พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    รัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ราชาธิราช

    • ขุนพิเรนเทพขุนอินเทพและขุนนางทั้งปวง ได้ไปอัญเชิญพระเฑียรราชา ซึ่งผนวชอยู่ที่วัดราชประดิษฐาน มาครองราชย์ ทรงพระนามว่า สมเด็จรพระมหาจักรพรรดิ์ราชาธิราชเจ้า และทรงได้รับเลี้ยงพระศรีสินไว้
    • ทรงปูนบำเหน็จ แก่ผู้ทำความชอบทั้งหลาย
    • แต่งตั้งให้ขุนพิเรนเทพเป็นสมเด็จพระ มหาธรรมราชา ไปครองเมืองพิษณุโลก และยกพระเจ้าลูกเธอพระสวัสดิราช ให้เป็นอัครมเหสี ทรงพระนามว่า พระวิสุทธิกษัตรีย์
    • เมื่อทางกรุงศรีอยุธยาเกิดความวุ่นวาย เนื่องจากพระไชยราชาสวรรคต และได้ตั้งพระยอดฟ้า พระโอรส ขึ้นครองราชย์ แต่ท้าวศรีสุดาจันทน์ ได้คบชู้กับขุนชินราชและฆ่าพระยอดฟ้าตาย และยกขุนชินราชขึ้นครองราชย์แทน พวกข้าราชการทั้งหลายโกรธแค้น จึงวางแผนฆ่าขุนชินราชและท้าวศรีสุดาจันทน์เสีย
    • ข่าวรู้ไปถึงทางพม่า พม่าจึงยกทัพมาตีไทยทางด่านพระเจดีย์สามองค์ เมืองกาญจนบุรี เมื่อรู้ว่าบ้านเมืองสงบแล้วก็คิดจะยกทัพกลับแต่ก็เลยมาดูกำลังท่าทีของ ทางกรุงศรีฯ พม่ายกมาตีสุพรรณบุรี ป่าโมกข์ แล้วตั้งค่ายอยู่ที่ ตำบล ลุมพลี ล้อมกรุงอยู่3วัน ทางไทยก็ยกกำลังทหารป้องกันเมืองได้ พม่ายกทัพกลับ
    • เมื่อข่าวหงสาวดียกมาตีกรุงศรีฯ พญาละแวกรู้ว่าทางกรุงศรีฯเพิ่งผลัดแผ่นดินใหม่ก็ถือโอกาสเข้ามากวาดต้อนผู้ คนแถวปราจีนบุรีไป หลังจากนั้นทางกรุงศรีฯได้จัดแจงซ่อมแซมกำแพงเมืองดดและสร้างวัดชื่อ วัดวังไชย
    • ศักราช 893 ทำพระราชพิธีประถมกรรม
    • ศักราช 894 ทรงให้ยกทัพไปตีระแวก พญาละแวกยอมแพ้ ส่งสารมาขออ่อนน้อม และส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวาย แล้ให้นักพระสุโท นักพระสุทัน มาเป็นข้าพระบาท ทรงให้พญาละแวกกลับไปครองเมืองอย่างเดิม นำนักพระสุโท นักพระสุทันกลับมากรุงศรีฯ แล้วให้
    • นักพระสุทัน ไปครองเมือง สวรรคโลก
    • ศักราช 895 ทรงให้แปลงเรือแซเป็นเรือไชยและเรือศรีษะสัตว์ต่างๆ
    • ศักราช 896 ทำพิธีมัธยมสมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราช ที่ตำบล ชัยนาทบุรี
    • ศักราช 897 เสด็จไปวังช้าง ตำบล บางละมุง ได้ช้าง 60 เชือก และในเดือน 12 ได้ช้างเผือกที่กาญจนบุรี ชื่อ พระคเชนทโรดม
    • ญวนยกทัพมาตี ละแวกและพญาละแวกเสียชีวิต ทรงให้ นักพระสุทันซึ่งไปครองสวรรคโลก ยกทัพไปช่วย
    • ศักราช 898 พญาสวรรคโลกแพ้ญวนและเสียชีวิต
    • ศักราช 899 เกิดเพลิงไหม้ในราชวังในเดือน 3 ทำการพระราชพิธี อาจาริยาภิเษก ในเดือน 7 เสด็จไปวังช้าง ตำบล โครกพระ ได้ช้าง 60 เชือก
    • ศักราช 902 เสด็จไปวังช้าง ตำบล วัดกระได ได้ช้าง 50 เชือก
    • ศักราช 904 เสด็จไปวังช้าง ตำบล ไทรน้อย ได้ช้าง 70 เชือก
    • ศักราช 905 พม่ายกทัพใหญ่มาตีกรุงศรีฯ ไพร่พล 3 แสนให้พระมหาอุปราชาเป็นกองหน้า พระเจ้าแปรเป็นเกียกกาย พญาพสิมเป็นกองหลัง พระเจ้าหงสาวดีเป็นจอมทัพ ทรงช้างพลายมงคลปราบทวีป ยกมาทางเมาะตะมะ ทางกาญจนบุรีส่ง ข่าวมา สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ได้สั่งการให้ พระมหาธรรมราชา ซึ่งอยู่ทางพิษณุโลก ยกทัพมาช่วย ให้พระยาจักรีออกตั้งค่ายที่ลุมพลีรับศึก พระมหานาคสึกออกมา เกณฑ์ผู้คนช่วยขุดคูนอกค่าย กับทัพเรือ เรียกว่าคลองมหานาค
    • ทัพพม่ายกข้ามกาญจนบุรีมาถึงอยุธยาตั้งค่ายหลวงที่ตำบลบ้านใหม่ มะขามหย่อง ทัพพญาพระสิมตั้งค่ายที่ ตำบล ทุ่งประชด
    • วันรุ่งขึ้น สมเด็จพระมหาจักรพรรดิยกทัพออกไปดูกำลังข้าศึกที่ทุ่งภูเขาทอง ทรงช้างต้นพลายจักรรัตน์ พระสุริโยทัยแต่งองค์เป็นพญามหาอุปราช ทรงช้างพลายสุริยกษัตริย์
    • พระราเมศวรทรงช้างพลายมงคลจักรพาส พระมหินทริราชทรงช้างพลายพิมานจักรพรรดิ
    • พม่าก็โจมตีไทยอย่างหนัก ทางกรุงศรีฯได้ตั้งรับไว้ รอทัพพิษณุโลกมาช่วย
    • พระมหาธรรมราชาได้จัดกำลังทัพมาช่วยอยุธยา ยกมาตั้งทัพที่ชัยนาท
    • พม่ายกมาตีไทย มาจนเสบียงอาหารเริ่มขาดแคลน และใกล้จะถึงฤดูฝน จำเป็นจะต้องยกทัพกลับ พม่าวางแผนจะยกไปทางกำแพงเพชร ออกด่านแม่ละเมา ซึ่งจะต้องไปปะทะกับทัพพระมหาธรรมราชา ก็เกรงว่ากรุงศรีจะยกทัพมาตีท้ายกระหนาบ ก็เลยจัดทัพออกมาตั้งรับทั้งกองหน้าและกองหลัง โดยให้พระมหาอุปราชา รั้งท้ายคอยสู้กับทัพกรุงศรีฯ
    • ทางกรุงศรีฯเมื่อรู้ว่าพม่าถอยทัพไปก็จัดส่งกำลงไปตีทัพโดย พระราเมศวร และพระมหินทราธิราช อาสาไป
    • พม่ายกทัพกลับไป มาถึงอินทรบุรี พม่าเข้ายึดค่ายไว้ได้ ทหารไทยซึ่งหนีมาได้เข้าทูลต่อพระมหาธรรมราชาว่า พม่ายกทัพมามากมายเห็นเกินกำลังจะต่อสู้ได้ ก็ให้ทหารกระจายกำลังออกดักซุ่มโจมตี
    • พระราเมศวรและพระมหินทรายกทัพมาใกล้ถึงที่ทัพพระมหาธรรมราชาอยู่ก็จะเข้าโจมตี แต่ถูกพม่าซ้อนกล พระเจ้าลูกเธอทั้งสองถูกจับไป
    • ทหารซึ่งแตกทัพไป ได้ไปกราบทูลต่อพระมหาจักรพรรดิก็ทรงให้แต่งสารไปเจริญพระราชไมตรี ขอให้ปล่อยโอรสทั้งสองกลับ
    • พม่ายอมปล่อยโอรสทั้งสองแต่ขอช้างพลายศรีมงคลและพลายมงคลทวีปไปแลก
    • เมื่อนำช้างทั้ง 2 ไปส่งแก่พม่า ปรากฏว่าควาญช้างไม่สามารถควบคุมได้ จึงต้องส่งคืน
    • พม่ายกทัพกลับทางกำแพงเพชรออกด่านแม่ละเมาะ
    • เมื่อถวายพระเพลิงสมเด็จพระสุริโยทัย แล้วพระมหาธรรมราชาทูลลากลับไปพิษณุโลก ส่วนที่พระราชเพลิงศพได้พระราชทานนามว่า วัดศพสวรรดิ์ แล้วทรงจัดเขตเมืองใหม่ให้เป็นระเบียบเพื่อป้องกันข้าศึก
    • ศักราช 906 พระศริสิน(น้องพระยอดฟ้า) ซึ่งบวชเป็นสามเณรอยู่วัด ราชประดิษฐาน คิดกบฎ จับได้แต่ไม่ได้ประหาร ให้คุมตัวไว้ที่วัดธรรมิราช จะให้บวชแต่ พระศรีสินหนีไปชุมนุมไพร่พลที่ ตำบล ม่วงมดแดง แล้วยกมาเข้ายึดพระราชวัง พระราเมศวรและพระมหินทราธิราชพาทหารต่อสู้ พระศรีสินตาย
    • ศักราช 907 เสด็จไปวังช้าง ตำบล ไทรน้อย ได้ช้างเผือกชื่อ พระรัตนากาศ
    • ศักราช 908 ไปวังช้าง ตำบลป่าเพชรบุรี ได้ช้างเผือก ชื่อ พระแก้วทรงบาท ต่อมาได้ช้างเผือกแม่ลูก ที่ตำบล ป่ามหาโพธิ์
    • ศักราช 909 ได้ช้างเผือกที่ทะเลชุบศร ชื่อ พระบรมไกรสร ต่อมาได้ช้างเผือกที่ตำบล ป่าน้ำทรง ชื่อ พระสุริยกุญชร
    • กรุงศรีอยุธยาเจริญรุ่งเรืองมากมีช้างเผือกถึง 7 เชือก พ่อค้าต่างชาติมาค้าขายจำนวนมาก จนได้รับถวายพระนามว่า พระเจ้าช้างเผือก
    • พม่าถือโอกาสให้ทูตส่งสารมาขอช้างเผือก 2 เชือก หากไม่ให้จะยกทัพมาตี
    • ทางไทยไม่ยอมให้ พระเจ้ากรุงหงสาวดีจึงให้ยกทัพมาตีอยุธยา โดยยกมามากกว่าครั้งก่อนถึง 3 เท่า
    • ศักราช 910 พม่ายกทัพใหญ่มา พระเจ้าหงสาวดีเป็นจอมทัพ ทรงช้างพลายเทวนาคพินาย ยกทัพมาทางเมาะตะมะ กำแพงเพชร สุโขทัย และพิษณุโลก ตั้งค่ายหลวงที่ตำบลโคก
    • พระมหาธรรมราชาส่งคนไปแจ้งกรุงศรีให้ยก มาช่วย พม่าส่งสารเข้าไปให้พระมหาธรรมราชาออกมาเจรจากับพระมหาธรรมราชา เห็นทัพพม่ามากมาย ก็รู้ว่าสู้ไม่ได้ยอมออกไปสวามิภักดิ์ พม่าให้พระมหาธรรมราชายกทัพตามมา
    • ทัพกรุงศรีซึ่งยกทัพไปช่วยแต่ได้ข่าวว่าหัวเมืองทางเหนือได้ไปเข้ากับพม่าแล้วก็ถอยทัพกลับ
    • ทัพพม่ามาล้อมกรุงศรีไว้ พระมหาจักรพรรดิ์ รู้ว่าทัพพม่ายกมาครั้งนี้มากกว่าครั้งก่อน ก็ให้รักษาเมืองไว้ ไม่ได้ยกทัพออกไปต่อสู้ด้วย พม่าก็ส่งสารมาท้ารบ หาไม่ก็ให้ออกมาเจรจาสงบศึก
    • พระมหาจักรพรรดิ์ ออกไปเจรจาสงบศึกกับพม่าที่วัดพระเมรุราชิการาม พม่าเรียกร้องเอาช้างเผือกเป็น 4 เชือก และขอเอาพระราเมศวรไปพม่าด้วย และขอให้พญาจักรีและ
    • พระสมุทรสงครามไปด้วย ไทยเสียช้าง 4 เชือก คือ พระคเชนทโรดม พระบรมไกรสร
    • พระรัตนากาศ พระแก้วทรงบาท
    • พญาตานี ซึ่งยกทัพมาช่วยกลับคิดเป็นกบฎ พระมหาจักรพรรด์หนีไปเกาะพราห์ม ทหารตีชาวตานี กลับไป
    • ศักราช 912 พระเจ้ากรุงสรีสัตนาคนหุตได้แต่งทูตมาขอพระเทพกษัตริย์ไปเพื่ออภิเษกด้วย ทรงเห็นเป็นการผูกไมตรีจึงพระราชทานให้
    • เจ้าเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต แต่งทูตมารับพระเทยกษัตริย์ตรีแต่ทรงพระประชวรหนักจึงได้ยกพระแก้วฟ้าไปแทน
    • พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต ถวายส่งคืนพระแก้วฟ้าโดยขอพระราชทานพระเทพกษัตริย์ตรีอย่างเดิม
    • เมื่อทรงหายประชวรแล้ว ก็ทรงให้จับขบวนส่งพระเทพกษัตริย์ตรีไป
    • พระมหาธรรมราชาแจ้งข่าวเรื่องนี้ไปยัง พม่า พม่าส่งคนมาแย่งพระเทพกษัตริย์ตรีไป พระเจ้าศรีสัตนาคนหุตโกรธแค้นมากจะยกทัพมาตีพิษณุโลก แต่พระมหาจักรพรรดิ์ห้ามไว้
    รัชกาลสมเด็จพระมหินทราธิราช

    • ศักราช 914 พระมหินทราธิราชขึ้นครองราชย์แทนและสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ได้เสด็จออกไป อยู่วังหลัง ขณะนั้นพระชนมมายุ 59 พรรษา ส่วนพระมหินทราธิราช เสวยราชสมบัติอายุ 25 พรรษา
    • ขณะนั้นพระมหาธรรมราชาได้สิทธิขาดในการ ปกครองเมืองเหนือและสั่งการต่างๆยังกรุงศรีฯ ทำให้ทรงไม่พอพระทัย ขณะนั้นพระยารามออกจากำแพงเพชร มาเป็นพญาจันทบูร ทรงได้ร่วมกันวางแผนให้ ศรีสัตนาคนหุตยกทัพมาตีพิษณุโลก พระมหาธรรมราชาไม่รู้ว่าเป็นแผนของพระมหินทราธิราช จึงขอให้มาช่วย พระมหินทราธิราชได้ส่งพญาศรีราชเดโชและพญาท้ายน้ำไปโดยจะให้ไปจับกุมพระมหา ธรรมราชาแต่พญาศรีราชเดโช กลับนำความลับนี้ไปแจ้งแก่ พระมหาธรรมราชา พระมหาธรรมราชาจึงแจ้งข่าวให้พม่ามาช่วย
    • พระเจ้าศรีสัตนาคนหุต ยกทัพมาถึงพิษณุโลกตั้งทัพที่ตำบล โพธิเวียง
    • พระมหินทราธิราช ทำทียกทัพไปช่วยโดยยกไปทางน้ำ พระมหาธรรมราชา เมื่อรู้แผนการของกรุงศรีฯแล้วก็ไม่ให้ยกทัพเข้าเมือง วางแผนใช้แพไม้ไผ่วางเพลิงไป เผากองเรือกรุงศรีฯแตกพ่ายไป
    • พม่ายกทัพมาช่วย ทัพกรุงศรีและศรีสัตนาคนหุตก็เลยถอยทัพกลับ
    • เดือน 8 ปีขาล พระมหาจักรพรรดิ์เสด็จทรงผนวช พระมหาธรรมราชารู้ว่า พญารามเป็นคนวางแผนเรื่องต่างๆจึงได้มีสารมาขอตัวพญารามให้ไปเป็นพญาพิชัย พญารามกลัวถูกส่งตัวไปพม่า จึงทูลยุยง เรื่องพระมหาธรรมราชาไปเข้ากับพม่า และมาบังคับบัญชาพระองค์ หากพม่ายกทัพมาจะอาสาป้องกันพระนครเอง
    รัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ราชาธิราช ครั้งที่ 2

    • พระมหินทราธิราช ไปทูลเชิญให้มาครองราชย์สมบัติใหม่ พระมหาธรรมราชา เสด็จไปหงสาวดีเพื่อขอโทษแทนพญาพุกาม และพญาเสือหาญ ซึ่งทำการผิดพลาด พระเจ้าหงสาวดียกโทษให้
    • ข่าวพระมหาธรรมราชาเสด็จไปหงสาวดีรู้ ถึงกรุงศรีฯ พระมหินทราธิราชจึงทูลแก่สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ว่า พระมหาธรรมราชา ได้ไปขึ้นกับพม่า เห็นควรจะให้ไปรับ สมเด็จพระวิสุทธิกษัตริย์และพระเอกาทศรถ ซึ่งเป็นพระพี่นางและพระนัดดาลงมา พระมหาธรรมราชาเมื่อรู้ข่าวก็ให้พระเจ้าหงสาวดีช่วย
    • ศักราช 917 พม่ายกทัพมาถึงกำแพงเพชร มาถึงนครสวรรค์มาสมทบกับทัพของพระมหาธรรมราชา แล้วยกลงมาล้อมกรุงศรีฯได้ พระยาราม ก็จัดทหารป้องกันพระนคร
    • ทัพพม่ามาตั้งค่ายที่ ตำบล ลุมพลี ต่อสู้กับทหารไทยอยู่ถึง 2 เดือน ก็ยกมาถึงริมคูเมือง กรุงศรีอยุธยาส่งสารไปให้ล้านช้างยกทัพมาช่วย
    • พม่าเมื่อล้อมกรุงศรีฯไว้แล้วเห็นจะเข้าตีก็ยากจึงให้ทหารจัดหาเสบียงอาหาร ไว้ให้พอต่อการรบ 1 ปี ทุกกองหากกองใดมิได้จะมีโทษประหาร
    • ศักราช 918 พระเจ้าช้างเผือกประชวรหนัก และสวรรคต ครองราชย์มา 22 ปี
    • พระมหินทราธิราชไม่ได้สนใจการศึกปล่อยให้พญารามเป็นคนสั่งการทุกอย่าง
    • ทัพพม่าและไทยต่อสู้กันหลายครั้ง แต่ไทยยังป้องกันเมืองไว้ได้ พระเจ้าหงสาวดีจึงสั่งให้ทหารถมดินคูคลองเพื่อให้เข้ามาถึงกำแพงนครได้ ทางกรุงศรีฯต่อสู้ แต่พม่าไม่ย่อท้อ ทำการอยู่ 3 เดือน ก็ถมดินมาถึงฟากพระนคร
    • พม่ายกมาทางมุมถนนเกาะแก้วทหารไทยสู้ ไม่ได้ก็แตกพ่ายลงมา พม่าพยายามหลายครั้ง แต่ก็ตีเข้าเมืองไม่ได้ จึงออกอุบายให้ส่งตัวพญารามออกไป แล้วพม่าจะยกทัพกลับ
    • เมื่อส่งพญารามออกไปแล้วทางพม่าก็กลับ คำไม่ยอมยกกลับ จะรบเอากรุงศรีฯให้ได้ โดยยื่นเงื่อนไขให้ พระเจ้าแผ่นดินมายอมถวายบังคม จึงจะยอมเป็นไมตรีด้วย ฝ่ายไทยไม่ยอมทำตาม
    • ล้านช้างซึ่งฝ่ายไทยได้ส่งสารขอให้มา ช่วยก็ยกทัพมา ทัพพม่าตีทัพล้านช้างแตกไป พม่าจะตีกรุงศรีฯให้ได้ใช้อุบายให้พญาจักรี ซึ่งไปเป็นเชลยพม่า มาเป็นไส้ศึกโดยแกล้งทำเป็นลงโทษพญาจักรี แล้วให้หนีมาเข้ากรุงศรีฯ พระมหินทราธิราชเข้าใจว่าพญาจักรีหนีมาจริงๆก็ดีใจ แต่งตั้งให้ทำหน้าที่บัญชาการรบ พญาจักรีก็ทำให้กรุงศรีอยุธยาต้องแตกแก่ข้าศึกในวันเสาร์ แรม 11 ค่ำ เดือน 9 ศักราช 918
    • พม่าจับพระมหินทราธิราชไป และให้พระมหาธรรมราชาครองกรุงศรีอยุธยา
    รัชกาลสมเด็จพระมหาธรรมราชา

    • สมเด็จพระมหาธรรมราชาขึ้นครองกรุงศรีอยุธยาอายุได้ 54 พรรษา พม่าคุมตัวพระมหินทราธิราชกลับไป แต่ทรงประชวรหนัก สวรรคต
    • ศักราช 919 พญาละแวกยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา ยกมาปล้นถึง 3 ครั้ง ไม่ได้ จึงยกทัพกลับ
    • ศักราช 920 ทรงให้สมเด็จพระนเรศวรไปครองพิษณุโลก ขณะนั้นมีพระชนมายุ 16 พรรษา
    • ศักราช 921 พม่ายกทัพไปตีล้านช้างให้พระเจ้าอยู่หัวและพระนเรศวร เสด็จไปด้วย แต่ให้พระเอกาทศรฐอยู่รักษาพระนคร ทัพพม่าตีล้านช้างไม่ได้ ยกทัพกลับ
    • พญาละแวกยกทัพมาตีไทยอีกรอบ แต่ตีเข้าไม่ได้ได้
    • ศักราช 922 พญาละแวกยกทัพมาอีกมาตีเอาเมืองเพชรบุรี แต่ตีไม่ได้ ยกทัพกลับไป
    • ศักราช 924 ให้จัดแต่งป้อมค่ายคูประตูเมือง และเกิดกบฎญาณพิเชียร
    • เดือน 3 พญาละแวกยกทัพมาตีเพชรบุรี แตกกวาดต้อนผู้คนไป
    • ศักราช 925 ละแวกส่งทหารมาทางตะวันออก พระนเรศวรส่งทัพมาตี เขมรแตกไป
    • ศักราช 926 สมเด็จพระเจ้าหงสาวดีสวรรคต พระชนมายุ 65 พรรษา มังเอิงราชบุตร ขึ้นครองราชย์แทน เมืองรุม เมืองคัง พากันแข็งเมือง พระนเรศวรยกทัพไปช่วยปราบสำเร็จ
    • พระเจ้าหงสาวดีมีความระแวงในความสามารถของพระนเรศวร คิดจะกำจัดเสีย ออกอุบายให้มาช่วยปราบกรุงรัตนะบุระอังวะ
    • พระนเรศวรยกทัพไปถึงเมืองแครง วันพฤหัสบดี ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 6 พักพลอยู่นอกเมืองใกล้วัดพระมหาเถรคันฉ่อง พระมหาเถรคันฉ่องได้บอกข่าวที่พม่าคิดกำจัดพระองค์ พระองค์จึง ประกาศเอกราช ไม่ขึ้นกับพม่าที่เมืองแครง แล้วยกทัพกลับ ทัพพม่าตามมาถึงริมฝั่งแม่น้ำสโตง ก็ข้ามฟากมา พม่าตามมาทัน ทรงพระแสงปืนข้ามไปถูก สุรกำมา แม่ทัพพม่าตาย พม่าก็ยกทัพกลับไป
    • พระนเรศวรได้กราบทูลเรื่องประกาศเอกราชต่อพระมหาธรรมราชา แล้วยกทัพกลับพิษณุโลก
    • ต่อมาทางสวรรคโลก เมื่อรู้ว่า พระนเรศวรเป็นศัตรูกับพม่าแล้วก็ยกทัพมาตีพิษณุโลก ทรงปราบได้สำเร็จ
    • ในเดือน 9 นั้น ได้ทรงยายผู้คนลงมากรุงศรีฯ และพระนเรศวร ก็เสด็จมากรุงศรีฯด้วย
    • พม่ายกทัพมาตีไทยอีกในศักราช 929 พระนเรศวรและพระเอกาทศรถยกทัพไป ข้าศึกสู้ไม่ได้แตกไป
    • พญาละแวกส่งทูตมาขอเป็นไมตรีด้วย
    • ศักราช 930 พม่าให้เชียงใหม่ยกทัพมาตีไทยอีกโดยมาตั้งที่นครสวรรค์
    • พญาละแวกส่งพระศรีสุธรรมาธิราชผู้เป็นอนุชายกมาช่วย วันพฤหัสบดี แรม 2 ค่ำ เดือนอ้าย เชียงใหม่ยกทัพมาตั้งที่ ตำบล สระเทศ
    • เดือน 5 พระเจ้าหงสาวดี ให้พระมหาอุปราชายกทัพมาที่กำแพงเพชร ทำการสะสมเสบียง ไว้ทำศึกกับไทย โดยให้ทัพเชียงใหม่ล้อมกรุงศรีฯไว้
    • พระมหาธรรมราชา เกรงว่าหากทัพพม่ายกมาสมทบกับทัพเชียงใหม่ ก็จะยากในการต่อสู้ จึงให้ พระนเรศวรและพระเอกาทศรถยกทัพไปตีทัพเชียงใหม่แตกไป
    • พอเลิกทัพกลับมาถึงตำบล โพธิสามต้นเห็นเรือพระศรีสุพรรมาธิราชจอดดูอยู่ไม่ได้หมอบนั่งดูอยู่จึงให้ พระพิไชยบุรินทรา ตัดศรีษะเชลยไปเสียบไว้ที่เรือ พระศรีสุพรรมาธิราช
    • พระศรีสุพรรมาธิราชแค้นใจคิดอาฆาตแต่ทำอะไรไม่ได้ พอเสร็จศึกก็ยกทัพกลับไป
    • พระเจ้าเชียงใหม่ซึ่งแตกทัพไป ได้ไปรวมกับทัพพระมหาอุปราชาที่กำแพงเพชร
    • พระศรีสุพรรมาธิราช เมื่อกลับไปได้ไปทูลฟ้องพญาละแวกว่าถูกดูหมิ่น พญาละแวกโกรธ คิดจะตัดไมตรีกับกรุงศรีฯ
    • พระเจ้าหงสาวดีรู้ว่าเจ้าเชียงใหม่แพ้ก็โกรธ คาดโทษให้กลับไปเชียงใหม่ รวบรวมเสบียงอาหารให้พอกับคน 3 แสน
    • เดือน 12 พม่ายกทัพมาทางเชียงทอง มาประชุมพลที่กำแพงเพชร ให้เจ้าเชียงใหม่ ยกทัพมาสมทบ
    • พฤหัสบดีขึ้น 2 ค่ำ เดือน 2 พม่ายกทัพใหญ่มาตั้งมั่นที่ ตำบล ขนอนปากคู ตำบล มะขามหย่อง
    • พระมหาอุปราชา และพญาตองอูยกมาทางลพบุรี สระบุรี มาตั้งที่ ตำบล ชายเคือง
    • กรุงศรีฯเห็นพม่ายกทัพใหญ่มาก็เกณฑ์พลกันเก็บเกี่ยวข้าวในท้องนาให้หมด ไม่ให้เหลือเป็นเสบียงแก่พม่า
    • ทัพไทยได้ยกออกไปปะทะกับพม่าหลายครั้ง พระนเรศวร และพระเอกาทศรถได้ยกทัพไปตีทัพพม่าถอยไปตั้งที่ ป่าโมกข์
    • พม่ายกมาล้อมพระนครไว้ 6 เดือน เสียไพร่พลเป็นอันมากจึงยกทัพกลับ
    • ละแวกรู้ว่าพม่ามาตีไทย ก็ส่งทหารมารุกรานไทย ทางแถบตะวันออก ตีปราจีนบุรีแตก พระเจ้าอยู่หัวโกรธก็ให้จัดทัพไปตีทัพพญาละแวก ละแวกตีมาถึงนครนายก โดนทัพไทยตีแตกหนีไป
    • ศักราช 932 พม่ายกทัพมาตีไทยอีกโดนมาทางกำแพงเพชรมาถึงอยุธยา แรม 14 ค่ำ เดือน อ้าย ตั้งค่ายที่บางปะหัน พระนเรศวรยกทัพออกสู้กับทัพพม่า พม่าพยายามเข้าตีพระนครหลายครั้งไม่สำเร็จ ยกทัพกลับไป
    • ศักราช 940 สมเด็จพระมหาธรรมราชาประชวร สวรรคต พระชนมายุ 76 พรรษา ครองราชย์มา 22 ปี
    พระนเรศวร

    • พระนเรศวร เป็นกษัตริย์องค์ที่ 19 (ในจำนวน 34 พระองค์)แห่งอาณาจักรอยุธยา พระองค์ทรงเป็นพระโอรสของพระมหาธรรมราชา (อดีตเจ้าเมืองพิษณุโลก ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์ที่ 18 ของอยุธยา) ซึ่ง เป็นเชื้อสายของราชวงศ์สุโขทัย พระนเรศวรทรงเป็นที่รู้จักในประวัติศาสตร์ไทยสกุลลัทธิชาตินิยมในฐานะ “วีรกษัตริย์” ผู้กอบกู้ “เอกราช” ให้กับอยุธยาซึ่งตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าอยู่ 15 ปี ระหว่าง 2112-2127 พระนเรศวรมีพระพี่นาง 1 องค์ และพระอนุชา 1 องค์ พระนเรศวรเป็นที่รู้จักในนามของ “องค์ดำ” ผู้มีความปรีชาสามารถในการสงคราม สามารถสถาปนาอาณาจักรอยุธยาให้มีอำนาจและความยิ่งใหญ่ ส่วนพระอนุชา (ซึ่งต่อมาจะเป็นกษัตริย์ทรงพระนามว่า พระเอกาทศรถ) นั้นรู้จักกันในพระนามว่า “องค์ขาว” พระนเรศวรทรงได้รับยกย่องให้เป็น 1 ในบรรดากษัตริย์ไทยที่ทรงเป็น “มหาราช” พระ นเรศวรประสูติเมื่อ 2098 ที่เมืองพิษณุโลกในสมัยที่พระราชบิดายังทรงดำเนินตำแหน่งเจ้าเมืองนั้นอยู่ เมื่ออายุได้ 9 พรรษาถูกส่งไปเป็นตัวประกันที่เมืองพระโค(หงสาวดี) สืบเนื่องมาจากพม่ายึดเมืองพิษณุโลกได้ และพระราชบิดาได้เข้าร่วมกับฝ่ายพม่า ทั้งนี้เพื่อประกันความจงรักภักดีต่อพม่า พระนเรศวรจึงถูกส่งไปเป็นตัวประกันทรงประทับอยู่ในฐานะ “โอรสบุญธรรม” ของกษัตริย์พม่าถึง 7 ปี ครั้นเมื่อพม่ายึดอยุธยาได้ในปี 2112 พระมหาธรรมราชาได้ขึ้นครองราชสมบัติในฐานะเมืองขึ้นของพม่า พระนเรศวรจึงเสด็จกลับจากเมืองพระโค(หงสาวดี) เมื่อปี 2114 พระชนมายุได้ 16 พรรษา ทั้งนี้โดยการที่พระมหาธรรมราชาต้องส่งพระราชธิดาไปเป็นตัวประกันแทน จากนั้นพระนเรศวรก็ได้รับการสถาปนาให้เป็นเจ้าเมืองพิษณุโลก และมีตำแหน่งในฐานะอุปราช หรือ “วังหน้า” โดยมีพระอนุชา ในฐานะ “วังหลัง” ที่จะสืบราชสมบัติแทน
    • ในช่วงระยะเวลา 19 ปีก่อนขึ้นครองราชนั้น พระนเรศวรทรงมีส่วนในการสงครามป้องกันอยุธยาเป็นอย่างมาก ทั้งการสงครามกับพม่าและกัมพูชา และในที่สุดก็ได้ประกาศ “อิสระภาพ” ในปี 2127 เมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าในปี 2112 นั้น อาณาจักรไทยนอกจากจะแตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าแล้ว(ทั้งอยุธยาและ เชียงใหม่)ภาคกลางของไทยได้รับความเสียหายมาก ประชากรส่วนใหญ่ถูกกวาดต้อนไปพม่า เมืองหลายเมืองต้องถูกทิ้งร้าง เพราะขาดประชากร ที่อยุธยาเองพม่าตั้งกองทัพของตนไว้ 3,000คน ทั้งนี้เพื่อควบคุมพระมหาธรรมราชาไม่ให้เอาใจออกห่าง ดังนั้นอยุธยาจึงอยู่ในสภาพที่อ่อนแอ และขาดกำลังทหารป้องกันเมืองเป็นอย่างมาก
    • ความอ่อนแอของอยุธยาเปิดโอกาสให้ กัมพูชาส่งกองทัพมารุกรานหัวเมืองชายทะเล ตั้งแต่แถบเมืองจันทบุรีถึงเพชรบุรี ระหว่างปี 2113-2130 กัมพูชาส่งกองทัพมาตีหัวเมืองชายทะเลดังกล่าวถึง 6 ครั้ง และกวาดต้อนประชากรไปเป็นจำนวนมาก สงครามไทย-กัมพูชานี้เป็นสงครามที่ประทุในแถบชายแดนจันทบุรี และเป็นสงครามที่มีการปล้นสะดมประชากรกัน สงครามในลักษณะดังกล่าวมีมาตั้งแต่สมัยต้นอยุธยา พระนเรศวรมีส่วนอย่างมากในการป้องกันอยุธยาในครั้งนี้ การสงครามกับกัมพูชาในครั้งนั้นทำให้อยุธยาสามารถใช้เป็นข้ออ้างในการที่จะ สะสมกำลังคนโดยการโยกย้ายประชากรจากหัวเมืองเข้ามายังอยุธยา ทั้งยังสามารสร้าง และซ่อมแซมกำแพงเมืองตลอดจนป้อมปราการ และจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์เพิ่มเติมได้โดยปราศจากความสงสัยจากพม่า นอกเหนือจากภัยสงครามจากภายนอกแล้ว ในสมัยดังกล่าวอยุธยาก็ยังเผชิญกับปัญหาภายใน คือ “ขบถไพร่ญาณพิเชียร” ในปี 2124ด้วย
    • ในปี 2124 พระเจ้านันทบุเรงกษัตริย์พม่าสวรรคต และพม่าภายใต้ราชวงศ์ตองอูก็ทำท่าว่าจะแตกสลาย พระนเรศวรได้เสด็จไปยังเมืองพระโคเพื่อไปในงานพระศพของกษัตริย์พม่า และน่าจะทรงทราบดีถึงโอกาสที่อยุธยาจะได้เป็นเอกราช ในขณะเดียวกันพม่าก็ทราบดีเช่นกันว่า พระนเรศวรจะเอาใจออกห่าง ดังนั้นจึงได้ใช้มอญให้วางแผนกำจัดพระนเรศวร แต่พระยาเกียรติพระยาราม ขุนนางมอญกับนำความลับนี้มากราบทูลต่อพระนเรศวร ดังนั้น ปี 2127 พระนเรศวรจึงประกาศ อิสรภาพ ของอยุธยา ตลอดปลายรัชสมัยของบิดาของพระองค์ พระนเรศวรต้องทำสงครามต่อต้านการรุกรานของพม่า ระหว่าง 2128-2130 พระองค์ทรงขึ้นครองราชสมบัติเมื่อปี 2133 เมื่อพระบิดาสวรรคต และมีพระชนมายุ 35 พรรษา
    • ตามประวัติศาสตร์ไทยกล่าวว่า “สงครามยุทธหัตถี” หรือการรบโดยการชนช้างในปี 2135-2136 เป็นสงครามที่พระนเรศวรทรงมีชัยชนะอย่างเด็ดขาดเหนือพม่า พระมหาอุปราชแม่ทัพพม่า สิ้นพระชนม์ด้วยพระแสงของ้าวของพระนเรศวรที่ตำบลหนองสาหร่าย จังหวัดสุพรรณบุรี สงครามครั้งนี้นับได้ว่าเป็นสงครามใหญ่ครั้งสุดท้ายของพุทธศตวรรษที่22 หลังจากนั้นไทยกับพม่าก็ค่อนข้างจะว่างสงครามกัน100กว่าปี จนเมื่อพม่าได้สถาปนาราชวงศ์อลองพญา(คองบอง)
    • ตลอดรัชสมัย 15 ปีของพระนเรศวร พระองค์ทรงพยายามสถาปนาความเป็นปึกแผ่นของอยุธยา ทรงขยายอาณาเขตออกไปกว้างขวาง ทรงทำให้กัมพูชาต้องยอมเป็นเมืองขึ้น
    • ตามหลักฐานประวัติศาสตร์กล่าวว่าพระ นเรศวรทรงสนใจในการเมืองระหว่างประเทศ เห็นได้จากการเสนอส่งกองทัพไทยไปช่วยจีนรบกับญี่ปุ่น ในสมัยของ โตโยโตมิ ฮิเดโยชิ เมื่อปี2135 แต่ทางจีนได้ปฏิเสธข้อเสนอนี้เมื่อปี 2136
    • พระนเรศวรสวรรคตที่เมืองหาง รัฐฉานในพม่า เมื่อ 2148 พระชนม์พรรษาได้ 50 ปี และดูเหมือนว่าพระองค์จะไม่มีพระราชโอรสหรือพระธิดา บ้างก็กล่าวว่าพระองค์ไม่มีฝ่ายในด้วยซ้ำไปดังนั้นพระอนุชาคือพระเอกาทศรถ จึงได้ครองราชสมบัติแทน
    พระเอกาทศรถ

    • พระเอกาทศรถ เป็นกษัตริย์องค์ที่ 20 ของอยุธยา พระองค์เป็นพระอนุชาของพระนเรศวร ทรงประสูติเมื่อ 2103 มีพระชนมายุอ่อนกว่าพระนเรศวร 5 พรรษา ในสมัยที่พระราชบิดาทรงครองราชย์ พระเอกาทศรถได้สถาปนาเป็น “วังหลัง” เมื่อพระนเรศวรขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน พระเอกาทศรถก็ได้รับยกย่องในฐานะเท่าเทียมกับพระนเรศวร พงศาวดารไทยจะกล่าวถึงพระองค์ในฐานะของ “พระเจ้าอยู่หัว” อีกพระองค์หนึ่ง ทั้งนี้อาจจะเป็นได้ว่าพระเอกาทศรถทรงร่วมรบในสงครามกับพระนเรศวรมาตลอด และอาจเป็นเพราะพระนเรศวรไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีพระมเหสีหรือพระโอรส พระเอกาทศรถจึงอยู่ในฐานะของอุปราชหรือผู้ที่จะได้สืบราชสมบัติอย่างชัดเจน หลักฐานจากชาวฮอลันดากล่าวถึงพระองค์ในฐานะ “พระอนุชาธิราชพระราเมศวร” ซึ่งตำแหน่ง พระราเมศวร เป็นตำแหน่งของพระโอรสองค์โตในสมัยต้นอยุธยา พระเอกาทศรถขึ้นครองราชสมบัติเมื่อ ปี 2148 พระชนมายุได้ 45 พรรษา
    • พระเอกาทศรถขึ้นครองอยุธยาในสมัยที่ อาณาจักรเป็นปึกแผ่นมั่นคง พระนเรศวรได้ขยายอำนาจของอยุธยาออกไปอย่างกว้างขวางอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ในสมัยอยุธยาก่อนหน้านี้ อยุธยามีอำนาจเหนือเชียงใหม่ และรุกเข้าไปในดินแดนรัฐฉาน ทางด้านพม่าตอนใต้ก็ได้แถบทวาย มะริด ตะนาวศรี และทางด้านกัมพูชาก็ทำให้เขมรต้องยอมรับอำนาจของไทย แต่อย่าางไรก็ตามบรรดาอาณาเขตเหล่านี้จำนวนมากก็เป็นอิสระเมื่อสิ้นพระ นเรศวร กระนั้นก็ตามอำนาจของอยุธยาในพม่าตอนล่างก็ยังคงอยู่ ทำให้เปิดประตูการค้าไปในอ่าวเบงกอลที่ประจวบเหมาะกับการที่ชาติตะวันตกแพร่ อิทธิพลของตนเข้ามาทำการค้าขาย จึงเป็นรัชสมัยการปูพื้นฐานของการที่อยุธยาจะมีสัมพันธ์ด้าาานการค้าและการ เมืองกับประเทศตะวันตก ซึ่งจะเห็นได้ชัดในกลางพุทธศตวรรษที่ 22ต้น23 พระเอกาทศรถเป็นกษัตริย์อยุธยาองค์แรกที่ส่งทูตไปถึงกรุงเฮก ประเทศฮอลันดาเมื่อ 2151 และฮอลันดาก็ตั้งสถานีการค้าของตนในอยุธยา ฮอลันดามีจุดมุ่งหมายที่จะใช้อยุธยาเป็นเมืองท่าแลกเปลี่ยนสินค้า และเป็นฐานในการที่จะค้าขายต่อกับจีนและญี่ปุ่น ฮอลันดานำเอาผ้าฝ้าย อาวุธ มาแลกกับสินค้าพื้นเมืองคือหนังกวาง และพริกไทย
    • เอกสารของชาวต่างประเทศกล่าวว่า ทั้งพระนเรศวรและพระเอกาทศรถทรงโปรด “ชาวต่างชาติ” ดังนั้นอยุธยาจึงต้อนรับชาวต่างชาติอื่น ๆอีก เช่น โปรตุเกส ญี่ปุ่น สมัยนี้เป็นสมัยที่เรือญี่ปุ่นได้รับ “ใบเบิกร่องตราแดง” สินค้าที่ญี่ปุ่นมาซื้อคือฝาง หนังกวาง หนังปลาฉลาม ตะกั่ว ดีบุก
    • สมัย พระเอกาทศรถเป็นสมัยการสร้างอำนาจทางเศรษฐกิจ พระเอกาทศรถไม่โปรดการสงคราม ไม้ได้ทำการขยายอำนาจทางทหารอย่างสมัยพระนเรศวร จึงเป็นสมัยการค้าขายติดต่อกับต่างประเทศ และเป็นสมัยที่มีมาตราการทางด้านภาษีอากรอย่างมาก พงศาวดารไทยกล่าวว่า “ทรงพระกรุณาตั้งพระราชกำหนดกฎหมายพระอัยการ และส่วนสัดพัฒนากรขนอนตลาด” ซึ่งหมายถึงการเก็บภาษีจากผลิตผล ตลอดจนภาษีผ่านด่าน และภาษีตลาด ซึ่งตรงกับหลักฐานของฮอลันดาที่ว่าพระองค์ให้สำรวจจำนวนประชากร ให้มีการขึ้นสังกัดต่อนาย ให้มีการสำรวจสวนเพื่อเก็บภาษีต้นไม้(ที่ออกผล)เช่น มะพร้าว หมาก ส้ม มะนาว มะขาม ทุเรียน มะม่วง โดยเก็บต้นละ 1 เฟื้อง
    • (เท่ากับ 12 สตางค์ ครึ่ง หรือ = 8อัฐ) เป็นต้น และที่น่าสนใจก็คือมีการเสียภาษีมรดกเมื่อขุนนางสิ้นชีวิตลง 1ใน3ของทรัพย์สมบัติต้องตกเป็นของหลวง
    • พระเอกาทศรถครองราชย์เพียง 5 ปี เมื่อสวรรคตก็มีปัญหาการสืบราชสมบัติแย่งชิงกันในหมู่พระโอรสของพระองค์เอง อันเป็นปัญหาทางการเมืองภายในของอยุธยาที่มีมาตลอดเกือบจะทุกสมัย การสืบราชสมบัติหรือการส่งต่ออำนาจทางการเมือง ไม่สามารถจะสร้างกฎเกณฑ์ขึ้นมาเป็นมาตรฐานที่ยอมรับกันได้
    พระศรีเสาวภาคย์

    • เป็นกษัตริย์องค์ที่ 21 เป็นพระโอรสของพระเอกาทศรถ (กษัตริย์องค์ที่ 20) ได้ขึ้นมาเป็นพระเจ้าแผ่นดินก่อนในช่วงเวลาสั้น ๆเพียง 1ปีกับ 2เดือน เข้าใจว่าเป็นระยะเวลาที่พระเจ้าเอกาทศรถจะสิ้นพระชนม์ พระศรีเสาวภาคย์ เป็นเจ้าฟ้าที่มีพระเนตรข้างเดียว และก็มีสิทธิที่จะได้ครองบัลลังก์ต่อเมื่อเจ้าฟ้าสุทัศน์พระราชบุตรผู้พี่ ได้สวรรคตไป
    พระเจ้าทรงธรรม

    • พระเจ้าทรงธรรม เป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ 22 แห่งอาณาจักรอยุธยา ทรงเป็นโอรสของพระเอกาทศรถแห่งราชวงศ์สุโขทัยที่ได้เข้ามาครองอำนาจในอยุธยา ภายหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าเป็นครั้งแรก เมื่อ 2112
    • พระเจ้าทรงธรรมคงเป็นโอรสที่เกิดจากพระ สนม มิใช่จากพระมเหสีซึ่งทำให้ข้ออ้างในการขึ้นครองราชย์ไม่แข็งแรงนัก แต่การสืบสันตติวงศ์ในสมัยอยุธยาก็หาได้มีกฎเกณฑ์แน่นอนไม่ ในบางครั้งขึ้นอยู่กับความสามารถที่จะควบคุมกำลังคน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มขุนนางข้าราชการหรือไพร่พล และใช้กำลังในการยึดอำนาจในลักษณะที่เรียกว่า ปราบดาภิเษก การที่พระเจ้าทรงธรรมขึ้นมาครองราชย์ได้ ก็เพราะเจ้าฟ้าสุทัศน์พระโอรสอันเกิดจากพระมเหสีและได้รับสถาปานาเป็นพระมหา อุปราช ซึ่งมีสิทธิจะได้ครองราชสมบัติต่อนั้น ถูกข้อหาขบถต่อพระราชบิดา (เอกาทศรถ) จึงต้องเสวยยาพิษและสิ้นพระชนม์ไปก่อน
    • ตามหลักฐานของพงศาวดารไทย กล่าวว่าก่อนที่พระเจ้าทรงธรรมจะขึ้นครองราชย์นั้น โอรสอีกองค์หนึ่งของพระเอกาทศรถได้ขึ้นมาเป็นพระเจ้าแผ่นดินก่อนในช่วงเวลา สั้น ๆเพียง 1ปีกับ 2เดือน เข้าใจว่าในระยะเวลาที่พระเจ้าเอกาทศรถจะสิ้นพระชนม์นั้น พระราชโอรสองค์ที่ว่านี้เกิดจากพระมเหสีทรงพระนามว่า พระศรีเสาวภาคย์ เป็นเจ้าฟ้าที่มีพระเนตรข้างเดียว และก็มีสิทธิที่จะได้ครองบัลลังก์ต่อเมื่อเจ้าฟ้าสุทัศน์พระราชบุตรผู้พี่ ได้สวรรคตไป
    • แต่หลักฐานของชาวยุโรปที่อยู่ในอยุธยา ขณะนั้น ยืนยันว่าพระเจ้าทรงธรรมได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระเอกาทศรถ ดังนั้นอาจเป็นไปได้ที่ว่า ในขณะที่พระเอกาทศรถจะเสด็จสวรรคต พระเจ้าทรงธรรมทรงผนวชอยู่ที่ วัดระฆัง ได้สมณฐานันดรเป็น “พระพิมลธรรมอนันตปรีชา” ทรงเชี่ยวชาญทางด้านพระพุทธศาสนา มีลูกศิษย์และขุนนางข้าราชการนิยมชมชอบไม่น้อย ทำให้สามารถซ่องสุมผู้คนเป็นกำลังเข้ายึดอำนาจได้
    • พระเจ้าทรงธรรมครองราชย์อยู่ 18 ปี และถือเป็นรัชกาลที่ประสบความสำเร็จ พระองค์เป็นกษัตริย์ที่ได้รับการยกย่องสรรเสริญมากพระองค์หนึ่ง ลักษณะเด่นของรัชสมัยของพระองค์คือ ด้านพระพุทธศาสนา และวรรณกรรม การต่างประเทศ และความสงบภายใน
    • ด้านพุทธศาสนามีการค้นพบรอยพระพุทธบาท ที่สระบุรี เมื่อปี 2166 ตามประวัติกล่าวว่านายพรานชื่อบุญเป็นผู้ค้นพบโดยบังเอิญบนภูเขาเล็ก ๆในเขตนั้น พระองค์ได้ทรงให้สร้างมณฑปครอบพระพุทธบาท และทรงเริ่มประเพณีการเสด็จไปบูชาพระพุทธบาทตั้งแต่รัชสมัยของพระองค์ ประเพณีนี้ถือได้ว่าเป็นประเพณีของการจารึกแสวงบุญที่สำคัญที่สุดของ กษัตริย์ของอยุธยา ตราบจนกระทั่งเสียกรุงแก่พม่าในปี 2310 และได้กลายเป็นประเพณีของชาวบ้านในแถบภาคกลางจนถึงทุกวันนี้ อาจกล่าวได้ว่าการไปไหว้พระพุทธบาทเป็นประจำทุกปี ทำให้สถานที่นี้ถือได้ว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางพระพุทธศาสนามากที่สุด แห่งหนึ่งในประเทศไทย ประเพณีนี้จะทำในเวลาหลังฤดูเกี่ยวข้าวแล้ว คือประมาณเดือนกุมภาพันธ์ หรือ มีนาคม
    • อาจกล่าวได้ว่าการค้นพบรอยพระพุทธบาท ที่สระบุรีนั้น เป็นการสืบทอดจารีตความเชื่อทางด้านพุทธศาสนาที่ไทยได้รับจากสกุล ลังกาวงศ์นับตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นต้นมาทั้งนี้เพราะในศรีลังกามีประเพณี การขึ้นไปไหว้รอยพระพุทธบาทที่เขาสมณกูฏ อันเป็นความเชื่อที่สร้างความสัมพันธ์ต่อเนื่องระหว่างพระพุทธองค์ในอินเดีย กับประเทศที่นับถือพุทธศาสนา รอยพระพุทธบาทและชื่อเขาสมณกูฏเองก็ปรากฏในสมัยสุโขทัย
    • ยังมีการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดและพระพุทธ รูปสำคัญอีกด้วย เช่นพระมงคลบพิตร การจัดให้มีการแต่ง “มหาชาติคำหลวง” อันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติของพระพุทธเจ้าในชาติสุดท้ายก่อนการ ตรัสรู้ มหาชาติ หรือ พระเวสสันดร นี้ถือเป็นวรรณกรรมทางศาสนาที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งของไทย ยังมีการสร้างพระไตรปิฎกถือได้ว่าเป็นความสำเร็จของรัชสมัยในการที่พระมหา กษัตริย์เป็น “องค์ศาสนูปถัมภก” อันเป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่พระมหากษัตริย์ไทยจะทรงพึงมีในฐานะ “สิทธิธรรมทางการเมืองการปกครอง”
    • ด้านการต่างประเทศ พระเจ้าทรงธรรมได้ทรงดำเนินนโยบายสืบต่อมาจากพระเอกาทศรถ อันจะทำให้อยุธยามีบทบาทในการค้า และการติดต่อกับต่างประเทศ เป็นอย่างมากจนถึงสมัยพระนารายณ์
    • ชาวต่างประเทศที่นับว่ามีบทบาทอย่างมาก ในสมัยนี้คือ อังกฤษ ฮอลันดา ญี่ปุ่น ซึ่งติดต่อค้าขายกัน แต่ในบางครั้งมาตั้งสถานีการค้า หรือ บ้าน ในอยุธยาโดยมุ่งจะใช้สยามเป็นเมืองท่าติดต่อไปยังจีนและญี่ปุ่นอีกทอด
    • ภายหลังการก่อตั้ง English East India Company เมื่อปี 2143 อังกฤษได้ขยายเข้าไปในชวาซึ่งต้องแข่งขันกับฮอลันดา แล้วฮอลันดาชนะ ทำให้อังกฤษต้องไปสร้างอิทธิพลในอินเดียแทน อังกฤษได้เข้ามาในอยุธยาเพื่อหวังจะได้ตลาดผ้าฝ้ายที่นำมาจากอินเดีย เพื่อแลกกับของป่า
    • สำหรับประเทศตะวันตกนั้น ฮอลันดามีบทบาทในอยุธยามากที่สุด
    • รัชสมัยของพระเจ้าทรงธรรมไม่ประสบความ สำเร็จด้านการทหารและการแผ่ขยายอำนาจ แต่ก็เป็นรัชสมัยที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางด้านศาสนาและการต่างประเทศ พระเจ้าทรงธรรมทรงประชวรและสวรรคตในปี 2171 เมื่อพระชนมายุได้ 38 พรรษา และปัญหาการสืบราชสมบัติต่อจากพระองค์ก็มีคล้าย ๆกับตอนที่ พระองค์ขึ้นครองราชย์เช่นกัน
    พระเชษฐาธิราช

    • เป็นกษัตริย์องค์ที่ 23 ทรงเป็นพระโอรสของพระเจ้าทรงธรรม (กษัตริย์องค์ที่ 22)
    พระอาทิตยวงศ์

    • เป็นกษัตริย์องค์ที่ 24 แห่งราชวงศ์สุโขทัย เป็นอนุชาของพระเชษฐาธิราช (กษัตริย์องค์ที่ 23)
    -http://www.thaigoodview.com/node/2107-


    .





     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    พระเจ้าปราสาททอง

    • พระเจ้าปราสาททองเป็นกษัตริย์องค์ที่ 25 ของอาณาจักรอยุธยา และทรงเป็นผู้สถาปนาราชวงศ์ปราสาททองอันเป็นราชวงศ์ที่ 4 (ในจำนวน 5 ราชวงศ์) ของอยุธยา
    • พระเจ้าปราสาททองประสูติปี 2143 และอาจจะมีสายพันธ์ในการทรงเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพระเจ้าทรงธรรม รับราชการเป็นหมาดเล็กของพระเอกาทศรถ และเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นในกรมวังตอนอายุ 17 ปี เมื่อพระเจ้าทรงธรรมสวรรคต2171 ก็เกิดปัญหาการสืบราชสมบัติอันเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตกของอยุธยา ขุนนางในราชสำนักแยกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือ เจ้าพระยามหาเสนาสนับสนุนพระศรีศิลป์ ซึ่งเป็นอนุชาของพระเจ้าทรงธรรม แต่อีกฝ่ายหนึ่งคือ เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ปราสาททอง) สนับสนุนพระเชษฐาธิราชซึ่งเป็นโอรสฝ่ายพระเจ้าทรงธรรม ฝ่ายพระเชษฐาธิราชได้ชัยชนะขึ้นครองราชสมบัติ ดังนั้นเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ปราสาททอง) จึงได้รับตำแหน่งกลาโหมมีไพร่พลในบังคับและมีอำนาจมาก พระเชษฐาธิราชครองราชสมบัติได้ 1ปี 7เดือน เกิดความขัดแย้งกับเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ พระเจ้าแผ่นดินถูกจับสำเร็จโทษ และตั้งพระอนุชาคือ พระอาทิตยวงศ์ขึ้นเป็นกษัตริย์ได้เพียง 1 เดือน เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ก็ยึดอำนาจสถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์เมื่อพระชนม์ พรรษา 30 พระองค์ครองราชย์ 27 ปี
    • พระเจ้าปราสาททองพยายามแก้ปัญหาการ ปกครองคือพยายามที่จะไม่ให้เจ้าหรือขุนนางคนใดคนหนึ่งมีอำนาจในการคุมไพร่พล มากจนมีอำนาจมากขึ้นได้ ในสมัยพระนเรศวรและพระเอกาทศรถได้ทรงแก้ปัญหานี้แล้วด้วยการตัดกำลังและ อำนาจของเจ้าเมืองบางเมือง ยกเลิกตระกูลเจ้าหัวเมืองที่จะสืบต่ออำนาจกัน ใช้การแต่งตั้งจากส่วนการออกไป พระเจ้าปราสาททองได้ดำเนินการให้แบ่งแยกอำนาจกันระหว่าง 2 เสนาบดีผู้ใหญ่ คือ กลาโหมและ มหาดไทย แบ่งหัวเมืองทางเหนือให้อยู่ในบังคับบัญชาของหมาดไทย ให้หัวเมืองทางใต้อยู่ในบังคับบัญชาของกลาโหม
    • นอกเหนือจากปัญหาภายในแล้วยังมีปัญหากับชาวต่างชาติคือ ญี่ปุ่น และ ฮอลันดา
    • ในสมัยของพระเจ้าปราสาททองเป็นสมัยที่ ศิลปะเกี่ยวกับศาสนาเฟื่องฟูมาก มีการรื้อฟื้นอิทธิพลของสถาปัตยกรรมเขมร เช่นการสร้างปรางค์ที่วัดไชยวัฒนารามและที่อำเภอนครหลวง แต่ในขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาศิลปะของพระพุทธรูป (ทรงเครื่องกษัตริย์) และปรางค์ (ยอดสูง) แบบไทย อันถือเป็นแบบฉบับที่สำคัญของปลายอยุธยา พระเจ้าปราสาททองทรงเน้นพระราชพิธีเสด็จไปบูชารอยพระพุทธบาทที่สระบุรีอัน เริ่มมาแต่สมัยพระเจ้าทรงธรรม จนกลายเป็นประเพณีที่สำคัญของอยุธยาตอนปลาย
    เจ้าฟ้าไชย

        • เป็นกษัตริย์องค์ที่ 26 แห่งราชวงศ์ปราสาททอง เป็นโอรสของพระเจ้าปราสาททอง (กษัตริย์องค์ที่ 25) ขึ้นครองราชย์ได้ 2 วัน
    พระศรีสุธรรมราชา

    • เป็นกษัตริย์องค์ที่ 27 แห่งราชวงศ์สุโขทัย เป็นพระอนุชาของพระเจ้าปราสาททอง (กษัตริย์องค์ที่ 25) ขึ้นครองราชย์ ได้ 2 เดือน 18 วัน
    พระนารายณ์

    • พระนารายณ์ ทรงเป็นกษัตริย์องค์ที่ 28 แห่งอยุธยา พระองค์ทรงได้รับยกย่องให้เป็นมหาราชองค์หนึ่ง ทั้งนี้เพราะถือว่ารัชสมัยของพระองค์เจริญรุ่งเรืองในทางวรรณคดีและการต่าง ประเทศ แต่ก็เป็นสมัยที่มีปัญหายุ่งยากทางการเมืองภายในอย่างสูง และเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองระหว่างประเทศในลักษณะที่ล่อแหลมจนเกือบทำ ให้สยามตกอยู่ใต้อิทธิพลของฝรั่งเศส สมัยของพระองค์เป็นสมัยที่มีข้อมูลทางประวัติศาสตร์มากที่สุดของอยุธยาเพราะ ได้หลักฐานจากชาวตะวันตกที่เข้ามาในราชสำนัก
    • พระนารายณ์เป็นโอรสของพระเจ้าปราสาททอง กษัตริย์องค์ที่ 25 ทรงประสูติเมื่อ 2175/1632 และเมื่อพระราชบิดาสวรรคต 2199 พระเชษฐาของพระองค์ คือ เจ้าฟ้าไชย ก็ได้ขึ้นครองราชสมบัติเพียง 2 วัน พระนารายณ์ทรงร่วมสมคบกับพระศรีสุธรรมราชาซึ่งเป็นพระเจ้าอา ชิงราชสมบัติ โดยขอให้ชาวต่างชาติในอยุธยา เช่น ฮอลันดา ญี่ปุ่น มุสลิม (เปอร์เซียและปัตตานี) ช่วยให้พระศรีสุธรรมราชาครองราชสมบัติแทน แต่พระศรีสุธรรมราชาก็อยู่ในสมบัติได้เพียง 10 สัปดาห์ พระนารายณ์ก็ชิงราชสมบัติอีกครั้ง
    • ในสมัยของพระนารายณ์ทรงพยายามที่จะ สถาปนาอำนาจของอยุธยาเหนือล้านนา (เชียงใหม่) และพม่าตอนล่าง ซึ่งเป็นเขตอิทธิพลที่ช่วงชิงกันระหว่างอยุธยาและพม่านับตั้งแต่กลางพุทธ ศตวรรษที่ 21 ทรงส่งกองทัพเข้ารุกรานเชียงใหม่ (2204) และเมืองของพม่า เช่น เมาะ ตะมะ ร่างกุ้ง พะโค (2205) ในสมัยของพระองค์ อยุธยาสามารถครอบครองเมืองต่างๆในพม่าตอนล่างสุดไว้ได้ เช่น มะริดและตะนาวศรี และใช้หัวเมืองเหล่านี้เป็นเมืองท่าติดต่อค้าขายกับอินเดีย ตลอดจนชาวตะวันตกที่เริ่มเข้ามาเป็นจำนวนมากในแถบนั้น โดยเฉพาะอังกฤษและ ฝรั่งเศส
    • บรรดาชาติตะวันตกที่มีความสำคัญในระยะ นี้ คือ ฮอลันดา อังกฤษ ฝรั่งเศส โดยบทบาทของโปรตุเกสได้เริ่มลดลง บรรดาพ่อค้าเหล่านี้พยายามอย่างยิ่งที่จะเข้ามามีผลประโยชน์ในการค้าของ เอเชีย ซึ่งเดิมอยู่ในมือของจีนทางด้านตะวันออกและชาวมุสลิม ชาวตะวันตกตั้งสถานีการค้าของตนเพื่อตัดการค้าผูกขาดของราชสำนักไทยที่มีกับ ต่างประเทศ แม้ว่าศตวรรษที่ 22 จะมีชาวตะวันตกเป็นจำนวนมาก แต่ก็ต้องเผชิญกับการแข่งขันจากจีนและมุสลิม ทำให้ชาวตะวันตกไม่ได้รับผลกำไรเท่าที่ต้องการ เป็นผลให้การค้าอยู่ในลักษณะที่ปิดๆ เปิดๆ อยู่ตลอดเวลา
    • ในสมัยของพระนารายณ์ทรงสร้างเมือง ลพบุรีขึ้นเป็นราชธานีแห่งที่ 2 (2208) และในแต่ละปีทรงพำนักอยู่ที่เมืองนี้มากกว่าอยุธยา กล่าวกันว่า การสร้างราชธานีแห่งที่ 2 นี้ก็เพื่อใช้เป็นป้อมปราการในการที่จะต้องเผชิญต่อการปิดล้อมหรือการคุกคาม จากชาติตะวันตก (ฮอลันดา) แต่ในการตีความประวัติศาสตร์แบบใหม่ เหตุผลของปัญหาความยุ่งยากทางการเมืองภายในราชสำนักก็อาจเป็นปัจจัยสำคัญ ประการหนึ่ง
    • จากสมัยของพระองค์ถือกันว่าเป็นสมัยที่ มีความเจริญรุ่งเรืองทางด้านศิลปวิทยาการ มีการแต่งวรรณกรรมเก่าๆ เช่น จินดามณี (2215) ราโชวาทชาดก (2218) พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับหลวงประเสริฐ (2223) เป็นต้น งานเหล่านี้ถือเป็นพื้นฐานของประวัติศาสตร์และวรรณคดีของไทยในปัจจุบัน
    • เรื่องที่ถือว่าเด่นที่สุดของสมัยพระ นารายณ์ คือ การติดต่อสัมพันธ์กับราชสำนักฝรั่งเศสของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และเป็นเรื่องที่ล่อแหลมต่อการสูญเสียเอกราชของอยุธยาเป็นอย่างมาก
    • ในระหว่าง 2223-2231 มีบทบาทของชาวต่างชาติ (กรีก) ที่มีนามว่า คอนแสตนตินฟอลคอน พ่อค้าผู้นี้ได้เข้ามากับเรือสินค้าของอังกฤษ ด้วยความสามารถทางการค้าและภาษาทำให้ก้าวขึ้นมารับราชการกับกรมพระคลัง และมีส่วนในเรื่องการส่งทูตไทยไปยังเปอร์เซีย ทำให้ได้รับการโปรดปรานเข้าทำงานใกล้ชิดกับพระนารายณ์ จนเลื่อนเป็นเจ้าพระยาวิไชเยนทร์ รักษาการในตำแหน่งพระคลัง และในที่สุดก็ควบคุมกรมมหาดไทยกลายเป็นเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่
    • ฟอลคอนสนใจระบบการค้าในเอเชีย และต้องการจะหาผลประโยชน์ให้กับตนพร้อมๆกับการทำงานให้ราชสำนักไทย ผลประโยชน์ของเขาขัดกับของอังกฤษ ฮอลันดา และบรรดาชาวมุสลิมที่มีอิทธิพลอยู่ ดังนั้นเขาจึงหันไปร่วมมือกับบาทหลวงชาวฝรั่งเศสที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนาอยู่ ในอยุธยา
    • ในแง่ของพระนารายณ์ พระองค์สนใจที่จะมีฐานะในทางการระหว่างประเทศโดยส่งทูตไปเปอร์เซีย อินเดีย จีน พระองค์จึงเล็งเห็นความสำคัญและความสามารถของฟอลคอน ในขณะเดียวกันมิชชั่นนารีเยซูอิตก็ได้เข้ามาในอยุธยาตั้งแต่ 2205 มีส่วนช่วยในด้านวิศวกรของการสร้างวังและป้อมปราการให้กับพระนารายณ์ ได้รับอนุญาตพิเศษให้ตั้งสำนักเซมินารีที่จะสั่งสอนศาสนา และพระนารายณ์ก็ส่งสารไปเจริญสัมพันธไมตรีกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และสันตปาปาที่กรุงโรมโดยผ่านบาทหลวงเหล่านี้ เป็นผลทำให้เกิดความเข้าใจกันว่าพระองค์สนพระทัยในคริสต์ศาสนา และอาจจะเปลี่ยนไปเข้ารีตได้
    • ในปี 2223 พระนารายณ์ทรงส่งทูตไปฝรั่งเศส แต่ทูตชุดนี้เรือแตกสูญหายไปนอกฝั่งแอฟริกา ต่อมาในปี 2225 ฝรั่งเศสได้ส่งทูตชุดเล็กเข้ามาทำการเจรจาสร้างพันธมิตรระหว่างประเทศ ซึ่งในปี 2227 ทูตชุดที่ 2 ของไทยก็ไปเจรจาเรื่องนี้ต่อ ผลก็คือในปี 2228-2229
    • ฝรั่งเศสได้ส่งทูตชุดใหญ่และสำคัญอันนำ โดย เชอวาลิเอ เดอ โชมองต์ เข้ามาในอยุธยาด้วยจุดประสงค์ที่จะให้พระนารายณ์เปลี่ยนศาสนา ให้ฝรั่งเศสมีอิทธิพลในการสอนศาสนา ให้มีสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ให้ผูกขาดการค้าดีบุกที่ภูเก็ต ให้ได้รับประโยชน์ทางการค้าเท่าเทียมฮอลันดา และให้ตั้งทหารของตนได้ที่เมืองสงขลา
    • ทูตชุดนี้ของฝรั่งเศสกลับออกไปในปี 2229 พร้อมกับนำทูตชุดที่ 3 ของไทยที่นำโดย โกษาปาน ไปด้วย เพื่อเจรจาสัญญาต่างๆในรายละเอียดอีกครั้ง โกษาปานไปต่างประเทศในระหว่าง 2229-2230 ขณะเดียวกันสถานการณ์ในสยามก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในปี 2229 เกิดขบถมักกะสัน ซึ่งเป็นพ่อค้ามุสลิมจากเกาะซูลาเวสี (อินโดนีเซีย) ที่ทรงอิทธิพลและมีผลประโยชน์ขัดกับฮอลันดา พวกมักกะสันนี้ต้องการสนับสนุนให้อนุชาของพระนารายณ์ขึ้นครองราชย์แทน และต้องการให้เปลี่ยนเป็นนับถือศาสนาอิสลามด้วย แต่ก็ถูกฟอลคอนปราบปรามอย่างราบคาบ
    • ในขณะเดียวกันก็เกิดวิกฤตการณ์ขึ้นในเมืองมะริด ซึ่งเป็นเมืองท่าด้านตะวันตกของอยุธยา มี การสังหารชาวอังกฤษ 60 คนที่ขัดขวางผลประโยชน์ทางการค้าของพระนารายณ์และฟอลคอน เป็นเหตุให้อยุธยาอยู่ในสภาพสงครามกับบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ เรืออังกฤษปิดล้อมมะริด และอังกฤษก็เรียกร้องค่าเสียหายเป็นเงินจำนวนมาก (65,000 ปอนด์ ) ทำให้เกิดความยุ่งยากในราชสำนัก และเป็นผลให้พระนารายณ์คิดยกเมืองมะริดให้ฝรั่งเศสในที่สุด
    • ในเดือนกันยายน 2230 ฝรั่งเศสได้ส่งทูตมาอีกชุดหนึ่งนำโดย โคลด เซเบเรต์ และ ซิ มอง เดอ ลา ลูแบร์ พร้อมด้วยเรือรบ 6 ลำ ทหาร 500 คน และบาทหลวงเยซูอิต จุดประสงค์คือเรื่องเปลี่ยนศาสนาของพระนารายณ์ และการเจรจาเอาเมืองบางกอก (แทนเมืองสงขลา) นอกเหนือจากเมืองมะริด อันจะทำให้ฝรั่งเศสยึดเมืองที่คุมอาณาจักรอยุธยาได้ทั้งหมด มีการลงนามในสนธิสัญญาใหม่นี้เมื่อ 11 ธันวาคม 2230 ซึ่งฝรั่งเศสได้เมืองบางกอกไป แต่ไม่ได้การเปลี่ยนศาสนาของพระนารายณ์
    • ผลของการดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ล่อ แหลมนี้ทำให้เกิดความรู้สึกต่อต้านต่างชาติฝรั่งขึ้นในบรรดาขุนนางไทยและพระ สงฆ์ ขุนนางไทยไม่พอใจที่ฟอลคอนมีอิทธิพลมากมายในราชสำนักและมีอิทธิพลต่อองค์พระ นารายณ์เอง ทั้งยังได้รับผลประโยชน์จากการค้าอีกด้วย ในขณะเดียวกันชาวต่างชาติอื่นๆก็ไม่พอใจต่อสิทธิพิเศษของฝรั่งเศสและฟอลคอน ในด้านพระสงฆ์เกิดการหวั่นวิตกว่า พระนารายณ์จะหันไปนับถือคริสต์ศาสนา ดังนั้นเมื่อพระนารายณ์ทรงประชวรเมื่อมีนาคม 2231 พระเพทราชา เจ้ากรมช้าง ก็กลายเป็นศูนย์กลางของความรู้สึก “ ชาตินิยม “
    • พระเพทราชาได้รับแต่งตั้งให้รักษา ราชการ พระนารายณ์ยังมิทันมอบราชสมบัติให้ผู้ใด พระเพทราชาก็ยึดอำนาจ จับฟอลคอนประหารชีวิตเมื่อ 5 มิถุนายน พระปีย์ (โอรสบุญธรรมของพระนารายณ์) ถูกลอบสังหาร เมื่อพระนารายณ์สวรรคต 11 กรกฎาคม 2231 พระเพทราชาก็ขึ้นครองราชสมบัติ และพระอนุชาของพระนารายณ์ก็ถูกสำเร็จโทษ เป็นอันสิ้นราชวงศ์ปราสาททอง และเริ่มต้นราชวงศ์บ้านพลูหลวง อันเป็นราชวงศ์สุดท้ายของอยุธยา พระเพทราชาเจรจาให้กองทหารฝรั่งเศสถอยออกไปจากเมืองบางกอกเมื่อ 18 ตุลาคม 2231 เป็นอันสิ้นสุดการติดต่อสัมพันธ์ทางการต่างประเทศของอยุธยาในลักษณะล่อแหลม กลับไปใช้การติดต่อค้าขายในลักษณะปกติตามที่เคยเป็นมาแต่ครั้งโบราณกาล

    -http://www.thaigoodview.com/node/2107-



    .




    .
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    พระเพทราชา

    • พระเพทราชา ทรงเป็นกษัตริย์องค์ที่ 29 ของอยุธยา และทรงเป็นผู้สถาปนาราชวงศ์บ้านพลูหลวง อันเป็นราชวงศ์ที่ 5 และราชวงศ์สุดท้ายของอยุธยาในประวัติศาสตร์ไทย พระเพทราชาถูกมองว่าเป็นกบฏ แต่ในขณะเดียวกันพระองค์ก็ถูกมองว่าเป็น “นักชาตินิยม” ที่สกัดกั้นมิให้ไทยต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของต่างชาติ (ฝรั่งเศส)
    • พระเพทราชาทรงมีพื้นเพมาจากบ้านพลูหลวง ใน จ.สุพรรณบุรี พระมารดาทรงเป็นแม่นมของพระนารายณ์ ดังนั้นพระองค์จึงได้รับการเลี้ยงดูควบคู่กันมากับพระนารายณ์ ทำให้มีโอกาสเข้ารับราชการ โดยเฉพาะได้เป็นเจ้ากรมช้างซึ่งเป็นกรมที่มีอำนาจในทางการทหารอย่างสูง ในช่วงปลายรัชสมัยพระนารายณ์ เมื่ออิทธิพลของต่างชาติคือ ฝรั่งเศสมีมากขึ้น พระเพทราชากลายเป็นศูนย์กลางของความรู้สึกต่อต้านฝรั่งเศสและคริสต์ศาสนา
    • พระเพทราชามีพระโอรส 1 องค์คือ หลวงสรศักดิ์ (พระเจ้าเสือ) ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นโอรสลับของพระนารายณ์ ที่เกิดจากเจ้าหญิง(ลาว) เมืองเชียงใหม่ หลวงสรศักดิ์มีส่วนผลักดันให้พระเพทราชาขึ้นมายึดอำนาจจากพระนารายณ์ เมื่อพระนารายณ์เริ่มประชวรในเดือนมีนาคม 2230 ก็มีปัญหาการสืบราชสมบัติว่าจะตกกับผู้ใด ผู้ที่อยู่ในข่ายคือ พระอนุชา 2 องค์ เจ้าฟ้าอภัยทศ และ เจ้าฟ้าน้อย กับ โอรสบุญธรรมคือ พระปีย์ (พระนารายณ์ไม่มีโอรส) บุคคลทั้ง 3 ถูกหลวงสรศักดิ์กำจัด เมื่อพระนารายณ์สวรรคตไทยก็ขับไล่ฝรั่งเศสออกนอกอาณาเขต
    • ตลอดรัชสมัย 15 ปี ของพระเพทราชามีปัญหาเรื่องความสงบ จากการที่พระองค์ถูกมองว่าเป็นผู้แย่งราชสมบัติ ก็ทำให้มีการกบฏต่อพระองค์ เช่นหัวเมืองบางเมืองก็ไม่ยอมรับอำนาจของพระเพทราชาคือเมืองนครราชสีมาและ เมืองนครศรีธรรมราช ทั้ง 2 เมืองมีเจ้าเมืองที่ได้รับการสถาปนาโดยพระนารายณ์ ทำให้ไม่ยอมรับอำนาจของพระเพทราชาและต้องส่งกองทัพไปปราบในปี 2234ใช้เวลาถึง 2 ปี และเป็นสงครามภายในที่ใหญ่ที่สุดนับได้ว่า พระเพทราชาเป็นกษัตริย์ที่มีปัญหาเสถียรภาพการเมืองภายในสูงมาก
    • นอกจากหลวงสรศักดิ์แล้ว พระเพทราชายังมีโอรสอีก 2 องค์ที่มีสิทธิสืบราชสมบัติคือ เจ้าพระขวัญ และ ตรัสน้อย เมื่อพระเพทราชาประชวร ปัญหาการสืบราชสมบัติก็เกิดขึ้น หลวงสรศักดิ์ลอบประหารเจ้าพระขวัญ (ตรัสน้อยหนีไปบวชพระ) พระเพทราชาจึงตั้งพระนัดดา เจ้าพระพิไชยสุรินทร์ให้สืบราชสมบัติ แต่เมื่อพระองค์สวรรคต2246 หลวงสรศักดิ์ก็ได้สืบราชสมบัติเป็นพระเจ้าเสือ
    พระเจ้าเสือ

    • พระเจ้าเสือทรงเป็นกษัตริย์องค์ที่ 30 พระองค์มีชื่อเสียงในฐานะกษัตริย์ของอยุธยาที่“ดุ ร้าย” และมักมากในกามคุณ แต่ก็เป็นกษัตริย์ที่ทรงมีความเป็นสามัญชนมากที่สุดของอยุธยา ทรงโปรดปรานการเสด็จออกประพาสโดยมิให้ราษฎรรู้ว่าเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ทรงโปรดการประพาสตกปลา ชกมวย เป็นต้น
    • พระเจ้าเสือประสูติเมื่อ2207 ที่ จ.พิจิตร ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นโอรสลับของพระนารายณ์ ที่เกิดจากเจ้าหญิง(ลาว) เมืองเชียงใหม่แต่เนื่องจากพระนารายณ์ทรงอับอายที่มีโอรสกับเจ้าหญิงที่เป็น ลาว ดังนั้นจึงยกพระเจ้าเสือ ซึ่งมีนามเดิมว่า เดื่อ ให้เป็นบุตรบุญธรรมของพระเพทราชาเจ้ากรมช้าง ในสมัยที่ทรงพระเยาว์ พระเจ้าเสือมีนามปรากฏในความสามารถในการบังคับบัญชาช้าง ซึ่งถือว่าเป็นวิชาที่สำคัญต่อความเป็นทหารและเป็นผู้นำ ดังนั้นจึงรับราชการเป็นหลวงสรศักดิ์ ในกรมช้าง
    • พระเจ้าเสืออยู่ในราชสมบัติในระยะเวลา 6 ปี และเป็นรัชสมัยที่ค่อนข้างจะไม่มีปัญหาทั้งการเมืองภายในและภายนอกนักไม่ เหมือน 2 พระองค์ที่ผ่านมา ในสมัยพระเจ้าเสือมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับการเสด็จประพาสทางเรือและลัทธิของ ความจงรักภักดีต่อกษัตริย์และกฎเกณฑ์ของบ้านเมือง
    • กล่าวกันว่าครั้งหนึ่งเสด็จจากอยุธยา ตามลำน้ำเจ้าพระยาเข้าคลองโคกขาม จะไปเมืองสมุทรสาคร2247 นายท้ายเรือพระที่นั่งชื่อ “พันท้ายนรสิงห์” คัดท้ายเรือไม่ดี หัวเรือชนต้นไม้หัก ซึ่งตามกฎแล้วจะต้องถูกประหารชีวิต ด้วยการตัดคอ พระเจ้าเสือทรงมีเมตตาต่อพันท้ายนรสิงห์ จะไม่เอาโทษ พันท้ายนรสิงห์ก็ยอมตายขอให้ประหารชีวิต เพื่อรักษากฎหมาย
    • นอกจากนี้ยังมีการขุดคลองมหาชาติ เชื่อระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยากับ แม่น้ำท่าจีนซึ่งเป็นผลงานที่สำคัญในด้านการเชื่อมแม่น้ำสายสำคัญในภาคกลาง ทำให้การคมนาคมสะดวกติดต่อกันได้ การขุดคลองนี้ไม่ถือว่าเป็นเรื่องของการชลประทาน แต่ก็มีผลพลอยได้ในการเปิดที่ดินใหม่เพื่อการเกษตรกรรมอย่างมหาศาล การขุดคลองนี้เป็นราชกิจที่มีมาตั้งแต่ต้นอยุธยา มีทั้งการขุดคลองลัดเพื่อให้เส้นทางสั้นลง
    • พระเจ้าเสือสวรรคตในปี 2252 เมื่อพระชนม์พรรษาได้ 45และ พระโอรสก็ขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระเจ้าท้ายสระ โดยไม่มีปัญหาการแย่งราชสมบัติ
    พระเจ้าท้ายสระ

    • ทรงเป็นกษัตริย์องค์ที่ 31 ทรงเป็นโอรสของพระเจ้าเสือ เมื่อขึ้นครองราชย์ก็ตั้งพระอนุชา(พระเจ้าบรมโกศ) เป็นอุปราชหรือวังหน้า รัชสมัยของพระองค์ยาวนาน 24 ปี ทำให้คนรุ่นต้นรัตนโกสินทร์ มองว่าเป็นสมัยที่ บ้านเมืองดี แต่สมัยนี้ก็มีปัญหาการยุ่งยากกับ กัมพูชา
    • ในสมัยนี้ปรากฏว่าการค้าข้าวของไทย รุ่งเรืองมาก ที่สำคัญคือการขายให้กับจีน มีหลักฐานว่าจีนซื้อข้าวจำนวนมากกับไทย ในปี 2265 ,2278 ,2294 ถึงกับจักรพรรดิจีนพระราชทานเหรียญตราให้กับผู้ที่สามารถนำข้าวจากไทยไปขาย ในเมืองจีน ดังนั้นเป็นผลให้เมืองท่าของจีนทางใต้ โดยเฉพาะที่กวางตุ้งเปิดให้กับไทย และจีนก็ยิ่งมีอิทธิพลการค้าในไทยเพิ่มขึ้น

    พระเจ้าบรมโกศ

    • พระเจ้าบรมโกศ เป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ 32 เป็นพระโอรสของพระเจ้าเสือ และพระอนุชาของพระเจ้าท้ายสระ เป็นกษัตริย์ในสมัยบ้านเมืองดี ก่อนการเสียกรุงให้แก่พม่าเมื่อ2310 คือ 9 ปีภายหลังที่พระองค์สวรรคต และพระโอรส 2 องค์เกิดแย่งชิงกันไม่สามารถต้านทานศึกพม่าได้ สมัยพระเจ้าบรมโกศเป็นยุคที่รัตนโกสินทร์ตอนต้นมองกลับไปหา และพยายามจะลอกเลียนแบบประเพณีของราชสำนัก
    • ในรัชกาลอันยาวนานของพระเจ้าบรมโกศ 25 ปี ทรงได้ปรับปรุงการปกครองโดยการขยายการตั้ง เจ้าทรงกรม จาก 3 กรมเป็น 13 กรม เป็นการพยายามแก้ปัญหาการคุมอำนาจมากจนชิงราชสมบัติ แต่การขยายกรมที่คุมไพร ทำให้การบังคับบัญชากำลังพลกระจัดกระจายทำให้ไม่สามารถเผชิญกับศึกภายนอก เมื่อพม่ายกทัพมาตีอยุธยา
    • ในด้านศาสนา พุทธศาสนารุ่งเรืองมากมีการส่งทูตไปศรีลังกา 2 ครั้ง ทำให้เกิดการอุปสมบทขึ้นใหม่ และมีการตั้งพุทธศาสนานิกายสยามวงศ์ขึ้น
    • ในด้านความสำคัญกับเพื่อนบ้านมีความสัมพันธ์อันดีกับหงสาวดีและ พม่า
    • ในปี 2300พระเจ้าบรมโกศทรงประชวร และในปีนี้มีดาวหางขึ้น ซึ่งปรากฏว่าเป้นดาวหางฮัลเลย์ เมื่อพระองค์สวรรคตก็เกิดการแย่งอำนาจ
    สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ( ขุนหลวงหาวัด )

    • สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร (ขุนหลวงหาวัด) เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (สมเด็จพระบรมราชาที่ 3 ) กับพระอัครมเหสีน้อยหรือกรมหลวงพิพิธมนตรี มีพระเชษฐา 1 พระองค์ พระกนิษฐาและพระขนิษฐา 6 พระองค์ ต่อไปนี้
    สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าเอกทัศ (เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี)
    เจ้าฟ้าประภาวดี
    เจ้าฟ้าประชาวดี
    เจ้าฟ้าพินทวดี
    เจ้าฟ้าจันทวดี
    เจ้าฟ้ากระษัตรี
    เจ้าฟ้ากุสุมาวดี


      • สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร (ขุนหลวงหาวัด) พระนามเดิมว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุน พรพินิต ดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ก่อนที่พระองค์จะทำการพิธีราชาภิเษกขึ้นครองราชย์ ได้มีพระเชษฐาและพระอนุชาต่างพระมารดา 3 พระองค์ ที่จะทำการกบฏแย่งชิงราชสมบัติหลังจากสมเด็จพระราชบิดาสวรรคต ได้แก่ กรมหมื่นจิตรสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ กรมหมื่นเสพภักดี แต่พระองค์ได้ให้พระราชาคณะ 5 รูป ได้เกลี้ยกล่อมจนสำเร็จ อีก 8 วันต่อมา เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษมนตรี สมเด็จพระเชษฐาธิราช ก็กราบบังคมทูลสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร (ขุนหลวงหาวัด) ให้จับพระอนุชาต่างมารดาทั้งสามสำเร็จโทษเสียเพื่ออย่าให้มีเสี้ยนหนามใน แผ่นดินต่อไป
    • อีก 7 วันต่อมา สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรก็กระทำพระราชพิธีราชาภิเษกขึ้นครองราชสมยัติเป็นพระ มหากษัตริย์ รัชกาลที่ 34 แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรามราชาที่ 4 แต่ประชาชนพากันเรียกว่า สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร
    • เมื่อระหว่างที่สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร เสด็จขึ้นครองราชย์มาได้เพียง 10 วัน สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรทรงเห็นว่า สมเด็จพระเชษฐาธิราช เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษมนตรี เสด็จประทับอยู่ที่พระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ตลอดเวลา ไม่ยอมไปที่ไหน พระองค์ทรงเห็นว่า สมเด็จพระเชษฐาธิราชมีความใฝ่ฝันที่จะได้ครองราชสมบัติ สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรจะจัดการประการใดก็มิได้เพราะเกรงสมเด็จพระราชชนนี พอทรงครองราชย์สมบัติมอบให้แก่สมเด็จพระเชษฐาธิราช หลังจากนั้นก็ทูลลาออกผนวชที่วัดเดิม แล้วเสด็จไปจำพรรษาที่วัดประดู ครั้งนั้นขุนนางข้าราชการที่มีความสามารถในหน้าที่การงาน พากันลาราชการออกบวชตามพระองค์เป็นจำนวนมาก
    • สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ( ขุนหลวงหาวัด ) หรือสมเด็จพระบรมราชาที่ 4 ทรงครองราชสมบัติตั้งแต่ปี พ.ศ. 2301 และทำการสละราชสมบัติในปีเดียวกันให้กับสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ ซึ่งเป็นสมเด็จพระเชษฐาธิราช สิริครองราชย์ได้ 2 เดือน
    สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ ( พระเจ้าเอกทัศน์ )

    • สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ กับพระอัครมเหสีน้อย หรือกรมหลวงพิพิธมนตรีมีพระอนุชา 1 พระองค์ และพระขนิษฐา 6 พระองค์
    • ในปี 2310 ตรงกับเดือนพฤศจิกายน สมเด็จพระพันปีหลวง กรมพระเทพอามาตย์ทรงพระประชวนจนทิวงคต สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ ก็ถวายพระศพอย่างสมพระเกียรติตามโบราณราชประเพณี
    • ขณะนั้นเจ้ากรมมหาดเล็กคนใหม่ พระยาราชมนตรีบริรักษ์ และจมื่นศรีสรรักษ์น้องชายซึ่งถือตัวว่าเป็นน้องชายพระสนมเอก และสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ให้เข้าออกในวังหลวงได้ตลอดเวลา ได้แสดงกิริยาโอหัง ไม่ยอมเคารพข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และเสนาบดีทั้งปวง
    • เจ้าพระยาอภัยราชา ได้หารือกับข้าราชการที่รองลงมาว่าคนสองคนนี้จะยุแหย่ให้บ้านเมืองเกิดการ จลาจลวุ่นวาย และมีความเห็นว่าพระเจ้าบรมโกศก็ไม่ต้องการที่จะให้ราชสมบัติแก่พระเจ้าแผ่น ดินองค์นี้ต้องการยกให้กรมหมื่นพรพินิต และทรงทำนายไว้ว่า บ้านเมืองจะพินาศฉิบหายเพราะความโง่เขลาเบาปัญญาของสมเด็จพระที่นั่งสุริ ยาศน์อมรินทร์จึงเห้นว่าสมควรทูลเชิญให้กรมหมื่นพรพินิตลาผนวชกลับมาครอง ราชย์ดังเดิม แต่กรมหมื่นพรพินิตนำความไปทูลสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์จึงได้วาง กำลังล้อมจับคณะปฏิวัติได้ทั้งหมด ลงอาญาให้เฆี่ยนตีบรรดาคณะปฏิวัติชั้นหัวหน้าทุกคนและนำจำขังไว้ ส่วนกรมหมื่นเทพพิพิธนั้นให้ศึกเสียจากพระ พอดีมีเรือที่กลับมาจากส่งสมณฑูตไทยจากลังกา สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชาคณะอีก 2 รูป คือ พระวิสุทธาจารย์ และพระวรญาณมุนีกับพระภิกษุอีก 3 รูป ไปผลัดเปลี่ยนพระที่ลังกาด้วย เป็นการลงโทษสถานเนรเทศให้พ้นออกไปจากกรุงศรีอยุธยา
    พระราชกรณียกิจและเหตุการณ์ที่สำคัญๆในสมัยสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ ​
    ( พระเจ้าเอกทัศ ) ​
    การติดต่อกับจีน
    ในรัชกาลสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ จะมีศึกสงครามกับพม่าอยู่หลายครั้งจนไทยเป็นฝ่ายเสียกรุงในที่สุดก็ตาม แต่รัชสมัยของพระเจ้าเอกทัศหรือสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ ก็ปรากฏตามจดหมายเหตุฝ่ายจีนว่า ไทยได้ส่งฑูตไปเจริญสัมพันธไมตรีรวม 3 ครั้ง คือ พ.ศ. 2305 ไทยส่งฑูตไปจีน พ.ศ. 2307 สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ได้มอบให้พระยาสุนทรอภัยเป็นหัวหน้าคณะ ฑูตไทยไปจีน และครั้งสุดท้ายใน พ.ศ. 2309 ปีสุดท้ายได้ส่งฑูตถือเครื่องราชบรรณาการไปจีนครั้งหนึ่ง แต่ไม่ปรากฏว่าได้เจรจากันด้วยเรื่องอะไรบ้าง เข้าใจว่าไทยคงนำข้าวสารและสินค้าอื่นๆไปขายในประเทศอื่นตามปกติเท่านั้น
    เหตุการณ์ในเมืองพม่า
    ในขณะนั้นฝ่ายพม่าซึ่งมีเจ้าอลองพญาผู้ครอง เมืองรัตนสืงห์ได้ชัยชนะกับมอญแล้วก็ได้เป็นพระมหากษัตริย์ปกครองพม่า โดยให้พระราชบุตรทั้ง 6 พระองค์ แยกกันไปครองหัวเมืองต่างๆ โดยให้
    มังลอกไปครองเมืองดิปะเยียง
    มังระ ไปครองเมืองปีคู่
    มังโป ไปครองเมืองอะเมียง
    มังเวง ไปครองเมืองปะดุง
    มังอู ไปครองเมืองปคาน
    มังโปเชียง ไปครองเมืองแปงตแล
    แลัให้สะโดมหาสิริยอุจนา ผู้เป็นพระอนุชา ไปครองเมืองตองอู
    การสงครามกับพม่าครั้งแรก
    ในปี พ.ศ. 2302 พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา พงศาวดารพม่า และหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของไทยและต่างชาติ กล่าวตรงกันว่า ขณะนั้นพระเจ้าอลองพญาซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์พม่าได้ทราบข่าวความอ่อนแอของ ไทยในรัชกาลนี้ จึงเสด็จกรีธาทัพมาย่ำยีเมืองไทย โดยยกเข้ามาตีเมืองตะนาวศรี ทวาย และมะริดไว้ได้ และจึงยกทัพมาทางด่านสิงขร ตีหัวเมืองรายทางแตกหมด ซึ่งในเวลานั้น สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ได้ทรงประกาศระดมพลเป็นการด่วน และให้จัดทัพขึ้นต่อสู้พม่า โดยจัดกองทัพออกต่อสู้ แบ่งออกเป็น 2 ทัพ ต่อไปนี้

      1. ให้พระอินทราราชรองเมืองเลื่อนเป็น พระยายมราช เป็นแม่ทัพที่ 1 มีพระยาเพชรบุรีเป็นแม่ทัพหน้า พระยาราชบุรีเป็นยกกระบัตร พระสมุทรสงครามเป็นพลาธิการ พระธนบุรีกับพระนนทบุรีเป็นทัพหลัง ไปตั้งรับที่ตำบลแก่งตุ่ม
      2. ให้พระยารัตนาธิเบศรเป็นแม่ทัพที่ 2 กับกองทัพอาสาสมัครของชาววิเศษไชยชาญซึ่งขุนรองและปลัดชูนำมาสมัครเป็นหน่วย แรกกับคน 400 คน นั้นให้ประจำอยู่กับกองทัพที่ 2 ไปตั้งรับอยู่ ณ เมืองกุยบุรี รวมทั้ง 2 กองทัพ มีจำนวนทหารไทย 5000นาย พร้อมกันนั้นพระองค์มีพระบรมราชโองการไปยังเจ้าหัวเมืองต่าง ๆ ให้เกณฑ์พลเมืองทุกเมืองส่งมาช่วยป้องกันพระนคร ส่วนชาวเมืองที่ต่อสู้ไม่ได้ให้หลบไปซ่อนตัวอยู่ในป่า อย่าให้พม่าจับตัวได้
    ขณะเดียวกันกองทัพฝ่ายพม่าก็ยกทัพเข้ามาแต่ฝ่ายไทยตั้งรับไม่ได้ จึงจำต้องนำทหารที่
    เหลือถอยร่นลงมาจนถึงแขวงเมืองราชบุรี ในครั้งนี้จึงทำให้ทหารไทย 2 นาย คือ ขุนรอง และปลัดชู ได้แสดงความสามารถต่อสู้ข้าศึกจนสิ้นชีวิตในที่รบ ในที่สุดกองทัพพม่าได้ยกเข้าล้อมพระนครถึงชานเมือง จนทำให้ภายในพระนครเกิดความวุ่นวายตกใจกลัว พร้อมทั้งมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ปล่อยตัวขุนนางและแม่ทัพผู้ใหญ่ที่กำลังถูกขังอยู่ในอดีตออกมาช่วย ป้องกันพระนคร และจมื่นศรีสรรักษ์ 2 พี่น้องที่ทำให้เกิดความยุ่งยากให้เข้าคุกแทน เนื่องจากคดีลอบทำชู้ในวังหลวงและเฆี่ยนพระยาราชมนตรีจนตาย แล้วนำศีรษะไปเสียบประจาน สืบเนื่องมาจากกระทำผิดกฎมณเฑียรบาล หลังจากนั้นพระองค์ก็มีรับสั่งให้ไปกราบทูลเชิญสมเด็จพระอนุชาธิราช กรมขุนอุทุมพร ขอให้ลาผนวชมาช่วยศึกครั้งนี้

    สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรทรงลาผนวชมาช่วยการศึก

    เมื่อสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรทรงลาผนวชขึ้น ครองราชย์ครั้งนั้น เข้าพระทัยว่าพระเชษฐาธิราชจะคืนราชสมบัติให้ครองราชย์ดังเก่า จึงจัดระเบียบผู้คนใหม่ ตระเตรียมป้อมปราการสำหรับเป็นที่มั่นต่อสู้ข้าศึก ต่อมาพม่าก็ยกมาถึงสุพรรณบุรี แล้วเข้ามาถึงกำแพงเมืองอยุธยา เมื่อเดือน 5 ขึ้น 11 ค่ำ พ.ศ. 2303 ฝ่ายพม่า มังระกับมังฆ้องนรธาตั้งอยู่ทุ่งโพธิ์สามต้น แล้วเอาปืนใหญ่มาตั้ง ณ วัดราชพลี วัดกษัตรา วัดหน้าพระเมรุ วัดหัสดาวาส ระดมเข้าไปในพระราชวังทั้งกลางวันและกลางคืน จนลูกปืนถูกยอดพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ทลายลง สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรได้เข้าบัญชาการรบอย่างเข้มแข็ง พม่าล้อมกรุงอยู่เป็นเวลานาน ได้พยายามตั้งจังกาปืนใหญ่ยิงเข้ามาในพระนครทุกวัน แต่ก็ไม่สามารถจะตีพระนครให้แตกได้ ขณะเดียวกันฝ่ายพม่าพระเจ้าอลองพญาทรงเข้าบัญชาการยิงปืนใหญ่และจุดปืนใหญ่ เอง ในที่สุดปืนใหญ่ระเบิดแตกต้องพระองค์บาดเจ็บสาหัส กองทัพพม่าจึงจำเป็นต้องยกถอยกลับไป ตรงกับเดือน 6 ขึ้น 2 ค่ำ พ.ศ. 2303นั่นเอง ได้ถอยไปทางด่านแม่ละเมา ฝ่ายไทยมีคำสั่งให้พระยาสีหราชเดโชยกทัพติดตามไปทำลายกำลังพม่า จนถึงเมืองตากระหว่างชายแดนไทยพม่า แล้วก็ยกทัพกลับกระนคร ในส่วนของฝ่ายพม่า พระเจ้า
    อลองพญาทรงทนพิษบาดแผลไม่ไหวก็สวรรคต ณ บริเวณตำบลเมาะกะโลก แขวงเมืองตาก เมื่อแรม 12 ค่ำ เดือน 6 ขณะมีพระชนมพรรษาได้ 45 พรรษา
    บ้านเมืองภายหลังสงครามพม่าครั้งที่ 1
    เมื่อกองทัพพม่าเลิกทัพกลับไปแล้ว สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ได้สั่งให้ทหารไปค้นค่ายพม่าที่เคยตั้งอยู่ที่ค่ายบ้านบางกุ่ม ได้ตรวจค้นค่ายพบปืนใหญ่ขนาด 3-4 นิ้ว ของพม่าฝังไว้ในค่าย 40 กระบอก จึงทรงโปรดเกล้าฯให้นำมาใช้ในราชการ เมื่อเสร็จสงครามแล้วอดีตกษัตริย์ก็เข้าเฝ้าฯ
    สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ ผู้เป็นพระเชษฐาธิราช ถึงกับทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระองค์เจ้าหญิงแมงเม่า ซึ่งบวชเป็นชีอยู่สึกจากชี นำถวายเป็นพระอัครมเหสีของสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์
    วันหนึ่ง สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรไปหาถึงในพระที่ สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรได้เห็นพระแสงดาบวางพาดอยู่บนพระเพลา เมื่อสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรเห็นเช่นนั้นก็เข้าพระทัยว่า สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ รังเกียจพระองค์ กลัวมาแย่งราชสมบัติ จึงเสด็จออกจากพระราชวังหลวงไปประทับที่พระตำหนักบ้านคำหยาด (ปัจจุบันอยู่ที่ จ. อ่างทอง) แล้วกลับมาทรงผนวชที่วัดประดู่โรงธรรมในอยุธยาดังเดิม ขณะนั้นบังเอิญทางพม่าเกิดความวุ่นวายภายใน เมืองไทยจึงได้สงบศึกมาหลายปี
    สงครามกับพม่าครั้งที่ 2
    หลังจากพม่าเกิดความวุ่นวายภายในและทำการ จัดระเบียบราชการแผ่นดินของพม่าใหม่ โดยมีมังลอกพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระเจ้าอลองพญาได้ราชสมบัติ และต้องทำการสงครามปราบปรามหัวเมืองต่าง ๆ ที่ตั้งแข็งเมืองกระด้างกระเดื่องอยู่เกือบปี ก็พอดีทรงพระประชวร และสวรรคตในเวลาต่อมา มังระพระราชโอรสองค์ที่ 2 ในพระเจ้าอลองพญา ได้เสวยราชสมบัติสืบต่อ มีนิสัยชอบการสงครามเหมือนพระราชบิดา จึงให้ มังมหานรธาเป็นแม่ทัพใหญ่ ยกทัพพม่าเข้ามาทางทวาย ตีหัวเมืองล้อมกรุงศรีอยุธยา และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เนเมียวสีหบดีเป็นแม่ทัพใหญ่ ยกทัพเข้าโจมตีไทยฝ่ายเหนือ เริ่มตั้งแต่เชียงใหม่ เวียงจันทร์ แล้วรุดหน้ามาทางใต้เข้าล้อมอยุธยา เป็นทัพกระหนาบ
    เหตุการณ์ตอนปลายรัชกาล
    พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงวิจารณ์ไว้ในจดหมายเหตุกรมหลวงนรินทรเทวีเกี่ยวกับการเสียกรุงในครั้งนั้นว่า
    "เครื่องศัสตราวุธเห็นจะขัดสนมาก อย่างไขว้เขวกัน มีปืนไม่มีลูก มีลูกไม่มีปืน อาวุธที่จ่ายออกมาก็ชำรุดทรุดโทรม ปืนเอาไปยิงก็จะเกิดอันตรายเนือง ๆ แตกบ้าง ตกรางบ้าง ยิงไม่ออกบ้าง เข็ดหยาดเห็นการยิงปืนยากเสียเต็มที คราวนี้ก็เลยกลัวไม่ใคร่จะมีใครกล้ายิงเองอยู่แล้ว ซ้ำเจ้านายและผู้ดีก็พากันสวิงสวายกลัวอะไรต่ออะไร ตั้งแต่ฟ้าร้องเป็นต้นไป เป็นปกติของผู้ดีชั้นนั้น"
    ส่วนพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้เช่นเดียวกัน ซึ่งปรากฏอยู่ในจดหมายหลวงอุดมสมบัติ ฉบับที่ 1 เป็นใจความว่า
    "ครั้งพม่ายกมาตั้งค่ายอยู่ในวัดแม่นาง ปลื้มนั้น จะหาคนรู้ยิงปืนเป็นสู้รบกับพม่าก็ไม่มี ศูนย์ทะแกล้วทหารเสียหมด (พระเจ้าเอกทัศ) รับสั่งให้เอาปืนปะขาวกวาดวัดขึ้นไปยิงสู้รบกับที่หัวรอ ต่างคนต่างก็ตื่นตกใจเอาสำ
    อุดหูกลัวเสียงปืน จะดังเอาหูแตก ว่ากล่าวกันให้ใส่ดินแต่น้อย ครั้นใส่แต่น้อยกำหนดจะยิงข้างน้ำข้างใน (หม่อนต่าง ๆ เข่น มีเรื่องเล่าถึงหม่อนเพ็ง หม่อนแมน) ก็พากันร้องวุ่นวาย เอาสำลีจุกหูไว้ กลัวหูจะแตก ก็รับสั่งให้ผ่อนดินให้น้อยลง จะยิงแล้วไม่ยิงเสีย แต่เวียนผ่อนลง ๆ ดินก็น้อยลงไปทุกที ครั้นเห็นว่าน้อยพอยิงได้แล้วก็ล่ามชนวนออกไปให้ไกลทีเดียว แต่ไกลอย่างนั้นคนยิงยังต้องเอาสำลีจุกหูไว้ กลัวหูจะแตก ครั้นยิงเข้าไปเสียงปืนก็ดังพรูดออกไป ลูกปืนก็ตกลงน้ำ หาถึงค่ายพม่าไม่ (สมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ) รับสั่งต่อไปว่า สั่งคนรู้วิชาทัพ ก็จะเป็นไปอย่างนี้นั่นเอง"
    สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ไม่ สามารถทำการศึกสงครามได้ และไม่สามารถทั้งในการรวมคนป้องกันพระนคร ประชาชนจึงไปอันเชิญเสด็จสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ให้ลาผนวชมาช่วยรักษาพระนครอีกครั้งหนึ่ง แต่สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรก็ไม่ยอม พม่าล้อมและระดมตีไทยอยู่ครั้นนั้นเป็นเวลานานถึง ๑ ปี ๒ เดือน ถึงวันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๓๑๐ เวลา ๒๐.๐๐ น. ก็เข้าเมืองได้ ได้เผาผลาญบ้านเมืองเสียยับเยิน กวาดเก็บทรัพย์สินและสมบัติและผู้คนเป็นเชลยเสียมากปราสาทราชมณเฑียรต่าง ๆ ก็ถูกไปเผาพินาศสิ้น ทองหุ้มองค์พระพุทธรูป พม่าเอาไฟเผาครอกเอาไปหมด เกี่ยวกับเรื่องนี้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กล่าวไว้ใน พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ความตอนหนึ่งกล่าวว่า
    "ฝ่ายเนเมียวแม่ทัพค่ายโพธิ์สามต้น จึงให้พลพม่าเข้ามาจุดเพลิงเผาปราสาทที่เพนียดนั้นเสีย แล้วให้ตั้งค่ายลงที่เพนียด และวัดพระเจดีย์แดง วัดสามพิหาร วัดมณฑป วัดกระโจม วัดนางชี วัดนางปลื้ม วัดศรีโพธิ์… เผาเหย้าเรือนอาวาส และพระราชวังทั้งปราสาทราชมณเฑียร และเพลิงสว่างดังกลางวันแล้วเทียวไล่จับผู้คนค้นริบเอาทรัพย์เงินทองสิ่งของ ทั้งปวงต่างๆ แต่พระเจ้าแผ่นดินนั้นหนีออกจากเมืองลงเรือน้อยไปกับมหาดเล็กสองคน ไปซ่อนอยู่ในสุมทุมไม้ใกล้บ้านจิกขัน วัดสังฆาวาส มหาเล็กนั้นก็ทิ้งเสียหนีไปอื่น อดอาหารอยู่แต่เพียงพระองค์เดียวพม่าหาจับได้ยาก จับได้เพียงแต่พระราชวงศานุวงศ์ทั้งปวงไปไว้ทุกๆ ค่าย….แล้วพม่าก็เอาเพลิงสุมหลอมเอาทองคำซึ่งแผ่หุ้มองค์พระพุทธรูปผืนใหญ่ ในพระวิหารหลวงวัดพระศรีสรรเพชรดารามนั้น ขนเอาเนื้อทองคำไปหมดสิ้น
    หลังจากนั้นพม่าค้นหาผู้คนและทรัพย์สมบัติ อยู่ 10 วัน ได้ทรัพย์สมบัติไปเป็นอันมากแล้วยกกองทัพกลับ ตั้งให้สุกี้เป็นแม่ทัพกุมพล 3,000 คน อยู่ที่ค่ายโพธิ์สามต้น เพื่อค้นหาสมบัติและส่งผู้คนไปยังพม่าต่อไป ส่วนองค์พระเจ้าแผ่นดินนั้นหนีไปซุกซ่อนอยู่ อดอาหารมากกว่า 10 วัน สุกี้ไปพบและนำมายังค่ายโพธิ์สามต้นก็สวรรคต พร้อมกับสิ้นบุญกรุงศรีอยุธยา
    สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศน์) ทรงครองราชสมบัติตั้งแต่ปี
    พ.ศ. ๒๓๐๑ และสวรรคตในปีเดียวกับการเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ ๒ ซึ่งตรงกับปี พ.ศ. ๒๓๑๐ สืบเนื่องมาจากถูกพม่าเผากรุงศรีอยุธยาวอดวายและพระองค์อดอาหาร
    สาเหตุการเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่า เกิดจาก

      1. ความเสื่อมเรื้อรังในสถาบันการเมืองและทางสังคม สืบเนื่องมาจากแย่งชิงอำนาจกัน
      2. ความเสื่อมจากการมีผู้นำที่ไม่เข้มแข็งเด็ดขาด
      3. ไพร่พลขาดความพร้อมในการรบ เพราะเว้นจากการศึกสงครามมานาน
      4. พม่าเปลี่ยนยุทธวิธี และหันมาใช้วิธีตัดกำลังของหัวเมืองต่าง ๆ
      5. เกิดไส้ศึกภายใน
    ความเสียหายที่เกิดหลังจากการเสียกรุงศรีอยุธยา ใน พ.ศ. ๒๓๑๐

      1. สูญเสียทรัพย์สินเป็นมูลค่ามหาศาลในรูปของ เงิน ทองคำ สิ่งมีค่าทั้งปวง
      2. บ้านเรือน วัดวาอาราม ปราสาทราชมณเฑียร ถูกเผาทำลายเกือบหมด
      3. งานศิลป์ สถาปัตยกรรมด้านต่าง ๆเสื่อมไป และพม่ายังกวาดต้อนเอาช่างฝีมือดีในอยุธยาไป
      4. วรรณกรรม จำนวนมากกระจัดกระจายสูญหาย พร้อมทั้งถูกทำลาย
      5. พระพุทธศาสนา วัดวาอารามถูกทำลาย พระสงฆ์ถูกฆ่า พระไตรปิฎกถูกเผาทำลายจนสิ้นเชิง
      6. เกิดภัยพิบัติต่าง ๆหลังจากการเสียกรุงซ้ำเติม
      7. เกิดความแตกแยกขึ้นภายในอาณาจักร เพราะบ้านเมืองขาดศูนย์กลางการปกครอง
    เป็นอันสิ้นสุดอาณาจักรอยุธยา ซึ่งเป็นศูนย์กลางของอำนาจไทยมา 417 ปี


    -http://www.thaigoodview.com/node/2107-




    .
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    [FONT=&quot]พระมหากษัตริย์สมัยกรุงศรีอยุธยา[/FONT]​
    [FONT=&quot]เมื่อ ปลายกรุงสุโขทัย พระเจ้าอู่ทองได้สร้างกรุงศรีอยุธยา ศาสนาพราหมณ์เข้ามามีบทบาทอย่างมากโดยเฉพาะอิทธิพลของขอมและละโว้ ซึ่งถือว่ากษัตริย์คือพระผู้เป็นเจ้าอวตารมาเกิด พระเจ้าอู่ทองก็กลายเป็นสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 รูปแบบของสถาบันพระมหากษัตริย์สมัยอยุธยาแตกต่างจากสมัยสุโขทัยอย่างมาก ระบอบการปกครองของอยุธยาเป็นระบอบการปกครองซึ่งพระมหากษัตริย์มีอำนาจเป็น ล้นพ้น[/FONT]
    [FONT=&quot] สังคม ในสมัยอยุธยาขึ้นอยู่กับพระมหากษัตริย์โดยตรง ซึ่งต่างกับสมัยสุโขทัยที่พระมหากษัตริย์ทรงปกครองราษฎรเยี่ยงบิดาปกครอง บุตร แต่ในสมัยอยุธยาเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับข้าโดยแท้ ตำแหน่งพระมหากษัตริย์เป็นตำแหน่งที่ช่วงชิงกันด้วยอำนาจทางทหาร แนวความคิดเกี่ยวกับพราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทวราชและทรงใช้พระ ราชอำนาจในฐานะที่ทรงเป็นสมมติเทพ[/FONT]

    [FONT=&quot]อาณาจักรอยุธยา[FONT=&quot] เป็นอาณาจักรของไทยในอดีต มีหลักฐานของการเป็นเมืองในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 16 – 18 โดยมีร่องรอยของที่ตั้งเมือง โบราณสถาน โบราณวัตถุ และเรื่องราวเหตุการณ์ในลักษณะตำนาน พงศาวดารไปจนถึงศิลาจารึก ซึ่งถือว่าเป็นหลักฐานร่วมสมัยที่ใกล้เคียงเหตุการณ์มากที่สุด ว่าก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยา ใน พ.ศ. 1893 นั้น ได้มีบ้านเมืองตั้งอยู่ก่อนแล้ว มีชื่อเรียกว่า [/FONT][FONT=&quot]เมืองอโยธยา หรือ อโยธยาศรีรามเทพนคร หรือ เมืองพระราม[/FONT][FONT=&quot] มีที่ตั้งอยู่บริเวณด้านตะวันออกของเกาะ เมืองอยุธยาเป็นเมืองที่มีความเจริญทางการเมืองการปกครอง และมีวัฒนธรรมที่รุ่งเรืองแห่งหนึ่ง [/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]อาณาจักรอยุธยามีพระมหากษัตริย์ปกครองสืบต่อกันมาถึง 34 พระองค์และมีพระราชวงศ์ผลัดเปลี่ยนกันครองรวม 5 ราชวงศ์[/FONT]​

    [​IMG]

    [FONT=&quot]
    [/FONT]​
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]พระมหากษัตริย์ในสมัยอยุธยาที่สำคัญมีดังนี้[/FONT]​

    [FONT=&quot]สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง)[/FONT]​
    [FONT=&quot]สมเด็จพระเจ้าอู่ทอง[FONT=&quot] ทรงเป็นปฐมกษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยา ทรงสถสปนาอยุธยาเป็นราชธานี เมื่อปี พ.ศ. 1893 ได้รับการถวายพระนามว่า [/FONT][FONT=&quot]สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสุนทรบรมบพิตร พระเจ้าอยู่หัวกรุงเทพมหานครบวรทวาราวดีศรีอยุธยาฯ[/FONT][FONT=&quot] ทรงครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 1893- 1912[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot] สมเด็จ พระเจ้าอู่ทองทรงตั้งกรุงศรีอยุธยา ณ ชัยภูมิที่เอื้ออำนวยทั้งในด้านความปลอดภัยจากข้าศึกและความอยู่ดีกินดีของ ชาวอยุธยา พื้นที่เหมาะแก่การเกษตรกรรม เป็นศูนย์กลางทางการค้าและการคมนาคม อันเนื่องจากมีแม่น้ำสามสาย คือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำลพบุรี ไหลมาบรรจบ ควบคุมเส้นทางคมนาคมทางน้ำของบ้านเมืองที่อยู่เหนือขึ้นไปที่จะออกสู่ทะเล[/FONT]
    [FONT=&quot] สมเด็จ พระเจ้าอู่ทองทรงนำลักษณะการปกครองทั้งของไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งของกรุง สุโขทัยและของขอม มาประยุกต์ใช้กับกรุงศรีอยุธยา ในด้านการแผ่ขยายพระราชอาณาเขต ในปี พ.ศ. 1895 ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ยกทัพไปตีนครธม ราชธานีของขอมได้สำเร็จ นับว่าเป็นการทำสงครามครั้งแรกของกรุงศรีอยุธยา ต่อมาในปี พ.ศ. 1897 ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ยกทัพไปยึดเมืองชัยนาท ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านของอาณาจักรสุโขทัย เป็นผลให้[FONT=&quot]พระเจ้าลิไท[/FONT][FONT=&quot] ได้ส่งราชทูตมาขอเป็นไมตรีกับกรุงศรีอยุธยา และขอเมืองชัยนาทคืน[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot] สมเด็จพระเจ้าอู่ทองทรงครองราชย์ได้ 19 ปี เสด็จสวรรคต เมื่อปี พ.ศ. 1912 พระชนมายุได้ 55 พรรษา[/FONT]


    [FONT=&quot]สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ[/FONT]​

    [FONT=&quot]สมเด็จพระไตรโลกนาถ[FONT=&quot] เสด็จพระราชสมภพ เมื่อปี พ.ศ.1974 พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 เมื่อพระองค์พระชนมายุได้เจ็ดพรรษา พระราชบิดาได้พระราชทานพระนามตามพระราชประเพณีว่า [/FONT][FONT=&quot]“สมเด็จพระราเมศวรบรมไตรโลกนาถบพิตร”[/FONT][FONT=&quot] พระองค์ได้เสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อปี พ.ศ.1991 พระชนมายุได้ 17 พรรษา เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่แปดของกรุงศรีอยุธยา[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot] สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงมีพราชสมัญญาอีกพระนามว่า [FONT=&quot]พระเจ้าช้างเผือก[/FONT][FONT=&quot] เนื่องจากเมื่อปี พ.ศ.2014 พระองค์ได้ทรงรับช้างเผือก ซึ่งนับเป็นช้างเผือกช้างแรกของกรุงศรีอยุธยา[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot] สมเด็จ พระบรมไตรโลกนาถ ทรงปฏิรูปการปกครอง โดยทรงรวมอำนาจการปกครองเข้าสู่ศูนย์กลางคือ ราชธานี และแยกฝ่ายทหารกับฝ่ายพลเรือนออกจากกัน มรการแต่งตั้งตำแหน่งข้าราชการให้มีบรรดาศักดิ์ตามลำดับจากต่ำสุดไปสูงสุด คือ ทนาย พัน หมื่น ขุน หลวง พระ พระยา และเจ้าพระยา มีกำหนดศักดินาเพื่อเป็นค่าตอบแทนการรับราชการ ทรงตั้งกฎมณเฑียรบาลขึ้น เป็นกฎหมายสำหรับการปกครอง[/FONT]
    [FONT=&quot] ใน รัชสมัยของพระองค์ ได้โปรดเกล้าฯ ให้ประชุมนักปราชญ์ราชบัณฑิตแต่งหนังสือมหาชาติคำหลวง นับว่าเป็นวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาเรื่องแรกของกรุงศรีอยุธยา และเป็นวรรณคดีชั้นเยี่ยมที่ใช้เป็นแนวทางในการศึกษาภาษา และวรรณคดีของไทย[/FONT]
    [FONT=&quot] สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เสด็จสวรรคต เมื่อปี พ.ศ.2031 ครองราชย์ได้ 40 ปี [/FONT]



    [FONT=&quot]สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ[/FONT]​

    [FONT=&quot]สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ทรงพระนามเดิมว่า พระเฑียรราชา[FONT=&quot] ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 และทรงเป็นพระอนุชาต่างพระชนนี ในสมเด็จพระไชยราชาธิราช เสด็จพระราชสมภพเมื่อปี พ.ศ.2055 ทรงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินคู่กันกับท้าวศรีสุดาจันทร์ ในรัชสมัยสมเด็จพระยอดฟ้า ต่อมาได้เสด็จออกผนวช ณ วัดราชประดิษฐาน[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot] เมื่อ ขุนพิเรนทรเทพและคณะ ได้กำจัดขุนวรวงศาธิราชและท้าวศรีสุดาจันทร์เสร็จสิ้นแล้ว จึงได้อันเชิญพระเฑียรราชา ให้ลาผนวชและขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราช เมื่อปี พ.ศ.2091 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่สิบห้าของกรุงศรีอยุธยา พระองค์ได้สถาปนาพระมเหสีเป็นพระสุริโยทัย ทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดา 4 พระองค์คือ พระราเมศวร พระมหินทร พระวิสุทธิกษัตรี และพระเทพกษัตรี[/FONT]
    [FONT=&quot] เมื่อ พระองค์ขึ้นครองราชย์แล้ว ได้ทรงแต่งตั้งให้ขุนพิเรนทรเทพ เป็นพระมหาธรรมราชา ครองเมืองพิษณุโลก แล้วพระราชทานพระวิสุทธิกษัตรีให้เป็นพระมเหสี ขุนอินทรเทพ ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าพระยาศรีธรรมาโศกราช ผู้สำเร็จราชการเมืองนครศรีธรรมราช หลวงศรียศ เป็นเจ้าพระยามหาเสนาที่สมุหกลาโหม หมื่นราชเสน่หา เป็นเจ้าพระยามหาเทพ หมื่นราชเสน่หานอกราชการ เป็นพระยาภักดีนุชิต พระยาพิชัย เป็นเจ้าพระยาพิชัย พระยาสวรรคโลก เป็นเจ้าพระยาสวรรคโลก[/FONT]
    [FONT=&quot] ใน ปี พ.ศ.2091 สมเด็จพระมหาจักรพรรดิขึ้นครองราชย์ได้เพียงเจ็ดเดือน พระเจ้าหงสาวดี (พระเจ้าตะเบงชะเวตี้) ทรงทราบว่า ทางกรุงศรีอยุธยาผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน เห็นเป็นโอกาสที่จะแผ่อำนาจมายังราชอาณาจักรไทย จึงได้ยกกองทัพมาทางเมืองกาญจนบุรี สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เสด็จออกไปดูลาดเลากำลังศึก ณ ทุ่งภูเขาทอง พร้อมกับพระสุริโยทัย พระราเมศวร และพระมหินทราธิราช สมเด็จพระมหาจักรพรรดิได้กระทำยุทธหัตถีกับพระเจ้าแปรช้างพระที่นั่งเสียที สมเด็จพระสุริโยทัยจึงทรงไสช้างเข้าขวางช้างข้าศึก เพื่อป้องกันสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระเจ้าแปรได้ทีจึงฟันสมเด็จพระสุริโยทัยด้วยของ้าว สิ้นพระชนม์บนคอช้าง พระราเมศวรและพระมหินทราฯ ได้ขับช้างเข้ากันพระศพกลับเข้าพระนคร[/FONT]
    [FONT=&quot] ใน ปี พ.ศ. 2092-2106 สมเด็จพระมหาจักรพรรดิโปรดให้ปรับปรุงกิจการทหารและเสริมสร้างบ้านเมืองให้ มั่นคงกว่าเดิม ขุดคลองมหานาคเป็นคูเมืองออกไปถึงชายทุ่งภูเขาทอง โปรดให้จับม้าและช้างให้เข้ามาในราชการ สามารถจับช้างเผือกได้ถึงเจ็ดเชือก จึงได้รับการขนานพระนามว่า [FONT=&quot]พระเจ้าช้างเผือก[/FONT][FONT=&quot]อีกพระนามหนึ่ง[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot] พระ เจ้าบุเรงนอง ผู้ครองราชย์ต่อจากพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ ทราบปรื่องช้างเผือก จึงส่งราชทูตเชิญพระราชสาส์นมาขอพระราชทานช้างเผือก สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงให้เหตุผลเชิงปฏิเสธ พระเจ้าบุเรงนองจึงถือสาเหตุนั้น ยกกองทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ.2106 ด้วยกำลังพลสองแสนคน จัดเป็นทัพกษัตริย์หกทัพ ได้เตรียมทัพเรือพร้อมปืนใหญ่กับจ้างชาวโปรตุเกสอาสาสมัคร ให้เมืองเชียงใหม่สนับสนุนเสบียงอาหาร โดยลำเลียงมาทางเรือ เปลี่ยนเส้นทางเดินทัพมาทางด่านแม่ละเมา เข้าตีหัวเมืองเหนือของไทยมาตามลำดับเพือ่ตัดกำลังที่จะยกมาช่วยกรุง ศรีอยุธยา[/FONT]
    [FONT=&quot] ฝ่าย ไทยเตรียมตัวป้องกันพระนคร แต่ฝ่ายไทยต้านทานไม่ได้ต้องถอยกลับเข้ากรุงศรีอยุธยา กองทัพพม่าได้เข้าล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้แล้วระดมยิงปืนใหญ่เข้าในพระนครทุก วัน จนราษฎรได้รับความเดือดร้อนและเสียขวัญ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ต้องเสด็จเจรจากับพระเจ้าบุเรงนอง ที่พลับพลาบริเวณตำบลวัดพระเมรุการามกับวัดหัสดาวาส ยอมเป็นไมตรี โดยได้มอบช้างเผือกสี่เชือก พร้อมกับพระราเมศวร พระยาจักรี และพระยาสุนทรสงครามให้แก่พม่า[/FONT]
    [FONT=&quot] ใน ปี พ.ศ.2111 พม่าได้ยกกองทัพใหญ่เจ็ดกองทัพ เดินทัพมาทางด่านแม่ละเมาเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้ทั้งสี่ด้าน พระเจ้าบุเรงนองได้ทำอุบายให้พระยาจักรีที่พม่าขอไปพม่าในสงครามครั้งก่อน ลอบเข้ากรุงศรีอยุธยา เป็นไส้สึกให้พม่า จนทำให้การป้องกันกรุงศรีอยุธยาอ่อนแอลงไปตามลำดับ หลังจากพม่าล้อมกรุงอยู่เก้าเดือนก็เสียกรุงแก่พม่า เมื่อปี พ.ศ.2112[/FONT]
    [FONT=&quot] สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เสด็จสวรรคต เมื่อปี พ.ศ.2111 ครองราชย์ได้ 20 ปี[/FONT]



    [FONT=&quot]สมเด็จพระนเรศวรมหาราช[/FONT]​

    [FONT=&quot]สมเด็จพระนเรศวรมหาราช[FONT=&quot] เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระมหาธรรมราชากับพระวิสุทธิกษัตรี เสด็จพระราชสมภพ เมื่อปี พ.ศ.2098 ที่เมืองพิษณุโลก [/FONT][FONT=&quot]พระนามเดิม พระองค์ดำ หรือพระนเรศวร[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot] หลัง จากเสียกรุงแก่พม่า เมื่อปี พ.ศ.2112 สมเด็จพระมหาธรรมราชาได้ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ครองกรุงศรีอยุธยา เขมรเห็นเป็นโอกาสที่ไทยอ่อนแอ จึงได้ยกทัพมาปล้นสดมภ์และกวาดต้อนผู้คนบริเวณชายพระนคร สมเด็จพระมหาธรรมราชาจึงได้ขอตัวสมเด็จพระนเรศวรจากหงสาวดีกลับมาช่วย ป้องกันบ้านเมือง เมื่อพระชนมายุได้ 15 พรรษา[/FONT]
    [FONT=&quot] สมเด็จ พระมหาธรรมราชาได้โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระนเรศวรเป็นพระมหาอุปราชา ปกครองหัวเมืองทางทิศเหนือ และประทับอยู่ที่เมืองพิษณุโลก ในปี พ.ศ.2127 พระองค์ทรงได้ประกาศอิสรภาพของกรุงศรีอยุธยาจากอำนาจของพม่า หลังจากที่ตกอยู่ในอำนาจพม่าเป็นเวลา 15 ปี[/FONT]
    [FONT=&quot] เมื่อ สมเด็จพระมหาธรรมราชา เสด็จสวรรคต เมื่อปี พ.ศ.2133 พระองค์ได้เสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ.2133 เมื่อพระชนมายุได้ 35 พรรษา ทรงพระนามว่า [FONT=&quot]สมเด็จพระนเรศวรหรือสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่[/FONT][FONT=&quot]2 [/FONT][FONT=&quot]และโปรดเกล้าฯให้พระเอกาทศรถ พระราชอนุชา ขึ้นเป็นพระมหาอุปราช แต่มีศักดิ์เสมอพระมหากษัตริย์อีกพระองค์หนึ่ง[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot] ตลอดรัชสมัยของพระองค์ทรงกอบกู้กรุงศรีอยุธยาจากพม่า และได้ทำสงครามกับอริราชศัตรูทั้งพม่าและเขมร จนราชอาณาจักรไทยเป็นปึกแผ่นมั่นคง[/FONT]
    [FONT=&quot] การสงครามกับพม่าครั้งสำคัญที่ทำให้พม่าไม่กล้ายกทัพมารุกรานไทยอีกเลย เป็นเวลาเกือบสองร้อยปี คือ สงครามยุทธหัตถี เมื่อปี พ.ศ.2135 [/FONT]
    [FONT=&quot] สมเด็จ พระนเรศวรโปรดให้ปรับปรุงการปกครองหัวเมืองใหญ่เป็นการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์ กลาง ยกเลิกระบบเมืองพระยามหานคร ยกเลิกให้เจ้านายไปปกครองเมืองเหล่านี้ แล้วให้ขุนนางไปปกครองแทน[/FONT]
    [FONT=&quot] สมเด็จ พระนเรศวรเสด็จสวรรคต ขณะที่พระองค์ทรงยกกองทัพไปตีเมืองอังวะ เมื่อเสด็จถึงเมืองหาง พระองค์ทรงประชวรเป็นฝีละลอกขึ้นที่พระพักตร์กลายเป็นพิษ เมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.ศ.2148 พระชนมายุ 50 พรรษา ครองราชย์ได้ 15 ปี[/FONT]


    [FONT=&quot]สมเด็จพระนารายณ์มหาราช[/FONT]​
    [FONT=&quot]สมเด็จพระนารายณ์มหาราช หรืออีกพระนามว่า สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 3 หรือสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสรรเพชญ์[FONT=&quot] เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง มีพระเชษฐาคือ สมเด็จพระเจ้าไชย มีพระอนุชาคือ เจ้าฟ้าอภัยทศ พระไตรภูวนาทิตยวงศ์ พระองค์ทอง และพระอินทราชา[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot] พระองค์ ได้ปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์ เมื่อปี พ.ศ.2199 เมื่อพระชนม์มายได้ 25 พรรษา พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ที่ทรงพระปรีชาสามารถมาก ทำให้กรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยของพระองค์ มีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าในทุกด้าน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การต่างประเทศ การศึกษา ศิลปวัฒนธรรม วรรณคดีที่สำคัญหลายเรื่องเกิดขึ้นในรัชสมัยของพระองค์ จนได้ชื่อว่าเป็นยุคทองของวรรณคดีในสมัยกรุงศรีอยุธยา[/FONT]
    [FONT=&quot] ใน รัชสมัยของพระองค์ ได้มีชาวตะวันตกเดินทางเข้ามาติดต่อค้าขาย เผยแพร่ศาสนาตลอดจนเข้ารับราชการ ทำให้ชาวตะวันตกยอมรับนับถือกรุงศรีอยุธยาเป็นอย่างมาก[/FONT]
    [FONT=&quot] ใน ด้านการค้าขาย ได้มีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศมากยิ่งกว่าในรัชสมัยอื่นๆ ทรงโปรดเกล้าฯให้ต่อเรือกำปั่นหลวง เพื่อทำการค้าขายกับต่างประเทศ จึงทำให้อยุธยาเป็นศูนย์กลางการค้ากับต่างประเทศ[/FONT]
    [FONT=&quot] พระ เจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ได้ส่งบาทหลวงสามคนเดินทางมากรุงศรีอยุธยา เมื่อทั้งสามคนมาถึงแล้วก็ได้มีใบบอกไปยัง พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และพระสันตปาปา ซึ่งมีความเห็นตรงกันว่าจะใช้กรุงศรีอยุธยา เป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่คริสตศาสนา พระบาทหลวงได้ตั้งโรงเรียน โรงพยาบาล ฯลฯ สมเด็จพระนารายณ์ทรงเห็นว่า เป็นการนำความเจริญมาให้กรุงศรีอยุธยา พระองค์ได้พระราชทานที่ดินให้สร้างวัดทางคริสตศาสนาด้วย[FONT=&quot]
    ในปี พ.ศ.2224 สมเด็จพระนารายณ์ ฯ ทรงจัดคณะทูตนำพระราชสาสน์ไปเจริญทางพระราชไมตรี ณ ประเทศฝรั่งเศส แต่คณะราชทูตสูญหายไประหว่างทาง ต่อมาในปี พ.ศ.2226 พระองค์ได้โปรดเกล้า ฯ ให้จัดคณะทูตเดินทางไปฝรั่งเศสอีกครั้ง เพื่อสอบสวนความเป็นไปของทูตคณะแรก พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงทราบก็เข้าใจว่าสมเด็จพระนารายณ์ ฯ ทรงเลื่อมใสจะเข้ารีต จึงได้จัดคณะราชทูตเข้ามาเจริญทางพระราชไมตรีกับกรุงศรีอยุธยา โดยมีเชอวาเลียร์ เดอ โชมองต์ เป็นหัวหน้าคณะทูต เมื่อปี พ.ศ.2228ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์ ฯ ทูลขอให้ทรงเข้ารีต แต่พระองค์ทรงปฏิเสธด้วยพระปรีชาสามารถว่า
    [/FONT]
    [FONT=&quot]“การที่ผู้ใดจะนับถือศาสนาใดนั้น ย่อมแล้วแต่พระผู้เป็นเจ้าบนสวรรค์จะบันดาลให้เป็นไป ถ้าคริสตศาสนาเป็นศาสนาดีจริงแล้ว และเห็นว่าพระองค์สมควรที่จะเข้าเป็นคริสตศาสนิกแล้ว สักวันหนึ่งพระองค์จะถูกดลใจให้เข้ารีตจนได้”[/FONT][FONT=&quot]
    พระองค์ได้ให้เสรีภาพแก่ราษฎรทั่วไปที่จะนับถือคริสตศาสนาได้ตามความเลื่อมใสของตน ทำให้เชอวาเลียร์ เดอ โชมองต์ พอใจ
    ต่อมาในปี พ.ศ.2228 เมื่อคณะราชทูตฝรั่งเศสเดินทางกลับ พระองค์ก็ได้จัดให้เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) เป็นหัวหน้าคณะราชทูตเดินทางไปฝรั่งเศส นำพระราชสาส์นของพระองค์ไปถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และได้ส่งกุลบุตร 12 คน ไปศึกษาวิชาที่ประเทศฝรั่งเศส พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงโปรดปรานเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) เป็นอย่างมาก ได้ให้เหรียญที่ระลึก และเขียนรูปภาพเหตุการณ์ไว้ด้วย เมื่อคณะราชทูตเดินทางกลับ พระองค์ได้โปรดให้มองสิเออร์ เดอลาลูแบร์ เป็นราชทูตเข้ามากรุงศรีอยุธยา พร้อมกับเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) และได้นำทหารฝรั่งเศสจำนวน 636 นาย เข้ามายังกรุงศรีอยุธยาด้วย สมเด็จพระนารายณ์ ฯ ได้โปรดเกล้า ฯ ให้ทหารฝรั่งเศสจำนวนดังกล่าว ไปรักษาป้อมที่เมืองธนบุรีส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งมีกำลังสองกองร้อยให้ไปรักษาเมืองมะริด ซึ่งมีอังกฤษเป็นภัยคุกคามอยู่
    ในปี พ.ศ.2230 สมเด็จพระนารายณ์ทรงประกาศสงครามกับอังกฤษ เนื่องจากมีเหตุบาดหมางกันในเรื่องการค้าขายกับอินเดีย รัฐบาลอังกฤษให้บริษัทอังกฤษ เรียกตัวคนอังกฤษทั้งหมดที่รับราชการอยู่ ณ กรุงศรีอยุธยา ให้กลับประเทศอังกฤษ ต่อมาชาวอังกฤษได้มาก่อความวุ่นวายในเมืองมะริดและรุกรานไทยก่อน แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรไทยได้ เนื่องจากขณะนั้นมีทหารฝรั่งเศสรักษาเมืองมะริดอยู่
    ในรัชสมัยของพระองค์ แม้ว่าจะมีการค้าขายติดต่อกับต่างประเทศ ที่เจริญรุ่งเรืองแล้วก็ตาม แต่ก็ได้มีการทำสงครามหลายครั้ง ครั้งที่สำคัญได้แก่ การยกกองทัพออกไปตีพม่าที่กรุงอังวะ ตามแบบอย่างที่สมเด็จพระนเรศวร ฯ ได้ทรงกระทำมาแล้วในอดีต และได้มีการยกกองทัพไปตีเมืองเชียงใหม่สองครั้งจนได้ชัยชนะ
    สมเด็จพระนารายณ์ ฯ เสด็จสวรรคต เมื่อปี พ.ศ.2231 เมื่อพระชนมายุได้ 50 พรรษา ครองราชย์ได้ 32 ปี [/FONT]
    [/FONT]



    สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
    สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เป็นพระโอรสในสมเด็จพระเจ้าเสือ พระนามเดิม เจ้าฟ้าพร เป็นพระอนุชา สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ พระองค์ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าท้ายสระ ทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3นอก จากนั้นพระองค์ยังมีพระนามอื่นตามที่ปรากฎในเอกสารทางประวัติศาสตร์คือ สมเด็จพระรามาธิบดินทร ฯ สมเด็จพระรามาธิบดี ฯ สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสุธรรมราชา ฯ และสมเด็จพระบรมราชา ทางฝ่ายพม่าเรียกว่า พระมหาธรรมราชา
    ใน รัชสมัยของพระองค์พุทธศาสนาเฟื่องฟูมาก พระองค์ทรงมีความเลื่อมใสศรัทธาและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก โปรดเกล้า ฯ ให้บูรณะปฏิสังขรณ์วัดวาอารามทั้งในกรุงศรีอยุธยาและในบรรดาหัวเมืองต่าง ๆ ได้แก่ วัดพระศรีสรรเพชญ์ วัดป่าโมก วัดหันตรา วัดภูเขาทอง และวัดพระราม โปรด เกล้า ฯ ให้ซ่อมเศียรพระประธานวัดมงคลบพิตร ที่ชำรุดอยู่ ทรงให้ความสำคัญในการศึกษาทางพุทธศาสนาเป็นพิเศษ ผู้ที่ถวายตัวเข้ารับราชการต้องผ่านการบวชเรียนมาแล้ว
    ในปี พ.ศ.2296 พระเจ้ากีรติสิริราชสิงห์ กษัตริย์ลังกา ทรงทราบกิตติศัพท์ว่าพระพุทธศาสนาในกรุงศรีอยุธยารุ่งเรืองมาก จึงได้ส่งราชทูตมาขอพระมหาเถระ และคณะสงฆ์ไปช่วยฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในลังกา ซึ่งเสื่อมโทรมลงไป เนื่องจากกษัตริย์ลังกาองค์ก่อน หันไปนับถือศาสนาพราหมณ์ และทำลายพุทธศาสนา จนกระทั่งไม่มีพระสงฆ์เหลืออยู่ในลังกา สมเด็จพระเจ้าบรมโกษ จึงโปรดให้ส่งคณะสมณทูตประกอบด้วยพระราชาคณะสองรูปคือ พระอุบาลี และพระอริยมุนี พร้อมคณะสงฆ์อีก 12 รูป ไปลังกา เพื่อประกอบพิธีบรรพชา อุปสมบท ให้กับชาวลังกา คณะสงฆ์คณะนี้ได้ไปตั้งนิกายสยามวงศ์ขึ้นในลังกา หลังจากที่ได้ช่วยฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในลังกา เป็นเวลาเจ็ดปีแล้ว คณะสงฆ์คณะนี้บางส่วนได้เดินทางกลับกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ.2303

    สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เสด็จสวรรคต เมื่อปี พ.ศ.2301พระชนมายุได้ 77 พรรษา ครองราชย์ได้ 26 ปี
    ข้อมูลจาก www.heritage.thaigov.net-

    -http://www.chaoprayanews.com/2009/03/26/%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%98%E0%B8%A2%E0%B8%B2/-

    .







    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • a1.JPG
      a1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      60.4 KB
      เปิดดู:
      2,768
    • a2.JPG
      a2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      69.5 KB
      เปิดดู:
      5,430
    • a3.JPG
      a3.JPG
      ขนาดไฟล์:
      42.4 KB
      เปิดดู:
      1,116
    • a4.JPG
      a4.JPG
      ขนาดไฟล์:
      67 KB
      เปิดดู:
      3,106
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 11 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 9 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong, chantasakuldecha+</td></tr></tbody></table>

    น่าจะมีผู้อ่านติดตามสาระจากกระทู้พระวังหน้าฯ

    ผมเห็นมีโหลดรูปไปทันทีเหมือนกันครับ

    จาก Attachment ผม


    [​IMG]

    .


    สวัสดีครับ ท่านเจ้าสัวน้อย


    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • p.JPG
      p.JPG
      ขนาดไฟล์:
      61.9 KB
      เปิดดู:
      875
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948


    เมื่อก่อนนี้ ผมเองเกลียดพระเจ้าเอกทัศน์และพม่ามาก ตอนที่ผมไปเที่ยวที่อยุธยาครั้งแรก ยิ่งไปเห็นวัดต่างๆ ประสาทราชมณเฑียรต่างๆ ถูกพม่าเผาบ้านเผาเมือง พระเจ้าเอกทัศน์ดีแต่จะนั่งบัลลังค์อย่างเดียว แต่ไม่มีความสามารถในการปกบ้านป้องเมือง

    ปัจจุบันนี้ ความเกลีียดลดลงไปมาก มานั่งคิดว่า หากไม่มีพระเจ้าเอกทัศน์ ก็คงไม่มีวีรบุรุธของชาติไทยก็คือ องค์พระเจ้าตากสินมหาราชและพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (ปฐมราชวงศ์จักรี)

    มาเล่าสู่กันฟังครับ


    .
    แอบกระซิบกันครับว่า องค์พระเจ้าตากสินมหาราชและพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทั้งสองพระองค์ปัจจุบันนี้ ท่านมาเกิดในชาติสุดท้ายแล้วและหลังจากนี้ท่านไม่กลับมาเกิดอีกแล้
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 15 คน ( เป็นสมาชิก 4 คน และ บุคคลทั่วไป 11 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong, ปฐม+, artbluesky, อนัตตัง</td></tr></tbody></table>

    อ่า ท่านน้องปฐมครับ

    พระบูชา ดีป่าวครับ แรงป่าวครับ อิอิ



    .
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    เวียนไหว้ “พระปฐมเจดีย์” เจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody> </table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody><tr><td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">17 พฤษภาคม 2554 15:26 น.</td></tr></tbody> </table>

    [​IMG] <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> โดย : หนุ่มลูกทุ่ง

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="450"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="450"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">องค์พระปฐมเจดีย์ ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย </td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> เวียนมาถึงอีกครั้งหนึ่งแล้วสำหรับวันพระใหญ่ “วันวิสาขบูชา” เป็นวันคล้ายวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา 3 เหตุการณ์ด้วยกัน คือ เป็นวันคล้ายวันประสูติ, ตรัสรู้ และปรินิพพาน แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยทั้งสามเหตุการณ์นั้นได้เกิดตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 หรือในวันเพ็ญแห่งเดือนวิสาขมาส (ต่างปีกัน)

    ชาวพุทธจึงถือว่าวันนี้เป็นวันที่รวมวันคล้ายวันเกิดเหตุการณ์สำคัญ ๆ ของพระพุทธเจ้าไว้มากที่สุด และได้นิยมประกอบพิธีบำเพ็ญบุญกุศลและประกอบพิธีพุทธบูชาต่าง ๆ เพื่อเป็นการถวายสักการะรำลึกถึงแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสืบมาจน ปัจจุบัน

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="300"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="300"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">พระร่วงโรจนฤทธิ์ พระพุทะรูปศักดิ์สิทธิ์ของชาวนครปฐม</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> ในครั้งนี้ฉันจึงอยากจะขอเชิญชวนพี่น้องชาวพุทธ ร่วมกันทำบุญเวียนเทียนเพิ่มบุญเพิ่มกุศลให้กับตนเอง ใครอยู่ใกล้วัดใดก็ไปวัดนั้น หรือถ้าไม่มีแผนจะไปที่ไหนจะไปร่วมเวียนเทียนกับฉันที่ “วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรวิหาร” จังหวัดนครปฐม ก็ได้ไม่ว่ากัน

    โดยที่ “วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรวิหาร” แห่งนี้ ถือเป็นพระมหาเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย เดิมเรียกว่า “พระธมเจดีย์” สร้างขึ้นเมื่อคราวที่พระสมณทูตในพระเจ้าอโศกมหาราช เดินทางมาเผยแผ่ศาสนายังสุวรรณภูมิก็เป็นได้ เพราะพระเจดีย์เดิมมีลักษณะสถูปกลมรูปทรงคล้ายบาตรคว่ำหรือทรงโอคว่ำ แบบเดียวกับพระสถูปสาญจีในประเทศอินเดีย ที่พระเจ้าอโศกมหาราชสร้างไว้ แต่มียอดเป็นแบบปรางค์ สูงราว 2 เมตร

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="450"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="450"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">สถาปัตยกรรมต่างๆ</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> โดยมีตำนานเกี่ยวกับการกำเนิดพระปฐมเจดีย์อยู่หลายตำนานด้วยกัน เช่น ตำนานพระยากง-พระยาพาน ได้เล่าไว้ว่า พระมเหสีในพระยากงผู้ครองเมืองศรีวิชัยหรือนครชัยศรี ได้ประสูติพระกุมารพระองค์หนึ่ง โหรทำนายว่ากุมารเป็นผู้มีบุญญาธิการมากแต่จะทำปิตุฆาต พระยากงจึงรับสั่งให้นำกุมารไปทิ้ง

    แต่มียายหอมมาเก็บกุมารไปเลี้ยง เมื่อเติบใหญ่กุมารจึงลายายหอมขึ้นไปเมืองเหนือถึงสุโขทัย บังเอิญไปพบช้างพระเจ้าแผ่นดินสุโขทัยอาละวาดไล่แทงผู้คน กุมารจึงจับช้างกดลงกับดินคนทั้งปวงจึงจับช้างได้ ความทราบถึงพระเจ้าแผ่นดิน จึงชุบเลี้ยงกุมารเป็นบุตรบุญธรรม จนกระทั้งกุมารได้ยกทับมารบกับพระยากง โดยกระทำยุทธหัตถีกัน พระยากงเสียทีถูกกุมารฟันด้วยของ้าวคอขาด

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="450"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="450"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">หลวงพ่อประทานพรภายในพระอุโบสถ</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> หลังจากนั้นกุมารจึงยกรี้พลเข้าไปตั้งอยู่ในเมืองและต้องการได้พระ มเหสีพระยากงเป็นภรรยา แต่ก็มีเหตุดลใจให้ทราบว่าเป็นพระมารดา เมื่อแม่ลูกรู้จักกันแล้วและทราบว่าพระยากงเป็นพระบิดาก็เสียใจ และโกรธยายหอมมาก จึงจับยายหอมฆ่าเสียทันที ด้วยเหตุนี้เองคนทั้งปวงจึงเรียกกุมารนั้นว่าพระยาพาล

    ครั้นเมื่อฆ่าพระบิดาและยายหอมแล้วก็เกิดความรู้สึกว่าจะเป็นเวรต่อ กันจึงทำบุญให้ทานไม่ขาด ต่อมาเมื่อพระมเหสีของพระองค์ให้ประสูติพระโอรส พระยาพานจึงเกิดความรู้สึกถึงความรักที่พ่อมีต่อลูก และเกิดสำนึกในสิ่งที่กระทำไปจึงได้ถามถึงการแก้ไขสิ่งที่ตนได้ทำปิตุฆาตกับ พระอรหันต์

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="300"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="300"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">องค์พระปฐมเจดีย์องค์เก่า</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> ซึ่งท่านได้ตอบว่าสิ่งนี้เป็นกรรมหนักนักต้องตกมหานรกอเวจี มีแต่ทางผ่อนหนักให้เป็นเบาได้เท่านั้นคือ สร้างพระเจดีย์สูงเท่ากับนกเขาเหิน กรรมอาจจะลดลงไปได้สัก 1 ใน10 ส่วน พระยาพานจึงสั่งให้สร้างเจดีย์ดั้งกล่าวแล้วบรรจุพระบรมธาตุพระเขี้ยวแก้ว ไว้ในเจดีย์ใหญ่นั้นด้วย

    โดยมีผู้รู้หลายท่านได้สันนิษฐานว่า องค์พระปฐมเจดีย์มีการสร้างและปฏิสังขรณ์มาอย่างน้อย 3 ครั้งแล้ว นั้นคือในสมัยสุวรรณภูมิ คือ ระยะการสร้างครั้งแรก ราวพุทธศักราช 300-1000 ต่อมาในสมัยทวารวดี มีการสร้างเพิ่มเติม ประมาณช่วงพุทธศักราช 1000-1600 และครั้งที่ 3 ก็คือสมัยที่มีการบูรณปฏิสังขรณ์ในสมัยรัตนโกสินทร์

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="450"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="450"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">ภาพจิตกรรมฝาผนังอันวิจิตที่วิหารปัญจวัคคีย์</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> ครั้งเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงผนวชอยู่ ได้เสด็จธุดงค์ที่เมืองนครปฐมพร้อมด้วยคณะสงฆ์ และทรงปักกลดประทับ ณ โคนต้นตะคร้อ ได้สังเกตลักษณะขององค์พระเจดีย์ทรงเห็นว่า ไม่มีพระเจดีย์ใดที่เก่าแก่ และยิ่งใหญ่เท่าเจดีย์องค์นี้

    จนเมื่อพระองค์ได้เสวยราชสมบัติแล้วในราว พ.ศ. 2396 ได้โปรดให้ก่อพระเจดีย์ใหม่ห่อหุ้มองค์เดิม เปลี่ยนจากบาตรคว่ำมีพุทธบัลลังก์ ฐานสี่เหลี่ยมซ้อนระฆัง มียอดนพศูลและมีพระมหามงกุฎสวมไว้บนยอดองค์พระเจดีย์ มีขนาดสูง 120.5 เมตร ฐานโดยรอบยาว 233 เมตร รอบฐานองค์ปฐมเจดีย์สร้างเป็นวิหารคตล้อมรอบเป็น 2 ชั้น ทั้ง 4 ทิศ

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="450"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="450"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">วิหารปัญจวัคคีย์อยู่ทางทิศใต้ขององค์พระฯ</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> แต่ยังสร้างไม่แล้วเสร็จก็สวรรคต ต่อมารัชกาลที่ 5 โปรดให้ปฏิสังขรณ์จัดสร้างหอระฆัง และประดับกระเบื้องจนสำเร็จ เมื่อถึงรัชกาลที่ 6 ปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวง เขียนภาพพระเจดีย์องค์เดิมและภาพต่าง ๆ ไว้ที่ผนัง รื้อมุขวิหารด้านทิศเหนือสร้างใหม่ เพื่อประดิษฐาน “พระร่วงโรจนฤทธิ์ ศรีอินทราทิตย์ ธรรโมภาส มหาวชิราวุธ ราชปูชนียบพิตร” เป็นพระยืนปางห้ามญาติ หล่อด้วยโลหะ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้บรรจุพระอังคารของพระองค์ท่านไว้ในใต้ฐานพระนี้ด้วย

    ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 7 โปรดให้สร้างพระอุโบสถใหม่ จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2509 ทางวัดพบว่าตัวองค์พระปฐมเจดีย์มีรอยร้าวแตกร้าวหลายแห่ง กระเบื้องที่ประดับหลุดร่วงลงมา จึงได้แจ้งเรื่องไปยังรัฐบาลสมัยนั้น และได้มีการสำรวจตรวจสอบอยู่ประมาณ 9 ปี ในที่สุดก็มีความเห็นว่าควรดำเนินการบูรณะเป็นการด่วน จึงได้ลงมือทำการซ่อมแซมบูรณะเมื่อปี พ.ศ.2518 และแล้วเสร็จ ในปี พ.ศ.2524

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="450"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="450"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">ศาสนสถานต่างๆภายในบริเวณองค์</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> นอกจากจะไปไหว้พระขอพรในวันพระใหญ่แล้ว ภายในวัดพระปฐมเจดีย์แห่งนี้ ยังมีสิ่งสำคัญอีกหลายอย่างด้วยกัน อาทิ “พระพุทธรูปศิลาขาว” หรือ “หลวงพ่อประทานพร” ซึ่งประดิษฐานอยู่ภายในพระอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปปางประทานปฐมเทศนา สันนิฐานว่าน่าสร้างขึ้นมาในสมัยทวาราวดี

    “วิหารปัญจวัคคีย์” ก็เป็นสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งภายในวัดแห่งนี้ โดยเพิ่งจะบูรณปฏิสังขรณ์แล้วเสร็จ และเปิดให้เข้าชม ภายในเป็นวิหารที่มีจิตรกรรมฝาผนังที่ประณีตและสวยสดงดงามเป็นอย่างมาก เป็นเรื่องราวประวัติความเป็นมาของศาสนาพุทธ ประวัติการสร้างองค์พระปฐมเจดีย์แห่งนี้ตั้งแต่เริ่มแรกจนปัจจุบัน และประวัติศาสตร์องค์พระปฐมเจดีย์ 3 สมัย ในยุครัตนโกสินทร์

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="300"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="300"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">ภาพองค์พระปฐมเจดีย์แบบผ่าครึ่งภายในวิหารหลวง</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> อีกทั้งภายในวัดแห่งนี้ยังมี “พิพิธภัณฑ์วัดพระปฐมเจดีย์” ตั้ง อยู่บริเวณชั้นลดด้านทิศตะวันออกตรงข้าม พระอุโบสถ ภายในเก็บวัตถุโบราณที่ขุดพบได้จากสถานที่ต่างๆในนครปฐมทั้ง สมัยบ้านเชียง สมัยทวารวดี เช่น พระพุทธรูป หินบดยา ลูกประคำดินเผา กำไลข้อมือ เงินโบราณ ฯลฯ

    และ “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระปฐมเจดีย์” ตั้งอยู่ ในบริเวณองค์พระปฐมเจดีย์ด้านทิศใต้เป็นอาคาร ทรงไทยประยุกต์ 2 ชั้น เป็นที่เก็บศิลปวัตถุและวัตถุโบราณซึ่งส่วนใหญ่เป็นศิลปะสมัยทวารวดีที่ขุด พบ

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="450"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="450"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">องค์พระปฐมเจดีย์สีทองอร่ามตา</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> ใครที่มีโอกาสแวะเวียนไปยังเมืองนครปฐม ก็อย่าลืมไปไหว้พระขอพรชมความสวยงามที่วัดพระปฐมเจดีย์แห่งนี้ด้วย และในตอนเย็นย่ำภายในบริเวณวัดยังมีตลาดกลางคืนให้ได้อิ่มหนำสำราญกับอาหาร อร่อยๆอีกด้วย รู้แบบนี้ ไม่ไปไม่ได้แล้ว!
    </td></tr></tbody> </table>

    -http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000060230-


    .---------------------------------------------------------------------




    ขาดสิ่งสำคัญมากไปหนึ่งเรื่อง

    ก็คือ การแนะนำให้ไปกราบ หลวงปู่คณะโสณะ-อุตระ

    ไม่น่าลืมเลย หากไม่มีคณะหลวงปู่ฯ ก็ยังไม่รู้ว่า ประเทศไทยจะรู้จักศาสนาพุทธในแบบที่เป็นอยู่หรือเปล่า


    .
     
  9. ปฐม

    ปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +1,618
    งามทุกองค์เลยครับพี่ท่าน แรงรึป่าวคงต้องถามท่านผู้รู้ในชมรมครับพี่ท่าน น้องอย่างผมชมได้แต่ความงามภายนอกเท่านั่นครับท่านพี่
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 11 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 9 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, ม้าบิน marbin </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อรุณสวัสดิ์ตอนเช้า วันพุธสุขใจครับ


    .
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>นิทานเซน : อาจารย์เซนปราบโจร</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>18 พฤษภาคม 2554 07:48 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>


    <CENTER>《七里释盗》</CENTER>

    ค่ำวันหนึ่ง ขณะที่อาจารย์เซนชีหลี่(七里) กำลังนั่งสมาธิปฏิบัติธรรมอยู่ในอารามอันเงียบสงัด ปรากฏโจรผู้หนึ่งลอบเข้ามาในกุฏิ ทั้งยังใช้มีดยาวจ่อที่ลำคอของอาจารย์เซนพลางกล่าวว่า "ส่งเงินในตู้มาให้ข้าให้หมด ไม่งั้นข้าจะเอาชีวิตเจ้า"

    อาจารย์เซนตอบกลับเรียบๆ ว่า "เงินอยู่ในลิ้นชักมิได้อยู่ในตู้ ท่านจงหยิบฉวยเอาเอง แต่อย่านำไปหมด เหลือเอาไว้บ้างเพื่อให้เราใช้ประทังชีพในวันพรุ่งนี้"

    จอมโจรไม่คาดคิดว่าจะสามารถปล้นเงินได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนี้ จึงกล่าวด้วยความลิงโลดว่า "ยังนับว่าเจ้าพอมีหัวคิดอยู่บ้าง เจ้าลาโล้น!"

    มิคาด อาจารย์เซนกลับโพล่งขึ้นมาว่า "เอาเงินผู้อื่นไปมากมายขนาดนี้ ท่านควรกล่าวขอบใจสักคำหนึ่ง การที่ได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์นั้น ไม่ควรละโมบโลภมากจนเกินไป แต่ควรหลงเหลือช่องว่างที่จะแบ่งปันให้ผู้อื่นบ้าง"

    "ขอบใจ" จอมโจรกล่าวตัดรำคาญพลางหันกายหมายจากไป ทว่าในใจกลับเกิดความสับสน เพราะเป็นโจรมากว่า 10 ปีกลับเพิ่งเคยพบพานบุคคลเช่นอาจารย์เซนเป็นครั้งแรก หลังจากลังเลชั่วครู่ จึงตัดใจหยิบเงินส่วนหนึ่งโยนกลับเข้าไปในลิ้นชัก แล้วจึงจากไป

    ภายหลังจากนั้นไม่นาน จอมโจรพลาดพลั้งถูกทางการจับกุมตัวได้ เมื่อฟังจากคำให้การ เจ้าหน้าที่ทางการจึงนำจอมโจรมาพบกับอาจารย์เซนชีหลี่ จากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการจึงสอบถามอาจารย์เซนว่า "หลายวันก่อน โจรผู้นี้ได้เข้ามาปล้นเงินทองไปจากวัดของท่านไปใช่หรือไม่?"

    อาจารย์เซนกลับตอบว่า "เขาไม่ได้ปล้น แต่เป็นเราที่มอบเงินทองให้เขาไปเอง ก่อนจากไปเขายังกล่าวขอบใจเราอีกด้วย"

    เมื่อโจรผู้นั้นได้ฟัง ก็เห็นซึ้งถึงจิตเมตตาของอาจารย์เซนจนหลั่งน้ำตาออกมา จากนั้นจึงขอบวชเป็นศิษย์ของอาจารย์เซนชีหลี่ ซึ่งในตอนแรกอาจารย์เซนมิได้ตอบรับ กระทั่งโจรกลับใจผู้นั้นคุกเข้าขอร้องอยู่หน้าวัดเป็นเวลา 3 วัน 3 คืน อาจารย์เซนจึงตกลงใจรับเขาเป็นศิษย์ในที่สุด

    ที่มา : หนังสือ 《禅的故事精华版》, 慕云居 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 地震出版社, 2006.12, ISBN 7-5028-2995-4


    -http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9540000060185-

    .
     
  12. มูริญโญ่

    มูริญโญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +583
     
  13. นายเฉลิมพล

    นายเฉลิมพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +460
    สวัสดีทุกๆท่านนะครับ
    เมื่อวานนี้ วันวิสาขบูชา ได้อัญเชิญพระบรมฯ และพระสมเด็จTTT of Top4 ไปบรรจุในพระพุทธรูปไม้ขนุนหน้าตัก 5 เมตร เดี๋ยวจะนำภาพมาให้ชมกันครับ
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  15. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    วิธีลดความฟุ้งซ่านก่อนอ่านหนังสือ

    วันพุธ ที่ 18 พฤษภาคม 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    เคยหรือไม่? อ่านหนังสือหลายรอบแต่ยังจำไม่ได้สักที ลองสำรวจ “ใจพร้อม” หรือไม่ เพราะอาจเป็นสาเหตุ “ทำสมาธิสั้น” โดยไม่รู้ตัว “เดลินิวส์ แคมปัส” มีผลการศึกษาน่าสนใจช่วยลดความฟุ้งซ่านมาฝากวัยเรียนกัน

    การวิจัยจากมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา เผยว่า การฟังเพลงโปรด จะช่วยขยายหลอดเลือด และเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ซึ่งไม่เพียงทำให้รู้สึกผ่อนคลายเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อหัวใจด้วย แต่หากต้องการปรับอารมณ์ไม่ให้ฟุ้งซ่านก่อนอ่านหนังสือแล้วล่ะก็ ควรเลือกฟังเพลงในจังหวะไม่เร็วเกินไปอย่าง “แจ๊ส” จะดีกว่า นอกจากนี้ การวิจัยจากมหาวิทยาลัยในฮ่องกงยังพบว่า การกดจุดบนฝ่ามือ ตรงบริเวณมุมส่วนโค้งระหว่างนิ้วชี้ และนิ้วหัวแม่มือ เพียง 30 วินาที จะช่วยลดความตึงเครียด และเมื่อยล้าของร่างกายส่วนบนได้ถึงร้อยละ 39

    จากนั้น ก็ถึงเวลาอ่านหนังสืออย่างมีประสิทธิภาพ โดยน้อง ๆ ควรให้เวลาในการอ่านต่อเนื่องอย่างน้อย 2 ชั่วโมง เนื่องจากครึ่งชั่วโมงแรกจิตใจมักยังไม่นิ่ง ส่วนใหญ่จะเริ่มมีสมาธิมากขึ้นหลังล่วงเวลานั้นไปแล้ว ระหว่างนี้ อาจเสริมบรรยากาศภายในห้องด้วยกลิ่นลาเวนเดอร์ก็ได้ เพราะเปรียบเหมือนยาคลายความวิตกกังวลชั้นดีทีเดียว

    เมื่อจิตใจไม่ฟุ้งซ่าน สมองก็พร้อมเปิดรับสิ่งใหม่ได้อย่างเต็มที่ วัยเรียนที่มักประสบปัญหาดังกล่าว ก็ลองนำเทคนิคข้างต้นไปพิสูจน์กันดูนะคะ.
    rattikarnt@dailynews.co.th





    ที่มา เดลินิวส์ ออนไลน์
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คลังเปิดใช้"เอทีเอ็มพูล"4แบงก์รัฐ ฟรี!ฝาก-ถอน-โอนเงิน ดัดหลังคู่แข่งโขกค่าต๋ง


    คลังเตรียมเปิดตัว "เอทีเอ็มพูล" 4 แบงก์รัฐ ปลายเดือน พ.ค.นี้ หวังลดภาระผู้ใช้บริการ แถมยังได้ดัดหลังธนาคารเอกชนที่ไม่ยอมปรับลดค่าธรรมเนียม ด้านแบงก์พาณิชย์ขนาดใหญ่ แห่ปรับกลยุทธ์ทำธุรกิจใหม่ รับมือแข่งขันดุเดือดทั้งสินเชื่อรายย่อย กู้ซื้อบ้าน

    นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ประมาณสิ้นเดือน พ.ค.นี้ คลังจะเปิดตัวโครงการให้บริการเอทีเอ็มพูลร่วมกันของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 4 แห่ง คือ ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารเพื่อเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) โดยไม่คิดค่าธรรมเนียมทุกรายการ ทั้งฝาก ถอน และโอนเงิน ในช่วงระหว่างเดือน มิ.ย. ถึงสิ้นเดือน ธ.ค.2554 หลังจากนั้นจะประเมินอีกครั้งว่าจะคิดค่าธรรมเนียมหรือไม่

    ระบบดังกล่าวจะให้ธนาคารออมสินเป็นแกนนำ เนื่องจากมีตู้เอทีเอ็มกว่า 1,500 ตู้ และจะมีมากกว่า 2,000 ตู้ ภายในสิ้นปีนี้ โดยโครงการนี้จะช่วยลดต้นทุนให้ธนาคารรัฐไม่ต้องลงทุนติดตู้เอทีเอ็มซ้ำซ้อนกัน นอกจากนี้ ยังเป็นประโยชน์กับลูกค้าที่ใช้บริการเพราะลดภาระค่าใช้จ่าย ซึ่งน่าจะส่งผลให้ธนาคารรัฐมีลูกค้าเพิ่มขึ้น เนื่องจากการใช้บริการเอทีเอ็มพูลของธนาคารพาณิชย์เสียค่าธรรมเนียมค่อนข้างสูง

    ก่อนหน้านี้ นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ได้พยายามขอความร่วมมือจากธนาคารพาณิชย์ให้ลดค่าธรรมเนียมการให้บริการ แต่ได้รับการตอบสนองค่อนข้างน้อย ซึ่งโครงการนี้น่าจะเป็นแรงกดดันให้ธนาคารพาณิชย์ลดค่าธรรมเนียม หรือยกเลิกบางรายการกับลูกค้าที่มาใช้บริการผ่านตู้เอทีเอ็มได้อีกส่วนหนึ่ง
    นายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการ ธ.ก.ส.กล่าวว่า อยู่ระหว่างการหารือภายในว่าจะสามารถให้บริการโดยไม่คิดค่าธรรมเนียมในส่วนใดบ้าง เพื่อเป็นประโยชน์กับลูกค้าของธนาคารที่เข้าร่วมโครงการ

    นายฟิลิป แทน ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านสินเชื่อลูกค้าบุคคล ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ธนาคารได้ปรับโครงสร้างธุรกิจสินเชื่อลูกค้าบุคคลใหม่ทั้งหมด เพื่อให้เกิดความคล่องตัว โดยไม่เน้นส่วนแบ่งการครองตลาด แต่เน้น Mind Share หรือความเข้าใจและการเข้าถึงจิตใจความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก ซึ่งภายในสิ้นปีนี้น่าจะเพิ่มสัดส่วนรายย่อยให้มีมากกว่า 44% ของสินเชื่อรวมที่มีอยู่กว่า 6 แสนล้านบาทได้

    ทั้งนี้ ได้แต่งตั้งนายสุขดี จงมั่นคง ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส ดูแลธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลและธุรกิจบัตรเครดิตกลุ่มกรุงศรีทั้งหมดกว่า 5 ล้านบัตร ส่วนแบ่งตลาด 17-20% และแต่งตั้งนายไพโรจน์ ชื่นครุฑ เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส ควบคุมสินเชื่อยานยนต์ จักรยานยนต์ทั้งหมด ซึ่งมีพอร์ตรวมกันกว่า 1.36 แสนล้านบาท

    นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ธนาคารจะหันมาเน้นปล่อยสินเชื่อบ้านราคาเกิน 3 ล้านบาท ซึ่งเป็นคนละกลุ่มเป้าหมายกับโครงการบ้านหลังแรกของ ธอส. รวมทั้งจะให้รีไฟแนนซ์ได้มากขึ้น เพื่อรักษาเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อ พร้อมกันนี้จะเน้นทำตลาดสินเชื่อบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มฐานบัตรอีก 450 แสนใบ จาก 1.6 แสนใบ
    นายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ธนาคารอยู่ระหว่างพัฒนาสินเชื่อบุคคลเพิ่ม จากปัจจุบันที่มีผลิตภัณฑ์สินเชื่อรายย่อยเพียง 2 ประเภท คือ สินเชื่อที่อยู่อาศัยและบัตรเครดิต เนื่องจากธุรกิจสินเชื่อรายย่อยของระบบธนาคารพาณิชย์มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการบริโภคที่เพิ่มขึ้น.

    -http://www.thaipost.net/news/180511/38757-


    คลังเปิดใช้"เอทีเอ็มพูล"4แบงก์รัฐ ฟรี!ฝาก-ถอน-โอนเงิน ดัดหลังคู่แข่งโขกค่าต๋ง | ไทยโพสต์


    .
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    5 เคล็ดลับง่าย ๆ ในการบริหารเงินช็อปปิ้ง



    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


    ช็อปสนุกแต่ก็ทุกข์ใจหลังจากนั้น เพราะเล่นช็อปกันซะเพลินจนกระเป๋าทะลุทำเอาแทบไม่เหลือเงินไว้ใช้จ่ายในส่วนอื่น ๆ เลย นี่อาจจะเป็นปัญหาที่สาว ๆ หลายคนน่าจะเคยประสบกันอยู่บ่อยครั้ง (ใช่ไหมคะ) ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ดีแน่ ๆ ... ว่าแต่ทำอย่างไรที่จะจัดสรรงบประมาณ เพื่อประหยัดเงินในกระเป๋า แต่ก็ยังสวยดูดีได้ วันนี้เรามีเคล็ดลับง่าย ๆ ที่จะช่วยคุณบริหารเงินในการช็อปปิ้งมาฝากกันค่ะ


    [​IMG] 1. ตั้งงบประมาณในการช็อป

    ตั้งงบประมาณสำหรับการช็อปปิ้งข้าวของของคุณภายในหนึ่งเดือนเอาไว้ และบริหารใช้เงินเท่าที่จำกัดไว้เท่านั้น การทำเช่นนี้จะช่วยยับยั้งสติไม่ให้เราซื้อของกระจุกกระจิกอื่น ๆ ที่ไม่จำเป็นได้ค่ะ


    [​IMG] 2. ซื้อสิ่งที่จำเป็น ไม่ใช่สิ่งที่อยากได้

    ก่อนจะซื้อของอะไรสักอย่าง ถามตัวคุณเองให้ชัด ๆ ก่อนว่า สิ่งที่คุณกำลังจะเสียเงินไปเพื่อซื้อนั้น เป็นของที่จำเป็นต้องซื้อ หรือว่าเป็นเพียงเพราะคุณรู้สึกว่าอยากได้เท่านั้น ทุก ๆ เดือน สำรวจตู้เสื้อผ้าของคุณแล้วทำลิสต์สั้น ๆ เอาไว้ว่าสิ่งใดที่ขาดไป และคุณจำเป็นต้องมี เมื่อใดไปช็อปปิ้งก็อย่าลืมหยิบกระดาษโน้ตแผ่นนี้ไปด้วย สิ่งนี้จะช่วยเตือนไม่ให้คุณหยิบของอย่างอื่นนอกเหนือจากที่ลิสต์เอาไว้ แต่อย่างไรก็ดี มันก็ไม่ใช่เรื่องผิดถ้านาน ๆ ครั้งสาว ๆ อยากจะซื้ออะไรตามใจบ้าง แต่อย่างน้อยก่อนซื้อก็ขอให้แน่ใจว่าชุดสวยเตะตาตัวที่จะซื้อนั้น เมื่อคุณซื้อมันมาคุณจะได้ใส่จริง ๆ


    [​IMG] 3. ซื้อเสื้อผ้าลดราคา

    คุณต้องเสียเงินมากขนาดไหนกับการจับจ่ายซื้อเสื้อผ้าในราคาเต็ม และมาพบในอีกครึ่งเดือนให้หลังว่าร้านค้านั้นจัดโปรโมชั่นลดราคา ทั้งเพื่อการประหยัดเงิน และป้องกันอาการเจ็บช้ำหัวใจแบบนี้อีก เมื่อใดที่คุณหมายตาเสื้อผ้าสักชิ้นหนึ่ง จงรอจนกว่าจะถึงช่วงลดราคา นี่อาจฟังดูโหดร้ายไปสักนิด ที่การรอคอยไม่รู้จะสิ้นสุดเมื่อไร แต่วิธีนี้จะช่วยคุณประหยัดเงินในระยะยาวไปได้เยอะเลยทีเดียวค่ะ


    [​IMG] 4. คำนึกถึงคุณภาพก่อนปริมาณเสมอ

    การลงทุนกับเสื้อผ้าคุณภาพดีสักชิ้น แม้จะราคาสูงเอาการอยู่ แต่มันจะอยู่กับคุณไปได้อีกนาน เมื่อเทียบกับเงินจำนวนเท่ากันที่คุณสามารถนำไปซื้อเสื้อผ้าที่ตัดเย็บมาหยาบ ๆ มาได้สัก 2-3 ตัว การซื้อของโดยเน้นคุณภาพถือเป็นการลงทุนระยะยาว เสื้อเชิ้ตเนื้อดี ตัดเย็บปราณีตสักตัว อาจมีอายุการใช้งานได้นานหลายปี เมื่อเทียบกับแบบราคาถูก ตัดเย็บหยาย ๆ ซึ่งตะเข็บอาจปริ และสีซีดลงหลังจากสวมใส่เพียง 3-4 ครั้ง

    นอกจากนี้เพื่อความคุ้มค่า คุณยังสามารถคำนวณราคาของข้าวของหนึ่งชิ้นที่คุณมีตามจำนวนครั้งที่ใช้งาน โดยใช้ราคาเป็นตัวตั้ง แล้วหารด้วยจำนวนครั้งที่คุณคาดว่าจะได้ใช้ อย่างเช่น คุณซื้อรองเท้าคู่หนึ่งมาในราคา 500 บาท แต่ดู ๆ แล้ว โอกาสที่จะอำนวยให้คุณได้ใส่รองเท้าคู่นี้คงไม่น่าเกิน 4 ครั้ง นั่นหมายความว่า แต่ละครั้งที่คุณใส่รองเท้านั่นคือเงินจำนวนถึง 125 บาทเลยทีเดียว ในอีกทางหนึ่ง คุณตัดสินใจซื้อยีนส์เนื้อดีสักตัวด้วยราคาถึง 2000 บาท แต่คุณลองกะดูแล้วว่า คุณคงได้ใส่มันอย่างต่ำก็สัก 100 ครั้งแน่ ๆ เท่ากับกางเกงตัวนี้มีมูลค่าในการใส่ต่อครั้งที่ 20 บาท .. เท่านี้ก็เห็น ๆ อยู่ว่าอะไรคุ้มค่ากว่ากัน


    [​IMG] 5. ซื้อเสื้อผ้าที่พอดีกับรูปร่าง

    ฟังดูอาจจะพิลึก จะมีใครบ้างที่จะซื้อเสื้อผ้าที่ไม่พอดีกับรูปร่างของตัวเอง แต่ในกรณีนี้หมายความว่าให้คุณได้ลองสวมไส่เสื้อผ้านั้น ๆ จนแน่ใจว่ามันพอดีกับตัวคุณ ลองลุกนั่ง ยกมือ ขยับแขน ดูว่ามันรั้งหรือคับเกินไปหรือเปล่า หากคุณรู้สึกไม่สบายตัวตั้งแต่ในห้องลองเสื้อผ้า คุณจะไม่มีทางใส่มันได้สบายหากซื้อกลับไปแน่นอน นอกจากนี้ อย่ายึดติดกับไซส์ให้มากนัก ไซส์ของเสื้อผ้าแบรนด์ต่างๆ อาจแตกต่างกันไปตามแต่ผู้ตัดเย็บ ปกติคุณอาจใส่กางเกงพอดีที่ไซส์ 25 แต่เมื่อเปลี่ยนร้าน ไซส์ 27 อาจเหมาะกับคุณมากกว่า อย่าเชื่อตัวเลขที่บอกเอาไว้ ลองด้วยตัวคุณเองจะดีที่สุด


    และนี่คือเคล็ดลับง่าย ๆ แต่ใช้ได้จริง รู้อย่างนี้แล้วสาว ๆ อย่าลืมเอาไปใช้เพื่อช่วยบริหารเงินในกระเป๋ากันนะคะ จะได้ช็อปปิ้งกันได้แบบไม่ต้องกังวลใจค่ะ


    -http://women.kapook.com/view26159.html-








    .
     
  18. jirautes

    jirautes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +575
    :cool:โมทนาบุญทุกๆๆประการครับ
     
  19. evonaga

    evonaga เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +702
    ไม่ค่อยได้เข้ามาดูหลายวันแล้ว ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ได้ถวายพระวัง

    หน้าให้กับวัดต่างๆ ด้วยคนครับ
     
  20. ปฐม

    ปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ขอโมทนาบุญทุกประการครับผม
     

แชร์หน้านี้

Loading...