...จุดศูนย์กลางเกลียวสุริยะ กับ วันสิ้นโลก...

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย moondark999, 17 เมษายน 2011.

  1. wacaholic

    wacaholic เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2010
    โพสต์:
    502
    ค่าพลัง:
    +214
    ปรมัตถ์สุขสงบวิมุตติ....มนุษย์โลกเนติธรรมรู้มรรคผล
    ผู้พิชิตโลภโกรธหลงต้องผจญ......ชนะตนชนะชาติหกหมื่นปี

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. thunderstrom

    thunderstrom Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2009
    โพสต์:
    853
    ค่าพลัง:
    +62
    ใช้ความรู้เยียวยาตัวเอง นะครับ ตัวประกัน คือกายเนื้อ บททดสอบ ที่ต้องผ่าน เป็นห่วง และเอาใจช่วยเสมอ
     
  3. wacaholic

    wacaholic เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2010
    โพสต์:
    502
    ค่าพลัง:
    +214
    ขอบคุณเมตตาไมตรีจิต ที่หยิบยื่นมาให้ครับ ขอให้ทุกๆท่านรักษาสุขภาพให้ดีเช่นกัน เพราะพวกเราก็ต่างเดิมพันกับกายเนื้อ ที่ตั้งไว้อยู่บนความไม่เที่ยงเช่นกัน ทุกขณะ ทุกลมหายใจ และทุกคน
     
  4. thunderstrom

    thunderstrom Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2009
    โพสต์:
    853
    ค่าพลัง:
    +62
    การส่งพลังงาน ผ่านยอดสูง เวลานี้ paris หนาวเย็น และมีฝนปรอย หวังว่า พวกท่าน จะรอรับนกไฟ ที่กำลังจะโบยบิน เมื่อปลามองเห็นนก จะขยับตัว ข้าพเจ้าก็รอทิ้งเปลือก นี้ เพื่อการทำงานอย่างสมบูรณ์ เช่นกัน
     
  5. sangdai

    sangdai สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2011
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +3
    รู้เเล้วเป็นทุกข์อย่ารู้เลยเเต่รู้เเล้วเป็นสุขก็ควรจะรู้
     
  6. wacaholic

    wacaholic เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2010
    โพสต์:
    502
    ค่าพลัง:
    +214
    ปลากำลังว่ายวนพร้อมให้นกไฟทำหน้าที่ให้เสร็จสมบูรณ์แล้ว
     
  7. thunderstrom

    thunderstrom Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2009
    โพสต์:
    853
    ค่าพลัง:
    +62
    ด้วยรักจากใจ นำ้ตาที่หลั่งไหล มาจากใจที่อ่อนโยน เจ็บปวดเหลือเกิน ที่เป็นอย่างนี้
     
  8. ธรรมิกราช

    ธรรมิกราช Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +50
    " จุดศูนย์กลางของเกลียวขวัญบนศรีษะ " ก็คือ จักรมงกุฏ กลางกระหม่อม หรือจักรแห่ง ปัญญา นั่นเอง

    จักรนี้จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสมอง ความคิดจะเปลี่ยนแปลงไปเองแบบอัตโนมัติ
    จนสุดท้าย จะเปลี่ยน เซลล์ สมองเป็นสูญญากาศ จะล้างความคิด จนหมดไป
    เมื่อหมดการกระเพื่อมของความคิด ก็จะเหลือความเป็น กลาง
    ไม่คิด บวก และคิด ลบ
    ผมส่งข้อความส่วนตัวไปให้ เปิดอ่านด้วยครับ
    คงมีวาสนาที่จะเจอกัน
     
  9. wacaholic

    wacaholic เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2010
    โพสต์:
    502
    ค่าพลัง:
    +214
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="66%"><TBODY><TR><TD style="FONT-FAMILY: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif; FONT-SIZE: x-small" width="34%">คนและสัตว์</TD><TD style="FONT-FAMILY: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif; FONT-SIZE: x-small" width="33%">สูญลับ</TD><TD style="FONT-FAMILY: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif; FONT-SIZE: x-small" width="33%">ดับสิ้นแล้ว</TD></TR><TR><TD style="FONT-FAMILY: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif; FONT-SIZE: x-small">จันทร์แสงแวว</TD><TD style="FONT-FAMILY: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif; FONT-SIZE: x-small">ว่างเปล่า</TD><TD style="FONT-FAMILY: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif; FONT-SIZE: x-small">ไร้เงาอร่าม</TD></TR><TR><TD style="FONT-FAMILY: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif; FONT-SIZE: x-small">ใครใคร่รู้</TD><TD style="FONT-FAMILY: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif; FONT-SIZE: x-small">เรื่องซึ้ง</TD><TD style="FONT-FAMILY: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif; FONT-SIZE: x-small">พึงเพ่งความ</TD></TR><TR><TD style="FONT-FAMILY: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif; FONT-SIZE: x-small">ลิลลี่ตาม</TD><TD style="FONT-FAMILY: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif; FONT-SIZE: x-small">เถื่อนถวิล</TD><TD style="FONT-FAMILY: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif; FONT-SIZE: x-small">กลิ่นสีเทอญ</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • jit_10.jpg
      jit_10.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4 KB
      เปิดดู:
      282
  10. moondark999

    moondark999 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2010
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +41
    ..... ดวงจิต กับ ปฏิสนธิ และ บิ๊กแบง .....

    ดูก่อนอานนท์ สัตว์ที่ตกอยู่ในนรกมากมายนับมิได้ แน่นอัดยัดเหยียดกันอยู่ในนรก ดั่งข้าวสารหรือเมล็ดถั่วเมล็ดงาในกระสอบ แต่ก็ไม่เห็นกันได้ ด้วยเขาไม่รู้ไม่เห็นซึ่งนรก ไม่รู้สุขทุกข์บาปบุญคุณโทษ ไม่รู้ว่าจิตของตนเป็นทุกข์เป็นสุข มีแต่มัวเมาอยู่ด้วยตัณหากามราคะกิเลสต่างๆ จึงชื่อว่าตกอยู่ในนรก ยัดเหยียดกันดั่งข้าวสารหรือเมล็ดถั่วเมล็ดงาในกระสอบ ร้องเรียกหากันก็ไม่เห็นกัน คือ ไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นสุข แห่งกันและกัน เท่านั้นเอง

    พระพุทธเจ้า..ชัวร์..หรือ..มั่วนิ่ม
    พระพุทธเจ้าระบุชัดเจนว่า วัตถุเล็กๆดั่งเมล็ดถั่วเมล็ดงานั้น..มีการมองเห็น
    และมีภาพเหตุการณ์ที่บ่งบอกสภาวะแห่งความทุกข์และความสุข ภายในวัตถุเล็กๆนั้น
    นั้นย่อมหมายความว่า วัตถุเล็กๆนั้นจะต้องมีองค์ประกอบของ..ตา..กับ..แหล่งกำเนิดภาพเหตุการณ์ที่บ่งบอกสภาวะความสุขกับทุกข์ของวัตถุเล็กๆนั้น

    มันจึงสงสัยว่า วัตถุเล็กๆดั่งเมล็ดถั่วที่พระพุทธเจ้าแสดงมานั้น มันคือองค์ประกอบส่วนไหนของชีวิตเรา แล้วเราจะสังเกตได้จากอะไรขณะที่เรากำลังมีชีวิตอยู่

    ถ้าหากเราพิจารณาจากร่องรอยลายเส้นบนร่างกายของเรา ร่องรอยลายเส้นหมุนวนเป็นเกลียวขวัญบนศีรษะของเราจะมีรูปแบบลายเส้นเดียวกับ..เกลียวสุริยะ

    และลายเส้นแผ่กระจายและหุบเข้าเป็นรัศมีวงแหวนเป็นชั้นๆกว้างไกลออกไป บนปลายนิ้มมือและนิ้วเท้าของเรา จะมีรูปแบบลายเส้นเดียวกับ..เส้นวงโคจร..ของดวงดาวบริวารต่างๆวนรอบจุดศูนย์กลางสุริยะ

    แล้วเราก็จะพบว่า จุดศูนย์กลางแหล่งกำเนิดลายเส้นทั้งสองรูปแบบนั้น มันมี..วัตถุพลังงานทรงกลมมน..ปกปิดห่อหุ้มล้อมรอบ จุดศูนย์กลางลายเส้นทั้งสองรูปแบบนั้นอยู่

    เหตุผลนี้จึงเป็นสิ่งยืนยันได้อย่างชัดเจนว่า องค์ประกอบของความเป็นสิ่งมีชีวิตของๆเรา จะต้องมีวัตถุพลังงานทรงกลม หรือแหล่งกำเนิดพลังงานทรงกลมเป็นองค์ประกอบหนึ่งของความเป็นสิ่งมีชีวิตของๆเราดั่งที่พระพุทธเจ้าแสดงมา..ชัวร์แน่นอน

    ดูก่อนอานนท์ เมื่ออยากรู้จักนรก และสวรรค์ และพระนิพพาน ก็ควรให้รู้เสียในเวลาก่อนที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่ออยากพ้นทุกข์ในนรกก็รีบออกให้พ้นเสียตั้งแต่ยังไม่ตาย เมื่ออยากได้สุขในมนุษย์ หรือในสวรรค์ หรือในนิพพาน ก็รีบขวนขวายหาความสุขเหล่านั้นไว้แต่เมื่อยังไม่ตาย จะถือว่าตายแล้ว จึงจะพ้นทุกข์ในนรก ตายแล้วจึงจะไปสวรรค์ไปพระนิพพาน ดั่งนี้ เป็นอันใช้ไม่ได้ เสียประโยชน์เปล่า อย่าเข้าใจว่าเมื่อมีชีวิตอยู่สุขอย่างหนึ่ง เมื่อตายไปแล้วมีสุขอีกอย่างหนึ่ง เช่นนี้เป็นความที่เข้าใจผิดโดยแท้ เพราะจิตมีดวงเดียว เมื่อมีชีวิตอยู่ก็จิตดวงนี้ เมื่อตายไปแล้วก็จิตดวงนี้ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ได้รับทุกข์ฉันใด แม้เมื่อตายไปแล้วก็ได้รับทุกข์ฉันนั้น เมื่อยังมีชีวิตอยู่มีความสุขฉันใด เมื่อตายไปแล้วก็ได้รับความสุขฉันนั้น ไม่ต้องสงสัย เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่รู้ไม่เห็นซึ่งความทุกข์และความสุข มีสภาวะปานดั่งนี้ เมื่อตายไปแล้วยิ่งจะซ้ำร้าย จะมีทางรู้ ทางเห็น ด้วยอาการอย่างไร

    จะถือว่าตายแล้ว จึงจะพ้นทุกข์ในนรก ตายแล้วจึงจะไปสวรรค์ไปพระนิพพาน ดั่งนี้ เป็นอันใช้ไม่ได้ เสียประโยชน์เปล่า อย่าเข้าใจว่าเมื่อมีชีวิตอยู่สุขอย่างหนึ่ง เมื่อตายไปแล้วมีสุขอีกอย่างหนึ่ง เช่นนี้เป็นความที่เข้าใจผิดโดยแท้
    เพราะจิตมีดวงเดียว เมื่อมีชีวิตอยู่ก็จิตดวงนี้ เมื่อตายไปแล้วก็จิตดวงนี้

    เพราะฉะนั้น คำว่า..จิตมีดวงเดียว..ในความหมายของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจะต้องหมายถึง..แหล่งพลังงานทรงกลม..ห่อหุ้มล้อมรอบปกปิดจุดศูนย์กลางตัวพลังงาน จุดศูนย์กลางตัวพลังงานที่เป็นเหตุทำให้เกิดรูปแบบลายเส้นที่ตายตัวทั้งสองรูปแบบบนร่างกายสังขารของเรา ชัวร์ๆชัดๆหมดสิทธิ์..สงสัย

    และเมื่อพิจารณาจากรูปทรงของดวงดาว ก็จะพบว่า ดวงจิตของผู้ที่ตกนรกจะมีรูปทรงที่บิดเบี้ยวหงิกงอบี้แบน แตกต่างจากรูปทรงของดวงดาว ชัดเจน

    ความน่าจะเป็น อะไรล่ะที่ทำให้ดวงจิตของผู้ที่ชื่อว่า..ตกนรก..จึงทำให้รูปทรงของดวงจิตทรงกลมมนบิดเบี้ยวหงิกงอดั่งเมล็ดถั่วเมล็ดงาและบี้แบนดั่งเมล็ดข้าวสาร แตกต่างจากรูปทรงของดวงดาว

    แล้วความน่าจะเป็น สถานที่ที่พระพุทธเจ้าเรียกว่านรก หรือสถานที่ที่ดวงจิตเหล่านั้นไปแออัดยัดเยียดกันนั้น น่าจะอยู่ที่ไหน

    ท่านแน่ใจแล้วรึ ว่าวิกฤตโลกร้อนนั้น เกิดจากก๊าซเรือนกระจก ไม่ได้เกิดจากดวงจิตของสัตว์แห่พากันลงนรกที่บริเวณ..เส้นขอบรอยเชื่อมต่อขั้วประจุไฟฟ้า..เส้นขอบขั้นกลางระหว่างมิติโลกสองด้าน โลกวงนอกกับโลกวงในหรือ โลกไข่แดงกับโลกไข่ขาว

    และเมื่อพิจารณาจากแหล่งกำเนิดพลังงานของดวงจิต จะมีรูปแบบเดียวกับสุริยะ มีวัตถุพลังงานทรงกลมเป็นจุดศูนย์กลาง และมีแขนขาเป็นเกลียวคลื่นสว่านหรือเกลียวก้นหอย กับคลื่นวงแหวนแผ่รัศมีวงแหวนเป็นชั้นๆกว้างไกลออกไป

    เพราะฉะนั้น ถ้าหากวิทยาศาสตร์ต้องการจะสลายโมเลกุล เคลื่อนย้ายโมเลกุลของร่างกายสังขาร หรือเดินทางด้วย..คลื่น..อย่างหนังสตาร์เทร็ค

    วิทยาศาสตร์จะต้องเรียนรู้ศึกษา..แหล่งกำเนิดพลังงาน..ที่มีแขนมีขาเป็นตัวเชื่อมตัวยืดโมเลกุล และเป็นตัวจัดระเบียบจัดระบบการไหลเวียนพลังงานของโมเลกุลของร่างกายสังขาร

    เพราะถ้าหากวิทยาศาสตร์ไม่รู้จักสิ่งที่ศาสนาและชาวบ้านธรรมดาๆเรียกว่า..ดวงจิตวิญญาณ
    ผมกล้าท้า วิทยาศาสตร์ไม่มีทางทำได้

    เพราะ..ดวงจิต..ก็คือ แหล่งกำเนิดพลังงาน
    แล้ว..วิญญาณ..ก็คือ แขนขาคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ตัวเชื่อมตัวยึด ตัวจัดระเบียบจัดระบบโมเลกุล นั้นเอง

    และการขัดแย้งกันระหว่างแหล่งพลังงาน..ตัวเชื่อมตัวยึด..กับโมเลกุล..ตัวถูกเชื่อมถูกยึด..นี่เองที่เป็นเหตุทำให้เกิด..ชายหญิงเพศที่สาม..ชายหญิงที่ขัดแย้งกันระหว่างดวงจิตกับร่างกายสังขาร

    นี่สิ..ร่างกายสังขาร..จึงจะเป็น อนัตตา ดั่งที่พระพุทธเจ้าพยายามจะบอกเรา

    ดูก่อนอานนท์ มรณะสัญญา พิจารณาความตายก็ดี อัตฐิกะสัญญา พิจารณากองกระดูกก็ดี ปฏิกูลสัญญา พิจารณาร่างกายนี้ โดยเป็นของพึงน่าเกียจน่าสะอิสะเอียนเต็มไปด้วยหมู่หนอนและสัตว์ทั้งหลายมีประการเป็นอันมาก ตามลำไส้น้อย ลำไส้ใหญ่ ตามเส้นเอ็นทั่วไปในร่างกาย และเต็มไปด้วยเครื่องเน่าเหม็น มีอยู่ในร่างกายนี้ทุกสิ่งทุกอย่าง ร่างกายนี้นับว่าเป็นของเปล่า ไม่มีอะไรเป็นของเราซักสิ่งซักอัน เกิดมาสำคัญว่าเป็นสุข ความจริงก็หากสุขอย่างนั้นเอง ถ้าจะให้ถูกแท้ต้องกล่าวว่า เกิดมาเพื่อทุกข์ เกิดมาเพื่อเจ็บ เกิดมาไข้ เกิดมาเป็นพยาธิ เจ็บปวด เกิดมาแก่ เกิดมาตาย เกิดมาพลั่กพรากจากกัน เกิดมาหาความสุขมิได้ ความสุขนั้นถ้ามาพิจารณาให้ละเอียดแล้วมีน้อยเหลือประมาณ ไม่พอแก่ความทุกข์ นอนหลับนั้นแลนับว่าเป็นความสุข แต่เมื่อมาพิจารณาดูให้ละเอียดแล้ว ซ้ำเป็นทุกข์ไปเสียอีก ถ้าผู้ใดพิจารณาเห็นตามดั่งเราตถาคตแสดงมานี้ เป็นนิมิตอันหนึ่ง ครั้นจดจำแน่นอนในตนแล้ว ก็เป็นเหตุให้ได้มรรคผลนิพพานในปัจจุบันนี้โดยไม่ต้องสงสัย

    ร่างกายนี้นับว่าเป็นของเปล่า ไม่มีอะไรเป็นของเราซักสิ่งซักอัน

    วิทยาศาสตร์มีเหตุผลที่ทำให้เชื่อได้ว่า เอกภพที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้ ถือกำเนิดเกิดจากวัตถุเล็กๆดั่งเมล็ดถั่ว เท่านั้นเอง เป็นเพราะวัตถุเล็กๆขนาดประมาณเมล็ดถั่วนั้น สามารถปลดปล่อยพลังงานออกมาได้อย่างมากมายมหาศาล นั้นเอง
    แต่ปัจจุบัน วิทยาศาสตร์ก็ยังไม่รู้ว่า วัตถุพลังงานดั่งเมล็ดถั่วนั้น มันคืออะไร

    วัตถุพลังงานเล็กๆดั่งเมล็ดถั่วนั้นก็คือ ดวงจิต นั้นเอง ที่เป็นเหตุก่อให้เกิด..บิ๊กแบง

    ปัจจุบันวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบแล้ว ตัวอสุจินับแสนนับล้านตัว ตัวอสุจิแต่ละตัวจะมีแหล่งพลังงานมีแสงสว่างในตัวเองซุกซ่อนอยู่ในตัวอสุจิแต่ละตัว
    ปัจจุบันวิทยาศาสตร์ยังไม่รู้ว่า แหล่งพลังงานนั้นคืออะไร ได้แต่ตั้งสมมติฐานว่า น่าจะเป็นประจุไฟฟ้าหรือชนวนที่เป็นตัวนำพาตัวอสุจิพุ่งตรงไปที่ไข่

    แต่หลังปฏิสนธิ แหล่งพลังงานมีแสงสว่างในตัวเองนั้นหายไปไหน ขณะที่เรามีชีวิตอยู่ เราไม่มีข้อมูลการค้นพบอีกเลย
    แต่เรากลับมีข้อมูลพบเห็น..หลังความตาย

    นั้นย่อมหมายความว่า ความเป็นสิ่งมีชีวิตของเราจะต้องเป็น..มิติ..ที่ซ้อนกัน
    เหตุนี้ ด้านหนึ่งเราเรียกว่า..ปฏิสนธิ..ระหว่างไข่กับอสุจิ
    แต่อีกด้านหนึ่ง มันคือ..บิ๊กแบง

    หลุมดำ คือด้านหน้า สังเกตได้จาก..ตาดำ..ของเรา ทำให้สะดือเป็นแอ่งบุ๋มลึกลงไป
    หลุมดำดึงดูดสารอาหารจากผู้เป็นแม่เป็นเส้นตรง เข้าไปภายในไข่แต่กลับมีเซลล์มีรูปทรงผลุดๆโผล่ๆเข้ามาภายในไข่ ผลักดันไข่ให้พองตัวขยายตัวเติบใหญ่

    ลักษณะเหมือนเราเป่าลมเข้าไปภายในขวด อากาศที่อยู่ภายในขวดก็จะถูกผลักดันสวนทิศทางออกมา สารอาหารที่หลุมดำดึงดูดเข้าไปก็เช่นกัน มวลพลังงานที่อยู่ต่างมิติ หรือ..มิติคู่ขนาน..จึงถูกผลักดันสวนทิศทางออกมาเป็นเซลล์ผลุดๆโผล่ๆเข้ามาภายในไข่

    นี้ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่บ่งบอกความเป็นมิติของความเป็นสิ่งมีชีวิตของๆเรา

    การมองเห็นของเราก็เช่นกัน ปัจจุบันเราจะเห็นชัดเจนว่า เรามีการมองเห็นสองด้าน ก็คือ มองออกไปภายนอกตัวตน กับมองเข้าไปภายในตัวตน หรือมองออกไปภายนอกร่างกาย กับ มองเข้าไปภายในร่างกาย

    มันจึงสงสัยว่า การมองเข้าไปภายในร่างกาย มันคือการมองไปที่ไหน?

    พระพุทธเจ้าระบุชัดเจนว่า ดวงจิต หรือวัตถุเล็กๆดั่งเมล็ดถั่ว มีการมองเห็น และมีภาพเหตุการณ์ที่บ่งบอกความสุข ความทุกข์ ภายในดวงจิต หรือวัตถุเล็กๆดั่งเมล็ดถั่วนั้น ชัดเจน

    ปัจจุบันเราสามารถสังเกตได้จาก..แหล่งกำเนิดภาพนึกคิด..ของๆเรานั้นเอง
    นั้นย่อมหมายความว่า ภาพนึกคิดที่เราเฝ้ามองเหม่อมองและเพ่งมอง มันจะต้องอยู่ต่างมิติกับร่างกายสังขาร
    แล้วจุดศูนย์กลาง หรือตัวเส้นทางสายกลางนั้นก็คือ ตาหรือดวงตา สองด้าน มองออกไปภายนอกตัวตน กับ มองเข้าไปภายในตัวตน

    สมมตินะสมมติ สมมติว่า รูปแบบการมองเห็นสองด้านของเรา มีรูปแบบดั่งเช่น ..แผ่นม่านตากับตาดำแผ่นบางๆ

    ตาดำ..คือ ดวงตามองออกไปภายนอก..ตัวตน
    ม่านตา..คือ ดวงตามองเข้าไปภายในตัวตน หรือ มองเข้าไปภายในมิติของ..ตาดำ
    อะไรคือสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายในมิติของ..ตาดำ
    ทำไม? มันจึงสร้างภาพเหตุการณ์ได้ละเอียดคมชัดเหมือนกับโลกปัจจุบันและเอกภพปัจจุบัน

    ผมมีเหตุผลอยู่ในพระสูตรคิริมานนทสูตร จะมาท้าทายในตอนต่อไป

    เนื่องจากทุนน้อย เวลาหมด เอาไว้ต่อคราวหน้านะครับ

    .....พระจันทร์มืด999.....
     
  11. ผ่านมาดู

    ผ่านมาดู สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +1
    เหนื่อยไหมครับ..............
     
  12. Look forward

    Look forward สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    ชอบค่ะ รอและให่กำลังใจค่ะเด็กจันเหมือนกันค่ะ ชอบเรื่องแนวนี้เลย ขอแชร์ความสมมติบ้างนะค่ะ ขอแชร์สมติแบบโง่ๆๆ อย่าว่ากันนะเพิ่งสมัครวันนี้ อ่านข้อความของคุณพระจันทร์ดำแล้ว มัครเลย ถ้าเรามี2มิตินะแล้วตามที่คุณพูดไว้ ให้ลองวาดรูปตามนะค่ะ โลกที่เราอยู่ปัจจุบัน คือ ดิน นำ้ ลม ไฟ ลม นำ้ ดิน แล้วให้วาดเส้นตรงกลางขั้นมิติ คือ ไฟ แล้วถ้าไฟคือ คือดวงอาทิตย์? เส้นแบ่งมิติจะอยู่บริเวณขอบนั้น และถ้าบริเวณนั้นเป็นพลังงานดูด (หลุมดำ)มันจะดูดตระกะดวงวิญณานให้ไปอยู่บริเวณนั่นและถ้ามันมากไปล่ะ อะไรจะเกิดไม่รู้ ทุกอย่างมีสองด้าน แล้วอีกด้านล่ะ. หลุมขาวเชือว่ามันต้องมีแน่นอน สมมติอีกแล้ว ถ้าหลุมขาว มันคือ ลมล่ะ ดังที่พระพุทธเจ้าบอกเป็นนัยๆๆว่า "ที่สุดโลกเบื้องตำ่ก็เพียงลมเท่านั้น" อย่างที่คุณบอกนะ สะดือของเราคือจุดดูด ขวัญศรีษะคือจุดดัน ซึ่งนั่นคือเมื่อคนเราตายไปจุดดูดมันจะโดนดูดง่ายกว่าโดนดัน เมื่อจิตออกจากร่างก็ออกทางสะดือแล้วไปกระจุกเป็นเมล็ดถั่วบริเวณหลุมดำ น้อยคนนักที่จะโดนดันออกทางขวัญซึ่งนั่นน่าจะเป็นทางเข้าหลุมขาว แน่นอนแรงดึงและพลักมันต้องใช้พลังงานถ้าพลังงานพลักน้อยกว่าพลังงานดูด จะทำให้ไม่เกิดสมดุล และแน่นอนโลก4มิติที่คุณอ้างมาจะเปลี่ยนด้วยคิดว่างั้นนะ ถูกผิดอย่าว่านะ แค่ความคิดและจินตนาการค่ะ ขอบคุณ
     
  13. moondark999

    moondark999 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2010
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +41
    ไม่เหนื่อยครับ สมาชิกที่ผ่านมาดู เพราะการมาดูของท่านเป็นดั่งพลังพิเศษ ที่ช่วยเพิ่มพลังในการเขียน ถ่ายทอดความคิดเห็นส่วนตัวของแต่ละคนอย่างมาก

    look forward ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ ดีใจมากที่ได้รู้จัก เสียดายตอนนี้ไม่ได้อยู่จันทร์

    ผมได้ตั้งกระทู้ทดสอบ..ปุจฉาท้าทายชาวพุทธ พระพุทธเจ้าหมายถึงอะไร?
    เพื่อต้องการสำรวจข้อมูล และทดสอบความเชื่อบางอย่างของผมไว้
    และก็เพื่อเป็นข้อมูลในการเขียนอธิบายในคราวต่อไป
    แนะนำคุณ look ลองพิจารณานะครับ
    จะยินดีมากครับ ถ้าได้อ่านแนวคิดของคุณ look มากกว่านี้
    คุณรู้ได้ไง เมื่อตาย จิตจะออกทางสะดือ หรือทางขวัญ
    ความคิดและจินตนาการของคุณก็น่าสนใจมากๆ มิใช่น้อยเลยครับ

    ก็คือ ตอนนี้ผมอยากจะรู้ก่อนว่าแต่ละคนเข้าใจว่า ตัวตน ของๆตนเองแต่ละคนนั้นคืออะไรกัน เพื่อจะนำข้อมูลมาอธิบายกับข้อมูลความเชื่อส่วนตัวของผม

    ผมชอบสมมติเช่นกันครับ เพราะความเป็นจริงเรายังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน จึงต้องอาศัยการตั้งสมมติก่อน
    ผมยังมีข้อมูลและแนวคิดเพิ่มเติม เพื่อที่จะหาเหตุผลมาสรุปให้ท่านผู้อ่านเข้าใจง่ายๆครับ

    ...........

    ปุจฉา..น้ำมนต์..น้ำธรรมดาๆเมื่อผ่านกรรมวิธีปลุกเสก มีความศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิ์มีเดช ได้อย่างไร?
    น้ำธรรมดาๆที่มีองค์ประกอบของธาตุสองชนิดก็คือ ธาตุออกซิเจนกับธาตุไฮโดรเจน
    แต่เมื่อผ่านกรรมวิธีปลุกเสก น้ำธรรมดาๆกลับมีฤทธิ์มีเดช มีความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาอย่างเหลือเชื่อ
    เป็นไปได้ไง

    วิสัชนา ข้อมูลจากทางด้านวิทยาศาสตร์ของนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น เมื่อประมาณกลางปี พ.ศ.2547 มีข่าวการทดสอบทดลองทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับ..น้ำ..โด่งดังไปทั่วทั้งโลก
    การทดสอบทดลองพบว่า..น้ำ..มีชีวิต น้ำมีความรู้สึกรับรู้ และน้ำมีการตอบสนองกับ..คลื่นเสียง
    ก็คือ เมื่อเราส่งคลื่นเสียงที่ไพเราะหรือคลื่นเสียงเพลงดนตรีที่ไพเราะให้กับน้ำฟัง น้ำก็จะตอบสนองกับคลื่นเสียงที่ไพเราะนั้น ด้วยการก่อตัวเรียงตัวของโมเลกุลของน้ำ เป็นภาพที่สวยงาม เป็นภาพที่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม

    แต่เมื่อเราส่งคลื่นเสียงที่หยาบคายไม่ไพเราะไม่น่าฟังให้น้ำฟัง น้ำก็จะตอบสนองกับคลื่นเสียงที่หยาบคายไม่ไพเราะไม่น่าฟังนั้น ด้วยการก่อตัวเรียงตัวของโมเลกุลของน้ำ เป็นภาพที่น่าเกียจน่ากลัว เป็นภาพที่ไม่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยไม่สวยงาม

    ผลการทดสอบทดลองกับน้ำทางวิทยาศาสตร์ของนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นโด่งดังไปทั่วโลกประมาณกลางปี พ.ศ.2547 นั้น ทำให้เชื่อได้ว่า น้ำมีชีวิต น้ำมีความรู้สึกรับรู้ และน้ำมีการได้ยิน น้ำจึงมีการตอบสนองกับคลื่นเสียง
    ด้วยเหตุนี้ ทำไม น้ำธรรมดาๆจึงมีฤทธิ์มีเดช มีความศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติขึ้นมาได้

    เพราะขณะทำพิธีปลุกเสกน้ำธรรมดาๆให้เป็นน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์นั้น ผู้ทำพิธีปลุกเสกจะเพ่งจิตหรือเพ่งมองพร้อมๆกับสวดมนต์คาถาส่งไปยังน้ำที่กำลังปลุกเสก การเพ่งมองหรือเพ่งจิตพร้อมๆกับคลื่นเสียงของมนต์คาถาไปยังน้ำที่ปลุกเสกของผู้ทำพิธี จะเป็นตัวไปโน้มน้าวความรู้สึกรับรู้ของน้ำให้น้ำเกิดการตอบสนอง เมื่อน้ำเกิดความรู้สึกตอบสนองต่อคลื่นเสียงของมนต์คาถาและกระแสจิตของผู้ปลุกเสก มวลโมเลกุลของน้ำก็จะก่อตัวเรียงตัวกันในรูปแบบต่างๆเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของคลื่นเสียงและกระแสจิตของผู้ปลุกเสก

    การก่อตัวเรียงตัวของมวลโมเลกุลของน้ำนี่เอง ที่แปรเปลี่ยนทำให้น้ำธรรมดาๆกลายเป็นน้ำที่มีฤทธิ์มีเดชมีความศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติขึ้นมาได้ เพราะร่างกายสังขารของมนุษย์คนเรามีองค์ประกอบของน้ำกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ การก่อตัวเรียงตัวของโมลุกลของน้ำมนต์ จะส่งผลกระทบเกิดปฏิกิริยาต่อมวลโมเลกุลของน้ำภายในร่างกายสังขารของเรา เพราะน้ำจะซึมผ่านผิวหนังเข้าไปทำปฏิกิริยากับน้ำภายในร่างกาย ทำให้มวลโมเลกุลของน้ำภายในร่างกายเกิดการตอบสนองกับน้ำมนต์ น้ำที่มีการก่อตัวเรียงตัวของมวลโมเลกุลอย่างเป็นระเบียบมีรูปแบบ จึงเปรียบเสมือนกับเรากินยารักษาโรคเฉพาะทางหรือรักษาโรคทาง..จิตใจ..นั้นเอง

    เมื่อจิตเราสุข มวลโมเลกุลของน้ำกว่าเจ็ดเปอร์เซ็นต์ของร่างกาย จะก่อตัวเรียงตัวกันอย่างมีระเบียบมีระบบและมีรูปแบบเรียบร้อยสวยงาม การก่อตัวเรียงตัวของมวลโมเลกุลของน้ำอย่างมีระเบียบมีระบบจะทำให้การไหลเวียนพลังงานเกิดการคล้องตัว จึงเปรียบเสมือนเป็นกำแพงเป็นปราการปกป้องคุ้มครองร่างกายสังขารให้มีสุขภาพที่แข็งแรง

    แต่เมื่อจิตเราทุกข์ มวลโมเลกุลของน้ำกว่าเจ็ดเปอร์เซ็นต์ของร่างกาย จะแออัดยัดเหยียดอยู่กันอย่างไม่มีระเบียบไม่มีระบบปราศจากรูปแบบ ย่อมส่งผลต่อการไหลเวียนพลังงาน ง่ายต่อการรุกรานของโรคภัยไข้เจ็บ และความคิดในแง่ร้าย

    ฉะนั้น ไม่ว่าน้ำมนต์จะมีความศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์มีเดชแค่ไหน ย่อมไม่ส่งผลต่อผู้ที่มีจิตสุขอยู่แล้ว

    หากสังเกตการ..ค้นพบ..เกี่ยวกับน้ำของนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นให้ดีๆก็จะพบว่า การเกิดปฏิกิริยาตอบสนองต่อคลื่นเสียงของน้ำ จะมีลักษณะเช่นเดียวกับความเป็นสิ่งมีชีวิตของเรา ก็คือ เกิด..ภาพ..เกิดภาพเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นภายในจิตใจหรือภายในตัวตนของๆตนเอง เพื่อตอบสนองบ่งบอกความรู้สึกนึกคิดสุขทุกข์ของตนเองต่อคลื่นเสียงนั้น

    การเกิดปฏิกิริยาตอบสนองต่อคลื่นเสียงของน้ำ แล้วโมเลกุลแร่ธาตุต่างๆของน้ำก่อตัวเรียงตัวสร้างตัวเป็นภาพเป็นเหตุการณ์เพื่อสื่อสารบ่งบอกความรู้สึกตอบสนองของตนเองภายในตัวตนของน้ำ
    ก็มีลักษณะเช่นเดียวกับการเกิด..ภาพนึกคิด..หรือภาพเหตุการณ์นึกคิดที่บ่งบอกสภาวะความสุข และความทุกข์..ภายในตัวตนของๆตัวเราเอง เช่นกัน

    ข้อมูลของทางวิทยาศาสตร์มีความเชื่อว่า สรรพสิ่งต่างๆมีความแตกต่างหลากหลายมากมายมหาศาล แต่ในความแตกต่างที่หลากหลายมากมายมหาศาลนั้น กลับแตกต่างกันเพียงแค่การก่อตัวเรียงตัวของ..อะตอม..ที่มีขนาดเล็กมหาศาล เท่านั้นเอง

    การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ของนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น จึงทำให้เราเริ่มได้เบาะแสว่า ภาพนึกคิดเมื่อยามตื่นนอนและภาพความฝันเมื่อยามนอนหลับของเรามันถูกสร้างสรรค์ด้วยอะไร ทำไมตัวภาพมันจึงมีความละเอียดคมชัดเหมือนกับภาพเหตุการณ์จริงของโลกปัจจุบันที่เรากำลังสัมผัสอยู่ กับเอาเหตุผลการค้นพบของทางวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบว่า สรรพสิ่งต่างๆที่แตกต่างหลากหลายมากมายมหาศาลมีความแตกต่างกันเพียงแค่การเรียงตัวของอะตอมเท่านั้น มาวิเคราะห์พิจารณา เราก็จะสามารถค้นหาความจริงได้ไม่ยากเลยว่า..ตัวตน..ที่แท้จริงของเรานั้นแท้จริงคืออะไรกันแน่
    แล้ว คำว่า นรก สวรรค์ และพระนิพพานของชีวิตเรานั้น แท้จริงมันคืออะไรกัน

    เพราะจะมีสถานที่แห่งใดในหล้า จะสุขบรมสุข เทียบเท่ากับ..บ้าน..บ้านที่แท้จริงของๆตัวตน ของตัวเราเอง

    ถ้าเรารู้จัก..ตัวตน..ที่แท้จริงของๆเรา


    .....พระจันทร์มืด999......
     
  14. charoenthai

    charoenthai สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +13

แชร์หน้านี้

Loading...