สมาธิในบ้าน

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย อริยะบุญ, 21 กรกฎาคม 2011.

แท็ก:
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. saranyanurak

    saranyanurak สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2011
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +3
    จะชม(แบบไม่ตั้งใจ) หรือ ชม(แบบประชดประชัน)...อะไรก็ช่างเขาเถิดค่ะ
    มันเป็นสิทธิ์ของเขา....ที่ใดมีคนรัก ที่นั่นย่อมมีคนเกลียด เป็นธรรมดาค่ะ
    เราไม่ใส่ใจซะอย่าง....:VO:z2:z12
    **ตอนนี้ รออ่านเรื่องราวของน้องตุ้ย มากกว่าค่ะ....:z16
     
  2. เดินดง

    เดินดง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    455
    ค่าพลัง:
    +1,614
    ติดตามอ่านอยู่ค่ะ เพราะน้องตุ้ยทำให้ต้องเร่งตัวเองปฎิบัติตาม ขอบคุณ คุณพ่อกับน้องตุ้ยมากค่ะ
     
  3. แก้วกลางใจ

    แก้วกลางใจ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +5
    5555555555คุณคะ ชมแบบใช้ภาษาสไตล์ "supermarket" "supermarket" เค้าต้องชมกันอย่างไรเจ้าคะ??????ฮาค่ะฮาหูนชอบบบบ5555555(k):love:
     
  4. สังสารวัฏ

    สังสารวัฏ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +5,382
    กราบอนุโมทนาบุญคุณพ่อน้องตุ้ยและน้องตุ้ยด้วยนะคะ .. สาธุ
    รอติดตามอยู่ค่ะ (^_^)

    [URL="http://palungjit.org/posts/5003900[/COLOR][/URL]
     
  5. mavie

    mavie สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2011
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +13
    ขอมาให้กำลังใจ
    คุณอริยะบุญและน้องตุ้ย เช่นเดิมนะคะ

    และขอติดตามความรู้จาก
    คุณอริยะบุญและน้องตุ้ยเช่นเดิมเหมือนกันค่ะ
    catt10catt10catt10catt10catt10​
     
  6. phapinvit

    phapinvit สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +0
    สิ่งดีๆ เรื่องดีๆ ที่มอบให้..ขอบคุณครับ
     
  7. sor-7

    sor-7 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2011
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +2
    จุไรท่องเที่ยวดวงอาทิตย์
    โดย ส.ธ. (พระราชพรหมยาน-วัดท่าซุง)

    ลูกหลานทั้งหลาย นิทานเรื่องนี้ ตอนแรก พูดไปมันเหนื่อยมาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะการป่วยไข้ไม่สบายมันยังไม่หมด ฟังเรื่องพี่ปากแกเล่าเรื่องหนูไปฟัง ฟังไป ๆ ก็รู้สึกชอบใจ ว่านิทานนี่ดี จะทำอะไรก็ได้ หนูก็เหาะได้ สามารถเดินน้ำดำดินได้ตามชอบใจ เพราะเรื่องของนิทาน แต่ความจริงนิทานนี่ไม่ใช่เรื่องก่อขึ้นเสมอไป บางทีก็เป็นเรื่องจริง แต่ว่าเป็นเรื่องจริงที่หาเหตุผลไม่ได้ก็ต้องบอกว่าเป็นนิทาน

    ต่อนี้ไปก็จะเล่าเรื่องของจุไรท่องเที่ยวจักรวาลต่าง ๆ ประวัติความเป็นมาของจุไรเป็นลูกสาวคนเดียวของแม่ แม่ชื่ออะไรไม่ต้องบอก แม่เก็เป็นคนดี มีความเคารพในพระพุทธเจ้ามาก เคารพในพระธรรม เคารพในพระอริยสงฆ์ มีศีล 5 ่บริสุทธิ์เป็นปรกติ มีพรหมวิหาร 4 คือ เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร มุทิตา มีจิตอ่อนโยนไม่อิจฉาริษยาใคร อุเบกขาวางเฉยเมื่อใครเพลี่ยงพล้ำไม่ซ้ำเติม แม่ตั้งอยู่ในความกตัญญูรู้คุณต่อท่านผู้ใหญ่มาก จึงสอนให้จุไรลูกสาวเป็นคนมีเมตตาความรัก กรุณาความสงสาร มีจิตอ่อนโยนไม่อิจฉาริษยาใคร วางเฉยไม่ซ้ำเติมใคร เคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม พระอริยสงฆ์ และก็มีศีล 5 บริสุทธิ์ ลูกสาวที่น่ารักของคุณแม่ก็สามารถทำได้ทุกอย่าง เพราะมีความกตัญญูรู้คุณ ตอบสนองคุณความดีของคุณแม่ด้วยการปฏิบัติตามทุกอย่าง แม่ไม่หนักใจ จุไรไปโรงเรียนก็มีความกตัญญูรู้คุณในครูบาอาจารย์ ไม่เคยดื้อด้าน ครูตั้งใจสอนแบบไหน จุไรตั้งใจเรียนทุกอย่าง เวลาครูสอนตาดู หูฟัง ใจติดตาม ถ้าสงสัยก็จดไว้ ตั้งใจทุกอย่าง

    ฉะนั้นการศึกษาของจุไรจึงไม่น้อยหน้าใคร ครูก็ยกย่องสรรเสริญในสถานที่ทั้งหลายเมื่อไปพบผู้ใดเข้า ครูก็ยกย่องจุไรว่าเป็นเด็กแสนดี ตั้งใจเรียนดี มีความรู้ความฉลาด และครูก็ตั้งใจให้ความสะดวกสบายทุกอย่าง เธอต้องการอะไรถ้าไม่เกินวิสัยของครู ครูก็ให้ทุกอย่างตามที่เธอต้องการ อันนี้เป็นผลของความดีที่เด็กตั้งใจเรียน มีความกตัญญูรู้คุณ ใครไปใครมาโรงเรียนก็อยากจะทรายว่าเด็กหญิงจุไรอยู่ที่ไหนรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร เมื่อครูแนะนำให้เธอรู้จักกับใคร เธอก็ยกมือไหว้ด้วยความเคารพ พูดจาไพเราะ ฉะนั้นบรรดาลูกหลานทั้งหลายก็ควรจะเอาอย่างจุไร เมื่อเธอกลับมาบ้านแม่ก็มีความปลื้มใจ จุไรก็มีความสุข เพราะลูกเป็นคนดี แม่เป็นคนมีศีลธรรม

    วันหนึ่งหลังจากรับประทานอาหารเสร็จ อาบน้ำอาบท่าทำการบ้านแล้ว จุไรก็นั่งคุยกับแม่ ความจริงคิดจะเล่าเรื่องนิทานความฝันของจุไร ตอนนี้ก็ไม่ฝันละ เพราะมีนิทานตัวอย่างแล้ว ขึ้นชื่อว่านิทานอะไรก็ได้ ใครจะหาว่าเป็นการมุสาวาทก็ไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของนิทาน ขอเล่าว่าเวลาตอนค่ำ จุไรก็มานั่งนึกถึงหนุมานตอนที่พระลักษณ์ถูกหอกโมกขศักดิ์ พระราม หรือ พระนารายณ์ ใช้หนุมานไปห้ามพระอาทิตย์ พระแสงพระอาทิตย์ถ้าต้องหอกโมกขศักดิ์เข้าพระลักษณ์จะตาย จุไรก็คิดว่าหนุมานเป็นลิง ก็สามารถเหาะได้ แต่เป็นลิงของพระนารายณ์มีฤทธิ์มีฤทธิ์ก็เป็นของไม่แปลก แต่ก็น่าแปลกที่พระนารายณ์เป็นนายกลับไม่มีฤทธิ์จะเหาะสู้หนุมานไม่ได้ อันนี้ก็แปลกเหมือนกัน สงสัย และต่อไปจุไรก็มาคิดว่าหนู 2 ตัว พ่อผัวเมีย แล้วก็ลูกสาวหนู ที่เขาต้องการยกลูกสาวให้เป็นภรรยาของพระอาทิตย์ทั้ง 3 ก็เหาะไปได้ถึงดวงอาทิตย์ จุไรก็เกิดความสงสัย ว่าพระอาทิตย์ในเรื่องรามเกียรติ์เป็นไฟกองใหญ่ ที่พระสุริยะเทพบุตรเอาเชือกผูกท้ายรถ และผูกดวง พระอาทิตย์ลากออกไปให้โลกสว่าง เหมือนกับเป็นคบเพลิงส่องโลกให้สว่าง มีความร้อน พอหนุมานเข้าไปไฟไหม้หมด แต่ทว่าหนูทั้ง 3 ตัวเข้าไปไฟไม่ไหม้ ก็เกิดความสงสัย ถามคุณแม่ว่า

    "อยากจะทราบว่าพระอาทิตย์ ความจริงเป็นไฟ หรือไม่เป็นไฟ อยู่ที่ไหน ไกลแสนไกล ทำไมหนุมานจึงไปได้ หนูจึงไปไม่ได้ และอยากจะทราบว่าทำไมหนูจึงไม่ไหม้ไฟ หนูมานไหม้ไฟแต่มีขนเพชร พระอาทิตย์ก็สามารถชุบให้เป็นตัวตนกลับเข้ามาได้"

    แม่ฟังแล้วก็ยิ้ม ก็ถามว่า "จุไรลูกรัก ลูกอยากจะดูพระอาทิตย์หรือ หรือจะไปเที่ยวดวงอาทิตย์"

    จุไรก็บอกว่า "แสงอาทิตย์ก็ดี ดวงอาทิตย์ก็ดี ลูกเห็นทุกวัน แต่ว่าเวลานี้แสงอาทิตย์หายไป มีแต่แสงจันทร์ขึ้นมาแทน เวลาตอนเช้ามีแสงอาทิตย์ ลูกคิดอยากจะไปดวงอาทิตย์ แต่ก็เกรงไฟจะไหม้อย่างหนุมาน แต่ว่าการที่หนูทั้ง 3 ตัวเข้าไปนั้น เขาเข้าทางไหนไฟจึงไม่ไหม้หนู"

    แม่ฟังแล้วก็ยิ้ม แม่ถามว่า "ลูกอยากจะไปจริง ๆ หรือ?"

    จุไรก็บอกว่า "หนูอยากจะไป"

    แม่ก็บอกว่า "การไปดูดวงอาทิตย์หรือจักรวาลต่าง ๆ เป็นของไม่หนัก ถ้าลูกมีความเคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์จริง มีศีล 5 บริสุทธิ์จริง มีพรหมวิหาร 4 จริง และก็มีความกตัญญูรู้คุณจริง อย่างนี้พื้นฐานดีแล้ว ถ้าสามารถฝึกจิตอีกนิดหน่อย สามารถไปเที่ยวจักรวาลต่าง ๆ ได้"

    จุไรฟังแม่แล้วก็ชื่นใจ อยากจะทำตามแม่ว่า ก็ถามว่า "การเคารพพระไตรสรณาคมน์ก็ดี รักษาศีลก็ดี เจริญพรหมวิหาร 4 ก็ดี มีความกตัญญูรู้คุณก็ดี ที่หนูทำอยู่เวลานี้สมบูรณ์หรือยัง"

    แม่ก็บอกว่า "ตามที่แม่ดูจริยาของลูกสมบูรณ์ทุกอย่างแล้วลูก"

    จุไรก็ถามว่า "ถ้าอย่างนั้นหนูอยากจะไปดูพระอาทิตย์ อยากจะไปที่ดวงอาทิตย์เลย และก็ต้องการไม่ให้พระอาทิตย์เผาผลาญเหมือนหนุมานจะทำอย่างไร?"

    คุณแม่ก็บอกว่า "เป็นของไม่ยาก จุไรลูกรัก เวลานี้จุไรยังเป็นเด็กอายุเพียงแค่ 5 ปี นิวรณ์ต่าง ๆ คือความชั่วร้ายที่เข้ามาสิงใจนี้ไม่มี จิตใจประกอบไปด้วยความบริสุทธิ์ ต่อนี้ไปถ้าตั้งใจ อยากจะไปดูดวงอาทิตย์จริงแม่จะพาไป"

    จุไรฟังแล้วก็ยิ้มมองหน้าแม่ ถามว่า "คุณแม่ไปได้จริง ๆ หรือเจ้าคะ"

    แม่บอกว่า "จักรวาลต่าง ๆ แม่ไปได้หมด สวรรค์ก็ดี นรกก็ดี แดนเปรต อสุรกายก็ดี ในโลกนี้ทั่วจักรวาลแม่ไปได้หมด พรหมแม่ก็ไปได้ นิพพานแม่ก็รู้จัก"

    จุไรก็ถามว่า "สวรรค์มีจริงหรือ?"

    แม่ก็ตอบว่า "แม่ไปมาแล้วมีจริง ๆ พรหมก็มี นรกก็มี เปรตก็มี อสุรกายก็มี นิพพานก็ปรากฏจากดวงใจอันเป็นทิพย์ของแม่"

    จุไรก็ถามว่า "เขากล่าวกันว่านิพพานสูญ"

    คุณแม่ก็ตอบว่า "เรื่องนิพพานสูญเป็นของจริง แต่ว่านิพพานสูญจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ สูญจากความชั่วทุกอย่าง ขึ้นชื่อว่าความชั่วนิดหนึ่งไม่มีในบุคคลที่เข้าสู่นิพพาน"

    จุไรถามว่า "ถ้าอย่างนั้นนิพพานก็เป็นเมือง"

    แม่ก็ตอบว่า "ถ้าจะถือว่าเป็นเมืองอย่างชาวโลกก็ไม่ใช่ จะถือว่าไม่มีเลยก็ไม่ถูก เพราะว่าขึ้นชื่อว่านามธรรม อย่างนรก เขาเรียกกันว่าเมืองนรก แต่คนเราขาดความเป็นทิพย์ของใจ ไปจะไม่เห็นเมืองนรก เทวดาเขาเรียกว่าเมืองสวรรค์ ถ้าคนที่ขาดความเป็นทิพย์ก็ไม่สามารถจะเห็นสวรรค์ได้ ไม่สามารถจะเดินไปชมสวรรค์ได้ พรหมโลกเขาถือว่าเป็นเมืองพรหม เราก็ไม่สามารถจะเห็นด้วยตาเนื้อได้ ขาดความเป็นทิพย์เห็นไม่ได้ ถ้าจิตใจไม่เป็นทิพย์ก็ไปสู่แดนพรหมไม่ได้ แต่ความจริงเขามีสถานที่อยู่กัน สำหรับนิพพานก็เช่นเดียวกัน นิพพานเป็นดินแดนที่มีความบริสุทธิ์ที่สุด นั่นก็หมายความว่า เป็นเมืองเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี มีความบริสุทธิ์น้อย คือมีคุณธรรมเพียงแค่ 2 อย่าง ได้แก่ หิริ และ โอตตัปปะ "หิริ" อายความชั่ว "โอตตัปปะ" เกรงกลัวผลของความชั่ว ไม่ทำความชั่วทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ตายจากความเป็นคนหรือสัตว์ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าได้ แต่มีความดียังอ่อนอยู่ ถ้ามีความดีสูงกว่านั้น มีหิริและโอตตัปปะ เป็นฌานสมาบัติ คือจิตทรงตัว สามารถไปเกิดในแดนของพรหมได้ ก็เป็นเมืองพรหมเหมือนกัน แต่คนที่มีความเป็นสุขที่สุด กิเลส ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรมไม่มีอยู่เลยในใจ และก็จิตใจตัดความโลภ ตัดความโกรธ ตัดความหลงได้อย่างนี้ไปอยู่แดนนิพพาน

    ฉะนั้นแดนทั้ง 3 นี้เป็นนามธรรม จะถือว่าสูญก็ไม่ถูก ถ้าสูญก็ต้องสูญทั้งหมด ถ้าหากว่าถือว่าไม่สูญก็ต้องไม่สูญเหมือนกันหมด

    คำว่า "สูญ" ก็หมายความว่า สมมุติว่าคนตาบอด ถ้าไปคลำจะรู้จักแค่มุม ฉะนั้นคนที่มีความเป็นทิพย์อย่างอ่อนจะรู้จักเทวดาได้ รู้จักความเป็นทิพย์อย่างกลาง จะรู้จักพรหมได้ ถ้าบริสุทธิ์ทั้งหมดความเป็นทิพย์ทั้งหมดเข้มแข็ง สะอาดหมดจดจะรู้จักนิพพานได้ ก็รวมความว่าเรื่องนี้หนัก ลูกรัก ของมีจริง แต่ว่าอย่าเพิ่งรู้เลย รู้สั้น ๆ ก่อน ไปจักรวาลต่าง ๆ ก่อน"

    จุไรก็ยอมรับ ถามคุณแม่ว่า "ถ้าหนูอยากจะไปดูดวงอาทิตย์ คุณแม่จะนำไปได้ไหม"

    คุณแม่ก็ตอบว่า "แม่นำไปได้เฉพาะคนที่มีความดีพอ ความดีในการมีศีล พรหมวิหาร 4 เคารพไตรสรณาคมน์ เพราะลูกมีพอ แต่ยังขาดอะไรอยู่นิดหนึ่ง คือความเป็นทิพย์ของจิต ถ้าสามารถชำระจิตให้มีความเป็นทิพย์อย่างอ่อนได้ แม่พาไปได้ทุกภพ"

    จุไรก็ถามว่า "จะให้หนูทำอย่างไร"

    แม่ก็ตอบว่า "อันดับแรก ให้หนูนึกถึงพระพุทธเจ้า แล้วใช้คำภาวนาว่า "พุทโธ" และก็คำภาวนานี้ไม่จำกัด จะเป็น "พุทโธ" หรืออะไรก็ได้ตามใจชอบ แต่เวลานี้อันดับแรกลูกภาวนานึกในใจว่า "พุทโธ" ก่อน เวลาหายใจเข้านึกว่า "พุท" เวลาหายใจออกนึกว่า "โธ" แล้วก็เวลาหายใจเข้า หายใจออกทำใจสบาย จิตใจนึกถึงภาพพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่ง"

    จุไรก็มองซ้ายมองขวา เห็นพระพุทธรูปที่บูชา ก็ถามคุณแม่ว่า "คุณแม่เจ้าขา องค์นี้ได้ไหม"

    คุณแม่ก็ตอบว่า "ได้ พระที่เราบูชาทุกวันนี้เป็นของดีเราจำได้แม่น"

    จุไรถามว่า "ทำอย่างไร"

    คุณแม่ก็บอกว่า "หลับตาซิลูก ก่อนหลับตากราบพระซะก่อน กราบครั้งแรกนึกถึงว่าเรากราบพระพุทธเจ้า กราบครั้งที่สองนึกกราบพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า กราบครั้งที่สามก็นึกว่าเรากราบพระสงฆ์

    จุไรกราบสามครั้ง สามครั้งไปแล้วก็เลยกราบครั้งที่สี่ หันมาทางแม่บอกว่า "คราวนี้หนูขอกราบแม่ที่มีพระคุณใหญ่" แม่ก็ยกมือรับไหว้

    หลังจากนั้นแม่ก็บอกว่าให้จุไรนั่ง นั่งท่าไหนก็ได้ หลับตา ก่อนหลับตาดูพระพุทธรูปก่อน นึกถึงภาพจำให้ได้ แล้วก็นั่งหันหลังให้พระพุทธรูป นั่งหลับตาหายใจเข้านึกว่า "พุท" หายใจออกนึกว่า "โธ" นึกถึงภาพพระพุทธรูป แม่ก็ถามว่า "จำได้หรือยังลูก"

    จุไรก็บอกว่า "จำได้ชัดจ้ะแม่ เห็นทุกวัน"

    แม่ก็บอกให้จุไรลืมตา แต่หันหลังให้พระพุทธรูป "นึกถึงภาพพระพุทธรูป จำได้ไหมลูก"

    จุไรก็ตอบว่า "จำได้"

    ต่อจากนั้นไปแม่ก็บอกให้จุไรหลับตา "นึกถึงภาพพระพุทธรูป ขอพรท่านว่า ต่อนี้ไปลูกจุไรจะไปดูดวงอาทิตย์ แม่จะนำไป"

    จุไรก็นึกตามนั้น พอนึกตามนั้นก็ปรากฏมีกาย ๆ หนึ่งออกจากกายเนื้อ จุไรก็มีความรู้สึกว่าเรามาอยู่นอกกายมองร่างกายเดิมเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก กายใหม่นี่สวยกว่า แพรวพราวเป็นระยับ มีเครื่องประดับเป็นเพชร เนื้อแท้ของจุไรจริง ๆ ก็เป็นแก้วแพรวพราวเป็นระยับ หน้าตารูปร่างทรวดทรงสวยสดงดงามกว่ามาก ก็เห็นร่างกายของแม่ลอยอยู่นอกกายเหมือนกัน สวยกว่าจุไรมาก จึงได้กราบแม่ ถามคุณแม่ว่า "แม่ ทำไมเป็นอย่างนี้"

    คุณแม่ก็บอกว่า "ลูกรัก การจะไปสู่โลกต่าง ๆ เราเอาเนื้อไปไม่ได้ลูก ต้องไปเฉพาะกายแท้ นี่กายของเราแท้ ๆ ร่างกายที่นั่งอยู่นั่นเป็นเปลือกหรือเรือนร่างที่เราอาศัยชั่วคราว"

    หลังจากนั้น (เวลาเหลือน้อย ตอนนี้ก็ขอเล่าลัดๆ) คุณแม่ก็พาจุไร อันดับแรกไปพระจุฬามณีเจดียสถาน ดินแดนของสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก เข้าไปที่นั้น ก็พบพระพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระอริยสงฆ์สาวกมากมาย เต็มพระจุฬามณี เป็นดินแดนที่มีความสวยสดงดงามมาก แม่ก็พาจุไรเข้าไปไหว้พระพุทธเจ้า ไหวพระสงฆ์ กราบท่าน

    พระพุทธเจ้าทรงแย้มพระโอษฐ์ ถามว่า "จุไร ลูกอยากจะไปดูพระอาทิตย์หรือ"

    จุไรก็กราลทูลว่า "ลูกอยากจะไปดูเจ้าค่ะ เพราะอาศัยแสงอาทิตย์สว่างมานานหลายปี ความดีของพระอาทิตย์มีมาก ลูกจะไปขอบคุณท่าน"

    เมื่อพูดเท่านั้นพระพุทธเจ้าก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ ท่านบอกว่า "เอาละ เรื่องอื่นไม่ต้องพูดกัน ถ้าอยากจะดูดวงอาทิตย์ไปที่ดวงอาทิตย์ ตามตถาคตมา"

    บรรดาท่านผู้ฟังและลูกรักทั้งหลายอย่าลืมว่านี่เป็นเรื่องนิทานนะ ถ้าใครทำใจแบบนั้นได้จริงๆ ก็ไปได้จริงๆ เหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นนิทานก็เป็นนิทานตัวอย่าง การพบพระพุทธเจ้าเป็นพุทธนิมิต หรืออะไรก็ตามเถอะไม่ต้องพูดกัน เอาเป็นว่าพบได้ตามเรื่องของนิทานก็แล้วกัน อธิบายแล้วมันยุ่ง เดี๋ยวช้า

    ต่อมาสมเด็จพระบรมศาสดาก็นำสองแม่ลูกมายืนอยู่ที่มุมจุฬามณี ชี้ให้ดูดวงอาทิตย์ว่า

    "การมาที่นี่ไกลมาก จากโลกที่อยู่มาจักรวาลอาทิตย์ กลับมาจุฬามณีนี่ไกลกว่ากันหลายแสนเท่า ถ้าอยากจะดูก็พาไป"

    ผลที่สุดท่านก็พาไปที่ดวงอาทิตย์ ทีแรกก็ลอยอยู่ข้างนอกก่อน เห็นโลกๆ หนึ่ง แต่ความจริงที่โลกนั้นไม่มีแสง มันเป็นธาตุ ทั้งโลกเกลี้ยง และอาศัยความเป็นทิพย์เห็นไอระเหยริ้วๆ ๆ ออกจากโลกนั้น แล้วพุ่งออกมาไกล การเสียดสีของโลกนั้นกับอากาศ กับสิ่งที่กระแส กระจายออกมาจากโลกนั้นที่จริงระเหยกลายเป็นไฟ มีแสงสว่างมีความร้อนมาก แต่ไกลกว่าโลกนั้นมาก แต่ท่านที่ยืนอยู่นั้นไม่มีใครร้อน เพราะความเป็นทิพย์ของร่างกายคือนามธรรม หรือที่เรียกว่า "อทิสสมานกาย" ที่ไปนั้นไม่รู้จักความร้อนไม่รู้จักความหนาวเพราะขาดธาตุที่จะพึงรับ ต่างคนต่างยืนดู ลอยดูดวงอาทิตย์ หรือโลกอาทิตย์ แต่ว่าดูแสงไฟอยู่ไกลมีความร้อนมาก

    จุไรจึงกราบทูลสมเด็จพระผู้มีพระภาคว่า "คนหรือสัตว์จะผ่านดวงไฟกองนี้เข้าไปได้ไหมมันอยู่ทั่วโลก มันอยู่รอบๆ ไปหมด"

    พระพุทธเจ้าทรงตอบว่า "ถ้ามาก็ไหม้เหมือนอย่างหนุมาน แต่สิ่งที่จะผ่านเข้าไปได้ต้องมีกำลังประมาณ 2 ล้านองศา จึงจะผ่านเข้าไปได้ แต่สิ่งที่อยู่ภายในจะเสียหมด เพราะความร้อนสูงมาก"

    หลังจากนั้นไปท่านก็พาไปยืนอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ มองดูรอบๆ หมุนไปได้ตามรอบๆ ดวงอาทิตย์มีความหมุนไม่เหมือนโลก โลกนี่มีความหมุนกลิ้งคล้ายๆ ส้มโอกลิ้ง แต่ว่าดวงอาทิตย์หมุนคล้ายๆ กับของที่ตั้งขึ้นแล้วหมุนรอบตัวข้างๆ เหมือนกับแท่นที่หงายหน้าขึ้นหมุนแบบนั้น มองไปดูโลกมนุษย์ หมุนอ้อมดวงอาทิตย์ แต่ไม่ได้อ้อมข้าง อ้อมข้ามหัวไป ไปอย่างนี้ นักวิทยาศาสตร์เขาเรียกว่าอย่างไรก็ช่าง นี่มันเรื่องนิทาน

    ก็รวมความว่าไปยืนมองดูดวงอาทิตย์ ก็ไม่เห็นแสงไฟข้างใน เห็นแต่ไอระเหยริ้วๆ ออกมาก จุไรจึงกราบทูลสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับบอกแม่ว่า "อยากจะเข้าไปดูข้างในว่าไฟอยู่ที่ไหน"

    แม่ก็ดี สมเด็จพระจอมไตรก็ตาม ชี้ให้จุไรดูว่า "ไอระเหยรอบตัวของดวงอาทิตย์นี่พุ่งไปที่อากาศ อาศัยความเสียดสีของอากาศกับไอระเหย กับโลกที่หมุนเป็นประกายให้เกิดแสงสว่างพุ่งไปถึงโลกต่างๆ" นี่เรื่องนิทาน

    หลังจากนั้นก็เข้าไปสู่ภายในดวงอาทิตย์ (เข้าไปในโลกอาทิตย์) เข้าไปถึงแล้วก็ปรากฏว่าในนั้นเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ท่านบอกว่า มีแร่ชนิดหนึ่งที่มีสภาพเหมือนคล้ายแร่แมงกานีส แต่เขาเรียกจริงๆ ไม่ทรายว่าอะไร มันเป็นเชื้อไฟ มีความลุกโชนอยู่ตลอดเวลา แต่การลุกนานๆ น่าจะเผาผลาญตัวเอง ทั้งตัวนี่เป็นเชื้อเพลิงหมด แต่ทว่าพระพุทธเจ้าท่านทรงอธิบายว่า "ความร้อนต่างๆ ในโลกนี้มันแปลก มันไหม้ก็จริงแหล่ แต่ว่ามันสร้างตัวเอง แทนที่มันจะสลายตัว สิ่งที่ไหลเป็นเชื้อเพลิง แล้วมันก็สร้างตัวเองให้เกิดขึ้นมา และความร้อนที่ระเหยออกมาก็ไปเป็นดวงไฟตามที่ปรากฏ"

    และองค์สมเด็จพระบรมสุคตก็ทรงแนะนำว่า "ความร้อนแรงของโลกจะไม่มีการลดตัวลง จากนี้ไปจะร้อนขึ้นตามลำดับ ที่กล่าวว่าใกล้จะสิ้นกัป จะมีพระอาทิตย์ดวงที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 ถึงที่ 7 เกิดขึ้นตามลำดับ ความจริงเวลานี้เกิดแล้วแต่ละดวงจับก้อนแล้วเป็นกลุ่มแล้วแต่ยังโตไม่พอ ถ้าดวงไหน อย่างดวงที่ 2 โตพอ ก็จะเกิดแสงสว่างเหมือนดวงอาทิตย์ดวงนี้ แต่ดวงอาทิตย์ดวงเดิมก็จะร้อนมากขึ้นเป็นลำดับ ในที่สุด ถึงแม้ว่าดวงต่างๆ จะมีอานุภาพไม่มาก ยังไม่สมบูรณ์แบบ พระอาทิตย์ดวงเดิมนี้ก็จะร้อนขึ้นตามลำดับ ขึ้นชื่อว่าโลกจะเย็นกว่านี้ไม่มี ย้อนขึ้นไปโลกจะเต็มไปด้วยความเร่าร้อน"

    ก็รวมความว่า หนูน้อยจุไรก็มีโอกาสได้เทื่ยวดวงอาทิตย์ ก็ดูไปรอบๆ ก็อยากจะทราบตามความจริงว่า มีบ้านไหน มีคนไหน พอเดินไปรอบๆ สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็บอกว่า "มีไม่ได้ลูกเอ๋ย ขึ้นชื่อว่าสิ่งมีชีวิตจะมีที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด"
    จุไรก็ถามว่า "ฝรั่งเขาว่ามีความสามารถ เขาสามารถจะมาปักหลังตั้งสถานีที่ดวงอาทิตย์ได้ไหม? ถ้าเขามาได้เขาสามารถจะใช้กระแสไฟจากดวงอาทิตย์ไปทำไฟฟ้าในโลกได้ไหม?"

    สมเด็จพระจอมไตรก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ แล้วก็ตอบว่า "ถ้าฝรั่งสามารถจริง ก็สามารถมาได้ และสามารถนำไปได้ แต่ว่าคิดว่าฝรั่งไม่สามารถจะทำได้ในเวลานี้ ทั้งนี้เพราะว่าสิ่งที่ป้องกันความร้อนขนาดหนักฝรั่งยังหาไม่ได้ ต่อไปถ้าเขาหาได้เมื่อไหร่เขาก็มาได้เมื่อนั้น การที่จะนำความร้อนจากดวงอาทิตย์ หรือแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ไปช่วยโลกให้มีความสว่างอันนี้ทำได้แน่ถ้ามาได้ แต่ความจริงก็ไม่ต้องทำ พระอาทิตย์ช่วยอยู่แล้ว"

    หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ ตรัสว่า "จุไรลูกรัก และก็มารดาจุไร การมาเที่ยวที่นี่นานเกินไปเสียแล้ว เพราะเวลานี้โลกมนุษย์ใกล้สว่าง เวลานี้เข้าเวลาตี 4 คือเสียงนาฬิกาเช้ามืด ให้นำลูกกลับ ก็เป็นการบังเอิญว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์ โรงเรียนหยุดไม่เป็นไร แต่ถ้าดึกเกินไปเด็กจะเพลีย"

    หลังจากนั้นสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็เสด็จหายไป จุไรกับแม่ก็กลับมาบ้านนั่นเรื่องของนิทานนะบรรดาลูกหลานทั้งหลาย พอกลับมาบ้านก็เข้าร่างกายเดิมแล้วก็หลับ หลับแล้วก็ตื่นเวลาสายนิดหน่อยปรากฏว่าพอถึงเวลาสายๆ ก็มีเสียงเคาะประตูเรียก "จุไรๆ" แต่เป็นเสียงผู้ชาย คือเสียงคุณพ่อ เสียงตะโกนถามขึ้นมาว่า "ทำไม แม่กับลูกวันนี้นอนตื่นสายนัก อาหารเช้ายังไม่ได้ทำ" ท่านแม่ลืมตาขึ้นมา จุไรลืมตาขึ้นมา ปรากฏเวลาใกล้โมงเช้าสายไป จึงรีบลุกเข้า ไปทำอาหารไว้รับประทานในเวลาเช้า

    ก็เป็นอันว่าลูกหลานทั้งหลายที่ฟังจงมีความเข้าใจว่านิทานเรื่องจุไรนี่ไม่ใช่ไร้ผลที่กล่าวถึงองค์สมเด็จพระทศพลคือพระพุทธเจ้า และก็จำภาพพระพุทธเจ้ามีความสำคัญ ถ้าไม่รู้จักพระพุทธเจ้าก็ดูพระพุทธรูป จำภาพพระพุทธรูปได้เราก็นึกถึงท่าน ขอพร ถ้าความเป็นทิพย์เกิดขึ้นเมื่อไหร่โลกไหนก็ไปได้ และเด็กหญิงจุไรที่บอกว่าอายุ 5 ปี ความจริงเด็กรุ่นนี้นิวรณ์ยังไม่กินใจ นิวรณ์คือความชั่วของจิต สิ่งที่มัวหมองยังไม่พอกใจ สามารถทำอะไรก็ทำได้สะดวก และก็พื้นฐานเดิมมีความสำคัญ

    1. เคารพพระพุทธเา พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยความจริงใจ

    2. มีศีล 5 บริสุทธิ์

    3. มีพรหมวิหาร 4

    4. มีความกตัญญูกตเวที รู้คุณท่านแล้วก็

    5. มีความเคารพ คารวะ คือ ความเคารพ เป็นความสำคัญที่สุด เป็นเสน่ห์ที่ดีสำหรับทุกคน ถ้าคนที่มีความเคารพ มีความกตัญญูรู้คุณ ความยากจนจะไม่ปรากฎ เพราะว่าไปที่ไหนก็มีแต่คนรัก

    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ตอนนี้ก็รู้สึกว่าจะหมดเวลาแล้ว ฉะนั้นขอบรรดาลูกรัก เมื่อฟังเรื่องขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว คือ พระพุทธเจ้าที่ต้องเอาเรื่องราวพระพุทธเจ้าเข้ามาด้วย เพราะว่าความเป็นทิพย์จะต้องอาศัยพระพุทธเจ้าเป็นสำคัญ ฉะนั้นขอบรรดาลูกหลานทุกท่าน หรือทุกคน จงรู้และรับฟัง จงอย่าลืมพุทธานุสสติ คือนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ เวลานี้หมดเวลาแล้ว ขอความสุขสวัสดีพิพัฒนมงคลสมลูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี
     
  8. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    ขออนุโมทนาสาธุค่ะ ขอบพระคุณมากเลยค่ะที่กรุณานำมาเล่าสู่กันฟัง เจริญในธรรมค่ะ
     
  9. อริยะบุญ

    อริยะบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2011
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +1,739
    เจ้าตัวเล็กก็ใช่เล่น

    "นุ้ยๆ จะไปไหนลูก"

    เสียงคุณแม่ร้องถามลูกสาวที่เพิ่งหัดเดินด้วยวัยเพียง ๑๑ เดือน สำหรับลูกสาวคนเล็กนี้ ถือว่าเป็นเด็กเลี้ยงง่ายไม่ค่อยเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างมากแค่ไข้หวัด นุ้ยเริ่มหัดเดินตั้งแต่อายุได้เพียง ๘ เดือนเศษ โดยที่อาจจะต่างจากเด็กทั่วไป ที่เขาไม่คลานก่อนที่จะหัดเดินแต่นี่ยังถือว่าช้ามากเมื่อเทียบกับเจ้าตุ้ยพี่ชาย ซึ่งตุ้ยสามารถเดินได้โดยไม่ต้องให้คอยพยุงด้วยวัยเพียง ๖ เดือนเท่านั้น <o>
    </o>
    <o></o>
    นุ้ยก็หันไปมองที่คุณแม่กำลังเดินตามมาแล้วก็เดินต่อเข้าไปในที่ที่คุณพ่อจะเข้าไปทำกิจวัตรประจำวันทุกวันก่อนนอนไม่เคยขาด นั่นคือ ห้องพระ <o>
    </o>
    <o></o>
    “นุ้ย จะเข้าไปทำไมลูก”
    <o></o>
    เสียงคุณแม่ถามพร้อมเดินตามเข้าไปแล้วก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่กำลังเห็นอยู่เบื้องหน้าทันใดนั้น แม่ก็ร้องเรียกให้คุณพ่อเข้าไปดูสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในห้องพระขณะนั้น<o>
    </o>
    <o></o>
    “พี่ๆ มาดูอะไรนี่ ในห้องพระ เสียงคุณแม่ดังออกมาจกห้องพระพร้อมกับ น้ำเสียงที่กำลังตกใจตื่น เร็วพี่ มาดูอะไรนี่"<o></o>
    “มีอะไร เรียกพี่ทำไม” <o></o>
    “พี่ดูเองว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น” <o></o>
    <o></o>
    ในทันใดนั้น ภาพที่คุณพ่อเข้าไปเห็น ต้องตะลึงงันกับสิ่งที่เกิดขึ้น ด้วยลูกสาวกำลังเอามือสองข้างมาจับรวมกันไว้ แล้วยกขึ้นเหนือศีรษะ แล้วยกลงมาวางที่หน้าท้อง ทำอย่างนั้นอยู่ ๓ ครั้ง แล้วเขาก็หันมายิ้มให้กับคุณพ่อ คุณแม่ที่กำลังตาค้างกับภาพที่เห็น ในใจเกิดความรู้สึกขึ้นทันทีว่า เจ้านุ้ย ลูกสาวกำลังไหว้พระ<o>
    </o>
    <o></o>
    อะไรนี่เด็ก ๑๑เดือน มายกมือไหว้พระพุทธรูป <o></o>
    เอ... ช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นหว่า มีแต่เรื่องแปลกๆ เกิดขึ้น และเกิดกับคนใกล้ชิดทั้งนั้น

    ซึ่งแต่ก่อนก็มิได้สังเกตว่าทำไมลูกสาวคนนี้จะสนใจเข้ามาห้องพระ ตั้งแต่เริ่มเดินเองได้ เพราะทุกวันเขาจะพยายามดึงมือคุณแม่บ้าง คุณพ่อบ้าง คุณยายบ้าง เพื่อให้พาเข้าไปที่ห้องพระ แต่วันนี้พอได้เข้าไปแล้ว สิ่งที่เห็นประจักษ์ขึ้นนั้น มันช่างอัศจรรย์ใจยิ่งนัก
     
  10. อริยะบุญ

    อริยะบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2011
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +1,739
    หวนให้นึกถึงเมื่อครั้ง คุณแม่ได้ตั้งท้องเมื่อกลางปีที่แล้ว โดยได้เล่าว่า ได้เกิดนิมิตฝันไปว่า ได้ไปสถานที่แห่งหนึ่ง แล้วได้เจอบ่อเล็กๆ และในบ่อเล็กๆนั้น มีดอกบัว อยู่ ๔ ดอก และมีดอกบัวดอกหนึ่งอยู่ตรงกลางของดอกบัวเหล่านั้น มีสีขาว สวยงามมาก คุณแม่จึงได้เอื้อมมือดึงเอาดอกบัวนั้นมาดูแล้วก็ตื่นในเวลาใกล้รุ่งนั้น <o>
    </o>
    <o></o>
    ย้อนมาที่คุณพ่อก็เกิดนิมิตฝันไปว่า ได้ไปนั่งในหมู่ชนมากมายเพื่อรับเสด็จ ไม่นานนักก็ปรากฏเห็นงูตัวใหญ่มากเกล็ดสีเขียว ขนาดเท่าลำต้นของต้นตาล เลื้อยลงมาจากก่อไผ่ แล้วเลื้อยผ่านหน้าคุณพ่อที่นั่งอยู่ตรงนั้น ไปขึ้นต้นมะขามแล้วขนาดตัวก็เล็กๆๆลงเรื่อยๆ แล้วกลายร่างไปเป็นลิงน้อยเผือก กระโดดไปมาบนยอดต้นมะขามใหญ่ สักพักเลยเหาะไปบนฟ้า แล้วไปตกในวัดแห่งหนึ่งซึ่งเป็นวัดสมัยเก่า มีพระอยู่รูปหนึ่งนั่งสมาธิอยู่ คุณพ่อที่ตามดูลิงเผือกน้อยนั้นไป ก็พบว่า พอลิงเผือกน้อยตกลงบนพื้นก็กลายเป็นพระเครื่อง พร้อมสร้อย คุณพ่อจึงเก็บขึ้นมา พอมองเห็นพระท่าน ก็เลยนำพระเครื่องนั้นเข้าไปหาพระองค์นั้น พระองค์นั้นท่านว่า “พระเครื่องนี้เป็นพระเครื่องที่ดีนะ ขลังด้วยดูแลรักษาให้ดีละ” จากนั้นก็ตื่นขึ้นมาในเวลาค่อนรุ่งเช่นกัน<o>
    </o>
    <o></o>
    มีหลายสิ่งที่เกิดขึ้น และเปลี่ยนแปลงไป เมื่อคุณแม่ได้อุ้มท้องลูกสาวคนนี้ และการเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้ก็เกิดขึ้นกับคุณพ่อเองเป็นสำคัญ ถือเป็นปฐมเหตุสำคัญที่ทำให้ต้องก้าวเข้ามาสู่การเป็นนักปฏิบัติธรรม ผู้มุ่งบำเพ็ญเพียรจิตภาวนาเพื่อถอดถอนกิเลสออกไปจากจิต ตามแนวทางอริยะที่ได้อบรมสั่งสอน <o>
    </o>
    <o></o>
    โดยเมื่อครั้งที่คุณแม่ไปฝึกอบรมที่ต่างจังหวัดเป็นเวลา ๔ เดือน โดยจะกลับบ้านเฉพาะ เสาร์-อาทิตย์เท่านั้น ซึ่งในขณะนั้นก็ได้อุ้มท้องเจ้านุ้ยได้ ๔ เดือน และต้องจำเป็นที่จะต้องพักที่นั่น ไม่ได้กลับบ้าน จึงทำให้คุณพ่อได้มีโอกาสอยู่กับลูกชาย ซึ่งตอนนั้นยั้งไม่ได้ปฏิบัติธรรมอะไรเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า การปฏิบัติด้านจิตภาวนาต้องทำอย่างไร อยู่แบบปุถุชนคนที่ยังหนาด้วยกิเลส <o>
    </o>
    <o></o>
    แต่ในตอนที่ยังไม่ได้สนใจธรรมมากนัก เป็นคนที่ไม่ชอบก่อบาปอยู่แล้ว เวลาฟังพระเทศน์นี้รู้สึกว่ามันเพราะดี และมักจะจำบทสวดมนต์ได้ง่ายๆ ซึ่งบางครั้งก็แปลกใจตนเองเช่นกันว่าทำไมจำได้ไว <o>
    </o>
    <o></o>
    ในคืนหนึ่งคุณพ่อนอนอยู่กับเจ้าตุ้ยก็ตื่นขึ้นมาในกลางดึกปวดฉี่ จึงได้เข้าห้องน้ำ เรียบร้อย แล้วกลับมาที่นอน เลยอยากนั่งสมาธิเล่น ก็เลยนั่งสมาธิโดยไม่คิดอะไร แต่ก็เพียงนั่งตามดูลมหายใจเข้าออก พร้อมบริกรรม พุทธ-โธ ไปเรื่อยๆ ไม่วอกแวกเลย ลมหายใจ กับคำว่า พุทธ-โธ ไปด้วยกันอย่างแนบแน่น จากนั้นดำดิ่งลึกเข้าไปๆ อาการขนลุกซู่ไปทั้งตัว น้ำตาไหลมาเอง แล้วกายมันเริ่มโยกไปมา แล้วหมุนยังกับลูกข่าง ก็แปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ลมหายใจ เบาดีมาก สบาย มีความสุขเกิดขึ้นอย่างบอกไม่ถูก มีความสว่างจ้า ไม่มืดเลย มันเหมือนนั่งอยู่ที่เงียบสงัด สงบนิ่งดีมาก แต่ไม่รู้สึกกลัวแต่อย่างใด ก็เลยอยู่อย่างนั้น จากนั้นคำว่า พุทธ- โธ ก็หายไป ตอนนั้นมีแต่ งง ว่า เอ้า! มันหายไปไหน พอนึกว่ามันหายไปไหน มันจึงกลับมามี พุทธ-โธ อีก สักพักมันก็หายไปอีก เลยไม่สนใจ หายก็หาย ลมหายใจก็เริ่มเบา เอ้า ลมหายใจไม่มี งั้นมันก็ตายซิ พอคิดดังนั้นลมหายใจก็กลับมา แต่อารมณ์ใจกล้ามาก ไม่กลัว เลยลองดูว่า ถ้าหากลมหายใจมันหายไปมันจะตายมั้ย แต่อาการกายโยกไปมา หมุนเหมือนลูกข่างหายไปแล้ว มันมีแต่ความสุข กับลมหายใจแทบไม่มี แล้วก็ไม่รู้ว่าอยู่ในนั้นนานเท่าใด จนได้ยินเสียงดังค่อยๆ ดังขึ้นว่า พ่อๆๆ พ่อทำอะไร พอมากำหนดฟัง มันเลยดังขึ้นเรื่อยๆ จึงลืมตาขึ้นดู เจ้าตุ้ย นั่นเอง เพราะมันเป็นเวลาเช้าแล้ว<o>
    </o>
    <o></o>
    ปฐมเหตุดังกล่าวจึงเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการเปลี่ยนแปลงในชีวิต ซึ่งหลังจากที่มีอาการดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นในขณะที่ทำสมาธิ แต่ในขณะนั้นยังไม่รู้ เลยเริ่มค้นหาคำตอบว่า มัน คืออะไร ทำไมมันมีอาการแบบนั้น ทั้งจากหนังสือธรรมะ ทั้งจากอินเตอร์เน็ต ก็พอทำให้เข้าใจเรื่องเกี่ยวกับสมาธิมากขึ้น <o>
    </o>
    <o></o>
    จากนั้นมันก็เริ่มอาการ ติดใจ อยากทำได้อีก แต่ก็จนแล้ว จนรอด ก็ไม่ได้เหมือนเดิม เพราะคิดจดจ่ออยู่ว่า เมื่อไหร่อาการ ปีติจะเกิด เมื่อไหร่มันจะตั้งมั่น มันเลยเข้าไม่ได้ดังเดิม จากนั้นก็ค้นหาสาเหตุว่าทำไมมันทำไม่ได้ดังเดิม เลยเข้าใจว่า ตัวความอยากนี่เอง มันเลยไม่เกิดได้ดังเดิม พยายามทำใจไม่ให้อยาก แต่พอมันเริ่มสว่างก็สนใจไปรู้ แล้วมันก็หลุดออกจากสมาธิทุกที เป็นอยู่อย่างนี้ ๒ สัปดาห์เต็ม เลยเริ่มเบื่อที่เข้าไม่ได้อีก เลยหยุดทำสมาธิไป<o>
    </o>
    <o></o>
    ห่างไปอีก ๒สัปดาห์ ต่อจากนั้น ได้อ่านเจอการนอนทำสมาธิ เลยลองดูว่าจะเป็นอย่างไร พอนอนจับลมหายใจ ภาวนาว่า พุทธ-โธ ไปเรื่อยๆ แล้วหลับไป ได้เกิดนิมิตฝันอันเป็นมงคลยิ่งคือได้เห็นพระพุทธองค์และพระองค์ทรงมอบต้นโพธิ์ให้ด้วยพระหัตถ์จากนั้นก็สะดุ้งตื่นในเวลาค่อนรุ่ง นี่คงเป็นนิมิตหมายแห่งการต้องเริ่มต้นแล้วซินะ และมันคงถึงเวลาแล้วเป็นแน่ที่จะต้องเอาจริง เอาจัง ไม่อย่างนั้นคงวนไป วนมาแบบนี้ไม่เลิกเป็นแน่ เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้นจึงบ่ายหน้าเข้าสู่ทางธรรมอย่างมุ่งมั่น จริงจัง<o></o>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2011
  11. เดินดง

    เดินดง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    455
    ค่าพลัง:
    +1,614
    จิตใจเปีี่ยมสุข ตามคุณพ่อไปด้วยค่ะ โมทนาสาธุ สาธุ สาธุ
     
  12. phapinvit

    phapinvit สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +0
    โมทนาสาธุ ฟังแล้วขนลุกทุกเรื่องเลยครับ ฟังแล้วมีแรงทำกรรมฐานมากขึ้นเยอะเลยครับ หลังจากที่ทำมานานกว่า 3 ปี แต่ยังไปไม่ถึงไหนเลยครับ
    จะพยาต่อไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. Zintellar

    Zintellar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    423
    ค่าพลัง:
    +143
    โมทนาสาธุครับ อยากทำได้บ้างจัง อิอิ แต่ทำทีไรหลับทุกที ไม่ก็เบื่อๆยังไงไม่ทราบ แล้วฏ้ความคิด ที่หนึ่งเลยไม่รู้คิดอะไรมาก
     
  14. คีตา

    คีตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    665
    ค่าพลัง:
    +4,309
    ขอบพระคุณมากครับ พอนึกแนวทาง สอนเจ้าตัวน้อย ถ้าโตขึ้นมาได้ละครับ

     
  15. kikinlala

    kikinlala เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    4,939
    ค่าพลัง:
    +8,842
    พ่อแม่เป็นตัวอย่างที่ดีของลูกค่ะ :cool:
     
  16. mavie

    mavie สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2011
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +13
    ขอมหาอนุโมทนา
    ลูกสาวและลูกชาย
    ของคุณอริยะบุญด้วยนะคะ
    ;aa32;aa32;aa32;aa32;aa32
     
  17. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    ของเก่าของเขามีเยอะ ของคุณพ่อและคุณแม่ก้อเยอะ โมทนาสาธุเด้อเจ้า
     
  18. Andromeda Galaxy

    Andromeda Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2011
    โพสต์:
    277
    ค่าพลัง:
    +314
    อ่านเพลินดี มีความรู้ด้วย
    เป็นแฟนคลับเรื่องน้องตุ้ยที่ยังรออ่านอยู่เรื่อยๆ
    จะเข้ามา up dateตามอ่าน ทุกอาทิตย์ค่ะ
     
  19. oum135

    oum135 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +2
    ผมก็ติดตรงที่แสงสีเหลืองทุกทีเลยครับ
    เวลาแสงสีเหลืองมาผมจะเกิดอาการกลัว ทั้งที่พยายามไม่กลัวมันแล้ว
    จนไม่มีสมาธิไม่สงบอ่ะครับแล้วแสง ก็หายไป
     
  20. ประเสริฐ2522

    ประเสริฐ2522 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    658
    ค่าพลัง:
    +409
    เป็นเหมือนกันเลยครับช่วงฝึกใหม่ๆ อาการหมุนเหมือนลูกข่าง หมุนอย่างเร็วและแรง กลัวจนไม่กล้านั่งต่อ...
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...