พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี ยอดปราชญ์แห่งแผ่นดิน

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย 5314786, 20 พฤษภาคม 2011.

  1. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    เปรียญธรรมก็จบยากนะครับ


    [​IMG]

    ใครที่ยังไม่เคยลองจบ อย่างไรก็น่าจะไปลองเรียนดูก่อนนะครับ จะได้รู้ว่ามันยากไม ก่อนที่จะไปตัดสินท่านอื่นนะครับ

    ด้วยความปรารถนาดี
     
  2. PrinceCharming

    PrinceCharming เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +773
    อย่าหลงประเด็นครับ เราไม่ได้แย้งกันเรื่องเปรียญธรรมจบยากหรือไม่อยู่ แต่เรากำลังอยู่ในประเด็นที่ว่าพระมหาวุฒิชัยนั้นเป็น ยอดปราชญ์ จริงหรือ และถ้าจริงท่านเป็นยอดปราชญ์เมื่อทำการ "เทียบ" กับพระรูปใดหรือคนๆไหนบ้าง


    เห็นด้วยครับที่ว่าเปรียญธรรมจบยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเปรียญ 9 ประโยค ไม่ได้พูดเลยว่าเปรียญธรรมนั้นจบง่าย และก็บอกแล้วว่าผู้ที่จบนั้นเป็นปราชญ์กันทุกองค์ทุกท่าน แต่ที่อยากรู้ก็คือว่า อะไรหรือคุณสมบัติใดทำให้พระมหาวุฒิชัยเป็น ยอดปราชญ์ ที่มีความโดดเด่นเหนือปราชญ์องค์อื่นๆที่ได้เปรียญ 9 ด้วยกันได้ต่างหาก


    แล้วที่สำคัญผมยังไม่ได้ตัดสินอะไรใครว่าเป็นปราชญ์หรือไม่เป็นปราชญ์เลยครับ แค่ตั้งคำถามเพื่อคลายความสงสัย กรุณาอย่าคิดไปเองสิครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มิถุนายน 2011
  3. PrinceCharming

    PrinceCharming เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +773
    ก็เพราะผมไม่รู้นะสิครับผมถึงถาม ว่าเจ้าของกระทู้เทียบกันท่านใดองค์ไหน

    ก็อยากมองโลกในแง่ดีนะครับ แต่ว่าบางทีถ้าดีเกินไปก็อาจทำให้คนเกิดความเข้าใจผิดได้เพราะหัวข้อกระทู้ที่"อาจจะ"ตั้งเกินจริง ผมก็ไม่ได้จะคาดคั้นเอาอะไรมากมาย แต่แค่รู้สึกกังขาในความเป็นยอดปราชญ์ของพระมหาวุุฒิชัยแค่นั้น

    ปล.ผมแค่รู้สึกว่ากระทู้อวยกันเกินพอดีน่ะครับ ไม่อยู่ในพื้นฐานความเป็นจริง ผมจึงเตือนและถาม ถ้ามีเหตุผลมาตอบมาแย้งผมก็ ok ครับ
     
  4. PrinceCharming

    PrinceCharming เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +773
    ครับผม ไม่ได้ตั้งใจจะให้เกิดปัญหาอะไรครับ หากใช้คำพูดแรงไปก็ขออภัยด้วย ส่วนตัวแล้วผมชื่นชมการตอบกระทู้ของคุณ Phanudet มานานแล้ว ที่อยากได้คำตอบคงเป็นจากเจ้าของกระทู้มากกว่า จริงๆแล้ว คำสอนของพระมหาวุฒิชัยผมก็เห็นว่าดีในส่วนนึงแต่ไม่ทั้งหมดครับ และยังเห็นว่าส่วนหนึ่งมีความล่อแหลมว่าจะคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงด้วยครับ เช่นที่เขียนไว้ในโพสก่อนๆหน้า


    ความที่มนุษย์แตกต่างกันในด้านต่างๆทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ครับ และข้อสงสัยก็มีสิทธิ์ที่จะถูกถามออกไปและถูกตอบใช่ไหมครับเจ้าของกระทู้ ^^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มิถุนายน 2011
  5. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    เข้าเวบไม่ได้ตั้งหลายวัน วันนี้เข้ามาดูช่างครึกครื้นดีมากครับ

    ขอบคุณทุกท่านที่เยี่ยมชมครับ ^__^

    ความสงสัยใคร่รู้ย่อมเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา ซึ่งผมก็ยินดีน้อมรับทุกความคิดเห็น

    เดี๋ยวผมจะอธิบายให้กระจ่างว่าทำไม ผมถึงตั้งชื่อกระทู้แบบนี้ครับ
     
  6. PrinceCharming

    PrinceCharming เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +773
    คุณ Phanudet ครับ จริงๆผมไม่กล้าจะอวดอ้างอาจารย์ที่ผมนับถือว่าเป็นอะไรใหญ่โตขนาดนั้นหรอกครับ ผมนับถือหลายท่านมาก แต่ที่รู้สึกว่าจะเป็นสายจริงๆก็คงหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ที่ไม่ทำขนาดนั้นเพราะว่าคำสอนท่านถูกแล้ว ดีแล้ว โดยเฉพาะพระอาจารย์สายหลวงพ่อปาน หลวงพ่อฤาษี หลวงปู่มั่น ครูบาศรีวิชัย ฯลฯ พออ่านๆดูจะเห็นได้ว่าคำสอนท่านเหล่านี้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไปทางเดียวกัน แม้จะมีส่วนที่แตกต่างกัน แต่โดยเนื้อแล้วเป็นอันเดียวกันหมด เป็นคำสอนที่เรียกได้เต็มปากว่า "ถูกต้อง" จึงไม่รู้จะยกย่องใครเป็นยอดปราชญ์ดี เพราะดีด้วยกันทั้งหมด


    แต่ที่ผมมาตั้งข้อสงสัยในกระทู้นี้เพราะคิดว่าคำสอนของพระมหาวุฒิชัยนี้ออกจะคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง แล้วสื่อปัจจุบันก็ตีพิมพ์ นำเสนอมาก ไม่รู้ว่าผิดที่สื่อหรือว่าพระท่าน present องค์ท่านเอง หากเป็นคำสอนที่ถูกต้อง จะยินดีด้วยที่ได้แพร่หลายและมีคนสนใจมาก แต่ว่าคำสอนที่คลาดเคลื่อนนั้นผมไม่สบายใจเลยครับหากจะให้เผยแพร่ออกไป จะทำให้คนเข้าใจคลาดเคลื่อนตามไปด้วย
     
  7. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    คำว่าปราชญ์ ในความหมายของผมคือ ผู้ทรงคุณธรรม

    แม้เรียนจบ ปริญญาเอก นับหมื่นใบ ผมก็ไม่เรียกว่าปราชญ์

    แต่บุคคลใด ที่ทรงไว้ซึ่งคุณธรรม และยังสามารถ จำแนก อบรม และสั่งสอนธรรม

    ที่ตนเองรู้ ให้ผู้อื่นรู้ตามได้ บุคคลนั้น ผมเรียกท่านว่าปราชญ์

    แต่ปราชญ์ ในความหมายของผม คือ มิใช่รู้ธรรมแค่ตัวหนังสือ

    เปิดตำราสอน อย่างนั้นผมเรียกหนอนหนังสือ

    แต่ท่านต้องสอนออกจาก ก้นบึ้งของจิตใจ อย่างแท้จริง

    หลายท่านอาจมองเห็นแค่ว่า ท่านเป็นเพียงนักคิด ผมไม่ปฏิเสธ ว่าท่านเป็นนักคิด

    แต่ท่านคิดออกจากความว่าง

    ผมไม่อยากจะบอกว่า ท่านได้ขั้นนั้นขั้นนี้ เพราะพูดไปมันก็เท่านั้น เรื่องของจิต

    มันต้องรับรู้ด้วยจิต หากได้รับรู้ด้วยตนเองแล้วก็คง จะไม่เที่ยวไปนั่งถามใคร

    ให้เสียเวลา เหมือนคนตาบอดวิ่งไล่ถามคนตาดี

    ส่วนเรื่องนิพพาน ที่ท่านสงสัย ผมเองก็ความรู้แค่หัวสะพาน คงมิอาจตอบได้

    ผมคิดว่า ท่านพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธีท่านสอนได้ถูกต้องแม่นยำ และไม่ผิดเพี้ยน

    เพราะหากท่านต้องการนิพพาน ในปัจจุบัน ท่านต้องทำในขณะนั้นเดี๋ยวนั้น

    และวินาทีนั้น มีสติอยู่กับปัจจุบันตลอด นิพพานคงไม่ไปไหน ไม่ต้องไปนั่งรอใคร

    แต่ถ้าท่านอยาก ได้ในอนาคต ท่านก็ต้องอธิฐาน อย่างที่ท่านว่า

    ส่วนคนที่หลงว่าตัวเองนั้นได้นิพพานนั้น เพราะขาดปัญญา ขาดครูอาจารย์

    ที่เข้าใจอย่างแท้จริง และบางครั้ง ครูอาจารย์ท่านแนะนำตักเตือน

    ฉุดรั้ง ให้ฉุกคิด ว่ายังไม่ใช่นะ ยังก่อน ท่านหลงแล้ว แต่คนหลง

    มันก็จะหลง ห้ามยากจริงๆ และก็มีทุกที่ ทุกสำนัก มากมายเหลือคนา

    และนิพพานในความหมายของท่านคืออะไร

    ในความหมายของผม มิใช่สวรรค์ วิมานชั้นฟ้า หรือ วิมานแก้วแถวไหน

    มิใช่อัตตา มิใช่อนัตตา นิพพานคือนิพพาน

    ผู้ที่จะเข้าถึงได้ คือ ผู้มีมหาสติ มหาปัญญา

    ปัญญาที่ว่ามิใช่ความคิด แต่เร็วกว่าความคิด ทำงานได้รวดเร็วดุจสายฟ้า

    เร็วกว่ากิเลสทั้งปวง นั้นแหละคือปัญญาที่แท้จริง ที่ออกจากใจมิใช่สมอง

    และที่ท่านต้องการ ให้ผมไปเปรียบกับบุคคลอื่นถึงคำว่ายอดปราชญ์

    ผมก็ไม่รู้ว่า ท่านต้องการอะไร แต่ถ้าท่านต้องการเช่นนั้น

    ผมก็พอจะนึกออกได้อยู่ท่านนึง คือท่านพุทธทาส

    คำสอนของท่านทั้งสอง กลมกลืน สอดคล้อง และคมคาย สื่อความหมายของธรรมะ

    ได้อย่างลงตัวได้ เป็นธรรมชาติ เป็นศิลปะ ดูดดื่ม น่าค้นหาและศึกษา

    สามารถนำทุกสิ่ง มาแสดงให้เป็นธรรมะได้ เข้าใจในศาสนา ทุกศาสนา

    และเข้าถึงแก่นแท้ของศาสนา มิใช่แค่เพียงเข้าใจจากตำรา

    ตอบคำถาม ทุกคำถาม ได้อย่างฉับไว เฉียบคม และเป็นธรรมมะอย่างแท้จริง

    นี่คือคุณสมบัติ ของผู้ครองธรรมในหัวใจ ไม่ใช่แค่สอนแค่เข้าใจ

    แต่สอนได้ถึงใจ











     
  8. PrinceCharming

    PrinceCharming เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +773
    555 ครับ พี่ Phanudet ผมเป็นยังงี้อะครับ นิสัยมันเสียตรงที่ชอบพูดแรงๆ ไม่รักษาน้ำใจคน แต่ไอ้ตอนพูดมักจะไม่รู้สึกตัวหรอกครับ แล้วก็เป็นวิตกจริตด้วย ชอบคิดนู่นนี่เยอะ และมักมองโลกในแง่ร้าย ก็ได้คำสอนหลวงพ่อฤาษีนี่ละช่วยประคับประคอง ทุกวันนี้แก้ได้บ้างบางจุด แต่ไอ้นิสัยชอบเอาชนะ ชอบเถียงนี่ แหม มันเหมือนจะติดลึกครับ


    ยังไงก็ขออภัยอีกทีเน้อ
     
  9. PrinceCharming

    PrinceCharming เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +773
    เจ้าของกระทู้ ครับผม ผมพอเข้าใจแล้วว่าคุณสายหลวงพ่อพุทธทาส งั้นผมขอยอมรับความต่างละกันครับและไม่สงสัยอะไรต่อเพราะว่าคนละสายและเป็นสายที่ค่อนข้างจะสอนไม่ตรงกันเท่าไรในบางเรื่อง ถ้ายิ่งถามจะกลายเป็นชวนทะเลาะซะเปล่าๆ ^^

    ผมไม่ได้นับถือหลวงพ่อพุทธทาสแต่ก็เคารพท่านในฐานะพระรูปหนึ่งครับ ไม่ละเมิดดีกว่า ส่วนพระมหาวุฒิชัย ผมก็เพิ่งได้รู้ถึงความดีด้านอื่นที่ท่านทำจากพี่ Phanudet ถือว่าเพิ่งได้เปิดหูเปิดตา ก็โมทนาในส่วนความดีของท่านทั้งสององค์ด้วยครับ
     
  10. teeo79

    teeo79 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +96

    อนุโมทนาบุญด้วยครับ
    ขอผลบุญเหล่านี้ จงมีแก่ข้าพเจ้าและท่านทั้งหลาย
     
  11. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800

    ท่านเข้าใจผิดเสียแล้ว ผมไม่มีสาย ในเรื่องธรรมมะ

    ขึ้นชื่อว่าเป็นพระ ผู้ทรงคุณธรรมแล้ว ผมนอบน้อม กราบไหว้ บูชายิ่ง

    แม้แต่หลวงพ่อฤาษี หลวงพ่อปานผมก็ศึกษาธรรมมะจากท่าน

    และกราบไหว้บูชาท่าน

    เพราะผมยังเป็นผู้น้อย ยังด้อยปัญญา ยังหาความดีมิได้

    ยังมีความชั่วอยู่ในหัวใจ และยังต้องศึกษาเรียนรู้อีกมาก

    ผมไม่เคยปิดกั้น เรื่องธรรมมะ เพราะผมเปิดกะลาที่ครอบหัว

    ออกมา จึงรู้ว่าตนเองยังรู้น้อย ปฏิบัติน้อย และศึกษามาน้อย

    ผมจึงไม่เคยคิด ปิดกั้น ที่จะรับรู้ รับฟัง และศึกษาธรรมมะจากผู้ใด

    และสิ่งใดๆ ในธรรมชาติ ในชีวิตประจำวันของผม ผมไม่มีนิกาย

    ไม่มี เถรวาท มหายาน ธรรมยุต หรือมหานิกาย ไม่มีขอบเขต

    แต่ผมคือศิษย์แห่งพุทธะ คือศึกษา เรียนรู้ อบรม ปฏิบัติ

    เพื่อให้เป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ในธรรมมะที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้

    และนำมาสั่งสอน
     
  12. thontho

    thontho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    398
    ค่าพลัง:
    +612
    คนไทยเสียอย่างชอบตามกระแสร์ ไม่เป็นตัวของตัวเอง เขาเฮไหน ก็ไปนั่น ตราบใดถ้ายังไม่รู้เบื้องหลัง เบื้องหน้า จะเอาอะไรมาวัด
     
  13. Aiyarath

    Aiyarath Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +74
    ลักษณะของพระอรหันต์
    แบ่งตามวิธีการในการพัฒนาตน
    พระอรหันต์ 2 คือ
    พระวิปัสสนยานิก ผู้เจริญวิปัสสนาล้วน แล้วได้ฌานในภายหลัง
    พระสมถยานิก ผู้มีสมถะเป็นญาณ ผู้เจริญสมถะกรรมฐาน จนได้ฌานก่อนแล้ว จึงเจริญวิปัสสนาต่อ แบ่งตามคุณวิเศษ พระอรหันต์ 4 คือ
    1.พระสุกขวิปัสสก (ไม่มีญาณวิเศษใดๆ นอกจากรู้การทำอาสวะให้สิ้นไป (อาสวักขยญาณ) อย่างเดียว) อานิสงค์จากการที่ปฏิบัติวิปัสสนาเพียงอย่างเดียว
    2.พระเตวิชชะ (ผู้ได้วิชชา 3 คือบุพเพนิวาสานุสสติญาณ (รู้ระลึกชาติได้) จุตูปปาตญาณ (รู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย)อันเป็นที่เกิดจากการเข้าใจในกฎแห่งกรรมอย่างแท้จริงจึงรู้เหตุการณ์ที่จะเป็นไปได้ทั้งสิ้น อาสวักขยญาณ (รู้ทำอาสวะให้สิ้น) อานิสงค์จากการที่ปฏิบัติวิปัสสนา และถือวัตรธุดงค์
    3.พระฉฬภิญญะ (ผู้ได้อภิญญา 6 คือทิพฺพจักขุ ตาทิพย์ (คือฤทธิที่สามารถหยั่งรู้เหตุการณ์ใกล้ไกลได้ มีพระอนุรุทธะ เป็นเอกทัคคะ เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในด้านการมีตาทิพย์ คือสามารถมองเห็นโลกใบนี้ ราวกับ มองเม็ดมะขามป้อมบนฝ่ามือ) ทิพยโสต หูทิพย์อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ (โดยเฉพาะมโนมยิทธิการแยกร่างและจิต เป็นฤทธิที่แสดงได้เฉพาะพระอรหันต์ประเภทฉฬภิญโญเท่านั้น ) เจโตปริยญาณ (ทายใจผู้อื่นได้) บุพเพนิวาสานุสสติญาณ (ระลึกชาติได้ ) และอาสวักขยะญาณ (ญานที่ทำให้อาสวะสิ้นไป) อานิสงค์จากการปฏิบัติวิปัสสนาและเจริญสมาธิจนได้ฌานสมาปัตติ
    4.พระปฏิสัมภิทัปปัตตะ (ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา 4) คือแตกฉานในความรู้อันยิ่ง 4 ประการ ได้แก่ อัตถปฏิสัมภิทา ความแตกฉานในอรรถ ธัมมะปฏิสัมภิทาความแตกฉานในธรรม นิรุตติปฏิสัมภิทาความแตกฉานในภาษา ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ความแตกฉานในปฏิภาณไหวพริบ

    อานิสงค์จากการปฏิบัติวิปัสสนา และเล่าเรียน ตรึกตรอง ทรงจำและแสดง ซึ่งพระธรรมวินัยที่พระศาสดาทรงตรัสสอน (ไตรปิฎก) ซึ่ง
    การเล่าเรียนธรรมอานิสงค์ได้ธรรมปฏิสัมภิทา รู้จริงในเหตุของสรรพสิ่งในธรรมชาติ
    การตรึกตรองธรรม อานิสงค์ได้อัตถปฏิสัมภิทารู้จริงในผลลัพที่ลึกซึ้ง
    การท่องทรงจำธรรม อานิสงค์ได้นิรุตติปฏิสัมภิทา รู้จริงในภาษาต่างๆในโลก
    การเทศนาแสดงธรรม อานิสงค์ได้ปฏิภาณปฏิสัมภิทา รู้จริงในการแก้ไขปัญหาเข้าใจในนิสัยสันดานของสัตว์โลก

    พระอรรถกถาจารย์แสดงความหมายของพระอรหันต์ไว้ 5 นัย คือ
    ไกลจากกิเลส
    กำจัดกิเลสได้หมดสิ้น
    เป็นผู้หมดสังสารวัฏ คือ การเวียนว่ายตายเกิด
    เป็นผู้ควรแก่การบูชาพิเศษของเทพและมนุษย์ทั้งหลาย
    ไม่มีที่ลับในการทำบาป ไม่มีความชั่วเสียหายที่จะต้องปิดบัง


    ส่วนตัวแล้วชอบคำสอนของท่าน ว.วชิรเมธี ตรงที่สามารถ อธิบายข้อธรรมที่เราไม่เข้าใจให้ง่ายขึ้น
    ธรรมะในแต่ละยุค พระสงฆ์แต่ละสมัยที่เป็นพระอริยะ ท่านจะสอนไม่เหมือนกัน
    เพราะญาติโยมมีความเชื่อ อุปนิสัย สังคมที่ถูกปลูกฝังแตกต่างกัน เรียกว่าดูจากจริตแต่ละคน

    ในยุคสมัยนี้ เป็นยุคของเหตุและผล การจะเผยแผ่พระพุทธศาสนา สำหรับคนทำงานจะไปเร็วกว่า
    จึงเน้นถึงความเป็นปัจจุบัน พูดกันถึงสิ่งที่คนส่วนใหญ่มองเห็นหักล้างความเชื่อไม่ถูกต้องให้เป็นความถูกต้อง

    พระอริยะทุกสมัยแต่ละท่านจุดหมายคือ มุ่งสู่นิพพาน หากแต่การเดินทางไปถึงก็แตกต่างกัน การพูดว่า
    พระท่านนั้น พระท่านนี้เป็นพระอริยะ สุดยอดพระอริยะ เข้าใจว่าไม่ได้เปรียบเปรยกับพระท่านใด แต่เดาว่า
    เพราะซึ้งใจในคำสอนที่แตกฉาน อธิบายธรรมให้บางคนได้รู้แจ้ง ถึงดีชั่ว การมองธรรมะ ในมุมของความเป็นจริง
    ที่ท่านไม่อ้างถึง เทวดา ภูติผีปีศาจ เพราะเน้นการดำเนินชีวิตด้วยตัวตนของเรา ทุกๆอย่างมาจากตัวเรา
    พระพุทธเจ้า ท่านเองก็ไม่อิงการแสดงฤทธิ์ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ

    ข้าพเจ้าถือว่าท่านแตกฉานในธรรม ระดับใดก็ไม่กล้าวิจารณ์ ได้แต่คิดในใจแล้วแต่ เราท่านจะตัดสินกันเอง
    ส่วนตัวความถูกต้องคือ ทำให้เรารู้ว่าอะไรคือดี อะไรคือชั่ว สอนไม่มีสติให้มีสติ สอนคนโง่ให้มีปัญญา
    คนที่จมกองทุกข์ให้รู้จักคุณค่าของชีวิต ให้เราคิดถูก โปร่งใส ใจสูง
    เหล่านี้คือพื้นฐานแห่งการนำไปสู่นิพพานที่แท้จริง มิใช่หรือ


    ขออนุโมทนาบุญ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มิถุนายน 2011
  14. naron

    naron เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2009
    โพสต์:
    2,515
    ค่าพลัง:
    +3,573
    ผมพูดมั่งนะครับ

    ในความหมายของคุณเจ้าของกระทู้ น่าจะหมายถึง พระอริยบุคคลถูกไหมครับ
    ผมว่า เจ้าของกระทู้ศรัทธาก็เลย ยกท่านนะครับ ท่านก็ไม่ได้รู้เรื่องด้วยหรอก

    แต่ที่แน่ๆ เจ้าของกระทู้ตั้งมาอย่างนี้ ก็เป็นธรรมดาที่ย่อมอาจจะมีคนขัดนะครับ เพราะว่า เขาก็มีส่วนไม่เห็นด้วยกะคุณบ่าง เขาเลยขัด

    แต่ถ้าให้ดี ผมว่าการตั้งกระทู้อย่างนี้ เสียงสูงที่จะโดนต่อต้านได้ และกรรมก็จะตกอยู่กะผ่ายที่ดูถูกนะครับ

    ทางที่ดีเจ้าของกระทู้ควรระบุเป็นเรื่องๆเป็นส่วนๆ และนำเสนอในส่วนที่ไม่นำไปสู่การขัดแย้งจะดีที่สุุดนะครับ

    อนุโมทนาสาธุบุญด้วยกะเจ้าของกระทู้และท่านพระอาจารย์ ว วชิรเมธี ทุกๆกองบุญนะครับ
     
  15. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    [​IMG]

    :ธรรมะมีอยู่ทั่วไป เคราะห์ร้ายก็มีอยู่ทั่วไปด้วย เคราะห์ดีจะหล่นใส่หัวคนที่มีปั
    <wbr>ญญา
    เคราะห์ร้ายก็จะหล่นใส่หัวคนที่
    <wbr>ไม่ค่อย มีปัญญาเช่นกัน



    :คนทุกคนย่อมมีข้อดีและข้อด้อยอย<wbr>ุ่ในตัวเอง ไม่มีใครในโลกนี้ที่เกิดมาพร้อม<wbr>กับความสมบูรณ์ในทุกเรื่อง
    ธรรมชาติของมนุษย์ คือ ไม่มีใครสมบูรณ์ที่สุด คนที่พยายามมองหาความสมบูรณ์แบบ<wbr>จากคนอื่น
    สุดท้ายจะผิดหวัง และมองข้ามสิ่งที่ดีของคนที่อยู<wbr>่ตรงหน้าเราไปอย่างน่าเสียดาย




    :จงเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ให้ แล้วเธอจะเป็นผู้ได้อย่างแท้จริ<wbr>ง



    :เมื่อเติมความใส่ใจลงไปในทุกกิจ<wbr>กรรมของชีวิต เราจะพบว่า “วันทั้งวัน ก็คือ คืนวันแห่งการเจริญสติ” อย่างแท้จริง และการเจริญสติ จะไม่ใช่กิจกรรมที่ต้องแยกไปทำต<wbr>่างหากจากชีวิตอีกต่อไป แต่การณ์จะกลายเป็นว่า มีชีวิตอยู่ที่ไหน ก็มีการเจริญสติอยู่ที่นั่น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มิถุนายน 2011
  16. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    คมธรรมคำสอนของ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี


    [​IMG]





    [​IMG]



    ขอบคุณที่มาของภาพหน้าเฟสบุ้ค แฟนเพจ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มิถุนายน 2011
  17. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    [​IMG]


    ตระหนักรู้ทุกก้าวที่เราย่าง นี่แหละคือหนทางแห่งผู้ตื่น


    Being mindful with every step is the way of the “enlightened” one.


    .....................................

    ตนเป็นที่พึ่งของตน จากนั้นจงให้คนอื่นเขาได้พึ่ง


    One must rely on oneself; then let others rely on him.

    ................................

    หนังสือเล่มนอกยิ่งอ่านยิ่งวุ่น<wbr>วาย
    หนังสือ เล่มในยิ่งอ่านยิ่งสงบ


    Knowledge beyond one’s “self” leads to more chaos. Knowledge within one’s “self” leads to more calm.

    ..................................

    ระลึกรู้ปัจจุบัน สำคัญกว่าระลึกชาติในอดีต


    Being aware of the present moment is more important than recalling your past life.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. nachabhol

    nachabhol สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +27
    ขอบคุณ สาทุ สาทุ สาทุ
     
  19. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    [​IMG]


    ขอเพียงมนุษย์ไม่ดูถูกตัวเอง
    ตระหนักถึงศักยภาพพิเศษที่ซุกซ่<wbr>​อนอยู่ในตน
    แล้วเพียรเจียระไนชีวิตให้แวววา<wbr>​วพราวพรายด้วยการศึกษาเรียนรู้
    ซึมซับเก็บรับบทเรียนจากการงานแ<wbr>​ละการใช้ชีวิตอย่างสุขุม
    ก็ย่อมจะมีชีวิตที่คุ้มค่า สงบ ร่มเย็น
    และเป็นสุขได้โดยไม่ยากเย็น


    .......................


    "ทุกข์ มีไว้ให้รู้ ไม่ใช่มีไว้ให้เป็น" เมื่อเกิดทุกข์ จงเรียนรู้มัน ศึกษามัน สบตากับมัน ไม่ใช่หนีมัน คนที่ไม่ยอมสบตากับความทุกข์จะท<wbr>​ุกข์ซ้ำสอง

    .....................


    ครูที่แท้หาอยู่ภายนอกตัวเราไม่<wbr>​ แต่ครูพำนักอย่างสงบอยู่ในตัวเร<wbr>​านี่เอง เพียงเราเติม "สติ" เข้าไปในทุกสิ่งที่เราเข้าไปเกี<wbr>​่ยวข้อง สัมพันธ์ ณ ที่นั้น ๆ ยอดครูผู้เป็นยอดคน จะเปิดสอนบทเรียนที่ล้ำค่าที่สุ<wbr>​ดในชีวิตให้กับเรา

    ......................


    คนที่คิดทางบวกเป็นคนที่โชคดีแล<wbr>​ะได้กำไรเสมอ ส่วนคนที่คิดในทางลบ แม้เรื่องดี ๆ ผ่านเข้ามาในชีวิต ก็ยังไม่รู้จักใช้ให้เป็นประโยช<wbr>​น์กับตน วิธีคิดบ่งบอกอนาคต กำหนดชะตากรรม เราคิดอย่างไรก็จะกลายเป็นคนอย่<wbr>​างนั้น คิดบวก ชีวิตก็เป็นบวก คิดลบ ชีวิตก็ติดลบ

    ......................


    โปรดอย่าลืมว่า มนุษย์ไม่ได้มีศักยภาพในการแข่ง<wbr>​ขันเท่านั้น แต่มนุษย์มีศักยภาพที่จะดับทุกข<wbr>​์ได้ด้วย คุณได้ใช้สิทธินี้แล้วหรือยัง

    .....................


    สรรพสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา โดยตัวของมันเองจะมีความหมายหรื<wbr>​อไม่ ขึ้นอยู่กับการให้ค่าความสำคัญข<wbr>​องเราเอง


    Whether all the things around us Are by themselves significant or not Depends on our own appraisal


    ...................


    คนที่ปล่อยตัวปล่อยใจให้ตกเป็นท<wbr>​าสของความโกรธ ต่อให้นอนอยู่บนเตียงราคาแพงลิบ<wbr>​ลิ่ว ปูด้วยพรมขนสัตว์ที่มีลวดลายบุป<wbr>​ผชาติประดับสะพรั่งไปทั้งผืน แต่ถึงกระนั้น การนอนบนเตียงอันอ่อนนุ่ม ก็ไม่อาจช่วยให้เขาหลับตาลงอย่า<wbr>​งเป็นสุขได้เลย ตลอดรัตติกาลอันยาวนาน

    .........................


    ธรรมชาติของหินคือทนต่อแดดส่อง ไม่แยกสลายเพราะถูกลมพัด ไม่เปื่อยยุ่ยเพราะถูกฝนสาด ใจเราควรเป็นเช่นนั้นคือไม่หวั่<wbr>​นไหวต่อสรรเสริญและนินทา

    ...........................

    ขอขอบคุณที่มาของบทความ http://www.facebook.com/v.vajiramedhi
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2011
  20. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    [​IMG]


    เกิดมาเป็นคนกับเขาชาติหนึ่งแล้<wbr>​ว อย่าได้เป็นศัตรูกับใครเขาเลย เพราะไม่เพียงแต่เราจะต้องเจ็บป<wbr>​วดจากการทำร้ายของศัตรูเท่านั้น<wbr>​ หากยังจะต้องเจ็บปวดจาก “ความทรงจำอันเลวร้าย” ที่แทรกตัวอยู่ในจิตใต้สำนึกของ<wbr>​เราเองอีกด้วย

    .......................

    ผู้ยิ่งใหญ่ที่กลายเป็นผู้ยิ่งย<wbr>​ง เพราะท่านไม่ยอมตกเป็นทาสทิฐิ มีชีวิตที่เรียบง่าย อ่อนน้อมถ่อมตน พร้อมจะเปิดใจกว้างรับฟังเสียงส<wbr>​ะท้อนจากคนอื่นอยู่เป็นนิจ

    .......................

    คนเรายิ่งเป็นคนธรรมดายิ่งมีเวล<wbr>​าได้อยู่อย่างมีความสุขมากขึ้น ยิ่งตัวตนของเราเล็กลงเท่าไร พื้นที่แห่งความสุขในดวงใจของเร<wbr>​า จะกลับขยายเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีต<wbr>​รีคูณ
    Happiness is living an ordinary life. The smaller our ego, The greater the happiness area in our heart Will expand and multiply threefold.


    ..................

    ถ้าเธอมองคนทุกคน ทั้งคนที่รักเธอ คนที่กำลังโกรธเธอ หรือคนที่เธอกำลังโกรธ ด้วยสายตาแห่งไมตรีจิต เสมือนหนึ่งทุกคนเป็นญาติสนิทมิ<wbr>​ตรรักของเธอเช่นนี้แล้ว ในโลกนี้ยังจะมีใครอีกคู่ควรต่อ<wbr>​ความโกรธของเธอเหลืออยู่อีก

    ...................

    เตือนตนเองว่าในโลกนี้ไม่มีอะไร<wbr>​เป็นของเราอย่างแท้จริง ไม่มีสิ่งใดเป็นของเราตลอดกาล เราหึงหวงสิ่งใด เท่ากับเราตกเป็นทาสสิ่งนั้น

    ....................

    ความโกรธที่ผ่านเข้ามาอุปมาเหมื<wbr>​อนสิ่งอัปมงคล ความมีสติที่ผ่านเข้ามาอุปมาเหม<wbr>​ือนลางนำโชค แต่แปลกคนกลับชอบเก็บความโกรธไว<wbr>​้กับตนมากกว่า

    ......................

    การฟังทำให้เรารู้จัก การอ่านทำให้เรารู้จริง การเขียนจะทำให้เรารู้แจ้ง

    แต่การปฏิบัติจะทำให้เรารู้จบ


    ......................

    ก่อนฝนจะตก เมฆยังตั้งเค้า ก่อนพายุใหญ่จะมา อากาศยังแปรปรวน ก่อนน้ำจะท่วม มดยังย้ายรังหนี ก่อนสิ่งไม่ดีจะเกิดขึ้นในชีวิต<wbr>หากสังเกตสักนิดเราจะรู้เท่าทัน<wbr>​และป้องกันได้อย่างแน่นอน

    ........................

    พ่อคือผู้ที่นำธรรมะในการครองแผ<wbr>​่นดิน เพราะครองธรรมก่อนครองราชย์ พ่อจึงสามารถครองใจคนทั้งประเทศ

    .......................

    "ความสำเร็จที่เกิดจากการชนะกิ<wbr>​เลสในใจตน คือ ความสำเร็จที่มีบำเหน็จเป็นความ<wbr>​สุขแท้"
    ด้วยความสำเร็จเช่นนี้ ชีวิตของเราจึงจะก้าวเข้าสู่ควา
    <wbr>​มเต็มเปี่ยม ความนิ่ง เบา ปลอดโปร่ง เป็นอิสระ และเบิกบานอยู่ในสายธารของความส<wbr>​ุขที่ปราศจากการเติมเต็มจากวัตถ<wbr>​ุภายนอกและของการวางเงื่อนไขทาง<wbr>​สังคมทั้งปวง ความสำเร็จที่เกิดจากการมองเห็น<wbr>​ตัวเองอย่างลึกซึ้ง จนเกิดการปล่อยวาง “อัตตา” ที่แบกมานานแสน คือความสำเร็จที่มีเนื้อในเป็นค<wbr>​วามสุขอันฉ่ำเย็น

    ......................

    ในบรรดาความทุกข์ในชีวิตมนุษย์น<wbr>​ั้น ความทุกข์ที่เกิดจาก การหลงติดในตัวตนของตน (ว่าต้องเป็นคนสำคัญ) นั้น นับเป็นความทุกข์ที่กัดกินคนได้<wbr>​เจ็บแสบที่สุด ลึกซึ้งที่สุด เพราะความทุกข์ชนิดนี้กัดกินที่<wbr>​จิตวิญญาณของเขาโดยตรง

    .........................

    ความ ทุกข์เกิดขึ้นกับทุกคน แต่มีบางคนเท่านั้นที่รู้ว่า ความทุกข์เกิดขึ้นมาได้ ก็ดับลงไปได้เช่นกัน การเจริญสติ คือ ศิลปะในการบริหารจัดการความทุกข<wbr>​์ที่ทำง่าย ได้ผลทันตา แทบไม่ต้องใช้เงินเลยแม้แต่บาทเ<wbr>​ดียว ผู้ที่เจริญสติเป็น คือ ผู้มีสิทธิ์ที่จะไม่ทุกข์

    ......................

    ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมันก็ดับลงแล<wbr>​้วถัดจากนาทีที่เกิดขึ้นนั่นเอง<wbr>ใจของเราต่างหากที่ต่ออายุให้คว<wbr>​ามทุกข์

    ..........................

    เมตตาที่แท้ต้องเป็นสากล เสมือนหนึ่งแสงเดือนแสงตะวันที่<wbr>​สาดโลมผืนโลก โดยไม่ทวงถามถึงการตอบแทนและไม่<wbr>​มีวันหยุด

    ........................

    บางครั้งเราหลีกเลี่ยงปัญหาไม่ไ<wbr>​ด้ แต่เราเลือกที่จะวางท่าทีต่อปัญ<wbr>​หาอย่างมีความสุขได้

    ......................

    ร่างกายอันกว้างศอก ยาววา หนาคืบ ของมนุษย์เรานี้ ถ้ารู้จักใช้ก็เป็นคุณมหาศาล แต่ถ้าใช้ไม่เป็นก็เป็นโทษเหลือ<wbr>​แสน ทำอย่างไรหนอเราถึงจะใช้ร่างกาย<wbr>​นี้ให้มีแต่คุณฝ่ายเดียว เหมือนอย่างที่ครูบาอาจารย์ท่าน<wbr>​ใช้ให้เป็นและใช้ให้ดูมาแล้วทั้<wbr>​งชีวิต

    .......................

    น่าเสียดาย หากไม่รู้ว่า
    ความล้มเหลว คือ โอกาสทองของการได้เรียนรู้
    น่าเสียดายยิ่งกว่านั้น หากไม่รู้ว่า
    ความล้มเหลวนั่นเอง คือส่วนผสมที่ขาดไม่ได้
    ของคนที่เคยประสบความสำเร็จ


    ........................

    การเป็น “คนดี” สำคัญกว่าการเป็น “คนรวย”
    คนดีทุกคนมีศักยภาพที่จะเป็นคนร<wbr>​วยได้
    แต่คนรวยที่ไม่รู้จักการเป็นคนด<wbr>​ี
    ความรวยของเขาจะเป็นปลายหอกที่ห<wbr>​ันมาฆ่าตัวเอง


    ขอขอบคุณที่มาของบทความ http://www.facebook.com/v.vajiramedhi
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...