วิญญาณขอส่วนบุญ

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย I_am_free, 23 มิถุนายน 2011.

  1. I_am_free

    I_am_free เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +207
    เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องแปลกสมัยที่ผมเคยบวชที่วัดป่าต่อจากเหตุการณ์ ขออโหสิกรรม ไม่นานนัก ช่วงนั้นเป็นปลายปี 2543 ใครเคยอยู่ป่าแถวสกลนครคงทราบดีว่า ความหนาวในหน้าหนาวของสกลนครโหดร้ายขนาดไหน ขนาดที่ว่าต้นกล้วยใบเป็นสีขาวอ่ะครับ ที่อื่นเค้ามีแต่แม่คนิ้ง แต่ที่ป่าสกลมีใบกล้วยคนิ้ง....จำได้ครับ ตอนนั้นเวลานอนหรือจำวัดเนี่ยผมไม่เคยนอนหลับได้เกิน 30 นาที ต้องตื่นมาพลิกข้าง เพราะกุฎิผมจะเป็นพื้นไม้ ร่องไม้ก็มีเยอะ ฟูกที่นอนผมก็ไม่มี นอนบนเสื่อ ผ้าห่มผ้านวมหรือก็ไม่มี มันไม่มีนี่คือไม่มีจริงๆนะครับ แต่ผมก็คิดว่าครูบาท่านอื่นเค้าอยู่ได้ผมก็ต้องอยู่ได้สิ่ ในวัดไม่มีผ้าห่มเลยครับ แต่โชคดีที่พอมีผ้าจีวรเก่าๆเยอะ ก็ได้จีวนี่แหล่ะครับกันหนาวกันลม อุ่นไม่พอก็สังฆาติคลี่ออกมาห่อตัวอีกชั้นตบท้าย พอได้ครับ ทนๆไปจนกว่าพระอาทิตย์จะขึ้น ที่บอกว่ากลางคืนต้องตื่นทุก 30 นาทีเพื่อพลิกข้างเพราะ เวลานอนข้างไหนที่โดนพื้นจะเย็นจนทนไม่ไหว 30 นาทีพลิกข้างทีเป็นอย่างนี้ สุดท้ายสังขารคนไม่เคยฝึก ตบะบารมีสมาธิไม่แกร่งพอมีหรือจะทนไหว ผมต้องขอให้คนที่รู้จักในท้องถิ่นพาผมลงไปอยู่วัดบนพื้นดิน ให้หมดหน้าหนาวก่อนค่อยปีนเขาเข้าถ้ำกันใหม่

    ได้ลงมาอยู่ภาคพื้นดินก็ได้มาอาศัยกับหลวงปู่บุญหนา วัดป่าโสตถิผล หลายคนอาจว่าผมโม้ไอ้เวรนี่เล่นมาอยู่กับเกจิเลยหรอ จริงครับ เอาไว้ว่างๆผมจะเล่าประวัติไม้ที่ทำโบถวัดหลวงปู่มีที่มาที่ไปจากไหน แต่ตอนที่ผมไปอยู่นี่วัดยังไม่มีโบถนะครับ ยังเป็นวัดป่าที่มีแต่เสียงไก่ป่า ยังจุดเทียนใช้กันตอนหลังอาทิตย์ตก และผมก็ยังได้เป็นลูกศิษที่ได้สรงน้ำขัดตัวหลวงปู่ทุกวัน

    หลวงปู่ท่านเมตตาครับ ให้ผมอยู่ได้เลยอยากไปเมื่อไหร่ก็มาลาท่าน ช่วงที่ผมอยู่กับหลวงปู่บุญหนานี่แหล่ะครับ ที่ผมเจอเรื่องแปลกประหลาด คือช่วงหน้าหนาวผิวผมจะแห้ง แห้งมากๆ แห้งจนลอก รวมถึงหนังหัวด้วย หนังหัวลอกสร้างความเจ็บแสบให้ผมเวลาลอกมันออกมาเป็นแผ่น ปกติผมจะมียาประจำของผมโยมพ่อผมรู้ดี วันนั้นผมแสบหัวทนไม่ไหว อีกทั้งหัวลอกๆแบบนี้ ผมกลัวใครจะเข้าใจผิดว่าผมทำผิดวินัยสงฆ์จนปาจิตีกินหัว ผมเลยช้าไม่ได้ งัยก็คงต้องโทรหาโยมพ่อช่วยส่งยามาให้หน่อย การขอของพระเนี่ยขอชาวบ้านทั่วไปไม่ได้ แต่ขอพ่อแม่คนในครอบครัว หรือโยมที่ปราวณาเป็นโยมอุปฐาก พระสามารถเอ่ยขอได้ครับ

    ผมก็เลยต้องโทรกลับกรุงเทพ แต่พ่อผมกว่าจะเลิกงานกว่าแกจะออกกำลังกายเสร็จก็ปาไป 2 ทุ่มกว่าจะถึงบ้าน ผมก็ต้องรอเวลาเพราะการโทรศัพท์ของพระป่าสายปฎิบัติไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะ..ในวัดไม่มีโทรศัพท์สักเครื่อง!!!
    จะโทรศัพท์แต่ละครั้งต้องไปใช้ตู้สาธารณะในหมู่บ้าน แล้วบ้านหนองโดก หมู่บ้านที่ใกล้วัดที่สุดอยู่ห่างจากวัด 2 กิโล การจะไปตู้โทรศัพท์ก็ใช้วิธีเดินเท้า เดินบนทางลูกรังดินแดง เป็นงัยครับกว่าจะโทรศัพท์ได้แต่ละครั้ง วันนั้นผมเลยต้องเตรียมตัวตั้งแต่ทุ่ม โดยต้องขอความร่วมมือจากเด็กวัด ให้เดินไปด้วยกัน ไม่ใช่เพราะผมกลัวผี ผมเป็นคนที่ไม่กลัวผีและก็ไม่ค่อยเชื่อเรื่องผี แต่ที่ต้องให้เด็กวัดไปด้วยเพราะผมจับเงินไม่ได้ เงินที่โยมอุปฐากให้ผมเนี่ยก็ต้องเอาไปฝากผ้าขาวในวัด เวลาผมจะใช้อะไรก็ต้องให้เด็กวัดไปเบิกกับผ้าขาว นั่นคือเหตผลที่ผมต้องให้เด็กวัดไปด้วยกัน


    [​IMG]
    ตอนนั้นเวลาประมาณทุ่มเศษ มืดสนิด หนาวจับใจ ผมเดินออกจากประตูวัด กับไอ้ไก่เด็กวัดโดยมีไฟฉายขนาดใส่ถ่าน 2 ก้อนไว้ส่องทาง ออกจากประตู้วัดปุ๊ป เจอป่าช้าทันที แถมไม่ใช่ป่าช้าเดียว แต่มีถึง 2 ป่าช้า (ปัจจุบันนี้ผมว่าป่าช้าก็ยังอยู่นะ) ป่าช้าแรกเป็นป่าช้าพุทธ ป่าช้าถัดไปเป็นสุสานคริต ผมกับไอ้ไก่ต้องเดินผ่านป่าช้าทั้ง 2 นี้ เพราะมันเป็นเส้นทางเดียวที่จะไปบ้านหนองโดกเพื่อโทรศัพท์ ถนนผ่านป่าช้าเป็นถนนดินแดงขนาดเลนเดียว สองฟากฝั่งเป็นไม้ใหญ่รกครึ้ม แม้จะเป็นเพียงหัวค่ำแต่ขอบอกว่ามืดสนิดเสียงลมพัดใบไม้ไหว อากาศเย็นอยู่แล้วยิ่งเย็นยะเยือกเข้าไปใหญ่ และสิ่งที่ทั้งผมและไอ้ไก่ไม่อยากเจอก็ดันมาเจอในคืนนี้

    หลังจากเดินผ่านป่าช้าพุทธ เข้าเขตป่าช้าคริต ไอ้ไก่เด็กวัดอายุราว 13-14ปี ถามผมเสียงสั่นๆ ครูบา...ครูบา...ครูบาได้กลิ่นอะไรมั้ย

    ผมเองก็ได้กลิ่นพร้อมๆกับมันนั่นแหล่ะ แต่ตอนแรกนึกว่าผมได้กลิ่นคนเดียว พอไอ้ไก่ถามคำถามผมก็กัดฟันตอบ เออ....รู้แล้วก็เฉยไว้ ไอ้ไก่กอดเอวผมแน่นมือมันรั้งจีวรผมจนแทบจะหลุด เหมือนยังกับว่ามันกลัวผมจะวิ่งก่อนมัน

    กลิ่นที่ว่านี่นะครับ ผมยังจำได้ดี ตอนแรกเริ่มมันคือกลิ่นคาวเหมือนคาวเลือด เหมือนผมเดินผ่านกองเลือดหรือกองซากสัตว์ที่เพิ่งโดนเชือด เพราะกลิ่นคาวมันแรงมาก อย่างแรกที่ผมคิดในจิตสำนึกคือต้องมีสัตว์ตายแถวนี้แน่ๆ มันอาจเพิ่งโดนรถทับมาสดๆ อาจเป็นหมา หรือตัวอะไรสักอย่าง พอผมคิดแบบนี้เดินไปอีก 2 ก้าว กลิ่นนั้นก็เปลี่ยนจากกลิ่นคาวเลือดเป็นกลิ่นเน่า คราวนี้มันมาเป็นกลิ่นสาปเน่าๆ เหมือนกลิ่นน้ำเหลืองน้ำหนอง ไม่ใช่กลิ่นเน่าจากซากสัตว์แน่ๆ เพราะกลิ่นแบบนี้ใครเคยดมน้ำเหลือง หรือทำแผลตอนเป็นฝีเป็นหนองแล้วลองดมจะเป็นกลิ่นเหม็นๆสาปๆปนเน่าๆแบบนี้ ผมมั่นใจเลยว่าเป็นกลิ่นน้ำเหลือง น้ำหนอง แต่เพราะความเป็นคนที่ไม่กลัวผี ผมก็ยังคิดในแง่ดี ผมคิด"คงไม่ใช่น่า กลิ่นสาปมันคงลอยตามลมมาจากป่าช้า ยังไม่คิดว่าเป็นผี" และตอนนี้ไอ้ไก่มันก็มุดหัวเข้ามาในจีวรแทบจะดึงจีวรผมไปห่มตัวมันอยู่มันอยู่แล้ว มันไม่พูดอะไรแต่ผมก็รู้ว่ามันคิดอะไร
    [​IMG]
    ด้วยความที่ไม่กลัวผีผมก็ยังมองโลกในแง่ดีว่าเป็นกลิ่นสาปมาจากป่าช้า คราวนี้ครั้งที่ 3 ขนหัวผมลุกตั้งแต่ต้นคอยันกลางหัว พระไม่มีผมก็จริงแต่เวลาเจอผีหลอกก็ลุกได้เหมือนกันครับคอนเฟริม คราวนี้มาทั้งคาวเลือด ทั้งสาปน้ำหนอง แถมผมไม่แน่ใจว่าผมคิดไปเองหรือเห็นจริงๆ คือมันเหมือนเห็นจากหางตา คุณลองตั้งคอมองข้างหน้าตรงๆ แล้วลองชำเลืองดูตรงหางตาอ่ะครับ คือในความมืดผมเองก็ไม่แน่ใจว่าคืออะไร อุปทานคิดไปเองเพราะสิ่งที่ผมเห็นจากหางตาคือ
    ตอนนี้เค้าเดินตามอยู่ข้างหลังผม เรียกว่าหน้าตาเค้าที่ผมรับรู้ในสัมผัสความมืด มันดำๆมืดๆเมือกๆเหมือนเลือด หน้าเค้าอยู่ห่างจากต้นคอด้านซ้ายผมไม่ถึงคืบ บอกได้ทันทีเลยว่าเค้าเป็นสัมภเวสี อมนุษย์ ร่างนั้นเดินตามผมชนิดที่ว่าติดต้นคอผมทีเดียว ตอนนั้นผมคิดอย่างเดียว "กูเจอเข้าแล้ว...!!"

    คำสอนครูบาอาจารย์ผุดในหัว "ตั้งสติ อย่าตกใจ ธาตุแตกแล้วจะบ้า" ผมตั้งสติอธิฐานจิตพูดกับอมนุษย์ตนนั้น "อาตมารับรู้แล้วนะ ขอเข้าไปทำธุระในหมู่บ้านสักประเดี๋ยว กลับมาถึงวัดจะอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้นะ" หลังจากผมอธิฐานเดินอีก 2 ก้าว กลิ่นต่างๆหายเป็นปลิดทิ้ง ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ สะกิดไอ้ไก่ "ปล่อยจีวรครูบาได้แล้ว ไม่มีอะไรแล้ว" ไอ้ไก่ค่อยๆโผล่หัวจากจีวรผมแต่มือยังกอดเอวไม่ปล่อย

    เพราะความมืดทำให้ระยะ 2 กิโลเลยเหมือนไกล ผมเดินกับไอ้ไก่มาถึงหมู่บ้านก็ปาไป 2 ทุ่มโทรศัพท์เสร็จก็เดินออกจากหมู่บ้านหนองโดกกลับทางเก่า ผ่านป่าช้าเดิม ทางเดิม ถึงป่าช้าไอ้ไก่มุดจีวรผมเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือขากลับไม่มีกลิ่นอะไรเลย มีแต่เพียงเสียงลมหวีดหวิด ใบไม้ไหว มันก็น่าแปลกนะครับ ถ้าผมอุปทานไม่ใช่อย่างที่คิด เป็นกลิ่นซากสัตว์ตาย กลิ่นแรงขนาดนั้นขากลับก็น่าได้กลิ่นอยู่บ้าง แต่นี่ขากลับไม่มีอะไรเลย คืนนั้นก็เลยทั้งสวดทั้งสมาธิอุทิศส่วนกุศลให้กับวิญญาณ สัมภเวสี หรือ อมนุษย์ตนนั้น จนดึกดื่นค่อนคืน แต่หลังจากนั้นเค้าก็ไม่มารบกวนผมอีกเลย

    ปล. ปัจจุบันผมลาสิกขามาหลายปีแล้วครับ เรื่องที่เล่าเป็นประสบการณ์เก่าๆ มีโอกาศจะเล่าให้ฟังอีกนะครับ :boo:
     
  2. datchanee

    datchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,947
    ค่าพลัง:
    +1,276
    good story.....wait for the next one
     
  3. pearl8

    pearl8 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    335
    ค่าพลัง:
    +154
    เกร็ง and กลัว ขอบคุูุณค่ะสำหรับประสปการณ์น่าตื่นเต้น
    เชื่อและศัทธาในพุทธองค์และท่านครูบาอาจารย์
     
  4. lovekling

    lovekling เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +135
    อนุโมทนาครับ อ่านมาจนถึงรูปที่สอง ทำเอาขนลุกเลยครับ น่ากลัวอ่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...