเพศ หรือว่าความร่ำรวย หรือว่าความโกรธ หรือหลงในระหว่างเพศ หลงในสภาวะต่าง ๆ เห็นว่าเป็นของไร้สาระ มีอารมณ์เบาในความปรารถนาในสิ่งนั้น ๆ แต่ทว่าก็ยังมีความปรารถนาอยู่
    เอาละ บรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครู เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ วันนี้คงไม่ได้อารมณ์แห่งการปฏิบัติ แต่ทว่าอารมณ์แห่งการปฏิบัติ ในความเป็นพระโสดาบันท่านฟังกันมาแล้วสองคืน ผมเองมีความรู้สึกว่า ท่านทั้งหลายคงจะรู้สึกว่าง่ายสำหรับท่าน แต่ถ้าหากว่าเห็นว่าอารมณ์ของพระโสดาบันยากนี่ ถ้าเป็นพระเป็นเณร ผมไม่ถือว่าเป็นพระเป็นเณร ผมถือว่าเป็นเถน เถนในที่นี้หมายความว่ามี สระเอ นำหน้า มีถอถุง และ นอหนู เขาแปลว่าหัวขโมย คือ ขโมยเอาเพศของพระอริยเจ้ามาหลอกลวงชาวบ้าน ตามปกติพระกับเณรนี่ต้องทรงศีลบริสุทธิ์อยู่แล้ว
    เอาละ พุดไปเวลามันเกินไป 1 นาที ก็ขอพอไว้แต่เพียงนี้ หวังว่าท่านทั้งหลายคงจะเข้าใจ ต่อแต่นี้ไปขอท่านทั้งหลายตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น จะอยู่ในอิริยาบถใดก็ตาม นั่งก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็ได้ นอนก็ได้ตามอัธยาศัย ทรงกำลังใจควบคุมความเป็นพระโสดาบันของท่านไว้ จนกว่าจะถึงเวลาที่ท่านเห็นว่าสมควร สวัสดี
    ...........
    อ้างอิง :
     
  8. lowprofile

    lowprofile เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,391
    ค่าพลัง:
    +6,023
    ผมว่าท่านทำดีแล้ว อยากให้ดูที่เจตนาเป็นหลัก ดีที่สุดครับ
    คงเป็นเพราะชือ มันดุแบบรวบรัดติวเข้มเกินไปหรือไม่ ท่านอื่นถึงได้ท้วงติง
    แต่ จะชื่อเรื่อง หัวข้ออะไรก้อตาม เนื้อหาที่ดีย่ผุ้อ่านย่อมได้รับประโยชน์อยุ่เสมอ
    ไม่มากก้อน้อยครับแน่นอนครับ

    ก้าวเดินพันกิโล ย่อมต้องเริ่มตั้งแต่ก้าวแรก ที่ท่านนำมาผมอ่านนับว่าง่ายต่อความเข้าใจ
    ยุคสมัยอะไรรที่เร่งรีบ ผลจะออกมาเป็นโสดาบันหรือไม่ ผมคิดว่าคนที่ตั้งใจทำตั้งใจปฎิบัติก้ออย่างน้อยได้มีโอกาสทำความดี สะสมความดี หากยังไม่บรรลุโสดาบันผมว่าก้อไม่เป็นไร อย่างน้อยก้อใกล้เข้าไปหละ ผมมองว่าเป็นความสร้างสรรค์ ความตั้งใจที่จะช่วยผุ้อื่นของท่านจขกท ผมมีความคิดว่าแบบนี้ ท่านอื่นคิดว่าไงครับ
     
  9. Homealond

    Homealond เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +476
    ทำดีไม่ดี คนก็ว่า ดูที่เจตนาของเราพอค่ะ ถ้าเรามีจิตกุศล ก็ถือว่าสิ่งที่ทำไป คือมารมาทดสอบอุเบกขาเราก็พอค่ะ
     
  10. thitarat

    thitarat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    226
    ค่าพลัง:
    +203
    สวัสดีค่ะ

    ในฐานะที่เป็นนักเรียนคนหนึ่ง ในหลักสูตรนี้ ดิฉันคิดว่า ดิฉันได้ประโยชน์จากการเรียนเต็มๆ และเป็นแรงบันดาลใจให้เริ่มต้นปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ และทำให้ดิฉันสามารถเข้าใจถึงพระธรรมคำสอนได้ง่ายขึ้นนะคะ

    จริงอยู่ค่ะ ว่า หลักสูตรนี้อาจจะไม่ได้ทำให้พวกเราทุกคนที่เรียนสามารถบรรลุธรรมได้หลังจากการเรียน 30 ชั่วโมง แต่อย่างน้อย พวกเราที่เป็นนักเรียนก็ได้เรียนรู้อะไรที่เป็นธรรมะเพิ่มมากขึ้นก็เป็นสิ่งที่ดีแล้ว (จากความเห็นส่วนตัวนะคะ เพราะด้วยการดูจากความสามารถทางสติปัญญาของตัวเอง ดิฉันก็ไม่คิดว่าหลัง 30 ชั่วโมงจะทำให้ดิฉันบรรลุถึงความเป็นโสดาบันได้โดยทันทีทันใด เพราะการเป็นโสดาบันนั้นมีปัจจัยหลายอย่างเหลือเกิน แต่ก็ได้แต่หวังว่าอย่างน้อยถึงเราไม่เป็นโสดาบัน เราก็ยังได้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ^^)

    และนอกจากนี้ การเรียนศาสนา บางครั้งก็ต้องขึ้นอยู่กับจริตของผู้เรียนค่ะ ว่าผู้เรียนสามารถรับบทเรียนได้ในส่วนไหน อย่างไร เข้าใจได้ในส่วนไหน อย่างไร เพราะเท่าที่ทราบมาตั้งแต่แรก คุณ Karan ก็ไม่ได้อวดอ้างตัวว่าตนนั้นบรรลุหลักธรรมหรืออะไร แต่ต้องการเป็นกัลยาณมิตรในทางธรรม สรุปบทเรียนให้อ่านมากกว่า และบางทีการเรียนนั้นก็อาจต้องการมิตรช่วยตักเตือนหรือวิจารณ์ให้เป็นไปในทางที่ดี ทางที่ชอบด้วยเช่นกันค่ะ ดิฉันก็ถือว่าดิฉันได้รับความรู้ในการเรียนบทเรียนต่างๆในหลักสูตรนี้พอสมควร และดิฉันก็ไม่เคยได้เรียนรู้ธรรมะจากหลวงพ่อฤาษีลิงดำมาก่อนเลยเช่นกัน ก็ถือเป็นการเปิดโลกใหม่ให้ได้เรียนรู้ในสิ่งที่ได้เรียนรู้ และขอขอบคุณและอนุโมทนาธรรมกับท่านเจ้าของกระทู้นะคะ ที่ได้แบ่งปันความรู้ในการเผยแพร่หนังสือบันทึกสัจธรรม ดิฉันเซฟไว้แล้ว และจะนำไปอ่านและพิจารณาต่อไปค่ะ เป็นประโยชน์สำหรับผู้เริ่มต้นอย่างดิฉันมากเลยค่ะ ^^

    อีกเรื่องหนึ่ง ในเรื่องของหัวข้อกระทู้ ที่ว่า "เลิกนั่งนับชั่วโมง" ดิฉันก็รู้สึกว่า จริงๆ ตอนที่เป็นหนึ่งในนักเรียนที่เรียนหลักสูตรนี้อยู่ ดิฉันก็ไม่ได้นับชั่วโมงนะคะ ไม่ได้นับว่ากี่ชั่วโมงแล้ว และไม่ได้นับถอยหลังด้วยว่าอีกเท่านี้ เท่านี้ ชั่วโมง ตัวเองจะได้จบหลักสูตรและได้บรรลุโสดาบัน เพราะว่าคุณ Karan ได้กล่าวไปแล้วในช่วงต้นๆของการเปิดกระทู้ค่ะ ว่า กระทู้ดังกล่าวนั้นจบในตัวเอง มิได้มีเป็นตอนต่อไปให้ติดตามให้ต่อเนื่องกันโดยตลอดแต่อย่างใด และส่วนใหญ่ ในหลักสูตรนั้นก็จะเป็นการขยายความการเป็นโสดาบัน หรืออารมณ์พระโสดาบันนั้นให้ชัดเจนขึ้นในแต่ละประเด็นมากกว่าการเขียนให้ต่อเนื่องกันให้ติดตามมากกว่าค่ะ

    แต่อย่างไรก็ตาม ต้องขอขอบพระคุณท่านเจ้าของกระทู้ที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับหลักสูตรนี้และได้เสนอทางเลือกในการศึกษาธรรมะในสายของหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะนะคะ ทำให้ดิฉันได้มีมุมมองในการศึกษาธรรมะที่หลากหลายมากขึ้น และถ้าท่านเจ้าของกระทู้จะเผยแผ่ธรรมะเพิ่มขึ้นหรือเปิดหลักสูตรสอนธรรมะสำหรับผู้เริ่มต้นอย่างดิฉันให้เข้าใจง่ายมากขึ้นก็ต้องขอขอบพระคุณ และขออนุโมทนาสาธุการในบุญแห่งธรรมทานมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

    ขอบพระคุณค่ะ

    ฐิตารัตน์
     
  11. MTGO

    MTGO สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +15
    ปกติผมก็อ่านหนังสื่อต่างๆที่บอกว่า สอน/เรียนรู้.....ใน xx ชั่วโมง แต่เอาเข้าจริงก็มักเกินจากนั้นหรืออาจอ่านไม่จบ ขึ้นอยู่กับความตั้งใจเรียนรู้ และพื้นฐานของคนอ่าน

    เช่นกันผมก็กำลังตามอ่านบทความของคุณ karan20 พร้อมเปิดฟัง mp3 ได้ประโยชน์มากๆครับ ส่วนตัวไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ภายใน 30 ชั่วโมง แต่ก็เป็นแรงบัลดาลใจให้เริ่มที่จะทำ

    ต้องขอขอบคุณ และขออนุโมทนาบุญด้วยครับ
     
  12. diya

    diya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,950
    ค่าพลัง:
    +13,031
    ...กรรมแลเป็นเครื่องแสดงเจตนา...

    ในฐานะนักเรียนdiyaมีความเห็นคล้ายเคียงคุณthitarat อย่างไรก็ตามชื่อหลักสูตรใครผ่านไปผ่านมาไม่ได้เข้าอ่านในเนื้อหา ไม่ได้ฟังไฟล์เสียง อาจหลงผิดเห็นผิดคิดไปผิดๆ ได้ว่านี่มันหลักสูตรที่สร้างขึ้นมาตอบสนองกิเลสของผู้คนจานด่วนบนยุคไปให้ไวแข่งเอากับแสงนี้อีกกระมัง...ก็เป็นได้...

    ถ้าจำไม่ไม่ผิดคิดว่าพี่karanน่าจะเคยบอกกล่าวไว้ตั้งกะต้นๆ ชั่วโมงว่า ถึงแม้จะเรียนไปจนจบก็ใช่ว่าคุณจะบรรลุเป็นพระโสดาบัน ต่อให้พี่karanแจกประกาศนียบัตรให้กับผู้เรียน ความหมายก็คือคุณเรียนจบ แต่ความเป็นพระโสดาบันหาได้เกิดขึ้นจากการแค่เรียนจบ อ่านจบ และฟังจบ ....

    อืมมม เกินจะกล่าวถึงคุณงามความดีของบทเรียนที่พี่karanสร้างขึ้นมา diya รู้สึกว่าถ้าdiyaเป็นพี่karan diya คงจะภูมิใจมากที่แม้จะมีเพียงแค่คนเพียงคนเดียวได้ผ่านเข้ามาพบเนื้อหาบทเรียนนี้และเริ่มตระหนักในศรัทธาแห่งพระรัตนตรัยอันตนมีอยู่ แม้เพียงแค่คนหนึ่งคนที่อ่านแล้วลองหันกลับมาตระหนักระลึกรู้ถึงลมหายใจที่ตัวเองมี แค่เพียงคนหนึ่งคนที่เข้ามาอ่านแล้วตระหนักได้ว่า ความตายเป็นของเที่ยง สรรพสิ่งไม่เที่ยงเลย แค่คนหนึ่งคนที่ได้อ่านแล้วตระหนักว่า ....ทุกสรรพสิ่งอยู่ภายใต้กฎของความเป็นธรรมดา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป...บนโลกนี้ขอยืมใช้ ตายดับไปจะเอาอะไรไปกันได้บ้างเล่านอกจากบุญและบาป

    ขอโมทนาสาธุในเจตนาที่เป็นกุศลทั้งหมดทั้งมวลของพี่karanนะคะ
     
  13. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
  14. skyroad

    skyroad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +259
    ขอบคุณและส่งกำลังใจค่ะ

    สำหรับคนอื่นเราไม่รู้ แต่สำหรับเรานั้นคิดว่าสิ่งที่ท่านให้ความรู้มานั้นได้ประโยชน์และช่วยให้เป็นเครื่องเตือนสติได้มาก (แม้ว่าเพิ่งได้ฟังไปถึงตอนที่ 9 เท่านั้น) แต่ก็ขอเป็นกำลังใจให้ท่านอย่าท้อใจ (จะพยายามตามอ่านและฟังไปเรื่อยๆเพื่อเตือนสติและพัฒนาตนต่อไป) และขอขอบคุณท่าน ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ
     
  15. eee

    eee สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +23
    โลกธรรม 8 ค่ะพี่ ^^ ผ่านมาให้เราเจริญเมตตาบารมี ให้เห็นถึงกฎของไตรลักษณ์ ได้แต่ขอให้พี่คนเขียนเขาไม่ทุกข์ร้อนแล้วกันค่ะ ส่วนตัวคิดว่าเข้าใจในเจตนาและได้รับทั้งความรู้และได้นำคำสั่งสอนในไฟล์เสียงมาปฏิบัติตามและเห็นผลด้วยตนเอง ก็ต้องขอบคุณพี่ karan20 นะคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...