หลวงปู่ศรี มหาวีโร วัดป่ากุง จ.ร้อยเอ็ด

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Specialized, 28 กรกฎาคม 2010.

  1. sinsae101

    sinsae101 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +134
    ได้เข้ามาอ่านความเห็นต่างๆ... ที่โพสท์ลงในเวปนี้.. มีความเห็นของคุณที่ใช้ PM ว่า"เหตุพิเศษ"ที่เข้ามาโพสท์ดังนี้...

    เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องของกลุ่มผู้ศรัทธาของหลวงปู่ใหญ่ ขอความกรุณาเจ้าของกระทู้ และผู้ที่อ้างในกระทู้ภายใต้ชื่อต่างๆ ว่า ไปขอหลวงปู่เมตตาเสกพระรุ่น นั้น เสกพระรุ่นนี้ ตั้งแต่ ปี 2550 เป็นต้นมาว่า กระทำกันได้อย่างไร เนื่องจากหลวงปู่อาพาธหนัก ไม่รู้สึกตัว พูดไม่ได้ มาตั้งแต่นั้นแล้ว และมันไม่เป็นการรบกวนธาตุขันธุ์ของพ่อแม่ครูอาจารย์หรืออย่างไร ที่อ้างว่าขอท่านเมตตาจิต กี่ครั้ง กี่นาที พวกลูกศิษย์รุ่นเก่าๆ เค้าเข้าใจกันดี ว่าปฎิปทาที่แท้จริงของหลวงปู่ใหญ่ ท่านไม่เคยส่งเสริม หรืออนุญาตให้สร้างพระรุ่นนั้น รุ่นนี้ หลวงปู่ท่านเน้นสร้างพระในใจ เสกใจให้ศักดิ์สิทธิ์ ด้วยการบริกรรม ทราบกันหรือไม่ว่า พระที่ท่านโยนลงสระข้างกุฎิ สมัยที่ท่านยังแข็งแรง ก็มีมากแสนมาก ทำไมผู้ที่คิดว่าเคารพองค์ท่าน รักสงวนท่านจึงมีการกระทำที่ไม่ตรงต่อคำครูบาอาจารย์ เลิกรบกวนธาตุขันธุ์ของท่าน และกลับไปนั่งภาวนา ถวายบุญกุศล เพื่อรักษาธาตุขันธุ์ ขององค์หลวงปู่ ให้อยู่เป็นหลักธรรมหลักใจของ ศิษยานุศิษย์ ทั้งหมด ซึ่งมีมากมายที่เฝ้าดูหลวงปู่ใหญ่อย่างห่างๆ ด้วยความรักและห่วงใย<!-- google_ad_section_end --> ...

    ผมจับจากกระแสความที่ลงในความเห็นของท่านด้วย..เจตนาห่วงใยหรือมีนัยแอบแฝงท่านย่อมทราบแก่ใจตัวเอง..หวังว่าท่านเสนอแนะด้วยความเคารพหลวงปู่อย่างบริสุทธิ์ใจนะครับ...

    ถ้าท่านเข้าใจความจริงในเรื่องราวของ"หลวงปู่.." ท่านอาจจะไม่เข้ามาเสนอความเห็นเช่นนี้นะครับ...

    องค์"หลวงปู่่ศรี มหาวีโร" ที่ท่านรู้จักอาจจะต่างจากที่ผมรู้.. "ทุกเรื่องที่ท่านเมตตามานั้น..กำหนดให้ท่านทำโน่นทำนี่ไม่ได้"..ถ้าลูกศิษย์ใกล้ชิดจริงๆจะรู้ว่า..จะไปกำหนดให้ท่านทำโน่นทำนี่นั้นไม่มีทางครับ.. ไม่ว่าท่านจะแข็งแรงอยู่หรือจะอาพาธก็ตาม.. ถ้าท่านไม่เมตตาให้แล้วไม่มีใครกล้าทำเพราะรู้ดีว่าอะไรจะเกิดขึ้น..

    ดังเรื่องที่ผมจะเล่าให้ท่านอ่านนี้..

    ในช่วงที่ผ่านมาศิษย์ใกล้ชิดหลวงปู่่ได้เคยหารือกันว่าจะจัดพิมพ์หนังสือประวัติหลวงปู่..มาตั้งแต่ช่วงที่ผมเข้ามารับใช้ท่านใหม่ๆ(ประมาณปี 38-39) "คุณชัช" ได้สั่งให้คณะทำงานเตรียมจัดทำประวัติหลวงปู่ โดยมี"เฮียเป็ด"เป็นผู้จัดเตรียมวางรูปเล่มและเฮียเป็ดเองก็ชวนผมให้มาช่วยทำงานนี้ แต่คุณชัชขออนุญาตกี่ครั้งๆหลวงปู่ก็ไม่เคยอนุญาต จนกระทั่งปี 2550 หลวงปู่จึงอนุญาตให้จัดพิมพ์ และ"ผู้ที่ได้รับอนุญาต"นั้นก็ขอเพียงครั้งเดียวหลวงปู่ก็เมตตาอนุญาตให้จัดพิมพ์(และปลายในปีนั้นหลวงปู่ก็อาพาธหนัก) "ใครที่คิดว่าจะขอให้หลวงปู่ทำนั่นทำนี่ได้โดยท่านไม่รู้ก็เชิญลองดูครับ..!"

    ที่เข้ามาเล่าเรื่องราวหลวงปู่ในครั้งนี้เพราะดูเหมือนคุณ"เหตุพิเศษ"จะให้ความใส่ใจวัตถุมงคลที่ผมอ้างถึงเป็น"พิเศษ"จึงมาบอกเล่าเรื่องราวขององค์หลวงปู่เพื่อเปิดหูเปิดตา "ถ้ามีเวลาว่างมากอย่ามัวคอยแต่เตือนคนอื่น" ครูบาอาจารย์ท่านว่า"เพ่งโทษผู้อื่น"ท่านว่ามันไม่ดี ถ้าเคารพองค์หลวงปู่ก็กรุณาสละเวลาอันมีค่าเข้าไปกราบท่าน.. ไปเยี่ยมอาการอาพาธท่านบ้าง "อะไรที่ไม่รู้..ก็ให้กล้าซักถามจากผู้ที่ดูแลองค์หลวงปู่อยู่ หรือสอบถามจากพระอุปปัฏฐากว่าหลวงปู่ท่าน"ไม่รู้"จริงหรือ..? "แล้วจะได้เกิดความเห็นที่เหมาะที่ควร ที่ถูกต้องตามข้อเท็จจริงกว่าที่เป็นอยู่นี้นะครับ..

    อ้อ..! ในช่วงที่หลวงปู่่อาพาธ(หลังปี 50)มีผู้ขอให้หลวงปู่เมตตาวัตถุมงคลมากมายหลายท่านนะครับ(บางท่านขอเมตตาเป็นสิบรุ่นจำนวนเป็นล้านองค์ แถมก็แจกอยู่แถวๆนี้ด้วย) ช่วยไปเตือนท่านเหล่านั้นบ้างนะครับ ถ้ามีเจตนาที่แรงกล้ามากมายขนาดนี้..(ผมอาศัยว่าอยู่ใกล้ท่านเวลามีคนมาขอเมตตาเสกวัตถุมงคลผมก็เอาพระส่วนที่ผมเก็บไว้ไปร่วมในพิธีก็เท่านั้น)

    และอย่าลืม..! "กรุณาเสกใจของท่านเองให้"ศักดิ์สิทธิ์"นะครับ อย่างไปเพ่งโทษใคร.. ให้"หมั่น"ดูใจตัวเองว่ามันเป็นอย่างไร หมั่นชำระใจของท่านให้"หมดจด เอาให้ถึงโลกุตตระภูมิเลยนะครับ" ผมขอโมทนากับท่านถ้ามีปฏิปทาที่ดีอย่างที่กล่าวอ้างมาจริง.. สาธุ...!!!!
     
  2. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,164
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,232
    ในสมัยที่หลวงปู่ยังคงธาตุขันต์แข็งแรง

    หลวงปู่เคยสั่งโยนวัตถุมงคลทิ้งลงน้ำตรงกุฏิท่านจริงๆครับ

    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้สร้าง หลวงปู่ท่านรับทราบดี

    แต่ถ้าผู้สร้างมีเจตนาที่ไม่ดี ได้โดนลงน้ำแน่

    แต่ก็มีวัตถุมงคลตั้งหลายรุ่นขององค์หลวงปู่ ที่ท่านแจกด้วยตัวท่านเองกับมือนะครับ

    ในความเห็นส่วนตัวผม ผมว่า ประเด็นหลักนั้น อยู่ที่เจตนาผู้สร้าง เป็นหลักครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มิถุนายน 2011
  3. อุดมสมพร

    อุดมสมพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,658
    ค่าพลัง:
    +6,964
    [​IMG]
    [​IMG]
    พระเทพวิสุทธิมงคล หรือ หลวงปู่ศรี มหาวีโร ท่านเกิดในตระกูล ปักกะสีนัง
    นามเดิมชื่อ "ศรี" เกิดเมื่อ วันศุกร์ที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ ตรงกับวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเมีย ณ บ้านขามป้อม ตำบลขามป้อม อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม เป็นบุตรคนที่ ๖ ของ นายอ่อนสี และ นางทุมจ้อย ปักกะสีนัง
    (อ่านประวัติหลวงปู่ศรี แล้ว เชิญทุกท่านลองอ่านประวัติพระศรีอาริยเมตไตย์ วัดไลย์ แล้วลองพิจารณากันดูครับ)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มิถุนายน 2011
  4. อุดมสมพร

    อุดมสมพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,658
    ค่าพลัง:
    +6,964
    พระศรีอาริยเมตไตร วัดไลย์ อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี
    ประวัติ “พระศรีอาริยเมตไตร” วัดไลย์ ตำบล เขาสมอคอน อำเภอ ท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี
    [​IMG]

    พระศรีอาริยเมตไตร หรือที่ประชาชนทั้งหลายมักเรียกกันสั้นๆว่า “พระศรีอาริย์” นั้น มีประวัติที่จารึกไว้ในคัมภีร์ใบลานเทศนาเป็นภาษาขอม ต่อมามีผู้แปลเป็นภาษาไทย แล้วจารึกไว้ในคัมภีร์ใบลาน เพื่อเทศนาให้ประชาชนที่เลื่อมใสศรัทธามานมัสการ และอยากทราบประวัติของท่านได้สดับกัน ซึ่งมีเนื้อความโดยย่อดังนี้……

    อตีเต กาเล……ในกาลครั้งหนึ่ง มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่หมู่บ้านท่าลาด แขวงเมืองปาวา เป็นหมู่บ้านที่อุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร ประชาชนทั้งหลายก็มั่งคั่งด้วยทรัพย์สมบัติสฤงคาร ต่างมีอาชีพในการทำไร่ ทำนา และค้าขาย ประชาชนทั้งหลายต่างอยู่เย็นเป็นสุขสบายตลอดมา...
    ฝ่ายสามีชื่อว่า บริสุทธกุมาร ภรรยาชื่อว่า ปทุมนารี ทั้งสองรักใคร่ทนุถนอมกันฉันท์สามีภรรยาที่ดีทั่วไปจะพึงมีต่อกัน ประกอบการเลี้ยงชีพ ด้วยความขยันหมั่นเพียร ซื่อสัตย์สุจริต เว้นการเบียดเบียนผู้อื่น ให้ได้รับความเดือดร้อน ได้รับความสุขสถาพรตลอดมา สิ้นกาลช้านาน แต่ทั้งสองครองรักกันมาช้านานจะได้มีบุตรธิดาแม้สักคนหนึ่งก็หามิได้ เหตุที่เธอทั้งสองประกอบอยู่ในสัมมาทิฐิ มีศรัทธาปสาทะ ความเชื่อ ความเลื่อมใสในบวรพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้น เมื่อจะประกอบกองการกุศลสิ่งหนึ่งสิ่งใดแม้แต่น้อย เธอทั้งสองก็ตั้งความปรารถนาที่จะได้บุตรธิดาเป็นต้นประธาน....

    เมื่อทั้งสองได้กระทำกองการกุศลต่างๆยิ่งๆขึ้น ความปรารถนาที่จะได้บุตรก็แก่กล้าขึ้นทุกที จนบันดาลให้ร้อนไปถึงท้าวสหัสสนัยเทวราช ผู้เป็นจอมแห่งเทพยดาทั้งหลาย พระองค์ทรงทราบด้วยทิพย์จักษุ ว่าเป็นเพราะบริสุทธกุมารและปทุมนารี สองสามีภรรยา มีความปรารถนาจะได้ซึ่งบุตร ได้กระทำกองการกุศลเป็นจำนวนมาก เธอทั้งสองประกอบด้วยกุศลศรัทธา กระทำแต่กุศลกรรม ไม่เบียดเบียนตนและผู้อื่น ให้ได้รับความเดือดร้อนด้วยประการใดๆ เมื่อพระองค์ทรงทราบเช่นนี้แล้ว จึงทรงดำริว่า จะทำความปรารถนาของเธอทั้งสองให้สำเร็จสมประสงค์
    พระองค์จึงเสด็จไปสู่สวรรค์ชั้นดุสิต ซึ่งเป็นที่ประทับของพระศรีอาริยเมตไตรเทพบุตรบรมโพธิสัตว์ เมื่อเสด็จถึงแล้ว ทรงทำความคารวะซึ่งกันและกัน ตรัสสนทนาเป็นธรรมสากัจฉาตามสมควรแล้ว จึงทรงเชื้อเชิญพระศรีอาริยเมตไตรเทพบุตร เพื่อจะให้ไปทรงถือกำเนิดในมนุษย์โลก ด้วยพระดำรัสว่า “ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ ประกอบด้วยความสุขเกษมสำราญนิราศภัย บัดนี้พระศาสนาพระจอมไตรสมณโคดมบรมสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ล่วงเลยมามากแล้ว ถ้ากระไรขออัญเชิญพระองค์เสด็จจากดุสิตสวรรค์สู่มนุษย์โลก เพื่อเป็นการเยี่ยมเยือนพระพุทธศาสนา จะได้ช่วยสงเคราะห์แนะนำ อบรมสั่งสอนมหาชนทั้งหลาย ให้ดำรงมั่นอยู่ในกุศลศรัทธา ให้มีวิริยะอุตสาหะ ในการที่จะประกอบกุศลกรรมยิ่งๆขึ้นไป ทั้งพระศาสนาของพระจอมไตรอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะได้ถาวรวัฒนายิ่งๆขึ้นไป เป็นที่เฉลิมฉลองศรัทธาของมหาชนพุทธบริษัท เขาทั้งหลายจะได้พากันตัดเสียซึ่งห้วงวัฏฏะ มุ่งอมตะมหานครนฤพาน อันเป็นแดนเกษมสำราญ เป็นเบื้องหน้าในอนาคตกาล ขออัญเชิญพระองค์เสด็จไปถือปฏิสนธิในคัพโภทรของนาง"ปทุมนารี" ซึ่งเป็นผู้ประกอบด้วยคุณธรรม เป็นสัมมาทิฐิ เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ขอพระองค์โปรดรับคำเชิญ เสด็จไปอนุเคราะห์ด้วยเถิด”
    เมื่อพระศรีอาริยเมตไตรเทพบุตร ได้สดับพระดำรัสเช่นนั้นแล้ว จึงตรัสถามว่า “ดูก่อนท้าวสักกเทวราช บัดนี้พระศาสนาของสมเด็จพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าล่วงไปเท่าไรแล้ว” ท้าวสักกเทวราชตรัสตอบว่า “บัดนี้พระศาสนาล่วงไปมากแล้ว เพราะเหตุนี้ข้าฯจึงใคร่ขออัญเชิญพระองค์เสด็จไปยังมนุษย์โลก จะได้ช่วยเติมศรัทธาปสาทะของมหาชนพุทธบริษัท ทั้งจะเป็นเหตุให้บวรพุทธศาสนาถาวรวัฒนารุ่งเรืองตลอดไปถ้วนห้าพันวัสสาตามคติพุทธทำนาย” พระศรีอาริยเมตไตรตรัสว่า “ดูก่อนองค์อัมรินทราธิราช ถ้าดังนั้นข้าฯจะลงไปยังมนุษย์โลกตามคำเชิญของท่าน เพื่อเป็นการช่วยเพิ่มเติมกุศลศรัทธาแก่มหาชนพุทธบริษัท ให้มีวิริยะอุตสาหะพากเพียรพยายาม ในการทำกุศลกรรมความดีทั้งหลาย อันจะเป็นมรรคาที่จะพาไปให้ได้ประสบพบพระศาสนาของข้าฯในอนาคตกาล และจะได้อบรมสั่งสมบารมีของอาตมาเองให้ยิ่งๆขึ้นไป” เมื่อพระศรีอาริยเมตไตรตรัสดังนั้นแล้ว ท้าวสักกเทวราชจึงทูลลาเสด็จกลับสู่ดาวดึงส์เทวโลก
    ในมงคลสมัย วันเมื่อพระศรีอาริยเมตไตรบรมพงศ์โพธิสัตว์เสด็จจุติจากดุสิตเทวสถาน นางปทุมนารีผู้เป็นภรรยาของบริสุทธกุมาร กำลังนอนหลับสนิทอยู่เวลาปัจจุสมัยใกล้รุ่ง นางเกิดนิมิตฝันไปว่า ได้ทอดทัศนาเห็นพระสุริยาทิตย์กำลังอุทัยไขรัศมีขึ้นมาทางบูรพาทิศ แล้วได้เลื่อนลอยมาสู่มุขประเทศ คือ ปากของนาง เมื่อนางได้ทัศนาเห็นพระสุริยาทิตย์เช่นนั้น ก็เกิดปฏิพัทธ์รักใคร่ มีจิตอยากจะได้ไว้เชยชมเป็นอย่างยิ่ง นางจึงไขว่คว้าเอาดวงพระสุริยาทิตย์ ซึ่งมีรัศมีสว่างรุ่งโรจน์นั้นกลืนกินลงไปในอุทร เมื่อนางจะกลืนกินลงไปแล้ว ปรากฏว่าเกิดความอิ่มอาบซาบซ่านในอุทรยิ่งนัก และเกิดปิติปราโมทย์เป็นที่สุด จะหาครั้งใดที่จะมีความสุขเหมือนครั้งนี้หามิได้ เมื่อนางตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาใกล้รุ่งสว่าง ครั้นเวลาเช้าจึงเล่าถึงนิมิตนั้นให้สามีฟังตั้งแต่ต้นจนจบ
    ฝ่ายบริสุทธกุมาร เมื่อได้ฟังภรรยาเล่าถึงเช่นนั้น ได้พิจารณาไปแล้ว มีความดีใจด้วยคิดว่าครั้งนี้ ตัวเราเห็นทีจะได้บุตรสมความปรารถนาเป็นแน่แท้ ทั้งบุตรนี้คงจะเป็นผู้มีบุญญาธิการอันยิ่งใหญ่ ปรากฏแก่มหาชนไปทั่วทุกทิศานุทิศ ดุจพระอาทิตย์ส่องแสงสว่างไปทั่วสากลโลก ฉะนั้น จึงกล่าวกับภรรยาว่า คงจะเป็นลาภอันประเสริฐของพวกเราทั้งหลายแล้ว ครั้งนี้เห็นทีท้าวสักกเทวราช จะทรงประทานความปรารถนาของพวกเราทั้งสองให้สำเร็จดังที่ตั้งไว้ คือเราคงจะได้บุตรเป็นหน่อเนื้อเชื้อไขแห่งผู้มีบุญญาธิการ
    นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา นางปทุมนารีก็ตั้งครรภ์ สามีและวงศาคณาญาติทั้งหลาย ต่างช่วยกันให้การบริบาลรักษา เฝ้าทนุถนอมมิให้นางได้รับความอนาทรร้อนใจสิ่งใดๆเลย ครั้นนางตั้งครรภ์มาได้กำหนดทศมาส พระศรีอาริยเมตไตรเทพบุตรก็ประสูติจากครรภ์โภทรของมารดา บรรดาวงศาคณาญาติทั้งหลายต่างพากันมาห้อมล้อมพร้อมเพรียงกัน ช่วยกันประคับประคองอาบน้ำชำระล้างครรภ์มลทินเป็นอันดี ขัดสีฉวีวรรณและไล้ทาด้วยสุคนธชาติของหอม เสร็จแล้วยังกุมารให้นอนเหนือที่นอน ที่จัดเตรียมไว้เป็นอันดี บิดามารดา พร้อมด้วยบรรดาญาติทั้งหลาย ได้ปรึกษาหารือกันในการที่จะขนานนามบุตรน้อยนั้นว่ากระไร จึงได้พร้อมใจกันขนานนามว่า”ศรี” อันเป็นมงคลนามว่า กุมารนี้เกิดมาเพื่อความเป็นศิริมงคล เป็นที่รักใคร่ของมารดาบิดาและวงศาคณาญาติทั้งหลาย ทั้งจะได้เป็นศรีสง่าเชิดชูวงศ์ตระกูลต่อไป
    บริสุทธกุมารและนางปทุมนารี ได้ช่วยกันทนุถนอมเลี้ยงดูกุมารเป็นอย่างดี ให้ได้รับแต่ความสุขสนุกสบายตลอดมา...
    (จากหนังสือประวัติ พระศรีอาริยเมตไตรย์ วัดไลย์ ต.เขาสมอคอน อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 290.jpg
      290.jpg
      ขนาดไฟล์:
      17.2 KB
      เปิดดู:
      1,696
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2011
  5. อุดมสมพร

    อุดมสมพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,658
    ค่าพลัง:
    +6,964
    ประวัติ “พระศรีอาริยเมตไตร” ต่อ..
    [​IMG]
    ด้วยบริสุทธกุมารและนางปทุมนารี มีอาชีพในการทำนา อยู่มาวันหนึ่ง นางปทุมนารีได้ไปสู่นา เพื่อทำการไล่นกหนูและบรรดาสัตว์ทั้งหลาย ที่จะทำอันตรายแก่ข้าวในนา พระโพธิสัตว์ได้ขออนุญาตมารดาติดตามไปด้วย เพื่อจะช่วยไล่นกและสัตว์ทั้งหลาย เมื่อพระโพธิสัตว์และมารดาไปถึงนา บรรดานก หนู และสัตว์ทั้งหลาย ที่เคยมากัดกินทำอันตรายแก่ข้าวในนา จะได้พากันมากัดกินเหมือนกาลก่อนก็หามิได้ เป็นที่อัศจรรย์แก่มารดาเป็นยิ่งนัก ในขณะที่พระโพธิสัตว์อยู่ที่นากับมารดาในวันนั้น เธอได้ทัศนาเห็นฝูงปลาเป็นอันมาก ว่ายน้ำไปมาอยู่ที่ชายนา จึงได้ออกปากว่าวันนี้ เราจะตกปลา จึงได้แสวงหาเบ็ดและเหยื่อได้มาพร้อมแล้ว จึงเอาเหยื่อมาเกี่ยวที่เบ็ดทอดสายลงไปในกระแสน้ำพร้อมกับอธิษฐานว่า”หากปลาตัวใด เคยเป็นอาหารของข้าพเจ้าแล้วไซร้ ขอปลาตัวนั้น จงมากินเหยื่อที่เบ็ดนี้เถิด ถ้าปลาตัวใด ไม่เคยเป็นอาหารของข้าฯ ขอปลาตัวนั้น จงอย่ามากินเหยื่อนี้เลย เพราะมันมีเบ็ดคมกล้า จะเกี่ยวเอาปากของเจ้าให้ได้รับบาดเจ็บปวด”……ในขณะนั้น มีปลาดุกตัวหนึ่ง อาจสามารถให้ชีวิตเป็นทาน จึงว่ายเข้าไปคาบเหยื่อที่เบ็ดนั้นมา ปรากฏว่ามีปลาดุกติดขึ้นมาตัวหนึ่ง แต่เป็นที่น่าอัศจรรย์ที่ปรากฏว่า ปลาดุกนั้นกลับร้องด้วยความเจ็บปวดเป็นภาษามนุษย์ว่า “อุย เจ็บจริงพระเจ้าข้า พระเจ้าข้าเจ็บจริงๆ” เมื่อพระโพธิสัตว์ได้ฟังเช่นนั้น ก็เกิดความสงสัยแปลกใจว่า เป็นด้วยเหตุใด จึงทำให้ปลาดุกตัวนี้ร้องเป็นภาษามนุษย์ คิดต่อไปว่า ควรที่เราจะไปถามท่านผู้รู้ ผู้ประกอบด้วยปัญญาสามารถ คงจะรู้แจ้งถึงเหตุอัศจรรย์ในครั้งนี้
    พระกุมารโพธิสัตว์ เมื่อกลับมายังเคหาแล้ว จึงบอกเรื่องนั้นแก่บิดามารดาของตน ทั้งสองเกิดความประหลาดใจสงสัย ไม่ทราบว่าจะมีเหตุดีร้ายประการใด จึงได้จัดเตรียมดอกไม้ธูปเทียนเภสัชอังคาส แล้วพากันไปยังอาวาสวัดไลย์ ซึ่งเป็นอารามที่อยู่ในหมู่บ้านท่าลาด ใกล้กับเคหสถานของตน ครั้นถึงแล้วจึงเข้าสู่ที่ใกล้ กราบนมัสการพระสงฆ์ผู้เป็นใหญ่ เป็นประธานในอาวาสวัดไลย์ พร้อมกับถวายดอกไม้ธูปเทียนและคิลานเภสัช พระผู้เป็นเจ้าจึงถามว่า “ดูก่อน อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย เธอทั้งหลายมีธุระสิ่งอันใดหรือ จึงได้มาหาอาตมาในวันนี้” บริสุทธกุมารและนางปทุมนารี จึงได้เล่าความตั้งแต่ต้น ที่ตนทั้งสองไม่มีบุตรธิดา เพราะความปรารถนาใคร่จะได้บุตร เมื่อจะประกอบกองการกุศลสิ่งอันใด ก็ตั้งจิตต์อธิษฐาน ใคร่จะได้แต่บุตรธิดา ตลอดถึงความฝันที่นางปทุมนารี ได้นิมิตฝันไปก่อนเมื่อจะตั้งครรภ์กุมาร ตลอดถึงความอัศจรรย์เมื่อกุมารไปช่วยไล่ไล่นกหนูและสัตว์ทั้งหลายที่ท้องนา จนกระทั่งกุมารไปตกปลา ปลากลับร้องไห้เป็นภาษามนุษย์ในวันนี้ พร้อมกับเล่าว่า เรื่องนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์เป็นยิ่งนัก ขอให้พระคุณเจ้าโปรดกรุณาทำนายดูว่า จะมีเหตุดีหรือร้ายเป็นประการใด
    พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นประธานสงฆ์ในอารามวัดไลย์นั้น ครั้นได้รับฟังเรื่องราวต่างๆ ที่ทั้งสองสามีภรรยาเล่าให้ฟังแล้วนั้น จึงได้พิจารณาไปดูมูลเหตุ ก็ได้ทราบว่า อันว่ากุมารนั้น เป็นผู้ประกอบด้วยบุญญาบารมี หาใช่บุคคลสามัญธรรมดาไม่ หากเป็นหน่อเนื้อเชื้อบรมพงศ์โพธิสัตว์ พระองค์เสด็จลงยังมนุษย์โลก ก็เพื่อจะทรงบำเพ็ญบารมีโพธิญาณและเพื่อจะทรงอนุเคราะห์มหาชนพุทธบริษัทฯ ให้ดำรงมั่นอยู่ด้วยศรัทธาปสาทในพระรัตนตรัย อันจะเป็นเหตุให้สำเร็จพระโพธิญาณในอนาคตกาลต่อไป เมื่อทราบเช่นนั้นแล้วจึงคิดว่า หากอาตมาจะทำนายทายทักให้พิศดารตามมูลเหตุ ก็เกรงว่ากิตติศัพท์อันนี้จะขจรขจายไป เป็นที่แตกตื่นโกลาหลแก่มหาชนพุทธบริษัททั้งหลาย ควรที่อาตมาจะทำนายพอให้หายเหตุที่กังขาสงสัย และเป็นที่เบิกบานร่าเริงใจแก่คนทั้งสองก่อน เมื่อคิดดังนั้นแล้ว จึงกล่าวกับคนทั้งสองว่า ดูก่อนท่านทั้งสอง อันว่าบุตรของท่านผู้นี้ เป็นผู้มีบุญญาธิการอันได้อบรมสั่งสมไว้มากในอดีตชาติที่ล่วงแล้วมา อาตมาพิจารณาเห็นว่า เธอไม่เหมาะสมที่จะอยู่เป็นฆราวาสครองเรือนต่อไป ถ้ากระไรก็ขอให้ เธอได้บรรพชาอุปสมบทในพุทธศาสนา ต่อไปจะได้ปรากฏเกียรติคุณเจริญรุ่งเรืองในพระบวรพุทธศาสนา เป็นที่ศรัทธาปสาทของมหาชนพุทธบริษัทสืบไป สองสามีภรรยาได้ฟังคำพยากรณ์ของพระคุณเจ้าเช่นนั้น ก็เกิดปิติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง จึงพร้อมกันมอบกุมารแก่พระผู้เป็นเจ้า เพื่อให้กุมารบรรพชาต่อไป
    ฝ่ายพระศรีอาริยเมตไตรบรมโพธิสัตว์ ครั้นได้บรรพชาเป็นสามเณรในพระบวรพุทธศาสนาแล้ว ก็อุตสาหวิริย เล่าเรียนศึกษาพระธรรมวินัยด้วยพระปัญญาบารมีของพระโพธิสัตว์ มิช้าก็เป็นผู้แตกฉานในคัมภีร์พระไตรปิฎก คือ เป็นผู้มีความรอบรู้ในพระวินัย พระสูตรและพระอภิธรรม สามารถที่จะวิสัชนาตัดความสงสัยของมหาชนพุทธบริษัทผู้ยังมีความกังขาสงสัยเสียได้ ทำให้เกิดศรัทธาปสาทความเชื่อความเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนา ยินดียิ่งในการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนายิ่งๆขึ้นไป จำเดิมแต่บรรพชามา พระโพธิสัตว์ได้ปฏิบัติกรณียกิจต่างๆมิได้ขาดตกบกพร่อง ได้เจริญความเพียร อบรมบารมีโพธิญาณอยู่ ณ อารามวัดไลย์ จวบจนอายุได้ 20 ปีบริบูรณ์
    เมื่อพระโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตร มีชนมายุครบที่จะอุปสมบทเป็นพระภิกษุได้ จึงได้รับการอุปสมบท ณ อารามวัดไลย์นั้น พระองค์เมื่อได้รับการอุปสมบทแล้ว จะได้ตั้งอยู่ในความประมาทแม้แต่น้อยหนึ่งก็หามิได้ พระโพธิสัตว์ได้เจริญพุทธบารมีอยู่ ณ อารามวัดไลย์นั้น กาลต่อมาจึงได้เป็นใหญ่ เป็นประธาน เป็นอาจารย์ แนะนำอบรมสั่งสอนภิกษุสามเณร อุบาสก อุบาสิกามหาชนพุทธบริษัทสืบมา
    ในกาลครั้งนั้น ยังมีบุรุษแก่ผู้หนึ่งซึ่งมีนามปรากฏว่า “ตาสุวี”เป็นผู้มีปกติอาศัย ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งในแคว้นแดนเมืองพารา เป็นผู้ประกอบด้วยกุศลศรัทธาสัมมาปฏิบัติ พร้อมตัวบุตรภรรยาประกอบการงานเลี้ยงชีพโดยสุจริต มีศรัทธาเลื่อมใสในพระรัตนตรัยอย่างมั่นคงตลอดมา เมื่อจะทำกองการกุศลใดๆ ก็ตั้งความปรารถนา ขอให้ได้พบพระศรีอาริยเมตไตรทุกครั้ง ตาสุวีได้ประกอบกองการกุศลน้อยใหญ่และได้ตั้งสัจจาธิษฐานเช่นนั้นมาช้านาน จนล่วงเลยปัจฉิมวัย มีอายุได้ประมาณ 80 ปี ก็มิได้มีความท้อถอยในศรัทธา ประกอบการกุศล มีการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เป็นต้นตลอดมา อยู่มาวันหนึ่งเป็นวันอุโบสถ 15 ค่ำ ตาสุวี ก็ได้มาสมาทานอุโบสถศีลรักษาอยู่เป็นปกติ ครั้นถึงเวลาเย็นใกล้ค่ำ ก็เกิดเวทนาถึงความสงสัยในชีวิตว่า ตัวเราคงมีชีวิตต่อไปอีกไม่นานแล้ว เพราะว่าบัดนี้อายุของเราก็สมควร ไม่ทราบว่าจะต้องตายลงในวันใด จึงเรียกบุตรภรรยามาสู่ที่ใกล้ แล้วกล่าวว่า “ถ้าหากว่าเราได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว ขอพวกเธอทั้งหลาย จงอย่าได้ตั้งอยู่ในความประมาท จงเป็นผู้มีศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัย หมั่นประกอบกองการกุศลมี ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เป็นต้น อย่าได้ขาด เพราะสิ่งนั้น จะเป็นหนทางทำให้เธอทั้งหลายได้ประสบกับความสุขเกษมสำราญ จะได้ประสบพบพระศรีอาริยเมตไตรในอนาคตกาลภายหน้า ถ้าหากเราจะถึงแก่มรณกรรมในวันนี้ไซร้ ขอพวกเธอทั้งหลาย จงอย่าเพิ่งได้กระทำการฌาปนกิจสรีระของเราก่อน จงผ่อนรั้งรอไว้สัก 7 ราตรี เมื่อครบกำหนดนี้แล้วไซร้ จงขอให้ชักชวนกันมาทำการฌาปนกิจสรีระของเราเสียเถิด”
    ตาสุวี เมื่อได้สอนสั่งบุตรภรรยาของตนเช่นนั้นแล้ว ก็ตั้งสติมั่นไม่ฟั่นเฟือน ระลึกถึงกุศลขันธ์ต่างๆ ที่เคยได้บำเพ็ยมาแต่กาลก่อน ตลอดถึงอุโบสถศีลที่ได้บำเพ็ญให้เป็นไปขณะนี้ ก็เกิดปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง แล้วตั้งจิตระลึกถึงพระศรีอาริยเมตไตร กระทำสัจจาธิษฐานว่า”ขอเดชะ ด้วยอำนาจศีล ทาน และกองการกุศลต่างๆที่ข้าพเจ้าได้สั่งสมอบรมมาตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาตินี้ ถ้าหากข้าฯจะต้องถึงแก่อนิจกรรมในครั้งนี้แล้วไซร้ ด้วยอำนาจแห่งกุศลขันธ์ที่ข้าฯได้กระทำมาแล้วนั้น จงนำข้าฯให้ได้ไปบังเกิดในสุคติโลกสวรรค์ ขอให้ได้ประสบพบพระศรีอาริยเมตไตร ตามที่ข้าฯได้ปรารถนามาแล้วด้วยเถิด
    เมื่อตาสุวี ได้กระทำสัจจาธิษฐานดังนั้นแล้ว มิช้าก็กระทำกาลกิริยาในท่ามกลางศรัทธาจิตต์ ก็ได้ไปบังเกิดบนสวรรค์ดาวดึงส์เทวโลกในทันใดนั้น สมมโนรถความปรารถนา ดุจบุคคลที่นอนหลับแล้วกลับตื่นขึ้นฉะนั้น เสวยทิพย์สมบัติอันโอฬารพร้อมด้วยนางเทพอัปสรทั้งหลายเป็นบริวาร แต่ดวงจิตต์ที่ปรารถนาจะได้พบพระศรีอาริยเมตไตรนั้นจะหลงลืมไปก็หามิได้ เพราะเหตุนั้นไซร้เทพบุตรสุวี จึงได้ท่องเที่ยวไปในดาวดึงส์ เพื่อหวังจะได้ประสบพบพระองค์ แต่ได้พยายามเที่ยวไปจนทั่ว ก็หาได้พบพระองค์ไม่ จึงคิดที่จะเข้าไปทูลถามท้าวสักกะเทวราชว่า บัดนี้พระศรีอาริยเมตไตรประทับอยู่ ณ ที่ใด เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้ว จึงไปสู่ที่ใกล้แล้วทูลถาม
    ท้าวสักกะเทวราชทรงสดับคำทูลถามเช่นนั้นแล้ว จึงตรัสตอบว่า”ดูก่อนเทพบุตร ท่านเพิ่งขึ้นมาจากมนุษย์โลก ท่านไม่ได้พบพระศรีอาริยเมตไตรดอกหรือ เพราะเวลานี้พระองค์ได้ลงไปถือกำเนิดยังมนุษย์โลก ได้บรรพชาอุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา เจริญพรหมจรรย์สิกขาบทศีลขันธ์บารมีอินทรีย์สังวร เพื่อประโยชน์ยังบารมีโพธิสัตว์ ให้ถาวรวัฒนายิ่งๆขึ้นไป ทรงจำพรรษากาลอยู่ ณ อารามวัดไลย์ ได้อาศัยโคจรบิณบาตรยังหมู่บ้านท่าลาด แขวงเมืองปาวา”
    เมื่อตาสุวีเทพบุตรได้ฟังพระดำรัสของท้าวสักกะเทวราชเช่นนั้นแล้ว จึงกราบทูลว่า “ข้าแต่ท้าวสักกะเทวราชถ้ากระนั้นไซร้ ข้าพระองค์ใคร่จะทูลลากลับสู่มนุษย์โลกอีก เพื่อที่จะไปแสวงหาองค์พระศรีอาริยเมตไตรให้พบ จะได้เพิ่มพูลบุญบารมีให้ยิ่งๆขึ้นไป แต่ทำไฉนจึงจะทราบได้ว่า ผู้ใดคือองค์พระศรีอาริยเมตไตร”
    ท้าวสักกะเทวราช จึงพระราชทานดอกมณฑาทิพย์ อันเป็นเครื่องสักการะของสวรรค์ให้แก่ตาสุวีเทพบุตร แล้วตรัสว่า “ดูก่อนเทพบุตร อันดอกทิพย์มณฑานี้เป็นของสวรรค์ ผู้ใดอื่นเว้นจากพระศรีอาริยเมตไตรแล้ว จะได้ทัศนาการเห็นก็หามิได้ ท่านจงกลับไปยังมนุษย์โลก แล้วนำเอาดอกทิพย์มณฑานี้ ไปถวายแก่พระองค์เถิด” เมื่อตรัสบอกดังนั้นแล้ว พระองค์จึงตรัสบอกหนทางที่จะไปแสวงหาพระศรีอาริยเมตไรแก่ตาสุวีเทพบุตรนั้น
    ตาสุวีเทพบุตรได้ฟังพระดำรัสเช่นนั้นแล้ว สุดแสนจะดีใจ จึงรีบรับดอกทิพย์มณฑาแล้ว ทูลลาท้าวสักกะเทวราช จุติจากดาวดึงส์สวรรค์กลับมาในร่างกายเดิมของตนในเวลาวันนั้น นับจากวันที่ตาสุวีได้ทำกาลกิริยาตายไปก็พอครบกำหนด 7 วัน แต่ร่างกายของตาสุวีจะเป็นอันตรายเปื่อยเน่าไปก็หามิได้ เมื่อตาสุวีได้กลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง จึงได้ร้องเรียกบุตรและภรรยา ให้มาช่วยให้แกได้ลุกขึ้นมาด้วย ฝ่ายบุตรและภรรยาพร้อมด้วยหมู่ญาติทั้งหลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นต่างก็พากันอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อทุกคนทราบว่าตาสุวี ได้กลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาเช่นนั้น ก็พากันดีใจ รีบช่วยกันเข้าไปแก้ด้ายตราสังข์ พยุงให้ลุกนั่ง แล้วขัดถู ชำระร่างกายให้สิ้นมลทินเป็นอันดี แล้วพากันทำอัญชลีกราบขอขมาโทษ ได้สนทนาถามถึงเรื่องราวต่างๆที่ได้ประสบมา ตาสุวีเมื่อได้ฟังบุตร ภรรยา และญาติๆทั้งหลายถามถึงเรื่องราวเช่นนั้น ก็พยายามคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมา แล้วจึงเล่าเรื่องทั้งหลายให้หมู่ญาติได้ฟัง เริ่มตั้งแต่วันที่ได้ทำกาลกิริยาตายไปบังเกิดยังดาวดึงส์เทวโลก ได้เที่ยวแสวงหาพระศรีอาริยเมตไตรได้เสด็จลงมาถือกำเนิด และได้บรรพชาอุปสมบทอยู่ในโลกมนุษย์โลกนี้ จึงได้ทูลลากลับมา เพื่อจะแสวงหาพระศรีอาริยเมตไตร แล้วตาสุวีจึงได้หยิบเอาดอกทิพย์มณฑา ให้คนทั้งหลายเหล่านั้นได้ดู เพื่อเป็นพยานถึงการที่ตนได้ไปเที่ยวแสวงหาพระศรีอาริยเมตไตร และได้เข้าเฝ้าทูลถามท้าวสักกะเทวราชจริงดังกล่าว แต่คนทั้งลายจะได้มองเห็นสักคนหนึ่งก็หามิได้ ตาสุวีจึงกล่าวว่า นอกจากพระศรีอาริยเมตไตรแล้วจะมีผู้ใดผู้หนึ่งมองเห็นดอกทิพย์มณฑานี้ไม่มี มหาชนทั้งหลายเมื่อไดฟังเช่นนั้น ต่างก็พากันโสมนัสยินดีเป็นที่สุด จึงพากันทำอัญชลีแล้วให้สาธุการขึ้นพร้อมกัน
    จำเดิมแต่นั้นมา ตาสุวีจึงได้นุ่งห่มผ้าขาว สมาทานศีล 8 ประการ รักษาปฏิบัติอยู่เป็นนิตย์มิได้ขาด และได้มีนามปรากฏว่า”ตาทิพย์มณฑา”สืบมาตามนิมิตรที่ท้าวสักกเทวราชทรงประทานดอกมณฑาทิพย์มาจากดาวดึงส์สวรรค์
    ในกาลต่อมา ในวันหนึ่งตาทิพย์มณฑา ได้เรียกบุตรภรรยามาพร้อมกันแล้วกล่าวว่า “ดูก่อน เจ้าทั้งหลายผู้เป็นที่รักของเรา เจ้าได้กระทำกองการกุศลมาเป็นอันมาก และในการทำการกุศลนั้น ก็ได้ตั้งความปรารถนา เพื่อให้ได้พบพระศรีอาริยเมตไตร จนกระทั่งได้ทำกาลกิริยาตายไปและได้ไปบังเกิดในดาวดึงส์สวรรค์ ได้เสวยทิพย์สมบัติ ได้รับความสุขเกษมสำราญเป็นอย่างยิ่ง แต่เพราะความปรารถนาที่จะได้พบพระศรีอาริยเมตไตรยังไม่สำเร็จ เราจึงได้กลับมายังมนุษย์โลกอีก บัดนี้ควรที่เรา จะไปเที่ยวสืบหาพระองค์ ตามที่ท้าวสักกเทวราชตรัสประทานมา เพื่อที่จะได้ยังความปรารถนาให้สำเร็จสมมโนรถที่ตั้งไว้ อนึ่งเมื่อเราเดินทางไป เพื่อแสวงหาพระศรีอาริยเมตไตรแล้ว ขอพวกเจ้าทั้งหลาย จงอย่าตั้งอยู่ในความประมาท จงครอบครองรักษาเคหสถานบ้านเรือน และทรัพย์สมบัติทั้งหลายให้จงดี และจงปฏิบัติสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน ให้ได้ความสุขเกษมสำราญตลอดไป ส่วนตัวเราจะขอลาเจ้าทั้งหลายไปสืบแสวงหาองค์พระศรีอาริยเมตไตรสืบต่อไป”
    เมื่อบุตรภรรยาของตาสุวีได้ฟังเช่นนั้น ต่างก็พากันอนุโมทนายินดีเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ช่วยกันจัดแจงทรัพย์สินเงินทองที่จำเป็นในการเป็นเสบียงเดินทางเป็นอันมากลงบรรทุกในนาวา ครั้นจัดเตรีมเสร็จแล้ว จึงพูดกับบิดาว่า “ข้าแต่บิดา สิ่งจำเป็นใดที่จะต้องใช้ในการเดินทาง พวกข้าฯทั้งหลาย ได้ช่วยกันจัดเตรียมไว้เรียบร้อยพร้อมทุกอย่างแล้ว เมื่อท่านบิดาประสงค์จะเดินทางก็จงไปเถิด แต่เมื่อท่านบิดาไปแล้ว ได้พบพระศรีอาริยเมตไตร ก็ขอจงได้อาราธนาพระองค์มาให้ข้าฯทั้งหลาย ได้นมัสการกราบไหว้พระองค์บ้างด้วย หวังว่าจะได้รับอบรมแนะนำสั่งสอน ให้มีสติตั้งมั่นคงในกุศลศรัทธา อันจะเป็นเหตุให้ได้พบพระศาสนาของพระองค์ในอนาคตกาลภายหน้า หรือถ้ากระไร ก็ขอโปรดได้แจ้งข่าวมาให้ข้าฯทั้งหลายได้ทราบด้วยเถิด”
    ตาทิพย์มณฑา ครั้นได้ฟังบุตรภรรยากล่าวเช่นนั้น มีความปิติยินดีเป็นยิ่งนัก จึงได้กล่าวคำอำลาบุคคลทั้งหลาย ลงสู่เรือที่บุตรภรรยาจัดเตรียมไว้ให้นั้น แล้วล่องเรือมาตามลำแม่น้ำ ผ่านตามนิคมชนบทน้อยใหญ่มาเป็นจำนวนมาก เมื่อได้พบผู้คนในที่ใด ก็ได้ถามถึงเรื่องที่ตนปรารถนา แต่ได้ล่องเรือมานั้นก็สิ้นเวลาหลายวัน จนกระทั่งวันหนึ่ง เรือได้ล่องมาถึงแม่น้ำซึ่งได้แยกเป็นสองสาย จึงเกิดความลังเลสงสัยว่า เราจะไปทางไหนดี ก็คิดได้ว่าเห็นทีที่เราจะต้องรอท่า คอยถามประชาชนผู้สัญจรไปมายังสถานที่นี้ให้ทราบเสียก่อน ก็พอดีในขณะนั้นมีบุรุษชาวบ้านผู้หนึ่งล่องเรือผ่านมา จึงถามว่า”อันบ้านนี้มีนามปรากฏว่ากระไร เป็นแว่นแคว้นเมืองใด และระยะทางอีกไกลหรือใกล้กว่าจะถึงเมือง” เมื่อบุรุษนั้นตอบว่า “บ้านนี้มีชื่อว่าบ้านท่าลาด เป็นแว่นแคว้นแดนเมืองปาวา ถ้าจะประมาณระยะทางก็ยังอีกโยชน์กึ่งก็จะถึงเมือง” ตาสุวีได้ฟังเช่นนั้น ก็มีความชื่นชมโสมนัสยินดียิ่งนัก จึงกล่าวต่อไปอีกว่า “อันว่าวัดไลย์ นั้นอยู่ไกลหรือใกล้จากที่นี่” เมื่อบุรุษนั้นบอกว่า “ล่องนาวาไปอีกหน่อยหนึ่งก็จะถึง” จึงล่องเรือไปตามทางที่บุรุษนั้นชี้ทางบอกให้ ในไม่ช้าก็บรรลุถึงซึ่งวัดไลย์ดังปรารถนา เมื่อถึงแล้วจึงจอดนาวาเข้าที่ที่ท่าน้ำหน้าวัด อาบน้ำชำระกายเป็นอันดีแล้ว จึงจัดเตรียมดอกไม้ ธูป เทียน เครื่องสักการะ พร้อมทั้งดอกมณฑาทิพย์ เพื่อจะนำไปถวายแก่พระศรีอารยเมตไตร
    วันนั้นเป็นวันอุโบสถ เมื่อตาทิพย์มณฑานำเครื่องสักการะทั้งหลาย เพื่อจะน้อมถวายแก่พระศรีอาริยเมตไตรนั้น ก็คิดอยู่ในใจว่า ทำอย่างไรจึงจะได้รู้ว่า พระภิกษุรูปใดคือองค์พระศรีอาริยเมตไตร ในขณะนั้น จึงคิดขึ้นได้ว่า ควรที่เราจะไปนั่งอยู่ที่เชิงบันไดพระอุโบสถ พร้อมด้วยเครื่องสักการะนี้ ถ้าภิกษุองค์ใดได้ทัศนาการเห็นซึ่งดอกทิพย์มณฑานี้ เราก็จะรู้ได้ว่า องค์นี้แหละคือพระศรีอาริยเมตไตร เมือคิดได้ดังนั้นแล้ว จึงคมนาการไปนั่งอยู่ที่เชิงบันไดพระอุโบสถ
    ด้วยวันนั้นเป็นวันอุโบสถ เป็นวันที่พระภิกษุทั้งหลายจะต้องลงโบสถ์ เพื่อกระทำสังฆกรรมการสวดพระปาฏิโมกข์ เมื่อถึงเวลา พระภิกษุทั้งหลาย จึงพากันลงสู่พระอุโบสถ แต่พระภิกษุเหล่านั้นจะได้ทัศนาการเห็นดอกมณฑาทิพย์ ที่ตาสุวีนั่งถืออยู่ที่เชิงบันไดพระอุโบสถก็หามิได้ ตาสุวีจึงมีความสงสัยว่าคงจะมาผิดวัดเสียแล้ว แต่ก็ยังมีความมั่นใจว่า จะได้พบพระศรีอาริยเมตไตร ตามที่ท้าวสักกเทวราชตรัสบอกมา จึงเข้าไปหาพระภิกษุทั้งหลายแล้วถามว่า ในอารามนี้มีพระภิกษุเพียงเท่านี้หรือๆว่ายังมีอยู่อีก พระภิกษุทั้งหลายจึงบอกว่ายังมีอยู่อีกรูปหนึ่ง แต่วันนี้ท่านเกิดอาพาธ ไม่สามารถจะลงมายังพระอุโบสถได้ ขณะนี้ได้พักผ่อนอิริยาบถอยู่บนกุฏิ เมื่อตาสุวีฟังเช่นนั้นก็มิได้รอช้า รีบขึ้นไปยังกุฏินั้นทันที
    เมื่อพระศรีอาริยเมตไตรโพธิสัตว์ ได้ทัศนาการเห็นตาสุวีมาแต่สถานที่ไกล ได้พิจารณาดูก็รู้ว่า อันว่าท่านมหาบุญได้มาถึงแล้วไม่มีผิดเพี้ยนตามสุบินนิมิตของเราเมื่อคืนนี้
    ฝ่ายตาสุวี เมื่อได้ทัศนาการเห็นพระองค์ ก็มิได้มีความลังเลสงสัยแน่ใจว่า ผู้นี้แหละคือพระศรีอาริยเมตไตร จึงเข้าไปสู่ที่ใกล้ ถวายนมัสการแล้วจึงกล่าวว่า ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบถวายนมัสการด้วยน้ำใจอันบริสุทธิ์ แทบฝ่าพระบาทยุคลทั้งสองของพระองค์ ผู้จะตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาลภายหน้า ดังนี้แล้ว จึงน้อมถวายดอกมณฑาทิพย์ พร้อมด้วยเครื่องสักการะวรามิลทั้งหลาย พระศรีอาริยเมตไตร จึงกล่าวถามว่า ดูก่อนท่านมหาบุญ อันว่าดอกมณฑาทิพย์นี้ ท่านได้มาแต่สถานที่ใด ตาสุวีจึงได้เล่าเรื่องราวทั้งหลายตั้งแต่ต้นจนถึงตนออกจากบ้านและได้พบพระองค์อยู่ในขณะนี้ ทั้งนี้นับว่าเป็นบุญกุศลที่ข้าพระองค์ได้กระทำและตั้งความปรารถนาไว้ว่า ขอให้ได้ประสบพบพระองค์ ซึ่งบัดนี้ความปรารถนานั้นสำเร็จสมประสงค์แล้วในวันนี้
    เมื่อพระศรีอาริยเมตไตร ได้ฟังคำของตาสุวีเช่นนั้น จึงกล่าวว่า จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป ขอท่านอย่าได้นำเรื่องนี้ไปแสดงให้ผู้ใดทราบก่อน เพราะถ้าเช่นนั้นกิตติศัพท์อันนี้จะลือกระฉ่อนไปทั่วทิศานุทิศ มหาชนทั้งหลาย เมื่อได้ทราบข่าวเช่นนี้แล้ว ก็จะพากันมาเลื่อมใสในตัวอาตมา จะทำให้เกิดการโกลาหลโดยใช่เหตุ เพราะมหาชนทั้งหลายส่วนมาก มีความปรารถนาใคร่ที่จะได้พบอาตมา ส่วนตัวท่านนั้น นับว่าเป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่แล้ว ที่ได้มาพบอาตมาในกาลครั้งนี้ ขอให้ท่าน จงหมั่นประกอบกองการกุศลกรรม คุณงามความดีทั้งหลาย มีการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เป็นต้น ให้ยิ่งๆขึ้นไปเถิด จะได้เป็นทางให้ได้ไปบังเกิดร่วมกันในอนาคตกาลภายหน้า
    เมื่อพระศรีอาริยเมตไตรและตาสุวี ได้ฟังสนทนาเป็นธัมมสากัจฉา อันนำมาซึ่งความปิติรื่นเริงยินดีตามสมควรแล้ว ตาสุวีจึงได้ปาวารณาตัวเพื่อขออยู่อุปัฏฐากรับใช้พระศรีอาริยเมตไตร อันจะเป็นทางก่อสร้างเพิ่มเติมกุศลบารมีสืบต่อไป
    ตาสุวีได้อยู่อุปัฏฐากรับใช้พระศรีอาริยเมตไตรตามความปรารถนาของตนที่อาวาสวัดไลย์นั้น ได้ประกอบด้วยกุศลศรัทธา ชักชวนมหาชนพุทธบริษัททั้งหลายก่อสร้างบูรณะปฏิสังขรณ์เสนาสนะวัตถุและถาวรวัตถุทั้งหลาย มีโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ เป็นต้น และมีการชักชวนประชาชนร่วมใจกันปลูกต้นโพธิ์และต้นตาล เป็นอาทิ มหาชนทั้งหลายได้ร่วมใจกันบูรณะก่อสร้างวัดไลย์ ให้เจริญรุ่งเรืองได้ดังปรารถนา แต่ตาสุวีนั้นจะได้อิ่มในกองบุญกองกุศลเพียงนั้นก็หาไม่ วันหนึ่งจึงเข้าไปหาพระศรีอาริยเมตไตร แล้วทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าพระองค์พร้อมด้วยมหาชนพุทธบริษัท ต่างประกอบด้วยกุศลศรัทธาอันแรงกล้า ปรารถนาที่จะทำการหล่อรูปพระองค์ไว้ เพื่อกราบไหว้สักการะบูชา ทั้งจะได้ปรากฏเป็นอนุสสติแก่มหาชนพุทธบริษัททั้งหลายในอนาคตกาลภายหน้าสืบไป
    พระศรีอาริยเมตไตรโพธิสัตว์ เมื่อได้สดับตาสุวีทูลมาเช่นนั้น พระองค์ทรงห้ามไว้แล้วตรัสว่า ดูก่อนท่านมหาบุญ อันว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทั้งหลาย พระองค์ทรงแสดงเจดีย์สถานที่พวกเราพุทธบริษัทพึงกราบไหว้บูชาสักการะไว้ 4 ประเภทด้วยกัน คือ
    1.อุทเทสิกเจดีย์ ได้แก่เจดีย์ คือ พระปฏิมาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นต้น
    2.บริโภคเจดีย์ ได้แก่ เจดีย์ที่บรรจุเครื่องอุปโภคของพระองค์ มีบาตร จีวร เป็นต้น
    3.ธรรมเจดีย์ ได้แก่ เจดีย์ที่บรรจุพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์
    4.พระธาตุเจดีย์ ได้แก่เจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระองค์
    อันว่าเจดีย์ทั้ง 4 ประเภทนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงไว้ เพื่อมหาชนพุทธบริษัททั้งหลาย เมื่อระลึกถึงพระคุณของพระองค์ แล้วจะได้กราบไหว้สักการะนมัสการ เป็นอนุสสติเครื่องระลึกถึงพระองค์ จัดว่าเป็นบุญสถาน 4 ประเภท ก็แลการที่พวกท่านทั้งหลายจะได้ชักชวนกันเพื่อหล่อรูปของอาตมา ไว้เพื่อสักการะบูชานั้น ยังไม่เป็นการสมควร เมื่อท่านทั้งหลายมีศรัทธาปสาทะใคร่ที่จะกระทำแล้วไซร้ ก็ขอให้จงชวนกันหล่อรูปพระปฏิมาเถิด เพื่อเป็นพุทธานุสสติ ทั้งจะไม่ผิดพุทธโอวาทที่ทรงประทานไว้ ยังจะได้เป็นที่กราบไหว้บูชาของพุทธศาสนิกชนบริษัททั้งหลายสืบต่อไปภายภาคหน้า
    (จากหนังสือประวัติ พระศรีอาริยเมตไตรย์ วัดไลย์ ต.เขาสมอคอน อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • profile.jpg
      profile.jpg
      ขนาดไฟล์:
      83.9 KB
      เปิดดู:
      1,314
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2011
  6. pha73

    pha73 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    335
    ค่าพลัง:
    +236
    แจก เหรียญบารมีหนุนโชคลาภ เหรียญเนื้อทองทิพย์ หลังยันต์ หมอยามหาวิเศษ (หรือคนภาคอีสานเรียกยันต์นกคุ้ม) แจกให้สำหรับท่านที่ไม่เคยขอรับพระ10ท่าน *ขอสวงนสิทธ์* ท่านที่เคยขอรับพระแจกจากข้าพเจ้าไปแล้วก่อนหน้านี้ งดแจกครับ ลงชื่อจอง10ท่าน ส่งซองกันกระแทก ติดสแตม์ป18บาท จ่าหน้าซองถึงตัวท่านเองส่งมาที่ คุณไพรัฐ ลาภสุนทรพิทักษ์ 465ถ.จรัญสนิทวงศ์ แขวงบางอ้อ เขตบางพลัด กทม 10700 ท่านใดลงชื่อแล้วไม่ส่งซองมาภายใน7วัน ถือว่าสละสิทธิ์ ระบุพระที่ขอรับที่มุมซองด้วยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2278.jpg
      IMG_2278.jpg
      ขนาดไฟล์:
      115.5 KB
      เปิดดู:
      226
    • IMG_2279.jpg
      IMG_2279.jpg
      ขนาดไฟล์:
      130.3 KB
      เปิดดู:
      77
    • 731.JPG
      731.JPG
      ขนาดไฟล์:
      252.4 KB
      เปิดดู:
      89
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2011
  7. thth

    thth เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    537
    ค่าพลัง:
    +887
    ผมขออนุญาติรับ เหรียญบารมีหนุนโชคลาภ ด้วยนะครับ

    ขอบคุณมากครับ
     
  8. หนูดาว

    หนูดาว สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +0


    ขอรับด้วยค่ะ ขออนุโมทนาด้วยค่ะ
     
  9. เด็กบางแค

    เด็กบางแค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    468
    ค่าพลัง:
    +1,989
    ขอรับเหรียญ บารมีหนุนโชคลาภด้วยครับ
    นายนพดล อ้นจินดา
    แล้วจะส่งซองไปนะครับ ขอขอบพระคุณมากครับ
     
  10. tp_thai

    tp_thai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +150
    ขอรับเหรียญ บารมีหนุนโชคลาภด้วยครับทินวุฒิ เพชรเวียงแล้วจะส่งซองไปนะครับ ขอขอบพระคุณมากครับ
     
  11. sky88

    sky88 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2011
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +57
    ขอรับเหรียญหลวงปู่ศรีบารมีหนุนโชคลาภ
     
  12. Lilyii

    Lilyii สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +0
    ขอรับเหรียญด้วยคนค่ะ
     
  13. 15 ค่ำ

    15 ค่ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,108
    ค่าพลัง:
    +10,573
    วันนี้ใด้รับพระแล้วครับ ,,,
    กราบขอบพระคุณองค์หลวงปู่ใหญ่,,,
    และขอบพระคุณพี่pha73และคณะทีมงานผู้จัดสร้างทุกๆท่านครับ,,,
     
  14. parana483

    parana483 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2010
    โพสต์:
    130
    ค่าพลัง:
    +261
    ขอรับเหรียญหลวงปู่ศรี ด้วยครับ
    ขออนุโมทนาครับ<!-- google_ad_section_end -->
     
  15. pha73

    pha73 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    335
    ค่าพลัง:
    +236
    ปิดชั่วคราว parana483ท่านสุดท้าย รวม11เหรียญครับ
     
  16. อุดมสมพร

    อุดมสมพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,658
    ค่าพลัง:
    +6,964
    หลวงปู่ศรี พระปางปฐมเทศนา วัดเขาจอมทอง ปี 2547
    [​IMG]
    หลวงปู่ศรีพระพุทธหล่อปางปฐมเทศนาปี2547 จำลองมาจากประเทศอินเดีย..ท่านพระอาจารย์สมปอง นำมาสร้างเป็นพระประธานของวัดเขาจอมทอง อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา (เป็นวัดสาขาของหลวงปู่ศรี)หลวงปู่ศรี ท่านเดินทางมาปลุกเสกให้เป็นกรณีพิเศษที่วัดเขาจอมทองและแจกด้วยตัวท่านเองรูปแบบสวยงาม จำนวนการสร้าง 999องค์ และพระบูชาหน้าตัก 5นิ้วจำนวนการสร้าง 50องค์ นอกจากนี้ยังมีพระสิวลีบูชาฐานกลม อีก85 องค์(เป็นพระที่วัดสร้างแจกในงานฉลองพระประธาน เมื่อปี2547) ลูกศิษย์ต่างแสวงหา ด้วยรูปแบบที่แปลกตาและงดงามยิ่งนัก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2011
  17. Nov18

    Nov18 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +180

    พระบูชาแปลกตาดีครับ เหมือนที่อินเดีย เลย
     
  18. de4thz

    de4thz Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +28
    ศัทรามากคับ เคยได้ไปกราบนมัสการท่านตั้งสิบกว่าปีที่แล้ว

    ขอแนะนำลูกศิษย์ของหลวงปู่ศรี มหาวีโร อีกรูปนะครับ

    ท่านหลวงปู่บุญศรี ครั้งบวชใหม่ๆท่านจำพรรษาอยู่กับ หลวงปู่ศรี มหาวีโร
    ต่อมาหลวงตามหาบัวท่านได้มาเยี่ยมหลวงปู่ศรี มหาวีโร ก็เลยขอหลวงปู่บุญศรีไปอยู่ด้วย

    ซึ่งหลวงปู่บุญศรี เป็นหนึ่งในศิษย์รุ่นแรก หรือ ศิษย์9อรหันต์ ของหลวงตามหาบัว
    และท่านก็เป็นศิษย์ของหลวงตาบัวที่อาวุโสที่สุดในปัจจุบัน (คือยังมีชีวิตอยู่)

    หลวงตาบัวเคยบอกว่า
    หลวงปู่บุญศรี รวยที่สุด ในบรรดาศิษย์ของท่าน และเป็น "เพชรแท้"

    หลวงปู่บุญศรีเคยเล่าให้ฟังว่า
    ท่านไปสูบยาอยู่ในห้องน้ำ แล้วหลวงตาบัวก็เดินมาหน้าประตู (ประตูห้องน้ำปิดอยู่)
    หลวงตาบัวเลยพูดขึ้นว่า ''อรหันต์ขี้ยา''
    หลวงปู่บุญศรี เลยคิดในใจว่า ทีตัวเองเคี้ยวหมาก น่าขยะแขยง
    หลวงตาบัวเลยพูดอีกว่า "อย่าเถียงๆ"
    นี่ก็เป็นเรื่องตลกขบขันเท่านั้นนะครับ
    คือท่านจะบอกให้รู้ว่า จิตของหลวงตาบัว ใสมากๆ (ขนาดแค่คิดก็รู้ทัน)

    ตอนนี้หลวงปู่บุญศรี ท่านกำลังสร้าง เจดีย์ โบสถ์ ศาลา ในตัวอาคารเดียวกัน
    ด่านใดที่ศัทราโอกาสหน้าจะมาบอกทางไปวัดนะครับ
    ตอนนี้กำลังเรียบเรียงอยู่เพราะวัดอยู่ในป่า ป่าจิงๆ ถนนก็น่าเศร้าเอามากๆ T-T"
     
  19. ครุฑา

    ครุฑา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    604
    ค่าพลัง:
    +3,084
    ด้วยความเคารพความเห็นของทุกฝ่าย
    พ่อแม่ครูบาอาจารย์สายหลวงปู่ใหญ่ได้มีเมตตาอย่างยิ่งมาตลอดไม่ว่าจะหลวงปู่สิม หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่เทศ หลวงปู่ชา หลวงปู่แหวน หลวงปู่แว่น หลวงปู่หลวงรุ่นเก่าๆ จนถึงพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ดำรงขันธ์อยู่ในปัจจุบันท่านก็มีเมตตาหาที่เปรียบไม่ได้ เรื่องการเสกพระท่านขอท่านแค่โน้มจิตมาพิจารณาหรืออาราธนาพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรมพระอริยสงฆ์ชั่วขณะงูแลบลิ้น สิ่งของวัตถุนั้นก็จะศักดิ์สิทธิ์หาที่เปรียบไม่ได้แล้ว อย่างที่ว่าแค่ท่านเคาะกล่องก็นำไปใช้ได้มีปาฏิหารย์แล้ว
    อันนี้ก็เข้าใจว่าลูกศิษย์ที่ไม่ใช่ศูนย์พระมีเจตนาแจกพระไว้ป้องกันภัยพิบัติและมีเจตนาแจกเพื่อการกุศลจริงๆ คนนำไปใช้ได้รักษาชีวิตของตนเพื่อนร่วมงานครอบครัวได้จริงก็นับเป็นบุญอย่างยิ่งเป็นเจตนาบุญเพื่อเผยแพร่เกียรติคุณของพ่อแม่ครูบาอาจารย์เพื่อให้คนนับถือพระรัตนตรัยเพื่อสืบพระพุทธศาสนาให้ครบ 5,000 ปีต่อไป
    จริงอยู่อาจไม่เป็นการบังควรที่จะรบกวนธาตุขันธ์ของท่าน แต่หากพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านได้พิจารณาเห็นเรื่องเจตนาบริสุทธิ์ เจตนาดีและท่านยังดำรงธาตุขันธ์ดีพอ ท่านก็คงอนุญาต พระที่ใกล้ชิดท่านก็คงเห็นในการอนุญาตของหลวงปู่ แต่ถ้าวัตถุมงคลใดไม่ได้ผ่านการอธิษฐานจิตของหลวงปู่แม้เพียงเล็กน้อยแล้วเอามาตู่ว่าท่านได้อธิษฐานแล้วเอามาจำหน่ายถือเป็นการปรามาทพระรัตนตรัยโดยเฉพาะหลวงปู่ที่เป็นพระอริยบุคคล ผู้ปรามาทนั้นย่อมต้องลงนรกขุมลึกอย่างแน่นอน ผมว่าเราๆ ท่านๆ ที่เป็นพุทธศาสนิกชนและบำเพ็ญบุญสายพ่อแม่ครูบาอาจารย์ไม่มีใครกล้าเสี่ยงลงนรกไปหลายกัลป์และจะเจอพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่จะมาโปรดอีกเมื่อใดได้พบพระพุทธศาสนาอีกหรือไม่ก็ไม่รู้ นอกจากพวกศูนย์พระมาสร้างรบกวนท่านไม่เข้าพิธีอธิษฐานใครนำไปแขวนคอแล้วตายก็นับเป็นมหันตบาป
    เรื่องนี้ก็ต้องการความบริสุทธิ์ใจของสาธุชนถ้ามีเจตนาบุญบริสุทธิ์พ่อแม่ครูบาอาจารย์อธิษฐานไว้จริงเขาก็ได้รับบุญไปเต็มๆ และบางส่วนก็นำไปแจกให้ผู้ร่วมทำบุญสร้างวัดสายของหลวงปู่ซึ่งท่านอุปถัมภ์อยู่แล้ว ผมเข้าใจว่าพระที่อยู่อุปฐากหลวงปู่อยู่ตลอดเวลาคงจะดูไม่ให้เป็นการรบกวนธาตุขันธ์พ่อแม่ครูบาอจารย์ของเราอย่างเต็มที่ หากเป็นการรบกวนท่านก็จะบาปไปด้วยและพวกเราสาธุชนที่ไม่ใช่ศูนย์ก็คงไม่มีใครอยากตกนรกหมกไหม้อีกนานแสนนานหรอกครับ
    ด้วยความเคารพ ก็อยากจะกล่าวถึงหลวงตาที่ท่านว่าไว้ว่าให้เอาธรรมนะเป็นหลักสำคัญที่สุดแล้ว แต่ปุธุชนบางครั้งอยากทำบุญในศาสนาในวัดของหลวงปู่หลวงตาก็อาจมีวัตถุมงคลตอบแทนบ้างเพื่อชวนคนรอบข้างหรือครอบครัวญาติมิตรมาทำบุญกันมากๆ ของท่านก็เน้นแจกเยอะอย่างพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย วัดของหลวงปู่ยังต้องการการทำนุบำรุงจากสาธุชน ลูกศิษย์บางสายบุญก็เลยต้องช่วยกันพยายามหาเงินมาทำบุญให้วัดท่านทั้งหลายเพื่อให้ถาวรวัตถุเสร็จสิ้นลงก็ด้วยเจตนากุศลเช่นกัน ส่วนคนที่ไม่มีเจตนากุศล หลอกลวงสาธุชนและรบกวนธาตุขันธ์ท่านโดยไม่จำเป็นนั่นสมควรจะได้รับการประณามอย่างยิ่ง และพวกเขาก็มีนรกเป็นที่ไปที่พวกเราๆท่านๆคงไม่กล้าเสี่ยงหรอกครับ
    ก็ขอให้คนที่มีเจตนากุศลจริงๆไม่มีผลประโยชน์แอบแฝงได้รับบุญจากการกระทำดี เผยแพร่เกียรติคุณของหลวงปู่ได้รับบุญยิ่งใหญ่นั้นยิ่งๆไป หากไม่ใช่แล้ว กรรมจะตามท่านพวกเขาเองอย่างแน่นอนยิ่งกับพระอริยสงฆ็กรรมตามทันไวยิ่ง
    ก็ขอคุณครูบาอาจารย์คุ้มครองพวกเราทุกคน หากผิดบ้างพลั้งไปด้วยความประมาทพลั้งเผลอพวกลูกศิษย์ขอครูบาอาจารย์เมตตาอโหสิกรรมจากการละเมิดด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมด้วยเทอญ
     
  20. อุดมสมพร

    อุดมสมพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,658
    ค่าพลัง:
    +6,964
    [​IMG]
    พระประธานที่วัดเขาจอมทอง..พระพุทธปางปฐมเทศนาเกิดจากความตั้งใจของท่านเจ้าอาสวัดเขาจอมทอง เมื่อครั้งท่านเดินทางไปประเทศอินเดีย..แล้วได้ไปเห็นพุทธศิลป์อันงดงาม..จึงได้ถ่ายรูปมา..ครั้นเมื่อที่วัดเขาจอมทอง มีการสร้างพระประธาน ท่านเจ้าอาวาสจึงได้ขออนุญาติองค์หลวงปู่ศรี สร้างพระพุทธปางปฐมเทศนาตามที่ตั้งใจไว้..ซึ่งหลวงปู่ท่านก็อนุญาติ เป็นพระประธานที่มีความงดงามงดงามมากครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มิถุนายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...