ทำไมต้องอ้างว่าตัวเองเป็นอรหัต หรื่อได้อะรัยบ้างอย่าง

ทำไมคนเราถึงชอบอวดอ้างในสิ่งที่ตนไม่มีนะ

 

ไม่ยากครับ หากอยากรู้ว่าจริง หรือ ไม่จริง อย่างไร

หากว่าบุคคลใดทำไม่ได้จริง เขาผู้นั้นจะหลุดในเรื่องบางเรื่องครับ

อ้างอิงได้ครับ เหตุผลมีพร้อม แค่นี้ก้จะรู้ว่าจริง หรือ ไม่จริงครับ

แต่หากปฎิบัติจริง ย่อมได้จริงเป็นแน่แท้ครับ

 

อวดอุตริ คือสิ่งที่ไม่จริง ของจริงท่านจะไม่พูด ให้ดูเอาเองคะ ของไม่จริงพูดอวดจังเลยบุญรักษาคะ

 

ไม่มีจริงแล้วอวด คือ ปาราชิก ขาดจากความเป็นพระ
มีจริงแล้วอวด คือ ปาจิตตีย์ อาบัติที่บอกคืนสิกขาบทได้

รวมความแล้ว สรุป....แว้ ผิดทั้งขึ้นทั้งล่องจ๊ะ...

 

การอวดอุตริ นั้นต่อหน้าสาธุชนคนทั่วไปครับ เพื่อมุ่งหวังในประโยชน์ที่ตนหวัง

แต่การกล่าวให้ผู้ที่ปฎิบัติอยู่แล้ว ได้รู้ได้เข้าใจในการปฎิบัติ นั้นแตกต่างครับ

เหตุนี้ต้องว่ากันด้วย เหตุและผล ถึงสิ่งที่มุ่งหวังด้วยครับ ครูบาอาจารย์ท่านได้แสดงไว้ให้รู้

ด้วยเหตุที่มีลูกศิษย์ลูกหา ศึกษาเล่าเรียน เพียรปฎิบัติ จากอาจารย์สู่ศิษย์ในการปฎิบัติ

มีอยู่มากมายที่มีให้เห็นในอดีตจนถึงปัจจุบัน และ ท่านอาจารย์เหล่านั้นก็บรรลุมรรคผลด้วยครับ

 

อยากกดLike ให้สักพันครั้ง หุหุ

 

อย่างเช่นจ้างคนเขียนประวัติของตนเอง แล้วพิมพ์ขายใช่มั้ยคับ ?

 

ต้องขออภัยนะครับ ผมไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่องที่คุณกล่าวครับ

กรุณาอธิบายให้ผมเข้าใจ รู้เรื่องด้วยครับ

 

สมัยนี้จะว่าจ้างคนเขียนให้ตนเองก็ไม่แน่มากนัก...

ลูกศิษย์อาจหวังดีกับครูบาอาจารย์ตนเป็นพิเศษ...เขียนไว้แบบเกินความจริงไปมากก็มี...

สมัยนี้ครูบาอาจารย์เสียเพราะลูกศิษย์ก็ไม่น้อย...

 

มีขายให้เกรอคับที่ 7 11 ไปดูดิคับ

 

คุณ ศรีสุทโธ ครับ

ครูบาอาจารย์ที่ผมเคารพ ไม่มีอย่างที่คุณกล่าวครับ ผมจึงไม่รู้เรื่องที่คุณกล่าวครับ

ครูบาอาจารย์ที่ผมเคารพ มีแต่ปฎิบัติอย่างเอาเป็นเอาตายเลยครับ

ผมศัทธาในสิ่งนี้ครับ ศัทธาในการปฎิบัติครับ และ ผมก็อ่านหนังสือน้อยมากครับ

ส่วนใหญ่แค่ฟังมาจากคนรุ่นก่อนเท่านั้น และ ก็นำแต่หลักธรรมที่มีสั่งสอนไว้

มาปฎิบัตินั่งสมาธิกรรมฐานเองที่บ้าน จึงขอความกรุณาเล่าเคล้าโครงเรื่องด้วยครับ

 

อันนี้มีจริงคับ แต่ก็อย่างว่าละคับ...ประวัติตัวเอง ก็น่าจะอ่านมั่งจะได้ตรวจดูว่า
คนเขียนมัน เขียนชื่อ แซ้ ถูกหรือป่าว ไม่ใช่ตามน้ำตามทะเลไปเรื่อย...

ที่เค้าหวังที่จะได้กันคือ สรุปได้ ๓ ประการใหญ่
๑.ได้หน้า อวดรู้ อวดฉลาด อยากให้คนรู้ว่า ตัวเป็นอรหันต์ (กิเลสเต็มหัว)
๒.ได้เงิน เอกลาภงัยคับ ภิกษุแปลตรงตัวคือ ผู้ขอ แต่ท่านก็ไม่ให้ขอถ้าไม่จำเป็น
๓.ได้บริวาร มีพวกมีหมู่คณะแล้วก็ อวยกันไปกันมา

 

อย่าไปว่าท่านเลยครับ...ท่านศรีสุทโธ คืออันเรานั้นไม่ได้รู้ว่าท่านพูดหรือไม่พูดจริง...

ลองไปสัมผัสดูสิครับ....ว่าที่เขาพูดมันจริงหรือไม่....ถ้าจริง....ก็คงต้องทำใจ......

ถ้าไม่จริง เราไปว่าท่าน ศีลท่านสูงกว่าเรา ผลคือ ปฏิบัติไปเถอะครับ...ย่ำอยู่ที่เดิมอย่างเดียวเลยนะ....และก็มีแต่สาละวันเตี้ยลงๆ.....ไม่คุ้มกันนะครับ....

 

อย่าทำตัวเป็นนักจับผิด แต่ควรคิดพิจารณาตนเอง

 

ที่คุณภานุเดชกล่าวมานั้น น่าคิดครับ น่าคิด

บางครั้งเราคงต้องวางอุเบกขาบ้างครับ

 

คุณ otthidet ครับ
ที่ออกมากล่าวไม่ได้พาดพิงท่านที่ปฎิบัติดี ปฏิบัติชอบ "จริง" ครับ และไม่ได้
พาดพิง ครูบา-อาจารย์ของใคร ใครนับถือใคร ใครเคารพใคร คงเป็นเรื่องส่วน
ตัวนะครับ ไม่ก้าวก่ายนะครับ อันนี้ไม่ใช่ประเด็น
แต่ที่ท่านที่ไม่ได้ปฏิบัติอย่างที่ตนกล่าวนั้นก็มีไม่น้อยครับ ต้องใช้วิจารณญาณ
อย่างมากเพราะ กาย วาจา มันเป็นของภายนอก มัน "เฟค" ได้ ของที่อยู่ข้างใน
กว่าจะโผล่มาให้เห็นก็นานนะะครับ บางท่านที่เนียนๆนี่ก็ เล่นเอาเคลิ้มไปเลย...
ดังนั้นผมอยากแสดง บางมุมที่มีอยู่จริง เอาธรรมะของพระพุทธเจ้าเข้าว่า ไม่
ใช่ตาบอดจูงตาบอด สุดท้ายมันจะไปได้สักกี่น้ำ คุณ otthidet แน่ใจมั้ยครับ
ว่าเค้าจะไม่พาเราไปตกเหว.....?????

 

ไม่ได้จับผิดหรอกครับ แต่มันเยอะมาก คนนั้นเสกพระธาตุได้ คนนี้ตัดกรรมได้ คนโน้นเป็นพระอรหันต์ คนนู้นจะเข้านิโรธ พออาจารย์ท่านมรณะภาพก้ไปใส่ว่าอุปาทิเสสนิพพาน


ผมว่าถ้าเอาพระธาตุของพระพุทธเจ้าในเมืองไทยมากองรวมกัน คงได้พระธาตุสูงใหญ่มากกว่าพระองค์จริงๆเป็นแน่เลย เหอๆๆๆ

 

ศาสนาพุทธ เป็น เหมือนบ้านครับ มันผุ มันพัง ก็ต้องซ่อม ต้องปรับปรุง
รู้ว่ามันผุแล้วไม่ซ่อม ขื่อคงได้หล่นใส่หัวสักวัน นะครับ...

 

ยัุงไม่รวมเครื่องรางของขลังอีกเนอะ

 

อยากกดLike ให้สักพันครั้ง หุหุ