อานิสงส์ของการสวดมนต์ เทศนาโดย ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 2 กุมภาพันธ์ 2007.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,173
    [​IMG]
    [​IMG]
    <TABLE width="90%"><TBODY><TR><TD class=smalltext>ได้คัดลอกเนื้อหาการแสดงธรรมของท่านเจ้าพระคุณสมเด็จโต พรหมรังสี วัดโฆษิตาราม เกี่ยวกับเรื่องการสวดมนต์ ดังนี้มีเนื้อหาดังต่อไปนี้ครับ</TD></TR></TBODY></TABLE>​
    อานิสงส์ของการสวดมนต์
    เทศนาโดย ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี
    ดังปรากฎในงานของท่านเจ้าพระยาสรรเพชรภักดี จางวางมหาดเล็กในรัชกาลที่ 4 ที่ได้นิมนต์เจ้าประคุณสมเด็จโตมาเทศน์ที่บ้าน

    *****************************

    ครั้นพลบค่ำท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต พร้อมลูกศิษย์ได้เดินทางจากวัดระฆังฯ มายังบ้านของท่านเจ้าพระยาสรรเพชรภักดี ซึ่งในขณะนั้นมีอุบาสก อุบาสิกานั่งพับเพียบเรียบร้อย

    กันเป็นจำนวนมาก ด้วยต้องการสดับรับฟังการเทศน์ของท่านเจ้าประคุณ ณ ที่เรือนของท่านเจ้าพระยา

    เจ้าประคุณสมเด็จโต ได้ขึ้นนั่งบนธรรมาสน์เป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงกล่าวบูชาพระรัตนตรัย เมื่อจบแล้ว ท่านจึงเทศน์
     
  2. udonteva

    udonteva udonteva

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +348
    มนุษย์ทุกยุคทุกสมัยมีการท่องคาถาสวดมนต์ประกอบพิธีกรรมต่างๆหนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นเพื่อเสนอทัศนคติเกี่ยวกับคุณค่าของการสวดมนต์ในพระพุทธศาสนา<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    มนุษย์อาศัยภาษาและเสียงในการท่องมนต์ ประเด็นแรกจะพิจารณาถึงภาษาที่ใช้ สวดมนต์ในพระพุทธศาสนาเป็นภาษาบาลี ซึ่งมีความเก่าแก่หลายพันปี โดยเริ่มมาจากภาษามคธจากอินเดีย โดยอาศัยการเป่งเสียงเป็นภาษาพูดในแบบมุขปาฐะ(ORAL TRADITION) ซึ่งภาษาบาลีนี้ประกอบด้วย สระ ผสมผสานอยู่แทบทุกพยางค์ การเปล่งเสียงที่มีพยัญชนะครบสามารถกระตุ้นให้เกิดพลังงานได้(ถึงแม้ผู้สวดคาถาออกเสียงโดยไม่ได้พิจารณาความหมายหรือคำแปล) พลังในที่นี้คือพลังสั่นสะเทือนซึ่ง เสียงโอ กระตุ้นหัวใจ เสียง อ(ออ) ว(ออ) ส(สอ) ขา หา ยะ กระตุ้นไต เสียงอี กระตุ้นระบบขับถ่าย เช่นการให้เด็กเล็ก ปัสสาวะมักจะบอกเด็กว่า ฉี่ๆๆ เป็นต้น<o:p></o:p>
    นอกจากนี้ ในแง่ของภาษาบาลีไวยากรณ์ฐานเสียงอักขระทุกตัวเมื่อเกิดจากฐานเสียงใดของเสียง ก็จะไปกระตุ้นอวัยวะส่วนนั้นๆ การเปล่งเสียงในภาษาบาลีมีพลังสั่นสะเทือนซึ่งในแง่ของโยคะแล้วสามารถกระตุ้นจักรทั้ง 7 (ศูนย์รวมพลัง)ในตัวเราได้ เช่นคำว่า โอม ถือเป็นคำศักดิ์สิทธิ์เพราะหากกล่าวคำนี้ออกมาด้วยเสียงสูงไปหาต่ำ ผู้กล่าวจะรู้สึกพลังสั่นสะเทือนของเสียงนั้นๆไปตามจุดสำคัญของร่างกายนับตั้งแต่ก้นกบไปจนถึงลำคอและศีรษะ(คำว่าโอม มาจากคำว่า อุ อะ มะ อุ คือ อุตตมธรรม อะ คือ อรหันตสัมมาสัมพุทธะ มะ คือ มหาสังฆะ) ซึ่งพลังสั่นสะเทือนที่มนุษย์ได้จากการท่องมนตราและคาถานี้เป็นยาวิเศษรักษาโรคได้ โรคภัยที่ส่งผลต่อร่างกายในส่วนใดๆ หากได้รับพลังสั่นสะเทือนถือเป็นการเยียวยาต่ออวัยวะนั้นๆ<o:p></o:p>
    ทั้งนี้ มิใช่เฉพาะภาษาบาลีที่เก่าแก่ มีความขลังในตัวเองที่อาจสื่อให้เกิดพลังแก่ผู้ท่องมนต์ได้ ภาษาเก่าแก่อื่นๆก็มีพลังเช่นกันประเด็นที่สองคือ ความหมายของบทสวด หากเราพิจารณาบทต่างๆที่นิยมสวดกันแล้ว เนื้อหาของบทสวดส่วนใหญ่คือ การสรรเสริญพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า พระบารมีตลอดจนพระเมตตาต่อมวลมนุษย์ ทรงปราบมารต่างๆได้ อาทิ ชัยมงคลคาถา(บทพาหุง)หรือบางบท คือบทที่สรรเสริญพระอรหันต์สาวกทั้งหลาย ตลอดจนกล่าวถึงข้อควรปฏิบัติของมนุษย์เพื่อความเป็นมงคลแก่ตนเอง อาทิ ในมงคลสูตรหรือการท่องมนต์ที่กล่าวถึงสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ค้นพบ อาทิอนัตตะลักษณะสูตร ที่อธิบายถึงไตรลักษณ์เพื่อการปล่อยวางหรือการสวดพระปริตรธรรม อาทิ เมตตปริตร ขันธปริตร โมรปริตร ธารณปริตร หรือโพชฌงคปริตร ซึ่งพระปริตรคือ คาถาส่วนใหญ่ที่แต่งขึ้นเพื่อบูชายกย่องความดีงามของผู้ที่ควรบูชาและในขณะเดียวกันผู้ที่กล่าวบูชาจะได้รับความคุ้มกัน ปกป้องภยันตรายหรือแม้กระทั้งรักษาความเจ็บไข้ได้<o:p></o:p>
    คำถามมีอยู่ว่า เมื่อเรากล่าวถึงคำสรรเสริญสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเคารพบูชาผู้ที่ควรบูชาได้แก่ พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวกทั้งหลาย เหตุใดการกล่าวคาถาดังกล่าวจึงนำมาซึ่งความสุขสวัสดิ์ปกป้องคุ้นครองผู้นั้นได้ อาจอธิบายได้ว่า การเปล่งวาจาที่เป็นสัจธรรมออกมาเปรียบได้กับการเปล่งแสงสว่างที่ทรงคุณค่า การสวดมนต์ จึงนำมาซึ่งความสว่างไสวสามารถปกป้องผู้กล่าวและสรรพสิ่งทั้งหลายได้ จากการนำน้ำพุทธมนต์ไปวิเคราะห์ว่า อนุของน้ำเป็นอย่างไร ปรากฏว่าโมเลกุลของน้ำที่ได้รับเสียงสวดมนต์มีความสมบูรณ์ สวยงาม ขณะที่น้ำที่ตั้งอยู่หน้าโทรทัศน์และหน้าคอมพิวเตอร์มีความบกพร่องของ อนุมีรูปร่างที่ไม่สมบูรณ์ ขาดประสิทธิภาพจากการทดลองนี้อธิบายได้ว่า อานุภาพของคาถาที่มีพลัง หรือการสั่นสะเทือนของคาถา ส่งให้ อนุของน้ำปรับตัวสู่ภาวะที่สมบูรณ์ละเอียดอ่อนได้<o:p></o:p>
    นับแต่โบราณ มนุษย์อาศัยน้ำศักดิ์สิทธิ์จากพิธีกรรมการสวดมนต์ประกอบในกิจกรรมต่างๆเพื่อให้เกิดพลังใจอาทิ การพรมน้ำพระพุทธมนต์ เพื่อเกิดสิริมงคลแก้ตนเองและบ้านเรือน หรือแม้กระทั่งไล่ภูตผีปีศาจได้ พลังพระพุทธมนต์มิใช่มีเพียงต่อน้ำ หรือตัวผู้สวดเท่านั้น แต่ยังแผ่ซ่านออกไปสู่สถานที่ๆมีการสวดคาถาเป็นนิจ สถานที่เหล่านั้นจะมีพลังของความสงบเป็นพื้นฐานหรือต้นไม้โดยรอบก็จะงอกงาม ร่มเย็น ดังเห็นได้จากวัดและอารามต่างๆ<o:p></o:p>
    ประเด็นสุดท้าย ที่น่าสนใจคือ เหตุใดผู้สวดจึงได้รับอานุภาพจากการสวด คาถาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่รจนาขึ้นแต่อดีตกาลโดยผู้รู้และกวีจากอดีต ผู้ซึ่งมีความซาบซึ้งในสัจธรรมคำสั่งสอน หลักความจริงของพระพุทธเจ้าได้แต่งขึ้นอย่างงดงาม และช่วยให้สามารถท่องจำได้โดยง่าย เช่นคาถาชินบัญชร ซึ่งในบางครั้งผู้เปล่งบทสวดมนต์ก็ยังไม่เข้าใจในคำกล่าวดีนัก แต่เหตุใดจึงสามารถมีประสิทธิผลได้ ทั้งนี้ได้มีการวิเคราะห์ตัวมนุษย์ว่า มนุษย์มีความฉลาดยิ่งกว่าสมองกลคอมพิวเตอร์มนุษย์จะรวบรวมข้อมูลที่ได้รับอยู่ตลอดเวลา เหมือนข้อมูลที่ใส่ในคอมพิวเตอร์ความแตกต่างของมนุษย์ในโลกนี้นอกจากครอบครัว เชื้อชาติ ฐานะ การศึกษา ก็คือการรับข้อมูลที่ต่างกันออกไป การสวดมนต์ถือเป็นการใส่ข้อมูลที่ดีงามแก่ตัวเราเพราะเป็นการกล่าวถึงสัจธรรมและเป็นคำที่มีพลังดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นทั้งนี้การใส่ข้อมูลที่มีประสิทธิภาพย่อมนำประโยชน์สุขแก่ตนเอง ขณะเดียวกันหากใส่ข้อมูลที่ผิดพลาดย่อมนำความทุกข์ระทมแก่ผู้นั้น ดังนั้น ความฉลาดในการเลือกข้อมูลจึงมีความสำคัญยิ่งต่อความสุขของมนุษย์<o:p></o:p>
    กล่าวโดยสรุป การสวดมนต์คือสื่อของภาษา คาถาที่เปล่งออกมามีพลังในตัวเองเพราะเป็นคำที่มีอักขระต่างๆยังให้เสียงที่เปล่งออกมาสะเทือนไปยังอวัยวะต่างๆในร่างกายแลสามารถรักษาอวัยวะที่เจ็บป่วยได้ด้วยพลังนี้ นอกจากนี้ความหมายของภาษาเป็นสัจธรรมมีอานุภาพในตัวเองเปรียบดังแสงสว่างที่เอื้อให้เห็นสรรพสิ่งได้การท่องมนตราย่อมส่งผลต่อผู้สวดและสรรพสิ่งที่เกี่ยวข้อง การภาวนาคือการรู้จักป้อนข้อมูลที่ดีแก่ตนเอง มีอานุภาพก่อให้เกิดพลังโดยรับข้อมูลจากคาถาต่างๆตรงกับทัศนะคติที่ยอมรับโดยทั่วไปว่าการคิดในเซิงบวกมีพลังมีความสำคัญยิ่งในการดำรงชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีความสุขและทำให้ชีวิตมีคุณค่าท่ามกลางความไร้แก่นสาร และการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในศตวรรษที่ 21 นี้<o:p></o:p>
     
  3. jeeranan_pj

    jeeranan_pj Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +85
    ปกติข้าพเจ้าเองก็สวดมนตร์เป็นประจำอยู่แล้ว บางครั้งก็สวดสั้นๆ ค่ะ
    และตอนนอนก็ภาวนาพุธโธๆไปจนหลับ มีอยู่คืนนึงข้าพเจ้า ก็พุธโธๆไปจนหลับ ครั้งนี้เป็นครั้งแรก เพราะถือว่า นั่งสมาธิแล้วก็นอนปกติ ไม่ตั้งภาวนาอะไรอีก แต่ว่า คืนนั้นที่เริ่มภาวนาก่อนนอน ก็เพราะว่า นั่งสมาธิไม่ได้นาน สาเหตุมาจาก ไม่สบาย ไอมากๆเข้า สมาธิไม่เกิดค่ะ เลยนอนสมาธิดีกว่า เมื่อเข้านอนก็เริ่มหายใจเข้าพุธ หายใจออก โธ จนหลับไปตอนไหนไม่ทราบได้เลย รู้สึกตัวขึ้นมาอีกที เหมือนตัวกำลังลอยอยู่ ตัวเบามากๆๆ แทบไม่อยากเชื่อตัวเองเลยว่า นี่เราลอยอยู่จริงหรือว่าคิดไปเอง ก็เลยไม่อยากสนใจมาก เหมือนกับว่าตอนนั้นจิตสบายมากๆๆ แต่ก็ยังสงสัยว่า ตัวเราเองลอยขึ้นไปจริงหรือ

    ตอนเช้าค่ะ พี่สาวตื่นมา พูดว่า เมื่อคืนได้ยินเสียงอะไรก็ไม่รู้ เสียงดังจนสะดุ้งตื่นเลย อะไรร่วงลงมาหรือเปล่า ปรากฏว่า หาแล้วที่ห้องก็ไม่มีอะไรร่วงลงมาเลย ก็เลยถึงบางอ้อ บอกพี่ไปว่า เมื่อคืนภาวนาพุธโธก่อนนอน แล้วรู้สึกตัวขึ้นมาว่าตัวมันลอยอยู่จริง

    อ้อที่ร่วงลงมาเห็นจะเป็นรูปของสมเด็จองค์ปฐมค่ะ ก็ติดเอาไว้ตรงหัวเตียง รูปของท่านก็ร่วงลงมาในคืนนั้นด้วย แปลกเหมือนกัน ก่อนหน้านี้เคยคิดในใจว่า อยากเพ่งกสินสีเหลือง อยากเพ่งรูปของสมเด็จองค์ปฐม แต่เราเองก็นำรูปของท่านไปติดเอาไว้แล้ว ถ้านำลงมาก็คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คืนนั้นรูปท่านก็ร่วงลงมาค่ะ

    ที่รู้สึกว่าตัวเองลอยอยู่ ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวค่ะ อยากพิสูจน์อีกครั้งนึงว่า เรารู้สึกไปเองจริงอะเปล่า ก็เลยนอนสมาธิอีกครั้งค่ะ คราวนี้เหมือนเดิมภาวนาพุธโธไปจนหลับไม่รู้ตัว แล้วรู้สึกตัวขึ้นมาก็ลอยอยู่จริงและรู้สึกว่า เราลอยไปไหนต่อไป ไม่ชนอะไรเลย เหมือนกับจะลอยไปแบบไม่มีที่สิ้นสุด ตอนนั้นคิดอยากจะถอดจิตมายืนดูกายเนื้อตัวเองเหมือนกัน แล้วพิจารณาอสุภกรรมฐานซะเลย แต่มันหนักที่ศรีษะ ลุกไม่ได้

    ข้าพเจ้าคิดว่า ใครที่ไม่สามารถที่จะนั่งสมาธิได้นานๆ ขอแนะนำวิธีการนอนสมาธิ มันง่ายกว่ากันเยอะเลย เรานอนแล้วก็ภาวนาพุธโธๆไปจนหลับ ฝันดีอีกต่างหากค่ะ ฝันเห็นพระ เพราะก่อนจะนอนเราก็คงไม่คิดอะไรมากอยู่แล้ว ใจมันอยากจะหลับก็ซะหน่อย ภาวนาพุธโธๆไปจนหลับ

    ที่คิดได้ขนาดนี้(เมื่อก่อนยังไม่รู้)เนื่องมาจากการอ่านประวัติของหลวงพ่อฤาษีค่ะ มารดาของท่านมักจะบอกให้ท่านภาวนาพุธโธก่อนนอนเสมอมา จึงนำมาใช้บ้าง ดีนะคะ ถ้าใครอยากจะทำสมาธิแบบนอนดูบ้างก็ดีนะคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...