ทำไมพระพุทธเจ้าประเภทปัณยาธิกะ จึงบำเพ็ญบารมีได้ยากกว่าเพื่อนครับ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย Kamen rider, 13 ตุลาคม 2004.

  1. mahingsa

    mahingsa สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2005
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +18
    ขนาดพระพุทธเจ้ายังใช้เวลา 4 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป

    ใครที่บอกว่า เราสามารถนิพพานชาตินี้ได้ เขากำลังโกหก
     
  2. Karz

    Karz Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2005
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +96
    คุณก้องนี่มายังไงครับ มีพระโพธิสัตว์ต้องแบกทุกข์แบกสังขารคนอื่นด้วย? พระพุทธเจ้าถึงแม้จะตรัสรู้แล้ว แต่ไม่ได้แบกทุกข์แบกสังขารใครด้วยซะหน่อยครับ อัตถาตาโร ตะถาคะตา ตถาคตเป็นได้แต่เพียงผู้บอกเท่านั้น เหล่าสัตว์จะฟัง รึจะข้ามวัฏฏะสงสารไปได้รึปล่าว ขึ้นอยู่กับเหล่าสัตว์เอง

    --------

    คุณ mahingsa ครับ มันคนละเรื่องกันน่ะครับ เค้าไม่ได้โกหกหรอกครับ คนที่ฟังเทศน์พระพุทธเจ้าแล้วบรรลุธรรมนิพพานชาตินั้นเลยมีเยอะแยะไป ขนาดพระสงฆ์ในสมัยนี้กระดูกเป็นพระธาตุ แสดงว่าได้อรหันต์ นิพพานไปก้อตั้งเยอะ เรื่อง 4 อสงไขยอะไรนี่มันเป็นเรื่องระยะเวลาของพระโพธิสัตว์ในการบำเพ็ญบารมีเพื่อที่จะ "เป็นพระพุทธเจ้า" ต่างหากครับ ถ้าเราไม่อยากเป็นพระพุทธเจ้า อยากนิพพานชาตินี้ ก้อไม่เห็นต้องไปเกี่ยวกับเค้า ก้อตั้งใจปฏิบัติ ละชั่วประพฤติดี มีศีล สมาธิ ปัญญา ตัดกิเลสให้หมดสิครับ
     
  3. Dhoko

    Dhoko เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +127
  4. กุญแจไขปริศนา

    กุญแจไขปริศนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2009
    โพสต์:
    903
    ค่าพลัง:
    +979
    ปัญญาไม่ได้หากันได้ง่ายๆนี่ครับ ถ้าพวกคุณศึกษาพระไตรปิฏกยังไงมันก็เป็นแค่ทฤษฏี ถ้าคุณอยากเข้าใจตัวเองคุณต้องเอาใจเข้าไปแรก เอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง พระพุทธเจ้าประเภทนี้จึงบังเกิดขึ้นได้ยากนั่นเอง(พูดในมุมมองของตัวเองไม่ได้อ้างอิงจากไหน)
     
  5. pal_bh

    pal_bh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +132
    ใครบอกว่า มีปัญญาธิกพุทธเจ้า แค่พระองค์เดียว ย้อนไปมีหลายพระองค์จ้า...
    ใน ๒๗ (ในคัมภีร์ที่มีให้เราอ่านกัน) พระองค์หลังนี่ ก็พระประทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์หนึ่งละจ้า

    ส่วนพระองค์อื่นๆ ท่านก็มีปัญญาเป็นเลิศไม่ต่างกันหรอกครับ แต่พระองค์ก็ทรงยกไว้ (วิชชาปัญญา ได้เกรด ๔ เหมือนกัน)
    เช่น พระศรีอริยเมตตรัย ท่านก็บำเพ็ญปัญญาบารมีมาเต็มส่วนของพระองค์ แต่พระองค์ทรงยิ่งด้วยความเพียร (วิริยาธิกะ) เป็นเลิศกว่าสิ่งคุณธรรมอื่นๆ ในการที่จะช่วยสัตว์โลกให้พ้นภัย ผนวกกันบารมีอีก ๙ ประการจ้า...

    ส่วนสัทธาธิกะ ยิ่งด้วยศรัทธาก็เช่นเดียวกัน พระองค์ก็ทรงมีพระปัญญาเป็นเลิศ มีความเพียรไม่ได้แตกต่างพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นๆ แต่อย่างใดเลย แต่พระองค์มีสัทธากล้าแข็ง ในการที่จะนำสัตว์โลกให้พ้นภัย

    เขาเรียกว่า ปัญญินทรีย์ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ จ้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2009
  6. pal_bh

    pal_bh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +132
    ความสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ใช้เวลาอย่างเร็วสุด ๒๐ อสงไขย จึงตรัสรูเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ครับ

    ถ้าสัตว์ตนใดอยากได้บารมีกล้าแข็งมากขึ้นในการที่จะช่วยสัตว์โลก ก็บำเพ็ญบารมีเพิ่มเป็นทับทวี จาก ๒๐ เป็น ๔๐ จาก ๔๐ เป็น ๘๐ จาก ๘๐ เป็น ๑๖๐ .... จนนับอสงไขย นับอายุธาตุอายุบารมีไม่ถ้วน (พูดง่ายๆๆ ก็หมุนขวาหลายๆๆรอบ)

    ยิ่งบารมีมากเพียรไร ก็ช่วยสัตว์โลกได้มากเพียงนั้น ตามศักดิ์แห่งบารมีที่สร้างสมอบรมมา...

    และอีกประการ ปัญญา สัทธา วิริยะ ก็เป็นคุณธรรมในคุณธรรมทั้งหลาย ไม่ได้มีอะไรยิ่งใหญ่กว่ากันเลย
    พระพุทธเจ้าในสากลโลกสากลธรรมวัดกันที่บารมีจ้า ใครมีบารมีมากกว่า ก็ปกครองธาตุปกครองธรรมจ้า

    จุดประสงค์ของความเป็นพระพุทธเจ้าก็เพื่อช่วยสัตว์โลก บารมีเท่านั้น !!! ที่ช่วยสัตว์โลกได้ (ไม่ใช่ปัญญา สัทธา วิริยะ)

    เคยได้ยินไหม ? คนมีบารมีทำอะไรก็สำเร็จง่าย (บุญฤทธิ์ บุญศักดิ์สิทธิ)
    อย่างพระศรีอาริยเมตตรัย มีทานบารมีมาก คนไม่ต้องทำมาหากินอย่างปัจจุบัน
    คนสมัยนั้น เกิดมาสุขสบาย ปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้นอย่างเดียวจ้า....

    นี่ละ !!! ที่เขาเรียกว่า ตามศักดิ์แห่งบารมีที่สร้างสมอบรมมา


    ไม่ได้ยาก ยิ่งย่อนไปกว่ากันหรอกจ้า.... อยู่ที่ปณิธานว่า "จะนำสัตว์โลกไปมากน้อยเพียงไร ?"

    คนที่ปรารถนาจะไปนิพพานคนสุดท้ายน่ะ อันนี้ ก็คิดเอาแล้วกันจ้า.....ว่าจะนานเพียงไหน เพราะว่า
    "ที่สุดแห่งเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลายของสังวารวัฎ กำหนดไม่ได้เลยยย"

    สังสารจักร (วงล้อของสงสาร ชื่อมันก็บอกอยู่) มันไม่มีเบื้องต้น ไม่มีเบื้องปลาย ไม่มีที่สุด
    หมุนอยู่ในวงกลมๆๆ ไม่รู้ต้นอยู่ไหน ไม่รู้ปลายอยู่ไหน เหมือนกงจักร

    จะไปนิพพานคนสุดท้าย ก็เหมือนวิ่งไปตามเส้นรอบวงกลมจ้า...!!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กุมภาพันธ์ 2009
  7. มาร-

    มาร- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    262
    ค่าพลัง:
    +487
    สาธุ สาธุ สาธุ

    ดีแล้ว ชอบแล้ว

    ขอให้เจริญในธรรม ยิ่งๆขึ้นไปครับ

    สาธุ สาธุ สาธุ

    _______________________________________________

    บุญกุศลเหล่าใดที่ข้าพเจ้าได้กระทำจัก จำได้ก็ดี จำไม่ได้ก็ดี ร้อยชาติก็ดี หมื่นชาติก็ดี อสงไขย์ชาติก็ อนันตชาติก็ดี ..........................

    ข้าพระพุทธเจ้าขอนอบน้อมอำนาจพระพุทธคุณอันไม่มีประมาณแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ทั่วทั้งอนันตจักวาลที่มิได้มีประมาณ ทั้ง อดีต ปัจจุบัน และอนาคต โดยมี ภันเต ภควา องค์พระสิริมิตร องค์พระธรรมสามี พระธรรมราชา สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิขี ทศพล ญาณที่1 สมเด็จองค์พระปฐมเป็นสมเด็จองค์พระประธาน แห่งองค์พระพุทธคุณ

    ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมอำนาจคุณพระธรรม พระสัจธรรมคำสอนแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ อันไม่มีประมาณ เป็นองค์พระธรรมคุณ

    ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมอำนาจแห่งองค์พระปัจเจกพุทธคุณ แห่งองค์พระปัจเจกพุทธเจ้า ทุกๆพระองค์ ทั่วทั้งอนันตจักวาล ทุกกาล ทุกกัปป์ ทั้ง อดีต ปัจจุบัน และอนาคต เป็น องค์พระปัจเจกพุทธคุณ

    ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมอำนาจ แห่งคุณพระสงฆ์ พระสาวกแห่งพระผู้มีพระภาค องค์ภันเต ภควา สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ทั่วทั้ง อนันตจักวาล อันไม่มีประมาณ อันหาที่สุด มิได้ เป็น พระสังฆคุณ

    ข้าพระพุทธขอน้อมอำนาจ คุณบิดา คุณมารดา พระอรหันต์แห่งบุตรของสรรพสัตว์ทั้งหลาย และของข้าพเจ้าทุกๆชาติ ทุกๆภพ ทุกๆภูมิ เป็น คุณแห่งบิดาและมารดา

    ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมอำนาจแห่งคุณพระอาจารย์ ทุกๆรูป ทุกๆนาม ทุกๆภพ ทุกๆภูมิ ตลอด อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ที่ได้ประสิทธิประสาท วิชา สั่งสอนในคุณความดี ตั้งมั่นใน มรรค มีองค์ 8 เป็น คุณแห่งครูบาอาจารย์

    ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมอำนาจแห่งคุณของ พระพรหม และเทพ เทวดา พระยายมราช ทุกรูป ทุกนาม ทุกๆชั้นฟ้า ทั้วทั้ง อนันตจักวาล สากลพิภพ อันไม่มีประมาณ จงร่วมกันบันดาล ปกป้องรักษาและอนุโมทนา

    ขออำนาจแห่งพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระปัจเจกพุทธคุณ พระสังฆคุณ คุณแห่งบิดา มารดา คุณแห่งครูบาอาจารย์ และ ทวยเทพเทวดาทั้ง โปรดดลบันให้....
    กุศลผลบุญ เหล่าใด ที่ข้าพระพุทธเจ้าได้ทำมา ได้บำเพ็ญมาโดยชอบ จำได้ก็ดี จำมิได้ก็ดี ข้าพระพุทธเจ้าขออุทิศกุศลเหล่านั้น แด่ สรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกรูป ทุกนาม ทุกภพ ทุกภูมิ ขอให้ได้ร่วมอนุโมทนา ขอให้มีส่วนร่วมในกองกุศลของข้าพเจ้า

    ธรรมเหล่าใด ยังประโยชน์แก่ข้าพเจ้าฉันใด
    ธรรมเหล่านั้นจงถึงพร้อมแด่สรรพสัตว์ทั้งหลายฉันนั้น
    เพื่อยังผลให้ที่สุดแห่งกองทุกข์ จงหมดสิ้นไปด้วยเทอญ....
     
  8. Solotel

    Solotel Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +38
    กระทู้เมื่อ 4 ปี 4 เดือน ที่แล้ว ^0^ มีประโยชน์มาก ๆ ครับ โมทนากับ Dhoko กับทุก ๆ ความคิดเห็น ที่ดีแล้ว ชอบแล้ว ด้วยครับ...

    โมทนา สาธุ...
     
  9. num_mon

    num_mon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    579
    ค่าพลัง:
    +912
    ผมเองความรู้ก็น้อยนะแต่ผม เห็นไปอีกอย่างนะ

    พระนิพพาน ในชาตินี้ไม่ได้โกหกครับ ฆราวาสก็มีนะแต่เราไม่รู้

    พระพุทธเจ้านั้น ที่ใช้เวลา 4 อสงไขย แสนกัปล์

    เพราะพระองค์ท่าน ไม่ได้มีใครสอน แต่ท่านบำเพ็ญมาเป็นครู ของมษุย์
    และเทวดาทั้งหลาย


    และท่านก็ ตรัสรู้เองโดยชอบ
    สัมมาสัมพุทโธ ไม่มีใครมาสอน

    แต่เราสมัยนี้ มีความพุทธเจ้าเป็นพระศาสดา เป็นผู้ชี้ทาง

    และมีพระธรรม เป็น
    อะกาลิโก ป็นสิ่งที่ศึกษาและปฎบัติได้ ไม่มีกาลเวลา

    คือเป็นอริยสัจ เป็นจริง ในทุกกาล
    ระนิพพานในชาตินี้เลยเป็นไปได้มากครับ

    เพราะมีทั้ง ตถาคต แปลว่า เป็นผู้ชี้ทาง พระธรรม คือหลักการปฏิบัติ


    แถมยังมี สาวะกะสังโฆ สงฆ์ผุ้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า
    และเป็นพระ

    สุปะฏิปันโน
    ปฎิบัติดี ปฏิบัติชอบ ดังเช่น ครู-อาจารย์ทั้งหลาย

    ท่านลาพุทธภูิมิ
    (นิพพาน)
    เป็นสาวกภูมิก็มาก ท่านที่ยังไม่ลาพุทธภูมิ

    ก็มีมาก


    ขอให้เราท่านทั้งหลาย จงตั้งใจตรงเถิด พระนิพพานอยู่ที่กำลังใจนะ

    กำลังใจก็คือ บารมี (หลงพ่อฤาษีลิงดำท่านเคยกล่าวไว้)

     
  10. พระทำ

    พระทำ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +5
    ปัญญา ศรัทธา วิริยะ ไม่ได้แตกต่าง ยาก ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย สาธุๆๆๆ
     
  11. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    บารมี แปลว่า กำลังใจ ในการที่จะช่วยเหลือผู้อื่นได้นั้นต้องทนลงมาเวียนว่ายตายเกิด ไม่รู้กี่ล้านครั้ง

    เพื่อช่วยผู้อื่น ทั้งที่จริงๆ ตนเองนั้นสามารถจะขึ้นพระนิพพานได้ตั้งนานแล้ว สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่ต้องใช้กำลังใจ

    ถึงจะฉลาดเพียงใด มีปัญญาแค่ไหน แต่ขาดกำลังใจและความเมตตาที่จะช่วยผู้อื่น ก็ทำให้ลาพุทธภูมิกันได้ง่ายๆ

    กำลังใจบารมี และ ความเมตตา พรหมวิหาร 4 เป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงให้เหล่าพระโพธิสัตว์ยังสู้กันต่อ

    ทั้งที่จริงๆ ระยะเวลานั้น ต่อให้ขึ้นนิพพานเป็นคนสุดท้าย ใช้เวลานานแค่ไหน ท่านเหล่านั้นไม่เคยคิดไว้เลย

    ขอเพียงแต่สงเคราะห์คนให้ได้มากที่สุด จะใช้เวลานานแค่ไหนท่านก็ยอม
     
  12. โพธิ์แก้ว

    โพธิ์แก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    362
    ค่าพลัง:
    +440
    ผมว่าเพราะท่านมีปัญญานำในการบำเพ็ญบารมี...ทำให้มักจะลาพุทธภูมิสำเร็จเป็นพระอรหันต์กันไปหมด(เนื่องจากมีวิระยะและศรัทธาในสัดส่วนที่ไม่เหมาะสม)....
     
  13. พระทำ

    พระทำ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +5
    ไม่ใช่ขาดกำลังใจหรอก ไม่ใช่สัดส่วนอะไรไม่สมดุลหรอก !!!

    พระบาลีเขาเรียกว่า "ไม่มีฉันทตา"

    ฉันทตา คือ ความรักที่จะช่วยคนอื่นให้พ้นทุกข์

    บางคน แรกๆ อาจจะอยากทำ พอนานๆ ไปชักทนไม่ไหว รอไม่ไหว
    ถ้าเลิกลาไป ไม่เอา ทอดธุระเสีย ก็คือ ไม่รักที่จะช่วยสัตว์โลกแล้ว ไปนิพพานดีกว่า ช่วยตัวเองดีกว่า... เป็นงั้นไป

    อีกอย่างเปรียบเหมือนหนุมสาวรักกัน ตราบใดที่ยังรักกัน ก็ไม่ทิ้งกัน ไม่เลิกกัน
    ถ้าเลิกรักกันเมื่อไร ? เมื่อนั้นก็ทิ้งกันไป ไม่อาลัย ไม่มีเยื่อใย


    ถ้ามีฉันทตา (ความรักที่จะช่วยคน ช่วยสัตว์) ถ้าความรักมันยังมี.... ปณิธานไม่มีล้มหรอก ไม่มีการลาพุทธภูมิ ไม่มีการขาดกำลังใจ เพราะความรักที่จะทำ เป็นกำลังใจที่สุด (อย่าหมดรักที่จะทำก่อนก็แล้วกัน)


    อิทธิบาท ๔ (ธรรมเป็นเครื่องยังกิจการงานให้สำเร็จ) มี ฉันทะ (ความรัก) เป็นเบื้องต้น
    ขาดฉันทะเสียแล้ว เป็นเจ้ง เป็นล้มเลิก เป็นอันว่า ไม่สำเร็จ
    ถ้าจริงก็สำเร็จ
    โดยมากหมดรักมากกว่า... ก็กลายเป็นเคยรักไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กุมภาพันธ์ 2009
  14. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    ท่านครับ
    พระโพธิสัตว์ทั้ง ๓ ประเภทนั้น มีความสามารถเท่าๆๆกัน ทุกๆๆพระองค์ครับผม
    เรื่องยาวนาน (ระยะเวลาของกระบำเพ็ญนั้น) นั้น ขึ้นอยู่กับอินทรียธรรม ที่เป็นตัวนำในการตรัสรู้ธรรม มีมากน้อยแตกต่างกันคือ ปัญญา สัทธา วิริยะ

    ส่วนเรื่องความใหญ่โตของพระวรกาย อุบัติในยุค(ยุคที่ทำมาหากิน และไม่ทำมาหากิน)ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับว่าบารมีเต็มตอนไหน และใกล้ยุคไหน ที่จะอุบัติ(ทรงอุบัติในยุคที่มนุษย์อายุต่างกัน ความใหญ่โตของร่างกายเลยต่างกัน) ตัวอย่าง องค์พระทศพลกกุสันโธ องค์พระทศพลโกนาคม องค์พระทศกัสสปะ ทั้งสามพระองค์เป็นแบบสัทธาธิกะ ยังทรงมีพระวรกายไม่เท่ากันเลย
    องค์พระทศพลศรีอาริย์ องค์พระทศพลทีปังกร และองค์พระทศพลสุมังคละเป็นแบบวิริยาธิกะ ยังทรงมีพระวรกายไม่เท่ากันเลย


    ส่วนเรื่องจำนวนเวนัยสัตว์ที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์โปรดได้นั้นพระพุทธเจ้าทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า

    " ดูกรอานนท์ ตถาคตมุ่งหมายอยู่ พึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาลให้รู้แจ้ง ด้วยเสียง
    หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่มุ่งหมาย
    พระอานนท์ . ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคพึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ ประมาณแสนโกฏิจักรวาล ให้รู้แจ้งด้วยพระสุรเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่ พระองค์ทรงมุ่งหมายอย่างไรฯ

    ดูกรอานนท์ พระตถาคตในโลกนี้ พึงแผ่รัศมีไปทั่วโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล เมื่อใด
    หมู่สัตว์พึงจำแสงสว่างนั้นได้ เมื่อนั้น พระตถาคตพึงเปล่งพระสุรเสียงให้สัตว์เหล่านั้นได้ยิน
    พระตถาคตพึงทำให้โลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียงหรือพึงทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่พระองค์ทรงมุ่งหมาย ด้วยอาการเช่นนี้แลฯ "


    เรื่องที่กล่าวมานี้เป็นเรื่องของ พุทธวิสัย นะครับ คิดยังงัยก็คิดไม่ตกหรอกนะครับ

    พระโพธิสัตว์ทั้ง ๓ ประเภทนี้ แม้จะแตกต่างกันในด้านระยะเวลาที่บำเพ็ญบารมีและอินทรียธรรมที่หนุนนำให้ ตรัสรู้ธรรม แต่เมื่อว่าโดยโพธิญาณ(ความรู้ที่ทำให้ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า) ก็เสมอเหมือนกัน คือ ท่านได้รู้อริยสัจ ๔ อันได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อย่างทั่วถึงทัดเทียมกัน
    มิฉะนั้น ก็มิอาจจะตรัสรู้ธรรม แล้วปฏิญาณตนว่า เป็น พระพุทธเจ้า ได้เลย
     
  15. AVATAAR

    AVATAAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +603



    บำเพ็ญบารมีเต็ม ๓๐ ทัศน์ แล้วจักสำเร็จ พระโพธิญาณ เหมือนกัน

    ความแตกต่างสูงใหญ่ของพระวรกาย, รัศมีพระวรกาย, จำนวนเหล่าสรรพสัตว์ที่รื้อขน, เวลาดำรงอยู่ของพระพุทธศาสนา, บรรดาประเภทของเหล่าสรรพสัตว์ที่อุบัติร่วมยุคสมัย, ขนาดผืนแผ่นดินของโลก, ความอุดมสมบูรณ์ในยุค, ภัยพิบัติที่พึงบังเกิด ฯลฯ


    พระพุทธเจ้าทั้งมวล จะบังเกิดยากเพียงใดอยู่ที่จิตและใจ เพียงเท่านั้น

    เพียงเศษธุลีในมหาจักรวาล แต่เศษธุลีนั้นมิได้บังเกิดในมหาจักรวาล
     
  16. พุทธางกูรน้อย

    พุทธางกูรน้อย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +68
    120 อสงไขย ไม่ได้นาน เทียบกับเวลาอันยาวนานของวัฎสงสารที่ยาวนานหาต้น หาปลายไม่ได้

    120 อสงไขย เหมือนเวลาเพียงเสี้ยววินาที เมื่อเทียบกับอายุของจักรวาลนี้

    ถึงจะต้องบำเพ็ญบารมี เป็นร้อย เป็นพันอสงไขย ก็ยังคุ้มค่ากว่าการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ใน

    สังสารวัฎ อันหาที่เริ่ม และสิ้นสุดไม่ได้นี่

    ส่วนความคิดที่ว่า

    ขนาดพระพุทธเจ้ายังใช้เวลา 4 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป

    ใครที่บอกว่า เราสามารถนิพพานชาตินี้ได้ เขากำลังโกหก

    ตอบ

    ปัญญาธิกะใช้เวลาบำเพ็ญบารมีรวม 20 อสงไขย กับ แสนมหากัป

    ซึ่งเป็นพุทธภูมิที่ใช้เวลาบำเพ็ญบารมีน้อยที่สุดแล้ว

    และพุทธภูมิ ไม่มีใครพาท่านไปนิพพานได้

    ท่านจะต้องตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง ทุกๆ พระองค์

    และต่อให้ท่านเป็นสาวกภูมิ ก็ไม่มีใครพาท่านไปนิพพานได้

    นอกจากท่านเอง พระพุทธเจ้าสมณโคดมบรมครู ยังกล่าวว่า

    คถาคตนั้นเป็นเพียงผู้ชี้ทาง

    ซึ่งตรงนี้พระเถระท่านได้เมตตาชี้แนะไว้ว่า

    พระองค์ก็เพียงแค่ชี้ทาง ไม่ได้ไปจำจี้จำไช หรือจูงมือไป ท่านต้องปฏิบัติด้วยตัวท่านเอง

    ถ้าท่านไม่มีปัญญานำไปปฏิบัติ หรือไม่มีวิริยะที่จะปฎิบัติ

    หรือมีวิจิกิจฉา ความสงสัย เคลือบแคลง ในพระรัตนตรัย ไม่ปฏิบัติ ก็ไม่มีใครช่วยท่านได้

    ส่วน การไปนิพพานชาตินี้ นั้น เป็นไปได้ และมีผู้เข้าถึงอริยะ และถึงนิพพานในพุทธกาลปัจจุบันหลายท่าน ยกตัวอย่างเช่น พระอริยะสาวกที่ปรากฏอยู่ในพระตรัยปิฎก เป็นต้น

    ถ้าท่านผู้ใดต้องการถึงนิพพาน ก็เร่งปฏิบัติอันเต็มด้วยอิทธิบาท 4 เทอด
    หากท่านเป็นสาวกภูมิ หนทางนั้นอยู่ไม่ไกลแล้ว
    หากท่านปฎิบัติตนเป็น ปทปรมะ หาได้เป็นผู้เป็นพหูสูตร ซึ้งในรสพระธรรมแล้วล่ะก็

    เสียดายที่ชาตินี่ท่านมีบุญได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนายิ่งนัก
    เหมือนพระเทวทัต ที่มีบุญได้พบพระพุทธเจ้า ที่แทนที่จะได้ไปนิพพาน หรือดุสิตมหาเทวานคร
    กลับต้องตกลงไปในอเวจีมหานรกแทน ฉันใดก็ฉันนั้น
     
  17. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    จำนวนเวยไนยสัตว์ที่พระพุทธเจ้าทรงโปรด

    ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
    ถวาย

    บังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้น แล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับฟังมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า ดูกรอานนท์ สาวกของพระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งมีนามว่า อภิภู ยืนอยู่ในพรหมโลก ให้พันแห่งโลกธาตุ รู้แจ้งได้ด้วยเสียง พระเจ้าข้า ส่วนพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเล่า ทรงสามารถที่จะทำโลกธาตุเท่าไรให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง

    พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า

    ดูกรอานนท์
    นั้นสาวก ส่วนพระตถาคตนับไม่ถ้วน ฯ

    ท่านพระอานนท์ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเป็นครั้งที่ ๒ ว่า
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
    ข้าพระองค์ได้สดับรับฟังมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่าดูกรอานนท์ สาวกของพระสิขี สัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งมีนามว่า อภิภู ยืนอยู่ในพรหมโลก ทำให้พ้นแห่งโลกธาตุรู้แจ้งได้ด้วยเสียง พระเจ้าข้า

    ส่วนพระผู้มีพระภาคอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าเล่า ทรงสามารถที่จะทำโลกธาตุ
    เท่าไรให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง ฯ

    ดูกรอานนท์ นั้นเป็นสาวก ส่วนพระตถาคตนับไม่ถ้วน

    ท่านพระอานนท์ ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคแม้เป็นครั้งที่ ๓ ว่า
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับฟังมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่าดูกรอานนท์ สาวกของพระสิขี สัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งมีนามว่า อภิภู สถิตอยู่ในพรหมโลก ทำให้พันแห่งโลกธาตุรู้แจ้งได้ด้วยเสียง พระเจ้าข้า

    ส่วนพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเล่า ทรงสามารถที่จะทำ
    โลกธาตุเท่าไรให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง ฯ


    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ดูกรอานนท์ เธอได้ฟังเรื่องพันโลกธาตุ เพียงเล็กน้อย ฯ

    ท่านพระอานนท์
    ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าแต่พระสุคต บัดนี้เป็นกาลเวลาแห่งเทศนาที่พระองค์
    จะพึงตรัส ภิกษุทั้งหลายได้สดับธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคแล้ว จักทรงจำไว้ ฯ


    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ดูกรอานนท์ ถ้าอย่างนั้น เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าวท่านพระอานนท์


    พระอานนท์ทูลรับสนองพระผู้มีพระภาคแล้ว

    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
    ดูกรอานนท์ จักรวาลหนึ่ง มีกำหนดเท่ากับโอกาสที่พระจันทร์พระอาทิตย์โคจร ทั่วทิศสว่างไสวรุ่งโรจน์ โลกมีอยู่พันจักรวาลก่อน ในโลกพันจักรวาลนั้น มีพระจันทร์พันดวง มีอาทิตย์พันดวง มีขุนเขาสิเนรุพันหนึ่ง มีชมพูทวีปพันหนึ่ง มีอปรโคยานทวีปพันหนึ่ง มีอุตตรกุรุทวีปพันหนึ่ง มีปุพพวิเทหทวีปพันหนึ่ง มีมหาสมุทรสี่พัน มีท้าวมหาราชสี่พัน มีเทวโลกชั้นจาตุ มหาราชิกาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นดาวดึงส์พันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นยามาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้น ดุสิตพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นนิมมานรดีพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นปรนิมมิตวสวัสตีพันหนึ่ง มีพรหมโลกพันหนึ่ง

    ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างเล็กมีพันจักรวาล โลกคูณโดยส่วนพันแห่งโลกธาตุ อย่างกลางมีล้านจักรวาลนั้น นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล ดูกรอานนท์ตถาคตมุ่งหมายอยู่ พึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาลให้รู้แจ้งได้ด้วยเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่มุ่งหมาย ฯ

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคพึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสน
    โกฏิจักรวาล ให้รู้แจ้งด้วยพระสุรเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่พระองค์ทรงมุ่งหมายอย่างไร ฯ

    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
    ดูกรอานนท์ พระตถาคตในโลกนี้ พึงแผ่รัศมีไปทั่วโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณ
    แสนโกฏิจักรวาล เมื่อใด หมู่สัตว์พึงจำแสงสว่างนั้นได้ เมื่อนั้นพระตถาคตพึงเปล่ง
    พระสุรเสียงให้สัตว์เหล่านั้นได้ยิน พระตถาคตพึงทำให้โลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล ให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง หรือพึงทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่พระองค์ทรงมุ่งหมาย ด้วยอาการเช่นนี้แล ฯ

    เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสดังนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ ได้กราบทูลว่า เป็นลาภของ
    ข้าพระองค์หนอ ข้าพระองค์ได้ดีแล้วหนอที่ข้าพระองค์มีพระศาสดาผู้มีฤทธิ์มีอานุภาพมากอย่างนี้

    เมื่อท่านพระอานนท์กราบทูลอย่างนี้แล้ว
    ท่านพระอุทายีได้กล่าวกับท่านพระอานนท์ว่า

    ดูกรอานนท์
    ในข้อนี้ท่านจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าศาสดาของท่านมีฤทธิ์ มีอานุภาพมากอย่างนี้ เมื่อท่านพระอุทายีกล่าวอย่างนี้

    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระอุทายีว่า ดูกรอุทายี เธออย่าได้กล่าว อย่างนี้ ถ้าอานนท์ยังไม่หมดราคะเช่นนี้ พึงทำกาละไป เธอพึงเป็นเจ้าแห่งเทวดาในหมู่เทวดา ๗ ครั้งพึงเป็นเจ้าจักพรรดิในชมพูทวีปนี้แหละ ๗ ครั้ง เพราะจิตที่เลื่อมใสนั้น ดูกรอุทายี ก็แต่ว่าอานนท์จักปรินิพพานในอัตภาพนี้เอง ฯ


    จบอานันทวรรคที่ ๓
     

แชร์หน้านี้

Loading...