ความว่างเปล่า

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย oatthidet, 7 ตุลาคม 2011.

  1. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    จริงป่าวครับท่าน ซอสภูเขาทอง อย่างที่ท่านเล่าปัง ร่ำไว้
     
  2. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ครับถามได้ครับ ขอตอบครับ กิเลสก่อให้เกิดทุกข์ไหมครับ

    หากไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข กิเลสก็ไม่มีผล เป็นเพียงแขกที่จรเข้ามาแล้วจากไป

    เราไม่ได้ประหานกิเลสแต่อย่างได้ แต่ไกลแล้วจากกิเลส เช่นนี้

    คำที่ผมกล่าวนี้ เป็นสิ่งที่มีอยู่ เป็นสิ่งที่ธรรมดาครับ

    แต่หากเราข้องแวะแม้แต่เล็กน้อยก็เกิดผลทันทีครับ

    ไม่ว่ามาก หรือ น้อย ก็เพียงผ่านมาแล้วก็ผ่านไปครับ
     
  3. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ถามผมหรือเปล่าครับ ถ้าถามผม ผมตอบว่าจริงครับที่ผมถามไปครับ

    แต่ไม่เคยได้คำตอบกลับมาเลยครับ และผมก็ยังรอคำตอบอยู่

    ผมถามไปสองครั้งจริงๆครับ ในคำถามแรกเมื่อหลายเดือนก่อนครับ

    คำถามที่สองเมื่อเดือนที่ผ่านมา ถ้าผมจำไม่ผิดครับ

    หากต้องการรู้ว่าผมถามอะไร ผมก็ยินดีที่จะบอกกล่าวครับ
     
  4. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พระวจนะ-----------ที่สุดแห่งทุกข์--------เมื่อสันดานยังเป็นสิ่งที่ตัณหาและทิฎฐิอาศัยอยู่ได้ ความหวั่นใหวก็ยังมีอยู่ เมื่อ สันดานเป็นสิ่งที่ตัณหาและทิฎฐิไม่อาศัยอยู่ได้ ความหวั่นใหวก็ไม่อาจมี เมื่อความหวั่นใหวไม่มี ความรำงับแห่งจิตย่อมมี เมื่อความรำงับแห่งจิตมี ความน้อมไปทางใดทางหนึ่งของจิตย่อมไม่มี เมื่อความน้อมไปทางใดทางหนึ่งของจิตไม่มี การมาการไปก็ไม่มี เมื่อการมาการไปไม่มี การจุติและการเกิดขึ้นใหม่ก็ไม่มี ก็ไม่มีการปรากฎในโลกนี้ ไม่มีการปรากฎในโลกอื่น ไม่มีการปรากฎในโลกทั้งสอง นั่นแหละ คือ ที่สุดแห่งทุกข์ละ...................(อริยสัจจากพระโอษฐ์ ท่านพุทธทาส)
     
  5. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ฮึ่ย หลวงพ่อท่านตอบคำถามให้แล้ว แต่ ท่านไม่ได้ตอบแบบหลังไมค์แบบ
    เย็นๆ อย่างปุถุชน

    ท่านตอบ แล้ว โพสให้เห็นกันทั่วประเทศ ไปอ่านสิ

    หากยังไม่ทราบก็ขอแสดง ลิงค์ละกัน

    เห็นดวง

    ไฟดับ (ฝันดิบ ฝันสุก)
     
  6. หนูเมา

    หนูเมา สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +0
    พูดน่าคิด....กิเลสเกิดที่จิตรึป่าว ผ่านมาและผ่านไป ถ้ามีเกิดก็แสดงว่ามีอยู่ แล้วก็เกิดอีก แล้วก็เกิดอีก แล้วมันว่างตรงไหนละมันก็มีชาติอยู่ทนโท่ ใช่มะ

    สงสัย หนูจะเมา......ไม่รู้เรื่องเอง ขอโทดด้วยนะ
     
  7. Pukhaotong Brrpta

    Pukhaotong Brrpta สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2011
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +1
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ซัวเจ๋ง [​IMG]
    คุณ Pukhaotong Brrpta ว่า พุทธวจนะนี้กล่าวไม่ถูกหรืออย่างไรครับ ชี้แนะด้วย

    </TD></TR></TBODY></TABLE>ถูกบ้าง
    อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อ พิจารณาสืบต่อไป ย่อมพิจารณาลึกลงไปอีกว่า อุปธิ นี้เล่า มีอะไรเป็นเหตุให้เกิด? มีอะไรเป็นเครื่องก่อให้เกิด? มีอะไรเป็นเครื่องกำเนิด? และมีอะไรเป็นแดนเกิด? เมื่ออะไรมีอยู่ อุปธิก็มีอยู่ เมื่อ อะไรไม่มี อุปธิก็ไม่มี?ดังนี้.....................ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้น เมื่อ พิจารณาอยู่ ย่อมรู้ชัดได้อย่างนี้ว่า อุปธิ มีตัณหาเป็นเหตุให้เกิด มีตัณหาเป็นเป็นเครื่องก่อให้เกิด มีตัณหาเป็นเครื่องกำเนิด และมีตัณหาเป็นแดนเกิด เมื่อตัณหามีอยู่ อุปธิก็มีอยู่ เมื่อตัณหาไม่มี อุปธิก็ไม่มี ดังนี้แล.........................(อริยสัจจากพระโอษฐ์ ท่านพุทธทาส) </TD></TR></TBODY></TABLE>

    แต่พอเผลอๆก็ไม่ถูกบ้าง

    พุทธทาส:-พระสูตรทั้งหมดที่เกี่ยวกับเรื่องโอปาติกะ เป็นเรื่องโกหกทั้งหมด เมื่อพระพุทธเจ้าท่านสอนเกี่ยวกับเรื่องโอปาติกะนั้น ท่านก็โกหกประชาชนและภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย เพราะท่านจำเป็นต้อง "เอออวย"...เรื่อง ทาน ศีล สมาธิ ฤทธิ์ อภิญญา ชาตินี้ ชาติหน้า ภพต่างๆ ภูมิต่างๆ และทางที่กระทำแล้วให้ผลไปสู่ภพภูมิต่างๆ เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต อสุรกาย โลกนี้ โลกอื่น ผลของกรรมที่ไม่ให้ผลในชาตินี้ etc...เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้า ท่านโกหกโลก โกหกประชาชน เพราะต้อง "เอออวย" ไปตามสังคมทั้งนั้น ถ้าใครจะเชื่อพระพุทธเจ้า ใครจะเชื่อพระไตรปิฏก ต้องคิดแบบท่านซะก่อน ถึงจะฉลาด....เพราะคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้านั้น ....เชื่อไม่ได้

    หนังสือ ธรรมานุกรมธรรมโฆษณ์

    ____________________
    เชิญร่วมกันพัฒนาประเทศไทยให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ทุกเชื้อชาติทุกศาสนาและทุกลัทธิการเมือง ตามพระเมตตาธรรมอันเป็นเครื่องค้ำจุนโลกของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  8. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ดีครับ กิเลสเกิดที่ไหน หากจิตไม่ได้ให้ความสนใจในกิเลสแล้ว

    กิเลสยังมีผลอยู่ไหมครับ สิ่งที่เข้ามากระทบอายตนะ เมื่อกระทบแล้วไม่เกิดผล

    กิเลสยังเกิดอยู่ไหมครับ มีการเกิดอยู่ไหมครับ เป็นตัณหาไหมครับ เป็นอุปทานไหมครับ

    ว่างแล้วจากการยึดติด เมื่อไม่ยึดติด สิ่งที่เข้ามาก็ผ่านออกไป ไม่มีที่ให้อยู่

    ไม่มีที่ให้เกิดผลต่อเนื่อง แล้วเวทนาจะยังเกิดไหมครับ
     
  9. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    คุณ ทำได้ ถึงขั้นนี้ โดยเป็นปรกติ อยู่แล้วหรือ ณ ปัจจุบันนี้? แล้วการที่คุณ ยัง เคือง ผมอยู่ ไม่ยอมคุยด้วย นี่หมาย ความว่า ยังไงครับ?:cool:
     
  10. Pukhaotong Brrpta

    Pukhaotong Brrpta สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2011
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +1
    คู่มือมนุษย์ฉบับสมบูรณ์
    หากคำสอนของผู้ใดผิดไปจากหลักที่อธิบายไว้ในหนังสือเล่มนี้ ก็ถือได้ว่านั่นไม่ไช่คำสอนของพระพุทธเจ้า

    ปุ่น จงประเสริฐ
    องค์การฟื้นฟูพุทธศาสนา

    พุทธทาส:-อาตมาจึงสรูปความของการเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ลงไว้ที่คำว่า "เห็นจนเกิดความรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่น่าเอาน่าเป็น"

    หมอธรรม:-คือความรู้สึกว่าไม่น่าอาน่าเป็นนี่มันเป็นวิภวตัณหา ที่จริงพระนิพพานต้องออกไปจากอารมณ์ของวิภวตัณหา คือไม่น่าเอาไม่น่าเป็นต่างหาก ด้วยสติระลึกรู้ สมาธิฌาน ๔ จิตหลุดพ้นที่แยกออกไปจากวิภวตัณหา และปัญญาพิจารณาไตรลักษณ์ พระนิพพานไม่ใช่ความรู้สึกอย่างที่พุทธทาสว่าหรอก คือพุทธทาสตีความพระนิพพานมั่วไปเรื่อย ตามความชอบใจของตนเองนึกจะพูดอะไรก็พูดมั่วไปเรื่อย

    ____________________
    เชิญร่วมกันพัฒนาประเทศไทยให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ทุกเชื้อชาติทุกศาสนาและทุกลัทธิการเมือง ตามพระเมตตาธรรมอันเป็นเครื่องค้ำจุนโลกของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙



     
  11. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80
    เป็นร่างทรง oatthidet รึเปล่าเนี่ย

    ถอดคำพูดออกมา เด๊ะๆ
     
  12. หนูเมา

    หนูเมา สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +0
    อ้าว....แล้วกันทำไปทำมาเหลือขันธ์ 4 ไม่มีเวทนา

    สงสัยหนูเมาเอง ขอโทดด้วย
     
  13. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ควรแล้ว ที่บอกได้แต่ผู้ที่เข้าใจ เพราะบอกผู้ที่ไม่เข้าใจ ก็เป็นเพียงปัญหาให้ถกเถียงเท่านั้น

    การที่ผมไม่คุยกับบางคนนั้น ผมไม่ได้โกรธเคือง ซึ่งผมก็ได้บอกกล่าวไปแล้ว นั่นคือสัจจะ

    หากแม้แต่สัจจะยังไม่มี ไม่ต้องให้ผู้อื่นมาเชื่อถือหลอกครับ แม้แต่ตนเองก็ยังไม่อาจจะเชื่อถือได้

    ผมแค่นำความมาบอกเล่าเพียงเท่านั้น ก็ยังเป็นประเด็นให้ถกเถียงได้

    นี่ละครับคือเหตุ ที่พระท่านไม่บอกกล่าวอะไร และ การที่ผมไปถามนั้นเพราะผมใคร่รู้

    และ พี่ไมยราพ นำลิงค์มาให้ด้วยใจเมตตาครับ ผมจึงได้ถามไป

    ด้วยเข้าใจว่าเขาคงส่งคำตอบกลับมาให้ผม ผมจึงได้แต่เฝ้ารอคำตอบนั้น

    จึงไม่รู้ว่ามีการตอบไปแล้ว และ ก็เป็นสิ่งที่ดีครับ เพราะเป็นประโยชน์สำหรับผู้อื่นครับ

    ขอบคุณที่มาแสดงความคิดเห็นครับ ขอบคุณเพื่อนสมาชิกทุกท่านครับ
     
  14. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ...........................หา??????.......ผมดูแล้ว คุณ โอ๊ตส์ แก สามารถ มี ผัสสะ เวทนา โดยไม่มีกิเลส ตัณหา อุปาทาน ได้แล้ว นะเฮีย ผมเลยถามแกว่า จริงหรือเปล่า ทำได้ ตลอดเวลาแล้วเหรอ:cool:
     
  15. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ไม่คุยกับผม ก็ไม่ว่าหรอก

    แต่ คุณควรไปคุยกับพระ

    เพราะว่า พระท่านเน้นหนักหนาว่า คุณยังหา จิต ไม่เจอเลย

    หากยังหา จิต ไม่เจอ การภาวนา มันก็ คว้าสมุทัย เข้ามาเป็นตนหมด

    ทำสมาธิแทบตาย แต่คว้าสมุทัยเข้ามากองเต็มกะบาล ทำไปเท่าไหร่
    ก็เป็น มิจฉาสติ และ มิจฉาสมาธิ

    ดังนั้น ต้องไปคุยกับพระ ขอนิสัยท่าน ซึ่งท่านก็จะให้ พุทโธ ทิ้งสิ่งที่
    ทำมาทั้งหมดให้หมด ไม่ให้เหลือ

    หรือ ถ้าไม่ต้องการขอนิสัยจากพระ ก็ ดูกายไป กลับมาย้อนดูกายแล้ว
    ไอ้สิ่งที่ว่า เห็นแล้ว รู้แล้ว จะดับหมดเลย ให้เห็นเอง

    พูดซื่อๆคือ มาเจริญ สัมปชัญญะ เสีย เพื่อรักษางานที่ควรเป็นควรทำ
     
  16. หนูเมา

    หนูเมา สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +0

    หนูเมาสงสัยนะครับ.......ที่พี่โอ๊ต กล่าวนี่ใช่สังโยชน์ขาดหรือป่าวครับ อะไรที่ไม่รัดไม่ร้อย เล่าให้ฟังหน่อยครับ น่าสนใจมาากก
     
  17. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80
    เรารู้ คุณคือใคร :cool:

    ขอตัวนะครับ
     
  18. หนูเมา

    หนูเมา สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +0
    จุ๊ จุ๊ พ่อคู๊ณณณ
     
  19. หนูเมา

    หนูเมา สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +0
    มีคนรู้ละ ไปดีฟ่า 55
    rabbit_jump
     
  20. ออมศีล

    ออมศีล สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2011
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +2
    คิดเท่าไรๆไม่รู้ แต่หยุดคิดถึงได้รู้ คิด อันนี้ หมายถึงความนึกคิดฟุ้งต่างๆ โดยปรกติคนเราเห็นอะไรก็จะนึกไปต่างๆนาๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว เป็นเหมือนกันหมด แต่พอหยุดคิดหยุดฟุ้งก็จะเกิดความสงบ เกิดความว่างในจิต
    และเมื่อจิตเกิดความสงบ มันก็จะเกิดปัญญา ก็จะทำให้เราได้เห็นความเป็นจริงของสิ่งต่างๆ

    และที่คิดแล้วรู้ ก็คือ คิดอย่างความเป็นจริงของสิ่งต่าง ๆ มองทุกสิ่งเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    ความว่าง มันเป็นความว่างเปล่า เมื่อได้พบ ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ฯลฯ ที่เกิดจากทวารทั้ง 6 เมื่อได้รับผัสสะต่างๆ แล้ว ไม่รู้สึกยินดียินร้ายต่อสิ่งนั้น วางเฉย มีสติรู้อย่างที่รู้ เช่น กินอะไรสักจาน รสชาดเป็นอย่างไร ก็รู้ว่ามันเป็นอย่างนั้น ก็แค่รู้ไม่ได้หลง ไปกับผัสสะต่าง ๆ เท่านี้เราก็จะรู้เท่าทันกับทุกสิ่ง
     

แชร์หน้านี้

Loading...