พลังอำนาจ 5 ประการ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ตรุงปะ, 13 พฤษภาคม 2011.

  1. ตรุงปะ

    ตรุงปะ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +0
    เพื่อนรักของฉันความตายนั้นเป็นมายาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เรามี ความจริงนี้เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ใคร่จะเข้าใจนัก ซึ่งก็เป็นเช่นเดียวกัน กับที่คนส่วนใหญ่ก็ไม่เข้าใจว่า ชีวิตเองก็เป็นมายาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เรามี เช่นกันในชีวิตประจำวันของเรา เพื่อนรักของฉันมีเพียงคนจำนวนน้อยนิดจริงๆที่จะใช้ชีวิตของตนให้สามารถไหลลื่นเข้าไปลึกๆ ในแก่นแท้แห่งการดำรงชีวิตได้ มีน้อยคนจริงๆที่จะสามารถที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อตัวของเขาเองได้ คงไม่มีใครที่ปฏิเสธว่า เราเป็นส่วนหนึ่งของสังคม สังคมที่นิยาม ความสำเร็จของมนุษย์ไว้อย่างคับแคบ เงินทอง ชื่อเสียง ความแข็งแรงของร่างกาย ความสวยงามของรูปโฉม และ อื่นๆเราสอนคนของเราให้ดิ้นรน ค้นหาสิ่งเหล่านี้ ffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ในสื่อโทรทัศน์ ตัวละครที่เป็นต้นแบบ เป็นตัวเอก มักเป็นตัวละครที่มีสิ่งเหล่านี้เพียบพร้อม พวกเขามักเป็นคนที่รูปโฉมงดงาม ร่ำรวย ภาคภูมิใจที่ได้เป็นดั่งคนในอุดมคติของตน ในขณะที่ที่โรงเรียนครูคาดหวังว่า นักเรียนของตนจะเป็นนักเรียนในอุดมคติ มีความรู้มาก หลากหลาย มีคุณธรรม ด้วยเหตุนี้ระบบการศึกษาทุกวันนี้จึ่งวนอยู่แต่เรื่องการสร้างความทะเยอทะยาน เราหล่อหลอมคนให้มีความทะเยอยาน และ ป้อนเข้าสู่สังคม พ่อแม่อยากให้ลูกเป็นดังใจตน เป็นสิ่งเชิดหน้าชูตา ตามแบบอย่างที่สังคมตั้งไว้ พวกเขารู้สึกภูมิใจเมื่อใครสักคนพูดว่า พวกเขาเป็นพ่อแม่ที่ดี เลี้ยงลุกเก่ง เลี้ยงลูกให้เป็นคนฉลาดได้ แต่ในความเป็นจริงหาได้เป็นเช่นนั้น หลายครอบครัวมีปัญหา ลูกขัดแย้งกับพ่อแม่<O:p></O:p>
    เพราะ เขาไม่สามารถเป็นดั่งที่พ่อแม่หวังหวัง เขาพยายามแล้ว แต่เขามิอาจจะเป็นเช่นนั้น ในโรงเรียนมีนักเรียนที่ล้มเหลวกับการเรียนจำนวนมาก มีคนจำนวนมากที่อยู่ผิดที่ผิดทาง<O:p></O:p>
    <O:p></O:p><O:p></O:p>
    เธออยากเป็นกวี เป็นนักดนตรี แต่สุดท้ายเธอกับเลือกที่จะเรียนหมอทั้งๆที่เธอไม่ชอบ เพียงแต่อาชีพหมอนำความรู้สึกมั่นคงมาให้เธอ เพราะอาชีพหมอสามารถตอบสนองต่อการขูดรีดเบียดเบียนของสังคมได้ดีกว่ากวี หมอดูเป็นประโยชน์กว่า เธอคิดว่าอาชีพหมอจะนำความสุขมาให้เธอ เธอจะไม่ลำบาก แม้เธอจะชอบบทกวี แต่ กวีเป็นอาชีพที่ไม่แน่นอน ไม่มั่นคง ไม่มีรายได้ เธอคงจะอดตาย ไม่ได้รับการยอมรับ เธอหวาดกลัวทั้งๆทีมันยังมิได้เกิดขึ้น แต่เธอก็ได้คิดเพื่อมัน<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p><O:p></O:p>
    เพื่อนรักของฉันมนุษย์ทุกคนเสพติดความทะเยอยาน เมื่อเราไขว่คว้าสิ่งใดแล้วได้มา เรารู้สึกว่า ตนดิ้นรนต่อสู้ได้เรารู้สึกสบายใจ รู้สึกดีที่ชนะ เรามักคิดว่าคนที่ฉลาดที่สุดคือคนที่ประสบความสำเร็จ พวกเขาอาจจะเป็นคนที่กลับกลอกปลิ้นปล้อน หาประโยชน์จากผู้อื่นเพื่อตัวเขาเอง แต่เรากลับเรียกพวกเขาว่าฉลาดปราดเปลื่อง ทั้งๆที่พวกเขาไม่ใช่คนที่มีเชาว์ปัญญาเพราะ คนที่มีเชาว์ปัญญานั้นจะไม่ใช้คนอื่นเป็นทางผ่าน เขาจะให้ความเคารพผุ้อื่น ในความเท่าเทียมแม้แตกต่าง เขาเป็นคนที่พร้อมจะมอบอิสระภาพให้คนรอบข้าง เขาเป็นคนที่ไม่ใช้คนอื่นเป็นขั้นบันได เขารักอย่างไม่มีเงื่อนไข เขาอยู่กับคุณงามความดี <O:p></O:p>
    <พระพุทธเจ้ากล่าวว่า “ความทะยานอยากนั้นคือน้ำมัน ที่หล่อเลี้ยงตะเกียงแห่งความทุกข์” มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่ความทะยานอยากนั้นมาจากไหน? พระพุทธเจ้ากล่าวว่า “มันมาจากความไม่รู้ที่เป็นรากฐานของคน ความไม่รู้นี้นำพาความเห็นที่ผิดที่ว่า สิ่งๆต่างที่เกิดจาก การเห็นก็ดี การชิมรส การฟัง หรือ ผัสสะอื่นๆ เหล่านี้ดำรงอยู่มีตัวตน และ ไม่มีวันเสื่อมสลายไป ดังนั้น ความยึดมั่นถือมั้นจึ่งเกิดขึ้น ความยึดมั่นถือมั่นนี้นำพาไปสู่ความทะยานอยาก และ ความทะยานอยากนี่เองคือน้ำมัน ที่หล่อเลี้ยงตะเกียงแห่งความทุกข์ ดังนั้นสังสารวัฏจึ่งมี การวิ่งไล่ตามอนาคต อดีตจึ่งมี ”<O:p></O:p>
    <O:p></O:p><O:p></O:p>
    ฉันคิดว่าในทุกๆ เช้า ถ้าเธอตื่นขึ้นมาเพื่อออกมาเดินเล่น แล้วเธอก็ใช้ช่วงเวลานั้นเพื่อชื่นชมความงามของผู้คนที่สันจรไปมา เธอเฝ้าสังเกตุ รอยเท้าของพวกเขาที่ก้าวเดิน ร่องรอยแห่งความกังวล ความเศร้าความกลัว ความทุกข์ที่พวกเขาได้ฝากไว้บนพื้นโลกขณะที่พวกเขาได้เดินผ่านไป เธอก็จะเห็นได้ถึงปัญหานี้ทุกๆเวลาในประเทศนี้ รถจะติดถ้าเป็นรถสาธารณะก็จะแน่นไปด้วยผู้คน ไม่ว่าจะเป็นวันที่ร้อนอบอ้าว อากาศเย็น หรือฝนตกชุ่มช่ำเพียงใดก็ตามผู้คนยังคงจะออกมาเพื่อแข่งขันกันไปที่ไหนสักแห่งแข่งขันกันทำสิ่งต่างๆ ไขว่คว้าสิ่งต่างๆ แต่ไม่ว่าเป้าหมายจะเป็นอะไรก็ตามผู้คนกำลังแสวงหา หรือ แย่งชิงอะไร?บางอย่างกัน จนนำตัวเองไปผูกติดกับอดีต หรือ อนาคตหลงทางไปจากปัจจุบัน เพราะงั้นความทุกข์จึ่งเป็นเหมือนเงาตามตัว ของพวกเขาและ แล้วตรงนั้นฉันคิดว่าลึกๆในใจเธอ ความเมตตาของเธอคงจะ บอกกับเธอว่าฉันอยากจะช่วยเหลือพวกเขา อยากจะช่วยดูแลความทุกข์ของพวกเขา แต่ฉันไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร? ฉันเองก็ไม่ต่างอะไร?จากเขาเหล่านั้น เพื่อนรักของฉัน รู้อะไร?ไหม ? ถ้าเธอเห็นสิ่งนี้ นั้นก็หมายความว่า เธอยืนอยู่บนหนทางแห่งความตื่นแล้วล่ะ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p><O:p></O:p>
    อันที่จริงแล้ว แก่นแท้ของคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นก็มีขึ้นเพื่อถอดถอน ความทะยานอยากนี้นั้นเอง คำสอนของพระพุทธเจ้านั้นมีไว้เพื่อปลดปล่อยผู้คน และ โยนเขาเหล่านั้นให้กลับไป ค้นพบการดำรงอยู่ของตน ในปัจจุบันขณะ หากใครสักคนสามารถปฏิบัติได้เยี่ยงนี้ก็ถือได้ว่า เข้าได้เดินข้ามผ่านก้าวใหญ่ในชีวิต ตรงจุดนี้ แต่ละช่วงเวลาจะนำมาซึ่งความสุข สิ่งใหม่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่รู้จบ สิ่งลี้ลับได้เปิดประตูให้ ความรักนั้นได้เริ่มงอกงาม สายธารแห่งความเมตตาที่คนเราไม่เคยรู้ว่ามีอยู่ได้ปรากฏ เราอ่อนไหวในสิ่งสวยงาม ในความดี เรากลายเป็นผู้ไวต่อความรู้สึก สิ่งต่างๆไม่ว่าจะเล็กเพียงใดล้วนมีความหมายต่อเรา สิ่งนี้แหละคือ เชาว์ปัญญา<O:p></O:p><O:p></O:p>
    <O:p></O:p><O:p></O:p>
    ต่อไปนี้คือพลังอำนาจ 5 ประการทางจิตวิญญาณที่จะช่วยให้เธอสามารถถอดถอนจากพันธนาการของเปลวไฟแห่งแรงปรารถณาของเธอได้ พลังอำนาจ 5 ประการถูกส่งผ่านมาทางความคิดของฉัน แต่กระนั้นนี่ไม่ใช่คำพูดของฉัน ฉันนั้นเป็นเพียงผู้ส่งสาร จากครูของฉัน ผู้ตื่นรู้ในยุคก่อน ครูผู้ทรงความบริสุทธิ์ขจรขจาย ครูผู้ซึ่งในดวงตาของเขามีเปลวไฟ เป็นเปลวไฟ ที่ฉันซึมซับมันเข้าไว้ในตัวมันเป็นเปลวไฟที่ท่องเที่ยวไปทั่วโลกตลอดสองพันห้าร้อยปีเพื่อหาที่พักพิงสักแห่งหนึ่ง พระพุทธเจ้า<O:p></O:p>
    <O:p></O:p><O:p></O:p>
    พลังอำนาจประ การแรกคือ ความวางใจในชีวิตของเธอ วางใจในความดีงามของเธอ เธอนั้นงดงามสมบรูณ์ดีอยู่แล้ว อย่างที่เธอเป็นเพื่อนรักของฉัน เธอเคยเห็นดอกไม้หรือไม่ดอกไม้ไม่จำเป็นต้องมีอะไรอื่นอีก เพื่อที่จะเกื้อกูล ดอกไม้นั้นไม่เคยกล่าวว่า ฉันเป็นกุหลาบ ฉันไม่ดีพอ และ ฉันต้องเป็นกล้วยไม้ ดอกไม้เคารพในตัวเอง<O:p></O:p>
    ขอให้เป็นเพียงดอกไม้ก็เพียงพอแล้ว ดอกไม้นั้นเพียงแค่ดำรงอยู่ของมันเท่านั้น โดยไม่จำเป็นที่จะต้องมีนามเรียกขานอันใดไม่จำเป็นต้องมีคำชมว่า งดงามหรือหอมหวน มันยังคงเป็นของมันเช่นนั้นยังคงบานสะพรั่งสำหรับมนุษย์คนหนึ่ง ถ้าเธอสามารถเป็นมนุษย์ธรรมดาที่แท้จริงได้นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับการมีชีวิต จงเป็นคนธรรมดาแล้วเธอจะทำให้โลกใบนี้นั้นสดชื่นและรื่นเริงเธอไม่จำเป็นต้องแสวงหาผู้วิเศษที่ไหนเพื่อมาสร้างโลกใบนั้น โลกใบที่งดงาม เพราะเธอคือคนๆนั้น คนที่จะช่วยให้เธอพบสัจจะ ให้เธอก้าวผ่านไป เธอคือคนนั้นคนที่จะเปลี่ยนแปลง เปิดเผยโลกใบนี้ให้งดงามอย่างที่มันเป็น<O:p></O:p>
    <O:p></O:p><O:p></O:p>
    พลังอำนาจประ การต่อมา คือความเพียร เพียรเตือนตัวเองว่า ตัวเองนั้นงดงามสมบรูณ์ดีอยู่แล้ว อย่างที่เป็น และ เพียรเฝ้ามองดูตัวเองให้เดินบนหนทางนั้น หนทางแห่งความดี จริงอยู่ที่ว่าหนทางแห่งความดีนั้นมิได้นำพาเอาสิ่งใดๆมาให้เธอ และ ประโยชน์ที่เธอพึ่งจะได้รับจากมันก็มิได้มีมากมาย แต่หากเธอเดินบนหนทางแห่งความดี ชีวิตของเธอจะมักไม่ค่อยผิดพลาด และ ไม่ค่อยมีปัญหาที่ทำให้เธอร้อนดั่งถูกไฟสุม เพราะหนทางแห่งความดีนั้นจะช่วยจัดระเบียบให้กับชีวิตของเธอ<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p><O:p></O:p>
    จากนั้นพลังอำนาจประการแรก และ สองจะบ่มเพราะ พลังอำนาจประการที่สามขึ้นนั้นคือ สติ เพราะเธอจะรักษาความเพียรของเธอได้ก็ด้วยพลังอำนาจแห่ง สติ สติจะเป็นเครื่องย้ำเตือนว่า ตอนนี้เธอยังคงเพียรที่จะเดินบนหนทางที่เธอได้ศรัทธา และ วางใจหรือไม่ หรือเธอมิได้เดินบนหนทางแห่งความเป็นปัจเจกนั้นเสียแล้ว เธอยังคงที่จะพึ่งพิง คนอื่น ความเชื่อของเธอ เธอมิได้เป็นแสงสว่างให้ตน

    เพื่อนรักของฉันอันที่จริงแล้วฉันอยากบอกกับเธอว่า สตินั้นสำคัญมาก ในอริยะมรรค การมีความเห็นที่ถูกต้องนั้นคือ สิ่งแรกของหนทางแห่งการหลุดพ้นออกไปจากความทุกข์ เมื่อเธอเห็นถูกจากนั้นการปฏิบัติถูกทั้งกาย วาจา หรือใจเธอก็จะตามมา รู้อะไร?ไหม? ยิ่งเธอมีสติมากเท่าไหร่? เธอก็จะยิ่งรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของตัวเธอมากยิ่งขึ้น ดังนั้นในการใช้ชีวิตเธอจึ่งจำเป็นต้องมีสติรู้ตัวพร้อม อย่างต่อเนื่อง เพราะชีวิตของเธอนั้นก็เป็นกระแสรธารที่ต่อเนื่อง การมีชีวิตนั้นเริ่มต้นที่การมีลมหายใจ และ เธอยังคงหายใจต่อเนื่องเสมอๆ การกลับมาอยู่กับลมหายใจตามรู้การเคลื่อนไหวที่เข้า และ ออกโดยไม่ต้องพูดหรือทำสิ่งใด? เพียงแค่รู้เท่านั้นว่าเธอมีชีวิตเพราะกำลังหายใจเข้า และ กำลังผ่อนคลายความทุกข์ ความกลัว ความโกรธ ออกไปเพราะหายใจออก ก็พอแล้ว

    สิ่งนี้เมื่อฝึกฝนบ่อยขึ้นพลังแห่งสติของเธอจะแข็งแรงขึ้น การมองในมุมมองแบบนี้จะ ช่วยให้เธอตระหนักรู้ถึงความสามารถในการแปรเปลี่ยนความทุกข์ของตนเองทำให้เธอเห็นคุณค่าของตัวเองมากขึ้น พึ่งคนอื่นและสิ่งต่างๆที่อยู่ภายนอกน้อยลงทั้งเธอยังอาจจะเป็นที่พึ่งพิงแก่บุคคลอื่นได้ด้วย สำหรับการสร้างสุขในทุกขณะนั้นลมหายใจเป็นเครื่องมือเดียวที่ช่วยนำกายและใจกลับมาอยู่รวมกันได้ และตรงจุดนั่นเองที่เธอจะเรียกมันได้เต็มปาก ว่าธรรมชาติแท้แห่งตนเมื่อเธอสามารถข้ามพ้นการเวลา การคิดอันเป็นผลพวงการสะสมของอดีตและตระหนักว่าเวลาเดียวที่เธอนั้นเป็นเจ้าของคือปัจจุบันขณะ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ></O:p>

    <O:p></O:p>

    ในสมัยพุทธกาล มีหญิงผู้หนึ่งชื่อว่า กีสาโคตมี อยู่มาวันหนึ่ง บุตรของเธอได้ตายลง สิ่งนี้ประดุจดังฆ้อนที่สั่นสะเทือนไปยังวิญญาณเธอ เธอไม่เคยรู้ว่ามีความตายอยู่บนโลก เธอกรีดร้องทำร้ายทุกคน แม้แต่สามีที่เข้าใกล้เธอ เธอประคองกอดศพลูกด้วยความรัก เธอสัมผัสศพนั้นอย่างแผ่วเบา เธอครุ่นคิด “ฉันจะต้องหายามารักษาลูก ลูกของฉันนั้นป่วยเป็นโรคประหลาด ที่หลับไม่ตื่น คนทั้งหมดล้วนบ้าไปแล้ว จะเอาเด็กทั้งคนไปเผาได้อย่างไร?"

    เธอวิ่งและวิ่ง เธอหนี เธอไม่สนใจรูปลักษณ์ของตน ไม่ว่าผมจะหลุดหรุ่ย ไม่ว่าเสื้อผ้าที่ใส่จะขาด ไม่ว่าฝนจะตก หรือไม่เธอยังคงเดินไป น้ำตาของเธอหยดไหลจนเหือดแห้งไป เธออุ้มศพลูกเดินไปตามตลาด ไม่ว่าศพนั้นจะเน่าและส่งกลิ่นเพียงใด ไม่ว่ารูปลักษณ์ของบุตรจะเปลี่ยนไปเพียงใดเพียงใดเธอไม่รับรู้ เธอไปตามบ้านทุกบ้าน เธอแคะ ประตู ด้วยหวังว่า จะมีใครสักคนรู้วิธีรักษาลูกของเธอ วันทั้งวันเธอจะพูดเพียงว่า “ใครรู้จักหมอที่รักษาลูกชายฉันได้บ้าง ใครบ้าง" คนทั้งหมดคิดว่าเธอบ้า

    ขณะนั้นเองมีบัณฑิตผู้คนหนึ่งพบเธอก็เกิดความสงสาร เขาพูดว่า "แม่หญิงถ้าเธอเข้าใจสิ่งที่ฉันพูด จงไปหาพระพุทธเจ้า พระองค์รู้วิธีนั้นที่วัดพระเชตวันมหาวิหาร” พอได้ยินดังนั้น นางก็รีบไปที่ พระเชตวันมหาวิหาร นางเข้าไปในสภาพเช่นนั้น จิตของนางนั้นราวกับคนละเลือน ปากนางพร่ำเรียกขานชื่อ พระพุทธเจ้า ปากนางรำพึงเพียง “ฉันจะพบพระพุทธเจ้า ลูกฉันต้องการหมอ”


    เมื่อถึงพระเชตวันมหาวิหาร ไม่มีใครยอมให้นางเข้าไป เฝ้าพระบรมศาสดา ใครล่ะจะยอมให้คนบ้าเข้าใกล้คนที่ตัวเองรัก และ เถิดทูล “ออกไปนางหญิงบ้า ออกไปเธอเข้าไปไม่ได้ อย่าให้เธอเข้าไป เธออาจจะทำร้ายพระพุทธเจ้า” เสียงร้องเช่นนี้ดังระงม กีสาโคตมีจะทำอันใดได้ นางกรีดร้อง ร้องไห้ฟูมฟาย “ปล่อยฉันลูกฉันต้องการหมอ” พระพุทธเจ้าเห็นเช่นนั้นจึ่งกล่าวว่า “ให้นางเข้ามาเถอะ” เสียงคัดค้านดังระงม "แต่......นางเป็นคนบ้า” พระพุทธเจ้ากล่าวว่า “ไม่เป็นไร ให้นางเข้ามาเถอะ”<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ดังนั้นางจึ่งได้เขาพบพระองค์ พระพุทธเจ้ากล่าวกับนางว่า “แม่หญิงที่รัก หยุดร้องไห้เถอะ ขอเธอจงมีสติ และ บอกความต้องการของเธอมา” นางกีสาโคตมีถวายบังคมแล้วทูลถามว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญทราบว่า พระองค์ทรงทราบยาเพื่อบุตรของหม่อมฉันจริงหรือพระเจ้าข้า” พระพุทธเจ้ากล่าวกับนางว่า “แม่หญิงที่รักเป็นเช่นนั้น” นางกีสาโคตมีจึ่งกล่าวว่า “ถ้าพระองค์มีได้โปรดแบ่งให้หม่อมฉันด้วย เถอะไม่ว่าอะไร? หม่อมฉันก็จะหามาแลกให้ได้ พระเจ้าข้า” พระพุทธเจ้ากล่าวกับนางว่า “ เธอไม่ต้องทำเช่นนั้นน้องหญิง เพียงเธอไปหาเมล็ดพันธุ์ผักกาด จากบ้านใดที่ยังไม่เคยมีคนตายมาให้ฉัน แล้วฉันจะปรุงยารักษาลูกเธอให้” นางกีสาโคตมีถวายบังคมแล้วทูลถามว่า “แค่นี้เองรึ พระเจ้าข้า” พระพุทธเจ้ากล่าวกับนางว่า “แค่นี้”

    หลังจากนั้นไม่นานนางถวายบังคมแล้วรีบอุ้มศพลูกเดินไปตามบ้านต่าง ๆ นางยิ้มอย่างมีความสุข เพราะนางรู้วิธีแล้ว นางแคะเพื่อหาเมล็ดพันธุ์ผักกาดนั้น หลังแล้วหลังเล่า แต่นางก็ยังคงไม่พบ นางเริ่มท้อ ไม่ว่าจะหลังไหนนางก็ได้คำตอบมาเหมือนกันว่า แต่ละบ้านนั้นมีคนตายมากกว่าคนเป็นเสียอีก

    และ แล้วบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นมันเป็นความคิดที่ไม่มีที่มา มันมาดังสายฟ้าฟาด “ไม่มีบ้านไหนเลยที่ไม่มีคนตาย คนทุกคนล้วนต้องตาย แม้แต่นางเอง นี่เป็นเรื่องธรรมดา” พอนางคิดได้เช่นนั้น นางจึงหยุดเศร้าโศก พิจารณาความคิดนี้ นารำพึงใช่แล้ว "ลูกฉันตาย ในไม่ช้าฉันก็จะตาย ดังนั้นฉันควรทำสิ่งที่ควรทำในตอนนี้ เพราะใครจะรู้ล่ะว่าอีกไม่มฃกี่เพลาต่อจากนี้ฉันอาจจะตาย "เมื่อคิดตกเธอจึงได้นำเอาศพลูกไปฝังไว้ในป่าแล้วกลับไปยังสำนักของพระบรมศาสดา

    พระพุทธเจ้ากล่าวกับนางว่า “น้องหญิงได้มาไหม?” นางตอบว่า “มิได้พระเจ้าข้า” พระพุทธเจ้ากล่าวกับนางว่า”น้องหญิงเอ๋ยเธอคงเข้าใจแล้วใช่ไหมว่าความตายนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีใครเลยที่หนีจากมันพ้น ทั้งมิอาจจะรู้ได้ว่ามันจะมาเมื่อไหร่ เธอมิอาจจะปฏิเสธแขกคนนี้เมื่อเขาเคาะ ที่จริงความตายนั่นแหละเป็นสิ่งที่แน่นอนสำหรับสัตว์ทั้งหลาย ดังนั้นในขณะที่เธอมีชีวิต จงใช้มัน ชื่นชมความงามของมันในทุกๆขณะ ด้วยความตื่นรู้อย่างมีสติ”<O:p></O:p>

    นางกีสาโคตมีเป็นตัวอย่างของคนที่ไม่รู้เท่าทันชีวิต ไม่รู้ว่าชีวิตเป็นอย่างไร? ดังนั้นเธอจึ่งรู้สึกทุกข์โศกเมื่อต้องสูญเสียสิ่งที่รัก ดังนั้น เรื่องนี้จึ่งเป็นบทเรียนที่ดีต่อตัวเธอ ว่าชีวิตนี้สั้นนัก จงใช้มันอย่างคุ้มค่า ยิ่งเธอรับรู้กระแสธารที่ต่อเนื่องของชีวิต มากขึ้นเท่าไหร่ เธอก็จะยิ่งมองเห็นมันมากขึ้น ที่นี้เธอจะสังเกตุมันได้อย่างลึกซึ้ง สตินำไปสู่พลังอำนาจประการที่ 4 นั้นคือ สมาธิ สมาธิคือการมองอย่างลึกซึ่งถึงความหมายที่ชีวิตได้มอบให้เธอ ผ่านความสุข ความรัก ความเศร้าโศกระคนทุกข์ ปัญหาต่างๆ แน่ละ ชีวิตเป็นสิ่งที่ไหลเลื่อนเพราะ ในชีวิตนั้นมีความตายอยุ่ทุกๆขณะ และ ในความตายนั้นก็มีชีวิต มีความเกิดอยู่ทุกๆขณะ อันที่จริงแล้วในความเป็นมนุษย์นั้น ผลสำเร็จของชีวิตนั้นไม่ได้อยู่ที่ว่าเธอใช้ชีวิตมุ่งไปข้างหน้าได้อย่างไร วิธีไหน?ถึงเป้าหมายหรือไม่แต่มันอยู่ที่ว่าเธอรู้หรือไม่ว่ากำลังเมีชีวิตอยุ่ ความสุข เป้าหมายทั้งมวลอยู่ที่นั่นแล้ว ในตัวเธอ เพียงแต่เธอจำไม่ได้เท่านั้น เพราะ ที่ผ่านมาเธอมีชีวิตอยู่แต่เธอก็ไม่รู้ว่าการมีชีวิตอยู่นั้นเป็นอย่างไร การที่เธอได้ตระหนักรู้ก็เท่ากับว่าเธอได้ปล่อยให้พลังของชีวิตที่เธอไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่มันอยู่ที่นี่แล้ว ได้หลั่งไหลออกมา

    การที่คนเราตื่นรู้ในการดำรงอยู่ของเรามันก็เท่ากับเป็นการเดินทางเข้าไปในความรัก เป็นการตระหนักอย่างเต็มที่ว่าไม่มีความมืดใดๆ ในตัวเราอีกต่อไปนั่นคือจุดสิ้นสุดของการเดินทาง อย่างไร?ก็ตาม จริงๆแล้วการเดินทางนั้นยังไม่ได้เริ่มต้นและยังไม่ถึงจุดสุดท้ายเธอยังคงเดินต่อไปหลังจากนั้น แต่มันจะเป็นการเดินทางที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงไม่ว่าจะเป็นเชิงคุณค่าหรือว่าเชิงคุณภาพก็ตาม มันจะกลายเป็นความชื่นชมยินดีเป็นการเฉลิมฉลอง<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    สมาธิที่เกิดขึ้นจากพลังอำนาจแห่งสติจะช่วยให้ เธอมอง เห็นความเชื่อมโยงของสรรพสิ่งสิ่งที่เธอนั้นกระทำลงไปย่อมมีผลต่อผู้อื่นหรือโลกใบนี้และสิ่งนั้นจะคืนกลับมาสู่เธอทางใดทางหนึ่งเสมอดังนั้นความเข้าใจเช่นนี้จะทำให้เธอเกิดความรักที่แท้ว่าทุกสิ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียวกันโดยไม่มีการแบ่งแยก มันช่วยให้สามารถฟังอย่างลึกซึ้งณ จุดนั้นในสมาธินั้น จิตของเธอที่ได้วิ่งวุ่นมานับร้อยนับพันชาติ ก็จะนิ่งเพียงพอที่จะได้ยินเสียงและความต้องการภายในของเธอไม่ใช่แบบเดิมๆที่เป็นการกลบเกลื่อน หรือ ปกปิดความรู้สึกในใจเอาไว้ สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ในปัจจุบันขณะ ณ ที่นี่ตรงนี้ เดี๋ยวนี้เท่านั้น เมื่อสมาธิ พลังอำนาจประการสุดท้ายจะตามมา พลังอำนาจนี้เรียกว่าเชาว์ปัญญา คนเราทุกคนเกิดมาพร้อมเชาว์ปัญญา ความจริง ต้นไม้ สิ่งต่างๆเองก็มีเชาว์ปัญญา มันซ่อนอยู่ในทุกๆที่แต่มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่รู้

    อันที่จริงแล้วเธอต้องเข้าใจว่า เชาว์ปัญญานั้นไม่ใช่ความรู้ มันเป็นบางสิ่งที่อยู่เหลือถ้อยคำ มันก้าวกระโดดออกมาเมื่อจิตเธอว่าง เมื่อเธอมองเห็นธรรมชาติแท้แห่งตรง เชาว์ปัญญานั้นเป็นดั่งเพชร มันช่วยให้เธอตัดทำลายมายาภาพ เงื่อนไขที่บิดเบือนชีวิตเธอ มันทำให้ความวุ่นวายแต่เดิมที่เธอมีเป็นระเบียบ ด้วยตัวมันเอง พระเจ้าของศาสนาใดๆ แม้แต่นิพพานเองก็ไม่ใช่อะไร?อื่น นอกจากเชาว์ปัญญา <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เพื่อนรักของฉัน เมื่อใครสักคนมี พลังอำนาจแห่งสติกำกับชีวิต เขาก็ได้เฝ้ามองดูชีวิต สิ่งรอบข้าง ความเป็นไปของมัน ตั้งแต่เริ่ม และ สิ้นสุดไป ตามแต่เหตุ และ ปัจจัย เขาจะเห็นความเป็นอนัตตาในนั้น ในภายในที่ไม่มีสิ่งใด ตัวตน และ ดวงดาวที่เคยมี เคยรับรู้ก็จะพลอยสูญหายไป เตรงจุดนี้ชาว์ปัญญาที่มีแต่เดิมจะหลั่งไหลออกมา คนไร้เชาว์ปัญญาจะเจริญภาวนา เขาจะพยายามทำสมาธิ แต่มันก็ยังคงทำให้เขาไร้ปัญญา เขาอาจจะคิดว่าสมาธิ สิ่งที่เขาทำจะนำสิ่งนั้นสิ่งนี้มาให้เขา ทำให้เขาสบายใจ ทำให้เขารู้สึกว่าตนเป็นคนดี แต่กระนั้นเพื่อนรักของฉัน เธอรู้อะไร?ไหมไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะหวังอะไร? ก็ตามการทำเช่นนี้จะทำให้เขาพบว่าสุดท้ายมันกลายเป็นเรื่องที่ขาดเขลา เขาไม่พบมันทั้งๆที่พยายามแล้ว อย่างที่ฉันพูดเพื่อนรักของฉันความจริงที่เขาเหล่านั้นไม่พบ เพราะ เขามิได้ตระหนักว่า เขามีสิ่งนั้นอยู่แล้ว เชาว์ปัญญานั้นนำมาซึ่งการทบทวนใคร่ครวญ และ ทดลองปฏิบัติจนในที่สุดก็รู้ได้ด้วยตนเองว่า สิ่งนี้หรือสิ่งนั้น เป็นหนทางอันถูกถ้วนที่สมควรจะเดินต่อไป หรือ หยุดเสีย เพื่อนรักของฉัน ณ ตอนนี้ เช่นนี้ ความทุกข์นั้นจะมิอาจเข้าใกล้เข้าได้ อวิชชาจะไม่มีอำนาจเหลือ เพราะไม่ว่าความสุข หรือ ความทุกข์จะผ่านมา มันก็จะผ่านไปไหลออกจากคนๆที่มีพลังอำนาจนี้โดยมิได้มิได้ส่งผลต่อเขา เขาสุขเมื่อความสุขเข้ามา และ มิได้ทุกข์เมื่อมันจากไป เขาไม่พยายามแม้แต่จะให้มันเกิดขึ้น เพราะ เขารู้ว่าในไม่ช้ามันจะจากไป ความทะยานอยาก แรงปรารถณามิอาจจะนำพาสิ่งใดมาให้ชีวิตได้อย่างแท้จริง อันที่จริงไม่มีสิ่งใดที่เพื่อจะให้ได้มา เขาแบบมือที่เคยกำ เขาทำทุกอย่างเพื่อเป็นรางวัลแด่ตัวเอง ถ้าตอนนี้ความสุขมันอยู่ที่นั้น ก็แค่ดื่มด่ำไปกับมันเท่านั้น เช่น เดียวกันเมื่อความทุกข์เข้ามามันมิอาจจะนำพาความกังวล ทุกข์โศก เจ็บปวดมาสู่เขา เขาพร้องเผชิญหน้ากับมัน เขาอยู่ที่นั้น เขาเฝ้ามองมัน และ จัดการกับมัน ด้วยสำนึกรู้ที่ว่ามันเข้ามาและในไม่ช้าจะจากไปเฉกเช่นดวงดาวในยามค่ำสิ่งนี้แหละ คือการตรัสรู้ล่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤษภาคม 2011
  2. Ong

    Ong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +12,861
    พลังอำนาจประ การแรกคือ ความวางใจในชีวิตของเธอ
    พลังอำนาจประ การต่อมา คือความเพียร
    พลังอำนาจประการที่สามขึ้นนั้นคือ สติ
    พลังอำนาจประการที่ 4 นั้นคือ สมาธิ
    พลังอำนาจประการสุดท้ายจะตามมา พลังอำนาจนี้เรียกว่าเชาว์ปัญญา

    --------------------------

    สาธุด้วยนะครับ



     
  3. จิตป่วน

    จิตป่วน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2011
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +3
    ขอบคุณครับ ชี้ทางออกให้ผมซะแล้ว ไม่ต้องการแล้วกสิณไฟ ...ไม่เป็นแล้วดอกไม้ไฟ เป็นดอกหญ้าเหมือนเดิมนี่ล่ะ..ยังไงก็คือดอกไม้เหมือนกัน จะโดนบดขยี้ยังไง จะเหี่ยวจะช้ำยังไงก็ยังเรียกว่าดอกไม้
     
  4. ผ่านมาจริงๆ

    ผ่านมาจริงๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    502
    ค่าพลัง:
    +635
    ><O:p></O:p>
    ฉันคิดว่าในทุกๆ เช้า ถ้าเธอตื่นขึ้นมาเพื่อออกมาเดินเล่น แล้วเธอก็ใช้ช่วงเวลานั้นเพื่อชื่นชมความงามของผู้คนที่สันจรไปมา เธอเฝ้าสังเกตุ รอยเท้าของพวกเขาที่ก้าวเดิน ร่องรอยแห่งความกังวล ความเศร้าความกลัว ความทุกข์ที่พวกเขาได้ฝากไว้บนพื้นโลกขณะที่พวกเขาได้เดินผ่านไป เธอก็จะเห็นได้ถึงปัญหานี้ทุกๆเวลาในประเทศนี้ รถจะติดถ้าเป็นรถสาธารณะก็จะแน่นไปด้วยผู้คน ไม่ว่าจะเป็นวันที่ร้อนอบอ้าว อากาศเย็น หรือฝนตกชุ่มช่ำเพียงใดก็ตามผู้คนยังคงจะออกมาเพื่อแข่งขันกันไปที่ไหนสักแห่งแข่งขันกันทำสิ่งต่างๆ ไขว่คว้าสิ่งต่างๆ แต่ไม่ว่าเป้าหมายจะเป็นอะไรก็ตามผู้คนกำลังแสวงหา หรือ แย่งชิงอะไร
    ?บางอย่างกัน จนนำตัวเองไปผูกติดกับอดีต หรือ อนาคตหลงทางไปจากปัจจุบัน เพราะงั้นความทุกข์จึ่งเป็นเหมือนเงาตามตัว ของพวกเขาและ แล้วตรงนั้นฉันคิดว่าลึกๆในใจเธอ ความเมตตาของเธอคงจะ บอกกับเธอว่าฉันอยากจะช่วยเหลือพวกเขา อยากจะช่วยดูแลความทุกข์ของพวกเขา แต่ฉันไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร? ฉันเองก็ไม่ต่างอะไร?จากเขาเหล่านั้น เพื่อนรักของฉัน รู้อะไร?ไหม ? ถ้าเธอเห็นสิ่งนี้ นั้นก็หมายความว่า เธอยืนอยู่บนหนทางแห่งความตื่นแล้วล่ะ<O:p></O:p>

    <O:p

    สาธุค่ะ
     
  5. ไอ้นอกโลก

    ไอ้นอกโลก Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    572
    ค่าพลัง:
    +72
    ชอบแดนซ์เซอร์ครับ55...................
     

แชร์หน้านี้

Loading...