หญิง-ชาย ใครว่าเท่าเทียม เรื่องโดย ฐิติขวัญ เหลี่ยมศิริวัฒนา

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย honey_bee414, 13 มิถุนายน 2011.

  1. honey_bee414

    honey_bee414 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,164
    ค่าพลัง:
    +3,665
    <TABLE width=800 align=center><TBODY><TR><TD width=793>
    หญิง-ชาย ใครว่าเท่าเทียม


    เรื่องโดย ฐิติขวัญ เหลี่ยมศิริวัฒนา


    [​IMG]


    ฐิติขวัญ เหลี่ยมศิริวัตฒนา ลูกศิษย์เจ้าปัญหา กับอาจารย์ดร.สนอง วรอุไร ผู้เปี่ยมประสบการณ์ทั้งทางโลกและทางธรรม จะสนทนากันเรื่องสิทธิสตรีว่า แท้จริงแล้วในทางธรรม ผู้หญิงจะเท่าเทียมกับผู้ชายได้หรือไม่ และการเรียกร้องสิทธิสตรีที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกนั้น แท้จริงแล้วที่ถูกต้อง ควรทำแค่ไหน อย่างไร

    อาจารย์คะ การเกิดเป็นผู้หญิงนั้น เห็นได้ชัดว่าต้องใช้ชีวิตอย่างมีข้อจำกัดมากกว่าผู้ชาย ในทางธรรมแล้ว เพศหญิงไม่เท่าเทียมกับเพศชายจริงไหมคะ


    จริงลูก ถ้าหมายถึงโลกิยธรรมเพราะตามธรรมชาติแล้ว เพศหญิงกับเพศชายนั้นไม่เท่าเทียมกัน เพราะผู้หญิงอยู่ในเพศที่ไม่ปลอดภัย มีสภาวะของจิตอ่อนไหว มีสรีระบอบบาง และรับสิ่งกระทบมาปรุงอารมณ์ได้มากกว่าเพศชาย จึงเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายได้ง่าย ทำให้ต้องมีข้อจำกัดในการใช้ชีวิตมากกว่า ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติศีลของภิกษุณีสงฆ์ไว้ถึง 311 ข้อ ในขณะที่ศีลของภิกษุสงฆ์ทรงบัญญัติไว้เพียง 227 ข้อ เท่านั้น

    ทำไมล่ะค่ะอาจารย์

    เพราะจิตที่อยู่ในร่างกายของเพศหญิงนั้นต้องอาศัยศีลมากกว่า ถึงจะคุมจิตมิให้หวั่นไหวได้เท่าเทียมกับจิตที่อยู่ในร่างของเพศชาย ​

    หมายความว่าจิตของผู้หญิงมีความแน่วแน่และมีพลังน้อยกว่าผู้ชายหรือคะ

    ไม่ใช่ลูก ตัวจิตเองนั้นมีศักยภาพเท่าเทียมกัน แต่ร่างของเพศหญิงเป็นร่างที่เปิดโอกาสให้จิตรับสิ่งกระทบมากกว่าร่างของเพศชาย จึงต้องอาศัยศีลมากกว่าในการควบคุมกาย วาจา ใจ ของเพศหญิงให้บริสุทธิ์ แต่เมื่อบรรลุอรหัตผลแล้ว จิตของทั้งเพศชายและเพศหญิงจะมีศักยภาพเท่ากัน ​

    ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า ผู้หญิงบรรลุธรรมยากกว่าผู้ชายใช่ไหมคะ

    ยากกว่า เพราะจิตอยู่ในร่างที่รับสิ่งกระทบมากกว่า ​

    อย่างนี้การเกิดเป็นผู้ชายก็นับว่าโชคดีกว่าการเกิดเป็นผู้หญิงจริงๆ น่ะสิคะ

    ใช่ลูก โชคดีกว่าในด้านการพัฒนาจิตให้เข้าถึงธรรม เพราะการอยู่ในเพศหญิงนั้นมีข้อจำกัดมาก เช่น ถึงแม้จะเก่งแค่ไหนก็ตาม แต่การดำรงชีพแต่เพียงผู้เดียวสำหรับผู้หญิงเป็นเรื่องอันตราย ดูอย่างพระอุบลวรรณาสิ แม้จะบรรลุอรหัตผลแล้ว แต่ก็ยังถูกนันทมาณพข่มขืน เพราะท่านไปปฏิบัติธรรมอยู่แต่เพียงผู้เดียวที่กุฏิในป่าอัมพวัน ด้วยเหตุนี้ ในพระวินัยจึงระบุไว้ว่า ภิกษุณีห้ามอยู่วัดโดยไม่มีภิกษุสงฆ์อยู่ด้วย เพราะจะไม่ปลอดภัย นี่เป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าต้องบัญญัติศีลอีกหลายๆข้อสำหรับภิกษุณีสงฆ์ เช่นภิกษุณีสงฆ์แม้จะบวชมานานเท่าไร หรือบรรลุธรรมขั้นไหนก็ตาม ยังต้องกราบไหว้พระภิกษุที่บวชแม้เพียงวันเดียว ฯลฯ นี่เป็นกุศโลบายย้ำเตือนเพศหญิงให้รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ให้อัตตานำหน้าจนคิดว่าฉันอยู่ได้ด้วยตัวเอง เพราะไม่ว่าใครจะมีความเห็นอย่างไรก็ตาม ตามธรรมชาติที่แท้จริงแล้ว การเกิดเป็นผู้หญิงไม่เท่าเทียมกับการเกิดเป็นผู้ชาย ​

    ถ้าอย่างนั้นการออกมาเรียกร้องสิทธิสตรีที่ทำกันอยู่ทั่วโลก ก็เป็นสิ่งที่ผิดนะสิคะ

    การเรียกร้องสิทธิสตรีให้เท่าเทียมกับผู้ชาย เป็นสิ่งที่คนทางโลกเขาทำกัน โดยไม่ดูความถูกต้องในทางธรรม เรื่องอย่างนี้ในทางโลกอาจจะเรียกร้องให้เกิดการปฏิบัติที่เท่าเทียมกันได้ แต่ในทางธรรมแล้ว ย่อมเป็นไปไม่ได้ ​

    เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ผู้หญิงทั้งหลายความจะอยากเกิดเป็นผู้ชายหรือเปล่าค่ะ

    ไม่จำเป็น เรื่องแบบนี้ขึ้นอยู่กับความปรารถนาของแต่ละคน เพราะไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็มีศักยภาพที่จะบรรลุธรรมได้เหมือนกัน เพียงแต่ก่อนที่จะบรรลุนั้น ความเสมอภาคทางร่างกายมีต่างกัน แต่ความเสมอภาคทางจิตใจเมื่อบรรลุธรรมแล้วมีเหมือนกัน ​

    กรรมอะไรทำให้คนเราเกิดเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายคะ

    หนึ่ง คือ การประพฤติ สอง คือ ความปรารถนา เหมือนในครั้งพุทธกาล เจ้าหญิงโคปกาเกิดเป็นผู้หญิงแล้วรู้สึกว่าเป็นเพศที่มีภาระและปัญหามาก จึงอธิษฐานขอเกิดเป็นผู้ชาย แล้วทำเหตุให้ถูกตรง ในที่สุดจึงไปเกิดเป็นโคปกเทพบุตรอยู่บนสวรรค์ ​

    การทำเหตุให้ถูกตรงสำหรับการไปเกิดเป็นผู้ชาย ก็คือการประพฤติจริยธรรมของการเป็นผู้หญิงให้ถูกตรงตามธรรมเช่น ทำตัวเป็นลูกสาวที่ดี เป็นภรรยาที่ดี เป็นแม่ที่ดี นอกจากนั้นก็ต้องทำจิตให้มีลักษณะแบบผู้ชาย เช่น ทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก เพราะถ้าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ นั่นคือลักษณะนิสัยที่จะทำให้ไปเกิดเป็นผู้หญิงต่อไปอีก ​

    อาจารย์คะ ถ้าผู้หญิงมีศักยภาพที่จะบรรลุธรรมได้ไม่ต่างจากผู้ชาย แล้วทำไมปัจจุบันนี้การบวชเป็นภิกษุณี จึงเป็นสิ่งที่เป็นประเด็นปัญหาในบ้านเมืองเราล่ะคะ

    อาจารย์ต้องเท้าความอดีตก่อนว่า ในครั้งพุทธกาล พุทธบริษัท 4 นั้นประกอบไปด้วยภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา ​

    ภิกษุณีรูปแรกของพระพุทธศาสนาคือ พระมหาปชาบดีโคตรมี ซึ่งเป็นพระมาตุจฉาหรือพระน้านางของพระพุทธเจ้า แต่กว่าจะได้บวช พระพุทธเจ้าทรงไม่อนุญาตอยู่ถึง ๒ ครั้งจนกระทั่งในครั้งที่ ๓ พระนางมหาปชาบดีโคตรมีทรงปลงผมและนุ่งผ้าย้อมฝาด แล้วเดินเท้าเปล่าจากรุงกบิลพัสดุ์มายืนร้องไห้อยู่หน้ากุฏาคารศาลาที่แคว้นวัชชี พระอานนท์ออกไปเห็นเข้าจึงไปถามไถ่ดู เมื่อได้ความแล้วจึงรับอาสาไปจัดการให้และเข้าไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า เมื่อผู้หญิงปฏิบัติธรรมแล้วจะบรรลุธรรมได้ไหม เมื่อพระพุทธเจ้าทรงตอบว่าได้ พระอานนท์จึงทูลถามต่อว่า แล้วเหตุใดจึงทรงไม่อนุญาตให้พระนางมหาปชาบดีโคตรมีบวช ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงทรงอนุญาตให้ผู้หญิงบวชได้ โดยมีเงื่อนไขว่า จะต้องประพฤติครุธรรม ๘ ประการ ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติเพื่อวัดใจผู้บวชที่เป็นหญิงว่ามีความมั่นคงต่อพระพุทธศาสนาจริงๆ ​

    ทำไมพระพุทธเจ้าถึงไม่ทรงอนุญาตให้ผู้หญิงบวชได้ตั้งแต่แรกคะอาจารย์

    เพราะทรงเกรงว่า หากรับเพศหญิงที่ไม่มีความมั่นคงในพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนาเข้ามาเป็นนักบวชแล้ว อาจเกิดข้อครหาที่จะเป็นอันตรายร้ายแรงต่อการประพฤติพรหมจรรย์ของภิกษุได้ เนื่องจากในสมัยพุทธกาลไม่เคยมีศาสนาใดอนุญาตให้ผู้หญิงเข้ามาเป็นนักบวชมาก่อน ด้วยเหตุนี้เมื่อทรงอนุญาตแล้วจึงทรงบัญญัติไว้ด้วยว่า การบวชเป็นภิก ษุณีนั้นต้องบวชด้วยสงฆ์สองฝ่าย คือทั้งฝ่ายภิกษุณีสงฆ์และฝ่ายภิกษุสงฆ์ ​

    ทุกวันนี้ประเทศที่ปฏิบัติตามพระวินัยข้อนี้ได้ มีเหลืออยู่เพียงประเทศศรีลังกา ด้วยเหตุนี้ภิกษุณีในประเทศไทยของเราจึงต้องไปบวชมาจากประเทศศรีลังกา แล้วค่อยกลับมาเป็นภิกษุณีสงฆ์อยู่ที่บ้านเรา แต่อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีพระราชบัญญัติเกี่ยวกับภิกษุณีสงฆ์ในประเทศไทย ​

    แล้วอย่างนี้ในฐานะชาวพุทธ เราควรจะเห็นด้วยกับการมีภิกษุณีในเมืองไทยไหมคะ

    ขึ้นอยู่กับสภาวะความรู้แจ้งของจิต หากจิตของเรามีปัญญาเห็นแจ้งแล้ว เราย่อมรู้ว่าไม่ว่าจิตจะอยู่ในเพศชายหรือหญิงก็สามารถบรรลุธรรมได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นจิตจึงไม่มีเพศด้วยเหตุนี้ผู้รู้จริงจึงเห็นด้วยกับการอนุญาตให้ผู้หญิงบวช เพราะรู้ว่าการบวชเป็นเรื่องของจิตที่มีศักยภาพในการบรรลุธรรมได้เท่าเทียมกัน ส่วนใครจะเห็นด้วยหรือไม่ก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล เข้าใจนะลูก ​

    เข้าใจแล้วค่ะอาจารย์

    ครุธรรม 8 ประการ (โดยสรุป) ได้แก่

    1. ภิกษุณีต้องกราบไหว้ภิกษุ แม้มีอายุพรรษาน้อยกว่าเสมอ ​

    2. ภิกษุณีต้องจำพรรษาในวัดที่มีภิกษุอยู่ด้วยเสมอ ​

    3. ภิกษุรีต้องเป็นฝ่ายรับการสั่งสอนจากภิกษุเสมอ ​

    4. ภิกษุต้องปวารณาในสงฆ์ทั้งสองฝ่าย คือ ทั้งภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์ ​

    5. เมื่อต้องอาบัติสังฆาทิเสส (อาบัติหนักรองจากปาราชิก) จะต้องประพฤติมานัตต์ (การเข้าปริวาสกรรม-การอยู่ในบริเวณที่กำจัดและปฏิบัติธรรมเป็นเวลาต่อเนื่อง เพื่อลดละกิเลส) ตลอดปักษ์ในสงฆ์ทั้งสองฝ่าย ​

    6. ภิกษุณีต้องเป็นผู้ศึกษาธรรมและรักษาศีล 6 ข้อ (เพิ่มข้อห้ามกินยามวิกาลจากศีล 5) เป็นเวลา 2 ปี ก่อนจะได้รับการบวชโดยสงฆ์ทั้งสองฝ่ายคือ ทั้งภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์ ​

    7. ห้ามมิให้ภิกษุณีด่าว่าภิกษุสงฆ์ไม่ว่าในกรณีใดๆ ​

    8. ห้ามมิให้ภิกษุณีว่ากล่าวสั่งสอนภิกษุ ​

    ทั้งหมดนี้เป็นธรรมที่ภิกษุณีพึงสักการะ นับถือ เคารพ บูชาและไม่ก้าวล่วงจนตลอดชีวิต ​


    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ขอขอบคุณข้อมูลจากชมรมกัลยาณธรรม www.kanlayanatam.com/sara/sara223.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2011
  2. kriengkripob

    kriengkripob เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,326
    ค่าพลัง:
    +2,048
    ขออนุโมทนา เป็นบทความในมุมมองอีกด้านหนึ่งของเหรียญที่มี 2 ด้าน สาธุ
     
  3. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,562
    ค่าพลัง:
    +2,128
    ภิกษุณี เมื่อไม่กี่วันก่อนได้ฟังพระท่านหนึ่งเทศน์ทางวิทยุว่า รู้สึกเป็นห่วงพระสงฆ์ไทยที่ไม่สนใจช่วยเหลือภิกษุณีให้มีในประเทศไทยได้อย่างถูกต้อง เกรงว่า ถ้าเมื่อไรที่ภิกษุณีเหล่านั้นเขาทำให้ถูกต้องเป็นที่ยอมรับในสังคมได้แล้ว เขาจะไม่เคารพพระภิกษุเพราะพระภิกษุไม่ช่วยเหลือเขา...

    ฟังแล้วรู้สึกตอบในใจว่า ท่านไม่ต้องสงสัยหรอกว่าภิกษุณีเหล่านั้นจะไม่เคารพพระภิกษุ เขาไม่เคารพแน่นอน และต่อไปแม้แต่ครุธรรมทั้งแปดประการที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ เขาก็ละจะเว้นได้
    เพราะอะไร ก็แล้วแต่ปัญญาของแต่ละคนนะ

    พระพุทธเจ้าตรัสสิ่งใดไว้ก็ต้องเป็นจริงอย่างนั้น พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องภิกษุณีไว้ว่าอย่างไร..... ภิษุณีจะหมดไปเมื่อไร
    แล้วถ้าหากภิกษุณีมีขึ้นได้อีก ก็แปลว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้ไม่จริงหนะสิ แต่เขาก็ยังกล้าทำ แล้วจะเรียกว่า เคารพพระพุทธเจ้ายังไง..

    เมื่อคืนดูทูไน้โชว์ เรื่องศาสนาใหม่ในเวียดนาม ชื่อศาสนาอะไรจำไม่ได้ แต่เป็นการเอาศาสนาต่างๆมารวมกัน มีพุทธ ขงจื้อก็มี คริสก็มี เต๋าก็มี ทำรูปเรียงลำดับซ้อนๆกันขึ้นไปมีพระพุทธรูปอยู่บนสุด ... เขาก็เคารพพระพุทธเจ้านะ ก็เหมือนกับภิกษุณีที่สังคกรรมขาดไปแล้วนั้นละ เคารพเหมือนกัน...
     
  4. คนรักชาติ

    คนรักชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +181
    [​IMG]
    ขอบารมีพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอริยะทุกพระองค์ พระโพธิสัตย์ทุกพระองค์โดยมีบุญบารมีของหลวงปู่ดู่และหลวงปู่ทวดเป็นที่สุดช่วยดลบันดาลให้จิตข้าพเจ้าฝากกระแสจิตไว้กับบุญบารมีของผู้โพสกระทู้ และผู้ตอบกระทู้ ข้าพเจ้าอยากมีส่วนร่วมกับบุญบารมีของพวกท่านทั้งบุญบารมีในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
    พุทธังอนันตัง ธัมมังจักรวาลัง สังฆังนิพพานัง ปัจจะโยโหตุ
     
  5. thontho

    thontho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    398
    ค่าพลัง:
    +612
    ไม่มีอะไรที่เท่าเทียมกันเป๊ะ มันเป็นไปตามเหตุและปัจจัย แต่อย่ามากจนเกินกลายเป็นการเบียดเบียนกัน
    นิ้วคน 5 นิ้วยังไม่เท่ากันเลย ถามว่า....ถ้าทุกคนเท่าเทียมกัน ใครอยากเป็นคนจน ใครอยากจะกวาดขยะ แต่ละคนอยากสบายทั้งนั้น โลกก็ไม่สมดุล
     
  6. lionking2512

    lionking2512 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,525
    ค่าพลัง:
    +7,632
    ในทางตรงกันข้ามผู้ใดทำผิดศีลข้อ กาเมสุมิฉาจารา ถ้าชาตินี้เกิดเป็นชายแล้วเกิดนิยมชมชอบในสมมุติบัญญัติของคำว่า กิ้ก จนลืมความละอายและความเกรงกลัวต่อแบบแล้วไซร้ ผลที่จะบังเกิดในชาติต่อไปคือการเกิดเป็นกระเทย หรือเป็นหญิงที่ไม่สมหวังในรักถูกล่อลวงอยู่ล่ำไป และหารักที่แท้จริงมิได้

    สีเลนะสุขะติงยันตุ
    สีเลนะโภคะสัมปะธา
    สีเลนะนิพพะติงยันตุ
     
  7. นางสาวอยู่จ้ะ

    นางสาวอยู่จ้ะ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,041
    ค่าพลัง:
    +3,865
    แต่ส่วนตัวก็ชอบเกิดเป็นผู้หญิงนะคะ เพราะอยู่กับความทุกข์ทางร่างกายมากกว่า
    ทำให้ไม่ประมาทในชีวิต ไม่ต้องไปเบียดเบียนใครมาก ไม่มัวเมากับอบายมุข
    ยังไงเกิดเป็นคนมีกระดูกสันหลังตั้งฉากกับพื้น ก็พอใจมากแล้วในภพชาตินี้..
     
  8. โชเต

    โชเต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    285
    ค่าพลัง:
    +331
    ต้องยอมรับความจริงว่า ผู้ชายบุญมากกว่าผู้หญิง
    แต่ก็มีให้เราเห็นอยู่เสมอๆ ว่า คนบางคน
    ตัวเป็นชาย ใจเป็นหญิง ตัวเป็นหญิง ใจเป็นชาย ก็มีถมไป
    แต่พวกเขา เหล่านั้น ข้ามกรอบของความเป็นจริงไปไม่ได้
    แม้ว่า พวกเขาเหล่านั้น จะมีจิตใจที่เป็นหญิงก็จริง แต่บนความเป็นจริง เขาก็เป็นผู้ชาย
    ในทางกลับกัน แม้จะมีจิตใจกล้าหาญ ไม่หวาดหวั่น ทรนงตัว
    แต่บนความเป็นจริงแล้ว เขาเหล่านั้นก็ยังเป็น ผู้หญิงอยู่วันยังค่ำ
    หนีความจริงไปไม่พ้น หรอก
     
  9. Pawanrat-jin

    Pawanrat-jin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,052
    ค่าพลัง:
    +3,939
    ผู้ชายมีบุญกว่าผู้หญิงจริงๆ อันนี้ยอมรับ
    แต่อย่าลืมประเด็นสำคัญ
    ท่านอาจารย์บอกว่าผู้หญิงหรือผู้ชายก็มีโอกาสบรรลุธรรม
    ได้เท่าเทียมกันนะจ๊ะ

    อย่าลืม
     
  10. ทิพย์ปทุโม

    ทิพย์ปทุโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    555
    ค่าพลัง:
    +2,471
    พระพุทธองค์ทรงให้เรามีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นสรณะ มีตนเป็นที่พึ่ง มีตนเป็นสรณะ พอเราปฏิบัติตาม พุทธวจนแล้ว จึงค้นพบว่า เราสามารถบรรลุวัฏฐสงสารได้ด้วยตัวเราเอง พระองค์ท่านทำทางให้พวกเราเดินกันแล้ว ทั้งผู้บวช และ ฆราวาส เดินตามรอยธรรมของพระพุทธองค์ ไม่วิภาควิจารณ์ ปิดวาจา มุ่งปฏิบัติอย่างเดียว เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ บรรลุได้ด้วยตัวของตัวเอง สิ่งสมมุติเหล่านี้ ไม่ว่าจะพระภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา บรรลุได้ทั้งหมด ถ้าตั้งใจจริง



    แนะนำทางหลุดพ้น ทางที่พระพุทธองค์ทำไว้ให้แล้ว <style type="text/css"> <!-- @page { margin: 2cm } P { margin-bottom: 0.21cm } --></style>หนังสือพุทฺธวจน(๑๐ฉบับ) และ ๑๐พระสูตร(ทำไมต้องพุทฺธวจน).rar
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มิถุนายน 2011
  11. KARNDAVADEE

    KARNDAVADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    180
    ค่าพลัง:
    +217
    จะเป็นหญิงหรือเป็นชาย จะกี่ชาติก็ขอให้ได้เกิดอยู่ในพระุพุทธศาสนาทุกชาติ ด้วยเถอะ สาธุ
     
  12. pantham phuakph

    pantham phuakph เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +444
    ผมขอนำ "พุทธวจนะที่กล่าวถึงสตรี(มาตุคาม)" มาแสดง มาดูซิว่า พระพุทธองค์ตรัสถึงสตรีไว้เช่นไร


    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐
    พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒
    ทีฆนิกาย มหาวรรค


    มหาปรินิพพานสูตร ที่ ๓

    [๑๓๒] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์จะพึงปฏิบัติในมาตุคามอย่างไร ฯ
    การไม่เห็น อานนท์ ฯ

    ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เมื่อการเห็นมีอยู่ จะพึงปฏิบัติอย่างไร ฯ
    การไม่เจรจา อานนท์ ฯ

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อต้องเจรจา จะพึงปฏิบัติอย่างไร ฯ
    พึงตั้งสติไว้ อานนท์ ฯ

    เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ บรรทัดที่ ๓๓๓๓ - ๓๙๑๕. หน้าที่ ๑๓๖ - ๑๕๙.
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=10&A=3333&Z=3915&pagebreak=0
    ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=10&i=67

    <hr>
    อย่าดูหมิ่นสตรี

    ปัญหา เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่ง ขณะที่พระเจ้าปเสนทิโกศลกำลังประทับนั่งเฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่ ราชบุรุษได้เข้ามาทูลว่า พระราชินีประสูติพระราชธิดาออกมา พระราชาทรงผิดหวังมาก เพราะพระองค์ต้องการโอรส เช่นเดียวกับชาวอินเดียทั้งหลาย ที่อยากได้บุตรชายมากว่าบุตรหญิง ?

    พุทธ ดำรัสตอบ “ดูก่อนมหาบพิตร ผู้เป็นใหญ่ยิ่งกว่าปวงชน แท้จริงแม้สตรีบางคนก็เป็นผู้ประเสริฐ พระองค์จงชุบเลี้ยงไว้ สตรีที่มีปัญญา มีศีลปฏิบัติพ่อผัว แม่ผัวดังเทวดา จงรักสามี ฯ

    “บุรุษที่เกิดจากสตรีนั้น ย่อมเป็นคนแกล้วกล้า เป็นเจ้าแห่งทิศได้บุตรของภริยาที่ดีเช่นนั้น แม้ราชสมบัติก็ครอบครองได้”

    ที่มา http://www.84000.org/true/112.html
    <hr>
    กำลังสำคัญที่สุดของสตรี

    ปัญหา ในบรรดากำลังทั้ง ๕ ของมาตุคาม กำลังอะไรสำคัญที่สุด ? เพราะเหตุใด ?

    พุทธ ดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มาตุคามผู้ประกอบด้วย กำลังคือรูป กำลังคือทรัพย์ กำลังคือญาติ กำลังคือบุตร แต่ไม่ประกอบด้วยกำลังคือศีล พวกญาติย่อมยังมาตุคามนั้นให้พินาศ คือไม่ให้อยู่ในสกุล...

    “มาตุคาม ผู้ประกอบด้วยศีล แต่ไม่ประกอบด้วย กำลังคือรูป กำลังคือทรัพย์ กำลังคือญาติ กำลังคือบุตร พวกญาติย่อมให้มาตุคามนั้นอยู่ในสกุลไม่ให้พินาศ .....”

    ที่มา http://www.84000.org/true/401.html
    <hr>
    ยอดปรารถนาของสตรี

    ปัญหา อะไรคือยอดปรารถนาของสตรี และทำอย่างไรจึงจะได้สิ่งที่ปรารถนานั้น ?

    พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฐานะ ๕ ประการนี้ อันมาตุคามผู้ได้ทำบุญไว้แล้ว อาจจะได้โดยง่าย ฐานะ ๕ ประการคืออะไร ? คือ

    ความ ปรารถนาที่ว่า ขอเราพึงเกิดในสกุลอันเหมาะสม ๑ ขอเราพึงไปสู่สกุล (ได้สามี) ที่เหมาะสม ๑ ขอเราพึงอยู่ครองเรือนโดยไม่มีหญิงร่วมสามี ๑ ขอเราพึงมีบุตร ๑ ขอเราพึงประพฤติครอบงำสามีได้ ๑...”

    ที่มา http://www.84000.org/true/402.html
    <hr>
    กำลัง ๕ ของสตรี

    ปัญหา กำลัง ๕ ประการของมาตุคาม คืออะไรบ้าง ? กำลังอย่างเดียวของบุรุษคืออะไร ?

    พุทธ ดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มาตุคามมีกำลัง ๕ ประการเหล่านี้ คือ กำลังคือรูป ๑ กำลังคือทรัพย์ ๑ กำลังคือญาติ ๑ กำลังคือบุตร ๑ กำลังคือศีล ๑ มาตุคามผู้ประกอบด้วยกำลัง ๕ ประการนี้แล ย่อมสามารถอยู่ครองเรือนได้ ย่อมบังคับสามารถให้อยู่ครองเรือนได้ ย่อมประพฤติข่มขี่สามีได้...

    “ดู ก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนบุรุษผู้ประกอบด้วยกำลังอย่างเดียว ย่อมประพฤติข่มขี่มาตุคามได้ กำลังอย่างเดียวนั้นคืออะไร ได้แก่กำลังคือความเป็นผู้มีอำนาจ กำลังคือรูป กำลังคือทรัพย์ กำลังคือญาติ กำลังคือบุตร กำลังคือศีล จะต้องป้องกันมาตุคามที่ถูกบุรุษครอบงำแล้ว ด้วยกำลังมือความเป็นผู้มีอำนาจไม่ได้เลย....”

    ที่มา http://www.84000.org/true/400.html
    <hr>
    สตรีจะเท่าเทียมบุรุษหรือไม่

    ปัญหา ทำไมสตรีจึงทำงานใหญ่ ๆ อย่างผู้ชายไม่ได้ ถึงจะมีบ้างก็เป็นส่วนน้อย จะเป็นเพราะว่าถูกผู้ชายกีดกันหรือเพราะความสามารถของสตรีเอง ?

    พุทธดำรัสตอบ “....ดู ก่อนอานนท์ มาตุคาม (สตรี) มักโกรธ มักริษยา มีความตระหนี่ มีปัญญาทราม ดูก่อนอานนท์ นี้แลเป็นเหตุ เป็นปัจจัยเครื่องให้มาตุคามนั่งในสภาพไม่ได้ ประกอบการงานใหญ่ ๆ ไม่ได้ ไปนอกเมืองไม่ได้”

    ที่มา http://www.84000.org/true/210.html


    ขอขอบคุณ http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=4221.0
    ## สำนักงานส่งเสริมพระกรรมฐาน มัชฌิมา :: สระบุรี ##
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มิถุนายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...