หลักการสังเกตบารมี

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย arnonpattana, 12 พฤษภาคม 2011.

  1. arnonpattana

    arnonpattana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +216
    ถ้าใครอยากทราบว่าตัวเองเคยบำเพ็ญบารมีตัวใดมาแล้วในอดีตนั้น ลองสังเกตว่าทำบารมีตัวไหนแล้วสบายใจมากที่สุดแสดงว่านั้นเคยทำมาแล้วแต่ถ้าตัวไหนไม่ค่อยสบายใจหรือไม่ค่อยชอบแสดงว่าทำมาแต่อาจจะน้อยดังนั้นจึงควรบำเพ็ญบารมีตัวที่ไม่ชอบไปด้วย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่บำเพ็ญตัวที่ชอบนะ ให้ทำควบคู่กันไปเลยเพื่อเพิ่มบารมีตัวที่ไม่เคยบำเพ็ญมาด้วยนะ
     
  2. Armarmy

    Armarmy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +1,659
    ขอเสริมให้นิดหน่อยนะขอรับ บารมีแปลว่า กำลังใจเต็ม หรือ แปลอีกแบบ คือ เต็มใจ

    แต่ถ้าแปลแบบข้าพเจ้าเอง ขอแปลว่า กำลังใจในด้านของความดี กำลังใจเลวๆ อย่าไปนับมันนะขอรับ

    เช่น เพียรทำความชั่วไม่หยุดหย่อน เพียรพยายามกินเหล้าให้ได้ทุกวัน มันไม่ใช่ วิริยะบารมีนะขอรับ

    กำลังใจในบารมี 10 ด้านไหนยังรู้สึกขัดข้องและอึดอัด ไม่พอใจ ในการทรงอารมณ์ในบารมีนั้น

    ยิ่งต้องทำขอรับ เพราะ การบำเพ็ญ คือการฝืนกำลังใจเดิมๆ ถ้าเราไม่พอใจหรือไม่ชอบใจ

    ให้เน้นลงไปตัวนั้น บ่อยๆ จนชิน จนไม่รู้สึกว่าฝืนใจ เต็มใจทำ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็มีกำลังใจ อยู่ สามชั้น

    ชั้นแรก บารมี

    สามารถทำได้ในลักษณะภายนอกทั่วไป เช่น ศีล บุญ ยังไม่ค่อยเข้าใจในกิเลสมากเท่าไหร่

    สังเกตุได้ว่า ยังไม่กล้าเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการทำความดี จัดเป็น บารมี

    ชั้นสอง อุปบารมี

    สามารถทำได้ในเรื่องของการทรงอารมณ์เป็นอย่างดี แต่ยังไม่มีกำลังใจพอที่จะ

    เดินเข้าสู่การตัดกิเลสยังเห็นว่ายากอยู่ สังเกตุได้ว่า จะยังไม่ยอมตายแต่ยอมเสียได้

    และสังเกตุได้อีกจุดคือ ยังไม่สามารถทิ้งโลกได้ ตอนนี้ โลกจะชอบมาก เพราะเก่ง

    มีปัญญาดี แต่ยังไม่พ้นอำนาจโลกธรรมแยกแยะยังไม่ค่อยออกอันไหนโลกอันไหนธรรม

    จัดเป็นอุปบารมี

    ชั้นสาม ปรมัตถบารมี

    สามารถรู้ผิดถูกได้ด้วยตนเองและมีกำลังพร้อมที่จะเดินเข้าสู่กระแสพระอริยเจ้า

    เรียกได้ว่า สามารถทำได้ยิ่งกว่าชีวิตไม่ใช่แค่เสมอแต่ยิ่งกว่า เช่น ยอมตายดีกว่ายอมศีลขาด

    ยอมทิ้งทุกสิ่งได้เพื่อแลกกับพระนิพพาน เป็นต้น จัดเป็น ปรมัตถบารมี หรือจะเรียกว่า

    เลยบาท ก็ได้ เพราะกำลังใจชั้นที่สาม โลกจะเริ่มรังเกียจ เพราะ กำลังใจสูงกว่าโลกธรรม

    จัดเป็น ปรมัตถบารมี

    แต่อย่างไรก็ตาม กำลังใจ มีอยู๋ 10 ประเภทตามชื่อที่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ได้ทรงโปรด แสดงเอาไว้เพื่อความง่ายต่อการ ปฏิบัติต่อๆ ไป

    ตามชื่อนั้นมีดังนี้.


    1. ทานบารมี กำลังใจของเราพร้อมที่จะให้ทานเป็นปกติ ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน
    2. ศีลบารมี กำลังใจของเราพร้อมในการทรงศีล เสมอๆ
    3. เนกขัมมบารมี กำลังใจพร้อมในการทรงเนกขัมมะเป็นปกติ เนกขัมมะ แปลว่า การถือบวช แต่ไม่ใช่ว่าต้องโกนหัวเสมอไป
    4. ปัญญาบารมี กำลังใจพร้อมที่จะใช้ปัญญาเป็นเครื่องประหัตประหารความชั่วในใจตนให้พินาศไป
    5. วิริยบารมี วิริยะ มีความเพียรพยายามทุกขณะควบคุมใจในการทำความดีเสมอ
    6. ขันติบารมี ขันติ มีทั้งอดทน อดกลั้นต่อสิ่งที่เป็นที่เป็นทุกข์ ไม่พอใจ ไม่สบายใจ
    7. สัจจะบารมี สัจจะ ทรงตัวไว้ตลอดเวลา ว่าเราจะจริงใจทุกอย่าง ในด้านของการทำความดี
    8. อธิษฐานบารมี ตั้งใจไว้ให้ตรงโดยเฉพาะ เช่น ตั้งใจรักษาศีล เป็นต้น
    9. เมตตาบารมี สร้างอารมณ์ความดี ไม่เป็นศัตรูกับใคร มีความรักตนเสมอด้วยบุคคลอื่น
    10. อุเบกขาบารมี วางเฉยเข้าไว้ เมื่อโลกนี้มันมีอาการไม่เที่ยง ใช้คำว่า "ช่างมัน" ไว้ในใจ
    กำลังใจ 10 อย่างนี้ สมควรทรงไว้ในอารมณ์ของเราใจเสมอๆ

    แต่กำลังใจก็มี 3 ระดับ บารมี อุปบารมี และ ปรมัตถบารมี

    ถ้าเราทำสัจจะจนยอมตายดีกว่ายอมเสียสัจจะได้แต่กำลังใจในด้านอื่นๆ ยังไม่เต็ม

    เราก็ต้องมาไล่เก็บให้ครบ การบำเพ็ญบารมีจึงเป็นของทำได้ยาก ถึงมีเกิดนับภพชาติไม่ถ้วน

    เพราะเรา เกิดมาเพื่อทำกำลังใจให้พร้อมสำหรับการเข้าพระนิพพาน บางชาติเกิดมา ไม่รู้ตัว

    ก็ไม่ได้ทำในส่วนที่ต้องทำ เรียกได้ว่า เสียชาติเกิด เกิดฟรี แถมเอาบาปติดตัวไปอีก


    สำหรับ พระสาวก หรือ สาวกภูมิ เกิดมาเพื่อทำในส่วนของตนเองล้วนๆ พอท่านเต็มแล้ว ก็

    รอฟังธรรมจาก พระพุทธเจ้า ก็หมดภาระรอไปในระหว่างรอหมดอายุขัยก็จะเห็นว่าท่านจะ

    โปรดญาติโยม ไปตามปกติ พระอรหันต์ ท่านไม่ใช่ตัดแล้วจะอยู่เฉยๆนะขอรับ

    เราจะสังเกตุได้ว่า ท่านทำเพื่อ ตอบแทนคุณของพระพุทธเจ้า ทั้งหมดทุกอย่าง

    พอหมดอายุขัยแล้วก็เข้าพระนิพพานไป



    สำหรับ พุทธภูมิ พอเต็มแล้วก็ยังไม่หมดภาระเพราะต้องรอมาโปรดสัตว์เสียก่อน

    ก็ หลายกัปป์หลายพุทธธันดร กว่าจะได้มาตรัสเป็น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ลงมาเกิดแล้วก็ต้องมาแสวงหาทางดับทุกข์ด้วยตนเองต่ออีกเพราะไม่มีครูสอนในสมัยนั้น

    จนบรรลุ แล้วจึงจะได้ ทำหน้าที่ที่ตั้งใจมานานแสนนาน



    ขอฝากท่านทั้งหลายที่เข้ามาอ่านหรือไม่ได้มา ขอให้ท่านอย่าท้อถอยในการบำเพ็ญบารมี

    บารมีไหนทำไปแล้ว ไม่มีลดหรือถอยหลังได้นะขอรับมีแต่นอกลู่นอกทางไป เพียงแต่จะ

    เติมได้ อีก แค่ไหน ต่อการเกิด 1 ชาติ ของเราก็ตามแต่จะมีสติระลึกได้นั่นเองว่า

    เราเกิดมาเพื่ออะไร?

    เราเกิดมาทำอะไร?

    แล้วเราได้ทำอะไรแล้วหรือยัง?

    สำหรับ ท่านใดที่จะแสดง วาทะศิลป์ หรือ แนะนำอะไรก็เชิญท่านตามสบายขอรับ

    ข้าพเจ้าก็ได้แสดงความเห็นในส่วนของข้าพเจ้าไปแล้ว เพียงเท่านี้

    สุดท้าย.

    กรรมใดก็ตามที่ข้าพเจ้าได้ล่วงเกินท่านทั้งหลาย ด้วยกายกรรม ด้วยวจีกรรม ด้วยมโนกรรม

    ต่อหน้าก็ดี ลับหลังก็ดี เจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ ขอท่านทั้งหลาย ได้

    โปรดอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเถิด
     
  3. นางสาวอยู่จ้ะ

    นางสาวอยู่จ้ะ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,041
    ค่าพลัง:
    +3,865
    ส่วนตัวก็คงต้องฝึก "อุเบกขา" ให้มาก, เพราะถูกฝึกมาทั้งชีวิต
    ให้ "แก้ปัญหา" , โน่นก็ต้องทำ นี่ก็ต้องทำ ยังวางไม่ค่อยได้,
    อีกสิ่งหนึ่งคือ "ขันติบารมี" ซึ่งตอนนี้กลายเป็น "ขันแตก"
    ไปเรียบร้อยแล้ว, เพราะ 18 ปี ที่อดทนคนรอบข้างมา พอมั้ย
    กับการพิสูจน์ว่า สังคมมันมีแต่การเอาเปรียบ ถ้าไม่ยืนหยัด
    เพื่อตัวเอง ก็จะ "ไม่เหลืออะไร", ตอนนี้ก็ยังหาทางกลับไปเป็น
    คนอดทนแบบนั้นอีกไม่ได้เลย..
     
  4. Armarmy

    Armarmy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +1,659

    สาธุครับสำหรับกำลังใจ

    จากใจผมเลย คือ บารมีไม่ใช่สิ่งที่ทำไปให้คนรอบข้างเห็นหรือเพื่อทดสอบโลก

    และเพราะมันทำได้ยากนั่นแหล่ะครับ ถึงต้องทำกำลังใจให้สูงกว่าตลอดเวลา

    ไม่งั้น บททดสอบ บารมี คงตกแล้วตกอีก ซ้ำชั้นไม่รู้จบ

    แต่ถึงแม้ ทำได้ยาก ก็ยังทำ แม้ล้มเหลวก็ยังทำ นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด อย่ายอมแพ้ใจตัวเอง

    การอดทน หรือ ขันติ ก็ต้องเลือกละครับ บางเรื่องมันไม่จำเป็นต้องทนก็ได้ครับ

    เช่น ลูกหลาน บริวาร ทำไม่ดี ต้องทนมั้ย? ปล่อยให้เขาทำไปงั้นหรือ?

    ถ้ามา กระทำกับตัวเรา ไม่ได้กระทบถึงส่วนรวม ทนได้ก็ทนครับ

    ทนไม่ได้ก็ เดินหนี หนีแล้วไม่หยุด ก็ซัดไปเลยครับ ให้รู้ดำรู้แดงกันไป

    แต่เราควรจะทนเสียก่อน ให้ มันมีขั้นตอนกว่าจะถึง ตอบโต้ ให้มันมีกรองก่อนช่วยได้เยอะครับ

    ไม่จำเป็นต้องกลับไปเหมือนเก่าหรอกครับ เพราะมันเป็นไปไม่ได้

    มีแต่ เอาของเก่า มาสอนใจเราต่อๆไปนำของเก่ามาเป็น สติ สอนใจเราเองนี่ล่ะ

    แล้วจะพบทางออกได้เองครับ สติในปัจจุบัน ที่มาจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา

    ย่อมเป็นครูที่ดีที่สุดสำหรับเราเอง

    "จงกล่าวโทษ โจทษ์ความผิดตนเองเอาไว้เสมอ"

    ไม่เคยทำผิดจะรู้มั้ยครับว่าจะกล่าวโทษให้ตัวเองอย่างไร

    ผิดเพื่อเจอทางที่ถูก นำความผิดนั้นมาสอนใจของเรา นี่คือ สติ และ ปัญญา

    "บุคคลเมื่อฝึกฝนตนดีแล้วไซร้ ย่อมได้ที่พึ่งอันบุคคลอื่นพึงได้โดยยาก"

    เมื่อเราเตือนตนเองด้วยตนเองได้แล้ว มีสติ ปัญญาแยกแยะ ดีชั่ว ได้แล้ว

    การดำเนินในทางที่เหมาะสมที่ถูกที่ควร จะบังเกิดขึ้นในตัวเราเอง

    ทั้งหมด เราทำเพื่อ สอนใจเราเอง ลองดูได้ครับ ไม่หวงวิชานี้

    ขอให้มั่นใจในกำลังใจตัวเองให้มากกว่านี้ นำผิดในอดีตมาสอนใจเราในปัจจุบัน

    ความผิดและพลาดนั่นล่ะคือครูที่ดีที่สุดของตัวเราเอง

    ไม่ได้สอนหรืออื่นใดนะขอรับ เพียงแค่ สาธุการ กับกำลังใจของท่านเท่านั้นเอง

    เห็นแล้วปลื้มใจที่มีคน มาบอกว่า ฉันยังอ่อนในเรื่องนี้ๆ เลยสาธุซะยาวไปหน่อย


    ถ้าเป็นในส่วนละเอียดมากกว่านี้ PM มาคุยกันได้ครับ

    ผมจะลองเสนอแนวคิดเท่าที่ผม ทำมา เลยที่ผมรู้ผมไม่ตอบนะครับ

    อนุโมทนาสาธุ กับ ความดีที่ตั้งใจทำ ทุกประการครับ
     
  5. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    สาธุ อนุโมทนาด้วยนะครับ น้องชายสุดหล่อ
    เข้ามาอ่านแล้วนะ เดี๋ยวหาว่า พี่ไม่สนใจอีก ๕๕๕++
    ตั้งแต่เชือกสีแดงขาดมานี้ เป็นเอามากนะ คริคริ

    พี่ไม่สังเกตุ ได้ไหมเพราะ ทุกอย่างจะสัมพันธ์กันนะครับ
    น้องนนท์ ลองอ่านดูนะครับ (แลกเปลี่ยนกันครับ)


    ธรรมของพระโพธิสัตว์ ( ประจำใจพระโพธิสัตว์อยู่เสมอทุกชาติ )
    ธรรมเหล่านี้สัมพันธ์กันตลอดเวลาไม่สามารถแยกออกจากกันได้เลย เพราะธรรมแต่ละข้อนั้นต่างอาศัยกันและกันเกิดขึ้น.....
    เมื่อพระโพธิสัตว์ให้ ทาน จุดมุ่งหมายในการให้ก็เพื่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่ผู้รับไม่มีคิดที่จะเป็นเหตุให้เกิดการเบียดเบียนผู้อื่น
    การไม่มีความคิดที่จะเบียดเบียนผู้อื่นทั้งกาย วาจา ใจ นี้จัดเป็น ศีล
    เมื่อเกิดความคิดในการให้ทาน จิตใจย่อมผ่องใสปราศจากนิวรณ์
    การที่จิตปราศจากนิวรณ์ จัดเป็น เนกขัมมะ
    แน่นอน ในการบำเพ็ญทานนั้น ย่อมตั้งใจใช้การพินิจพิจารณาเหตุผล เพื่อให้ทานเกิดประโยชน์มากที่สุด
    การพินิจพิจารณาเช่นนี้ จัดเป็น ปัญญา
    ความตระหนี่เป็นอุปสรรคสำคัญในการบำเพ็ญทาน พระโพธิสัตว์จำต้องพยายามละความตระหนี่ที่เกิดขึ้นขัดจังหวะอยู่ตลอดเวลา
    การพยายามละความตระหนี่เช่นนี้ จัดเป็น วิริยะ
    นอกจากพยายามละความตระหนี่ซึ่งเป็นบาปที่คอยขัดขวางไม่ให้การทำความดีก้าวหน้าแล้ว พระโพธิสัตว์จะต้องยอมทนทุกข์ทรมานจากการเสยสละ
    เพราะในบางครั้งสิ่งที่สละนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากหรือเสมอด้วยชีวิต แต่เมื่อเห็นว่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้รับ ถึงตนเองจะต้องลำบากท่านก็ยอมสละให้ได้
    การยอมทุกข์ทรมานเพื่อให้ผู้อื่นเป็นสุขเช่นนี้ จัดเป็น ขันติ
    พระโพธิสัตว์ เมื่อตัดสินใจให้ทานแล้วก็ย่อมทำตามการตัดสินใจ หรือเมื่อพูดว่าจะให้อะไรแก่ใครแล้ว ท่านก็พร้อมจะให้เสมอ ไม่เคยกลับคำ
    การพูดหรือทำตรงตามการตัดสินใจนั้น จัดเป็น สัจจะ
    การทำอย่างที่พูดหรือตัดสินใจไปแล้วนั้น บางครั้งทำไปแล้ว อาจจะมีอุปสรรคเกิดขึ้นขัดขวางซึ่งทำใหเกิดความท้อถอยแต่พระโพธิสัตว์จะยึด มั่นอยู่ในสัจจะนั้น พยายามฝ่าฟันอุปสรรคเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้ได้
    ความมั่นคงแน่วแน่เช่นนี้ จัดเป็น อธิฐาน
    การให้ของพระโพธิสัตว์ย่อมตั้งอยู่บนพื้นฐานของความปรารถนาดี และเป็นความปรารถนาดีชนิดที่เป็นอัปปมัญญา ไม่มีขอบเขตจำกัดไม่เลือกที่รักมักที่ชัง เป็นความปรารถนาดีที่แผ่ไปให้แม้กระทั้งศัตรู
    ความรักความปรารถนาดีอย่างกว้างขวางนี้ จัดเป็น เมตตา
    แน่นอนว่า ในการให้นั้น พระโพธิสัตว์ย่อมมิได้มุ่งหวังผลตอบแทนหรือเพื่อเกียรติยศชื่อเสียง ท่านสามารถบังคับใจให้อยุ่เหนือสิ่งตอบแทนทางวัตถุเหล่านี้ ทั้งนี้เป็นเพราะท่านรู้จักปล่อยวางประคับประคองใจให้เป็นกลาง
    การวางใจให้เป็นกลางได้เช่นนี้ จัดเป็น อุเบกขา
    จากเหตุผลดังกล่าวนี้ แสดงให้เห็นว่า ธรรมะเหล่านี้ย่อมสัมพันธ์กันอยู่เสมอ เพื่อเกื้อหนุนให้พระโพธิสัตว์ได้บรรลุถึงพระนิพพานอันเป็นจุดหมายปลายทาง ฉะนั้น จึงเรียกว่า " บารมี " แปลว่า " คุณธรรมเครื่องช่วยให้ถึงฝั่งคือพระนิพพาน __________________
     
  6. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,913
    ค่าพลัง:
    +1,513
    สำหรับเราเมตตาบารมียากที่สุด ทุกวันนี้ยังคิดอยู่ทำได้ไง
    ให้มอบความรักแก่ผุ้ที่จะมาฆ่าเรา

    ความรู้สึกเหมือนให้เรามาเตรียมตัวให้พร้อม เมื่อใดพร้อมจะโดนทดสอบ

    ผมเคยโดนผีเข้าก็วางเฉยอธิษฐานยกกายให้ ก้มีเทวดามาช่วยก็แผ่เมตตาได้โดยไม่โกรธเลย

    แต่ครั้งนี้โดนพ่อเลี้ยง ด่าดูถูกสารพัด เคยถูกชกหน้าจนทรุด เอามีดหมายจะฆ่าทิ้ง

    มองยังไงก็รักไม่ลงอ่ะ ใครรู้วิธิภาวนาตัวนี้ช่วยบอกหน่อยแล้วกัน เพราะมันเกินรับไหวจริงๆ
    เขาทำถึงขนาดครอบครัวผมเป็นหนี้หมดตัว จากรวยเป็นจน แล้วยังทำแม่ผมเป็นอัมพาตอีก
     
  7. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,913
    ค่าพลัง:
    +1,513
    เพราะถ้าถูกฆ่าตายก็จบ แต่ผมยังไม่ตายนี่ซิ

    เพราะกรณีนี้ผมทำได้แค่อุเบกขาเอง ยังไม่สามารถถึงขั้น เมตตา ไม่ไหวจริงๆ

    เพราะไม่ว่ายังไงก็อยากจะหนีๆเขาไปให้ไกล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤษภาคม 2011
  8. no-ne

    no-ne เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,198
    ค่าพลัง:
    +3,380
    อ่านเรื่องของคุณ bosslnwskr10 แล้วดิฉันรู้สึกเห็นใจจังเลยค่ะ ขอเป็นอีก 1 กำลังใจให้นะคะ ขอให้คุณผ่านเรื่องราวอันขมขื่นนี้ไปได้ด้วยดี แผ่เมตตาให้แก่เขาบ่อยๆ นะคะ ฝืนใจตัวเอง ถ้าเขายังพอมีด้านดีอยู่บ้าง ให้นึกถึง ให้เพ่งไปที่จุดๆ นั้นมากๆ มากๆ นึกถึงบ่อยๆ นะคะ คนเรามีสองด้านเสมอ ทั้งดีทั้งชั่ว ถ้าเราจะฝึกเมตตา ชั่วอย่าไปมอง มองไว้แต่ดีด้านเดียว

    มีเรื่องราวดีๆ มาฝากด้วยนะคะ
    จากหนังสือ โชคดี
    พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก

    ในอดีตมีพระราชาผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักร ฮีบรูพระนามว่าโซโลมอน พระราชาได้สั่งให้เจ้าเมืองทุกเมืองทำของวิเศษให้อย่างหนึ่งโดยของสิ่งนั้นต้องมีคุณสมบัติพิเศษคือ...ของสิ่งนี้ จะสามารถเปลี่ยนอารมณ์ความรู้สึกของพระราชาได้ "หากมีความทุกข์อยู่ก็จะหายจากทุกข์ หากมีความสุขอยู่ก็จะคลายความสุขลง ไม่ว่ากำลังร้องไห้อยู่หรือหัวเราะอยู่ก็จะสามารถหยุดอารมณ์ทั้งสองอย่างนั้นได้"

    เมื่อครบกำหนด เจ้าเมืองใหญ่เมืองใด ๆ ก็ไม่สามารถหาของตามที่พระราชาต้องการได้ แต่มีเจ้าเมืองเล็ก ๆ อยู่เมืองหนึ่งได้บอกว่ามีแหวนวิเศษมีคุณสมบัติอย่างที่พระราชาต้องการมาถวาย พระราชาจึงรีบให้มาเข้าเฝ้า เมื่อพระราชาได้เห็นแหวนวงนั้นแล้ว ปรากฏว่าเป็นเพียง แหวนทองธรรมดาเรียบ ๆ วงหนึ่ง พระราชาก็สงสัยว่าแหวนนี้จะมีความวิเศษได้อย่างไรกันเมื่อพระราชานำไปใช้ก็ปรากฏว่าแหวนวงนี้ สามารถเปลี่ยนอารมณ์ของพระองค์ได้จริง ๆ ไม่ว่าพระองค์จะกำลังมีความสุขอยู่ก็ตาม เพียงเพราะแหวนนั้นมีข้อความสั้นสลักไว้ว่า

    "แล้วสิ่งนั้นจะผ่านพ้นไป"

    ยามใดที่พระราชามีความสุข ความยินดีหรือมีความทุกข์ ความโกรธ ความกังวลไม่สบายใจใด ๆ ก็ตาม เมื่อมองไปที่แหวนนี้ซึ่งเตือนสติพระองค์ว่า "แล้วสิ่งนั้นจะผ่านพ้นไป" ทำให้พระองค์เข้าใจว่าสิ่งที่พระองค์กำลังประสบอยู่ไม่ว่าสุขไม่ว่าทุกข์มันไม่จีรังยั่งยืน เกิดขึ้นมาแล้วก็จากไป นับตั้งแต่นั้นมาพระราชาก็ไม่คิดที่จะนำความทุกข์มาเป็นกังวล มีความสุขก็ไม่ได้ยึดติดกับความสุขนั้น ทำให้พระราชาสามารถตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องและตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อประชาชนของพระองค์จนได้ขื่อว่าเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ เป็นที่รักใคร่ของประชาชน

    ในการดำเนินชีวิตของเรา เราต้องประสบกับโลกธรรม 8 คือได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็ต้องมีเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์เป็นธรรดาหากเราสามารถเตือนสติตนเองได้ว่า "แล้วสิ่งนั้นจะผ่นพ้นไป" ก็จะช่วยให้เราทำใจเป็นกลางทำใจเป็นปกติได้ เมื่อความรู้สึกต่าง ๆ เกิดขึ้น เช่น หงุดหงิด โกรธ น้อยใจ เสียใจ ขี้เกียจ วิตกกังวล หรือมีความรู้สึกตื่นเต้น ยินดีพอใจก็ตาม

    ให้เรามีสติ ปรับปรุงลมหายใจยาวๆ หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ ให้เกิดความรู้สึกตัว รักษาใจเป็นกลางๆ ทำใจสงบและทำใจปล่อยวางว่า “แล้วสิ่งนั้นจะผ่านพ้นไป” เมื่อมีทุกข์ ทุกข์นั้นไม่ใช่สิ่งจีรังยั่งยืน ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะนำความทุกข์นั้นมาเป็นกังวล เมื่อมีสุข สุขนั้นก็ไม่จีรังยั่งยืนเช่นกัน เราไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง

     
  9. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,913
    ค่าพลัง:
    +1,513


    ขอขอบพระคุณมากๆ นะครับ
     
  10. arnonpattana

    arnonpattana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +216
    ที่ผมพูดมานี้ผมเอามาจากตำรานะครับ

    ส่วนตัวผมเองตอนนี้ผมก็บำเพ็ญขันติบารมีและเอาหลักธรรมขันติกับโสรัจจะเป็นตัวช่วยนะครับ

    แต่ตอนนี้ก็เน้นวิริยะด้วยนะครับเพราะรู้ตัวเองว่าเริ่มขี้เกียจแล้วนะครับ
     
  11. arnonpattana

    arnonpattana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +216
    ผมแนะนำนะครับใครบำเพ็ญบารมีอะไรบางทีควรจะเอาหลักธรรมมาช่วยด้วยนะครับ

    เช่นอธิษฐานบารมีก็เอาอธิษฐานธรรม4มาช่วย

    ขันติบารมีเอาขันติโสรัจจะมาช่วย

    แบบนี้นะครับ

    หรือบางทีบำเพ็ญอธิษฐานธรรม4 1.ปัญญา 2.สัจจะ 3.จาคะ 4.อุปสมะ

    บำเพ็ญ4อย่างนี้ก็ได้อธิษฐานบารมีแล้วนะครับ
     
  12. arnonpattana

    arnonpattana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +216
    อย่าพูดถึงครับเดี๋ยวจะขึ้นอีกเพราะว่าไอ้คนบังคับให้ผูกนะสร้างความไม่พอใจให้ผมหลายเรื่องนะ
     
  13. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,276
    ค่าพลัง:
    +82,733
    1. ทานบารมี กำลังใจของเราพร้อมที่จะให้ทานเป็นปกติ ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน
    2. ศีลบารมี กำลังใจของเราพร้อมในการทรงศีล เสมอๆ
    3. เนกขัมมบารมี กำลังใจพร้อมในการทรงเนกขัมมะเป็นปกติ เนกขัมมะ แปลว่า การถือบวช แต่ไม่ใช่ว่าต้องโกนหัวเสมอไป
    4. สัจจะบารมี สัจจะ ทรงตัวไว้ตลอดเวลา ว่าเราจะจริงใจทุกอย่าง ในด้านของการทำความดี
    5. อธิษฐานบารมี ตั้งใจไว้ให้ตรงโดยเฉพาะ เช่น ตั้งใจรักษาศีล เป็นต้น
    6. เมตตาบารมี สร้างอารมณ์ความดี ไม่เป็นศัตรูกับใคร มีความรักตนเสมอด้วยบุคคลอื่น
     
  14. ข้าวยาคู

    ข้าวยาคู สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2010
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +0
    "บุคคลเมื่อฝึกฝนตนดีแล้วไซร้ ย่อมได้ที่พึ่งอันบุคคลอื่นพึงได้โดยยาก"

    อนุโมทนา สาธุด้วยค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 มิถุนายน 2011
  15. คนรักชาติ

    คนรักชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +181
    [​IMG]
    ขอบารมีพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอริยะทุกพระองค์ พระโพธิสัตย์ทุกพระองค์โดยมีบุญบารมีของหลวงปู่ดู่และหลวงปู่ทวดเป็นที่สุดช่วยดลบันดาลให้จิตข้าพเจ้าฝากกระแสจิตไว้กับบุญบารมีของผู้โพสกระทู้ ผู้อ่านกระทู้ และผู้ตอบกระทู้ ข้าพเจ้าอยากมีส่วนร่วมกับบุญบารมีของพวกท่านทั้งบุญบารมีในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
    พุทธังอนันตัง ธัมมังจักรวาลัง สังฆังนิพพานัง ปัจจะโยโหตุ
     
  16. เมทิกา

    เมทิกา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    954
    ค่าพลัง:
    +2,392
    ขอบคุณมากค่ะ อ่านแล้วปิ๊งเลย ^-^
     
  17. พุทธางกูรน้อย

    พุทธางกูรน้อย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +68
    การปฏิบัติบารมี พรหมวิหาร 4 กับอิทธิบาท 4 จงศึกษาให้หนัก

    ทาน ศีล และภาวนา ปฏิบัติให้หนัก

    ให้หนัก คือให้มากแค่พอดี ไม่น้อยเกินไป ไม่มากเกินไป

    โดยเฉพาะ เมตตา กับวิริยะ ต้องศึกษาให้ดี

    ศึกษาไม่ดี เข้าใจผิด ทำโดยขาดปัญญา จะเป็นโทษได้

    หลวงพ่อ ฤาษี ได้สั่งสอนไว้อย่างดีในเรื่องนี้ ลองหามาฟังดูครับ


    โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรฝึกกรรมฐานจนได้ วิชา 3 อภิญญา 5 สมาบัติ 8

    แต่ผมเลือกฝึก สมาบัติ 8 ก่อน ตามวิสัย พุทธภูมิ ที่มีพุทธจริต เป็นพื้นฐาน
     

แชร์หน้านี้

Loading...