พุทธภูมิแบบตกกระไดพลอยโจน

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย tamsak, 25 มีนาคม 2011.

  1. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    ถาม : ...อย่างนั้นก็แปลว่าต้องมาในสายพุทธภูมิ... ?

    ตอบ : ใครที่ตามหลวงพ่อวัดท่าซุงมา มักจะเป็นพุทธภูมิแบบตกกระไดพลอยโจนทั้งนั้น

    คำว่า "ตกกระไดพลอยโจน" คือกำลังใจจริงๆ ไม่ได้คิดอยากจะเป็นพระพุทธเจ้า แต่อธิษฐานขอตามหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมา หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านต้องบำเพ็ญบารมี ๑๖ อสงไขยกับแสนมหากัป พวกที่อธิษฐานตามท่านมาในระยะแรกๆ บำเพ็ญบารมีมาไม่ต่ำกว่า ๑๐ อสงไขยทั้งนั้น

    ถ้าตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้าเองก็เลี้ยวไปได้ ๒ รอบแล้ว อยากเป็น แบบปัญญาธิกะ ก็เลี้ยวไปตั้งแต่ ๔ อสงไขยกับแสนมหากัปแล้ว ถ้าอยากเป็น แบบศรัทธาธิกะ ก็เลี้ยวไปตอน ๘ อสงไขยกับแสนมหากัป ประเภทตามอย่างเดียว ไปไหนไปด้วย ก็ว่าซะ ๑๐ กว่าอสงไขย

    ตอนขึ้นไปกราบขอลาพุทธภูมิ พระท่านอนุญาตให้ลาได้ แต่ตรัสว่างานเก่าให้ทำไปก่อน คือเรื่องของการสงเคราะห์คน ก็เลยกลายเป็นว่า อนุญาตให้ลาได้ ถ้าเอ็งแน่จริงก็เข้านิพพานไป ถ้าไม่แน่จริงต้องเหมางานเดิมต่อ เพราะท่านบอกว่างานเก่าให้ทำไปก่อน อาตมาพยายามหนีสุดชีวิตเลย เพราะร่างกายแย่ลงไปทุกวัน แบบนี้เขาเรียกว่า "พุทธภูมิแบบตกกระไดพลอยโจน" ไม่ได้เจตนาจะเป็นเลยถูกถีบออกหน้าให้ไปเป็นพระเอกเอง

    มีเรื่องที่เขาเล่ากันว่า มีเด็กตกน้ำส่งเสียงร้องช่วยด้วยๆ..แล้วมีชายคนหนึ่งพุ่งหลาวลงไปช่วยเด็กขึ้นมา จากนั้นบรรดานักข่าวตากล้องก็วิ่งกันมาเต็มไปหมด ทั้งถ่ายรูปทั้งขอสัมภาษณ์

    นักข่าวถามว่า "คุณคิดอย่างไรตอนที่ตัดสินใจกระโดดลงไปช่วย ?...มีอะไรจะพูดกับผู้ชมทางบ้านบ้าง ?" ชายคนนั้นถามกลับว่า "ใครถีบกูลงไปวะ ?" ....(หัวเราะ)...

    ไม่ได้เจตนาจะช่วยใคร เขาถีบให้ไปเป็นพระเอกจนได้ ไหนๆ ลงไปแล้วก็เลยช่วยเด็กขึ้นมาด้วย พวกเรามักจะต้องเจอในลักษณะอย่างนั้น


    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๕


    ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2559




    .
     
  2. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    อืม...
    มีแบบนี้ด้วยเหรอครับ แปลกดีจังครับ อิอิ

    งั้นแบบนี้ ร่วมกตัญญู ปอเต็กตึ้ง ก็ได้เป็นอ่าดิครับ ช่วยคนขนาดนั้น
    อยากเห็นพี่ๆๆๆ ที่บำเพ็ญมาอย่างน้อย ๑๐ อสงไขย จังเลยอ่าครับ คงจะรูปงามมากเลยอ่าครับ

    ขนาดว่า ชาดกเรื่องหนุ่มช่างทอง(มีรูปงามมาก) บำเพ็ญแค่ไม่กี่พระชาติเองยังงามขนาดนั้น แล้วอย่างน้อยตั้ง ๑๐ อสงไขยจะงามขนาดไหนน่า.....อยากเห็นจังครับ อิอิ
     
  3. Armarmy

    Armarmy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +1,659
    เคยคิด...เรื่องนี้เหมือนกัน นะครับ ว่า สายหลวงพ่อฤาษี ก็มีเยอะ แต่ก็ พากันลาเกือบหมด

    เคยคิดว่า...ทำไม?

    แล้วก็ ได้ ทราบอย่างนึงว่า เพราะไม่ได้มีเจตนาในด้านการที่จะเข้าถึงพระโพธิญาณจริง

    เป็นการ ปราถนาตามผู้นำ คือ หลวงพ่อ เจตนาตั้งไว้ ที่ติดตาม ไม่ใช่ตั้งไว้ ที่พระ

    โพธิญาณ โดยตรง ท้ายที่สุดจึงพากันลา เพราะ หัวหน้าลา ก็ต้องลาหมด ยากที่จะไปต่อ

    กำลังใจของ ท่านที่ตามมาไม่ได้เหมือนหลวงพ่อที่มุ่งหวังเป็นพระพุทธเจ้าโดยตรง

    มันยากที่จะอธิบายได้ว่า ทำไม? เพราะมันเป็น เรื่องแบบปัตจัตตัง นอกจาก รู้เอง ถึง

    เหตุผลนั้น คุณต้นละ ครับ เพลาๆ ลง นิดนะครับ ที่คุณ กำลังกล่าวเล่นอยู่นั้น คำพระนะ

    ครับ ศีลคุณมี 5 พระ 227 + เสขิยวัตรอีก เป็น 300 เศษๆ นะครับ ขอเตือนในฐานะ ที่

    คุณเป็นคนดีคนนึงในสังคมนะครับ พระที่ท่านกล่าว พุทธภูมิเก่า นะครับ รุ่นพี่คุณนะครับ

    การกล่าวอ้างพระไตรปิฏกมากๆ โดยขาด การปฏิบัติ มันจะเหมือน เถรใบลานเปล่า นะครับ

    อย่าเล่นให้เลยเถิดจนเกิดเป็น ทิษฐิมานะ ว่าตนเป็นผู้รู้มาก นะครับ มันจะเสียเวลาการทำ

    บารมีของคุณเองนะครับ แล้วเรื่องการ ที่บอกว่า ที่ตามๆ กันมา เกิน 10 อสงไขยหมดแล้ว

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านบอกนะครับ ไม่ใช่ว่า หลวงพี่ท่านไปรู้มาลอยๆ นะครับ

    ส่วนเรื่อง ที่ คุณ ตั้มศักดิ์ เอามาให้อ่านก็ ถือเป็นประโยชน์ข้อคิด เตือนสติได้ หลายจุด ขอ

    โมทนา กับพลวงพี่เล็กใน ธรรมทาน นี้ด้วยครับ

    กรรมใดก็ตามที่ล่วงเกิน โดยกาย วาจา และใจ มาตั้งแต่อดีตจนถึง ปัจจุบัน ขอท่านทั้งหลายโปรดอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
     
  4. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    ขอบคุณพี่มากครับ
    ผมเองก็ไม่ได้กล่าวๆๆ เล่นๆๆๆนะครับ
    กล่าวจริงๆๆๆ
    แล้วที่อ้างพระชาตินั้น มันก็จริงนะครับ
    ส่วนเรื่องที่รู้ว่านานแค่ไหน(๑๐ อสงไขย)นั้น ผมเองก็ไม่รู้ด้วยนะครับ แต่ถ้าเยอะขนาดนั้น ต้องมีอะไรเด่นอยู่แล้วนะครับ ยังไงซะก็เป็นตามกฎ การเพิ่มอยู่แล้วนะครับ

    ส่วนเรื่องการปฎิบัติ ที่พี่กล่าวมานั้น ผมไม่รู้หรอกว่าปฎิบัติของพี่เป็นงัยนะครับ

    ผมเองก็ไม่ได้เป็นผู้รู้มากอะไรหรอกนะครับ ก็ตอบตามที่เขียนมานั้นละ ว่า ๑๐ อสงไขย เพราะ ทำอะไร ก็ได้อัน นั้นอยู่แล้ว ไม่เห็นจะเกี่ยวว่ารู้มาก รู้น้อยเลยนะครับ
    โอเคไหมครับ
     
  5. Attila 333

    Attila 333 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    245
    ค่าพลัง:
    +716
    แต่ลีลามันผิดกันมาก...ระหว่างคนที่ตั้งใจโดดลงไปช่วย กับคนถูกถีบเนี่ยลงแบบเสียศูนย์ จริยามันผิดกันมาก
     
  6. patuwan

    patuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +842
    เรียนท่าน....tamsak...เพราะเหตุนี้....พระท่านจึงสั่งให้ทำหนังสือประวัติหลวงพ่อปานแจกใช่ไหม......
     
  7. unlogi

    unlogi Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +41
    ผมว่า 10 อสงขัย แต่ถ้ากรรมไม่ดีมันมาสนองเข้ามากๆ มันก็ไม่น่าจะสวย อยู่ที่เหตุและปัจจัยมาตามสนอง อ่ะคับ
    ถ้าอดีตเป็นคนมีน้ำอดน้ำทนมากๆ มีจิตเมตาต่อผู้อื่นเท่านี้ก็ ตายไปเกิดมาเป็นคนใหม่ก้น่าจะสวยแล้วหล่ะคับ
     
  8. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603


    ครับผม
    เพราะข้างบนเขียนว่า บำเพ็ญ ไม่ได้เขียนว่า ทำกรรมไม่ดี
    ซึ่ง บำเพ็ญ ก็จะหมายถึง เป็นคนมีน้ำอดน้ำทนมากๆ มีจิตเมตาต่อผู้อื่น อย่างที่ท่านเขียนมานะครับ ผลลัพธ์ที่ได้ ก็ต้อง งาม นะครับ
     
  9. unlogi

    unlogi Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +41
    ก็อย่างว่านะท่าน แต่ตามความเป็นจริงมันคละเคล้ากันไปไม่ใช่รึท่าน ทำดีบ้างพลาดบ้าง 10อสงขัยที่ตามหลวงพ่อท่านมา มันก็ต้องมีพลาดกันบ้างล่ะผมว่านะท่านคงจะหาสสวยๆยาก
    แต่ที่มีผมก็เดาๆเอานะว่าคงจะมีแน่ล่ะมั้งคับ:cool:
     
  10. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    <TABLE style="BORDER-TOP-WIDTH: 0px" class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR title="โพส 4515668" vAlign=top><TD class=alt2 width=125 align=middle>tamsak</TD><TD class=alt1>ถาม : ...อย่างนั้นก็แปลว่าต้องมาในสายพุทธภูมิ... ?

    ตอบ : ใครที่ตามหลวงพ่อวัดท่าซุงมา มักจะเป็นพุทธภูมิแบบตกกระไดพลอยโจนทั้งนั้น

    คำว่า "ตกกระไดพลอยโจน" คือกำลังใจจริงๆ ไม่ได้คิดอยากจะเป็นพระพุทธเจ้า แต่อธิษฐานขอตามหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมา หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านต้องบำเพ็ญบารมี ๑๖ อสงไขยกับแสนมหากัป พวกที่อธิษฐานตามท่านมาในระยะแรกๆ บำเพ็ญบารมีมาไม่ต่ำกว่า ๑๐ อสงไขยทั้งนั้น




    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    สำหรับผมที่ย่องๆตามพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านมานานเท่าไรนั้นไม่รู้ แต่คงจะไม่ใช่แบบตกบันไดพลอยโจน เพราะเท่าที่สังเกตสันดานของตัวเองนี่มันตามเพราะรักเคารพบูชาเทิดทูนพระคุณความดี ชอบปฏิปทาลีลาสัมมาปฏิบัติ ชอบแนวทางของ นักรบ นักรัก นักปกครอง ที่ทรงคุณธรรม ล้นเปรี่ยมไปด้วยความเมตตาปราณี ครบเครื่องสมบูรณ์แบบ ของคำว่าสุดยอดลูกผู้ชายชาตรี จึงได้ติดตามท่านมา และแม้ว่าท่านจะลาพระโพธิญาณไปแล้ว ก็ยังเคารพเทิดทูนบูชาในแนวทางของท่าน ไม่มีวันเสื่อมคลาย หวังว่าสักวันในอนาคตกาล จะนำธงชัยพระโพธิญาณวิริยาธิกะพิเศษแนวนี้ น้อมนำเทิดทูนเหนือเกล้านำไปถวาย พระเดชพระคุณหลวงพ่อให้จงได้ ขอ พระเดชพระคุณหลวงพ่อ จงโปรดสงเคราะห์เป็นพระประทีปแก้วส่องนำทางพระโพธิญาณตลอดไป จนกว่าจะถึงซึ่งวันบรรลุอภิเษกพระสัมมาสัมโพธิญาณในแบบวิริยาธิกะพิเศษในอนาคตกาลด้วยเถิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 สิงหาคม 2014
  11. unlogi

    unlogi Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +41
    ผมขอโมทนากับท่านด้วยครับ ผมเองก็จะไม่ยอมแพ้เหมือนกันครับ:cool:
     
  12. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171

    กำลังใจเข้มแข็งดีมาก สุดยอด :cool: :cool: :cool:

    ขออนุโมทนาบุญในความปรารถนาอันแรงกล้านี้นะครับ

    ผมเองก็มีจิตใจเหมือนคุณ PCO ที่เคารพรักและเทิดทูนพระเดชพระคุณหลวงพ่อมากเช่นเดียวกัน ท่านครบเครื่องในทุกเรื่องจริงๆ อย่างที่คุณ PCO กล่าวไว้ แม้ท่านลาเข้าพระนิพพานไปแล้ว แต่ผมก็ยังคงมุ่งหน้าเดินต่อไป

    ผมไม่ได้ตกกระไดพลอยโจน ผมไม่ได้ปรารถนาในแบบพิเศษอะไร แต่ผมก็หวังไว้ว่า ในสมัยของผมอย่างน้อยที่สุดก็ขอให้ลูกหลาน บริวาร และผู้ที่ติดตามผมมา เป็นคนดี มีความสุข พร้อมไปด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ และธนสารสมบัติ อย่างบริบูรณ์พร้อมพรั่ง เหมือนอย่างในสมัยของสมเด็จพระศรีอาริยเมตตรัย ใครที่ได้ฟังเทศน์จากผมครั้งเดียวก็ขอให้เข้าสู่ความเป็นพระอนาคามี ฟังสองทีให้เข้าสู่ความเป็นพระอรหันต์ เท่านี้ผมก็พอใจแล้วครับ :VO



    .
     
  13. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    tamsak
    ผมไม่ได้ตกกระไดพลอยโจน ผมไม่ได้ปรารถนาในแบบพิเศษอะไร แต่ผมก็หวังไว้ว่า ในสมัยของผมอย่างน้อยที่สุดก็ขอให้ลูกหลาน บริวาร และผู้ที่ติดตามผมมา เป็นคนดี มีความสุข พร้อมไปด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ และธนสารสมบัติ อย่างบริบูรณ์พร้อมพรั่ง เหมือนอย่างในสมัยของสมเด็จพระศรีอาริยเมตตรัย ใครที่ได้ฟังเทศน์จากผมครั้งเดียวก็ขอให้เข้าสู่ความเป็นพระอนาคามี ฟังสองทีให้เข้าสู่ความเป็นพระอรหันต์ เท่านี้ผมก็พอใจแล้วครับ

    โมทนาสาธุอย่างยิ่ง กับ unlogi และ คุณtamsak นะครับ ในสมัยหน้าขององค์สมเด็จพระศรีอาริยเมตตรัยนี่ก็สุดที่พรรณาถึงความล้ำเลิศดีงามไปด้วยประการทั้งปวงได้ ถ้าทำได้ประมาณพระองค์ท่านได้นี่ก็สุดปัญญาที่บรรยายถึงการสั่งสมบุญญาธิการ คุณธรรมความดีของพระองค์ท่านได้เลย การที่คุณtamsak ต้องการเหมือนอย่างพระองค์ท่านนี่ ถ้าเป็นนักเรียนก็ต้องเรียนหนักมาก ถ้าเป็นนักกีฬาก็ต้องฝึกฝนกันอย่างหนักหนาสาหัสมาก ก็ขอโมทนาสาธุการอีกครั้งขอจงสมความปรารถนาในพระโพธิญาณครับ
     
  14. oska_birt

    oska_birt สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2006
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +1
    ถึงผู้ที่มีความปรารถนาอันสูงส่งหลายๆท่าน

    ข้าพเจ้าได้เข้ามาอ่านกระทู้หลายต่อหลายกระทู้ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า บางกระทู้ข้าพเจ้าอ่านแล้วรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ทรงเสียสละอย่างใหญ่หลวงเพื่อหมู่มวลสรรพสัตว์ แต่บางกระทู้ที่ข้าพเจ้าอ่านแล้วรุ้สึกแปลกประหลาดใจทุกครั้งที่ได้อ่านกระทู้พวกนี้ อย่างเช่นกระทู้ของคุณ JAMSAK ที่กล่าวว่า พุทธภูมิ แบบตกกระไดพลอยโจน ซึ่งเท่าที่ข้าพเจ้าศึกษาพระพุทธศาสนามาพอสมควร ข้าพเจ้าคิดว่าความปรารถนาพุทธภูมินั้น เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และต้องมีความมานะเพียรพยายามอย่างยิ่งยวด และคนที่ปรารถนานั้นจะเป็นใครก็ตามเขาผู้นั้นต้องปรารถนาด้วยตนเอง อย่างเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ ไม่ย่อท้อ ไม่ใช่ว่าปรารถนาตามคนอื่นเขามาโดยที่ตัวเองไม่ได้มีความตั้งใจอันแรงกล้าด้วยตัวของเขาเองแต่แรก แต่พอมารู้ที่หลังก็ยอมรับที่จะปรารถนาตามน้ำไปเลย ข้าพเจ้าเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องเหมาะสมที่จะนำเรื่องเช่นนี้มาพูดเป็นเรื่องที่น่ายกย่องชมเชยกันว่าใครปรารถนาพุทธภูมิบ้าง ซึ่งข้าพเจาคิดว่าคนที่เขาปรารถนาจริง และมีความตั้งใจอย่างแรงกล้านั้นยังมีอยู่มากมายแต่เขารู้ตัวเขาเอง เขาย่อมไม่นำความปรารถนาอันยิ่งใหญ่มาพูดโอ้อวดให้เป็นเรื่องน่ายกย่องของคนในสังคมหรอกนะครับ คนที่เขามีความปรารถนานั้น เขาย่อมรู้ตัวเองอยู่และมุ่งที่จะปฏิบัติให้ถึงซึ่งบรรลุความตั้งใจให้จนได้โดยที่ไม่สนใจว่าจะมีใครมาชื่นชมยกย่องหรือไม่ จึงอยากให้ผู้ที่มุ่งปรารถนาพุทธภูมิอย่างแท้จริงอย่ามัวหลงอยู่ในสิ่งที่หลอกลวงนี้ จงตั้งสติว่าสิ่งที่ควรทำคืออะไรและ ความปรารถนาพุทธภูมิเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และต้องทนทุกขเวทนาแสนสาหัส ขอท่านทั้งหลายอย่าเห็นเป็นเรื่องเล่น ที่จะนำมาพูดโอ้อวดชมเชยกัน เพราะใครๆก็ปราราถนาพูทธภูมิได้ แต่มีน้อยคนนักที่จะทำความปรารถนานั้นให้สำเร็จได้ ความปรารถนานั้นจะสำเร็จได้ด้วยการปฏิบัติ ไม่ใช่แค่พียงลมปาก ขอให้สหายธรรมทุกท่านมีสติกลับมาและมุ่งการปฏิบัติให้มากขึ้น ให้ยิ่งยวดดั่งที่องคืสมเด้จพระสัมมาสัมพูทธเจ้าทั้งหลายได้ปฏิบัติมาเป้นแบบอย่งอันดีงามแล้ว สุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าก็ขออภัย ถ้าบางคำพูดที่อาจจะกระทบ หลายๆท่าน แต่ข้าพเจ้าก็ต้องการที่จะแสดงความคิดเห้นอย่งที่ไร้สึกก็แค่นั้นเอง ข้าพเจ้าก็ขออภัยท่านเหล่านั้นไว้ ณ ที่นี้ด้วย และขอให้ทุกท่าน ที่ตั้งใจแน่วแน่ ได้สำเร็จสมควรปรารถนาในสิ่งที่ดีที่งาม ด้วยความวิริยะอุตสาหะของตัวท่านเอง เทอญ.
     
  15. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171

    หลายท่านที่เข้ามาอ่านอาจจะไม่เข้าใจคำว่า "พุทธภูมิแบบตกกระไดพลอยโจน" ในที่นี้มากนัก ผมขอเอาความเข้าใจของผมมาแสดงไว้ ณ ที่นี้ เพื่อแลกเปลี่ยนความเข้าใจระหว่างกัน ซึ่งอาจจะผิดหรือถูกก็เป็นได้ทั้งสิ้น ดังนั้น ขอให้อ่านในฐานะที่เป็นความคิดเห็นและความเข้าใจของผมโดยส่วนตัวก็แล้วกันครับ

    โดยปกติการตั้งความปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้าเพื่อช่วยรื้อสัตว์ขนสัตว์ให้พ้นจากวัฏฏะสงสารนั้น ผู้ปรารถนาก็มักปรารถนาโดยใช้กำลังใจของตนเองจริงๆ มีจิตใจที่สงสารอยากช่วยสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ด้วยตนเอง ไม่ได้คิดทำตามผู้อื่นด้วยเห็นว่าเป็นเรื่อง โก้เก๋ เท่ ฯลฯ และย่อมทราบดีว่าหนทางในการบำเพ็ญเพียรเพื่อให้บรรลุความปรารถนานั้นยาวไกลและเต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนามนานับประการ แต่ก็ยังมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะฝ่าฟันไปให้ถึงจุดหมายปลายทางที่ตั้งใจไว้นั้น

    แต่กรณี "พุทธภูมิแบบตกกระไดพลอยโจน" นั้น เป็นกรณีที่ ผู้ปรารถนาไม่ได้มีใจอยากเป็นพระพุทธเจ้าด้วยตนเอง แต่ปรารถนาที่จะติดตามบุคคลที่ตนเคารพรักและศรัทธา ยอมยกให้เป็นหัวหน้าของตน เมื่อหัวหน้าของตนทำอะไรก็ทำด้วย เพื่อช่วยให้ภารกิจของหัวหน้าสำเร็จลุล่วง ไม่ว่าหัวหน้าจะไปทางไหน บุกป่าฝ่าหนาม ขึ้นเขาลงห้วย ลุยน้ำลุยไฟ หรือแม้กระทั่งจะขึ้นสวรรค์หรือลงนรก ตนก็พร้อมติดตามไปในทุกภพทุกที่ โดยไม่คำนึงว่าจะต้องใช้เวลาติดตามยาวนานกี่อสงไขย

    ในระหว่างการติดตามหัวหน้าของตน โดยเฉพาะผู้ที่เป็นหัวหน้า คือ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง นั้นเป็นพุทธภูมิใหญ่ บำเพ็ญบารมีมาในแบบวิริยาธิกะ ใช้เวลานานสิบหกอสงไขยเศษๆ (หากนับรวมระยะเวลาตั้งแต่เริ่มตั้งจิตปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้าก็บำเพ็ญบารทั้งหมดมาเกือบแปดสิบอสงไขย) ระหว่างทางที่บำเพ็ญบารมีมานั้น หัวหน้าใหญ่คือหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านเป็นนักรบมาหลายชาติ กู้บ้านกู้เมืองมามากมาย ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนามาโดยตลอด

    การบำเพ็ญบารมีในสายของหลวงพ่อวัดท่าซุง ในลักษณะของการเป็นนักรบเป็นส่วนใหญ่ ต้องใช้กำลังใจที่เข้มแข็งจึงจะรักษาชาติบ้านเมืองและธำรงพระศาสนาเอาไว้ได้ เมื่อหัวหน้าทำอะไร ผู้ติดตามก็ทำด้วย และทำด้วยความเต็มใจ ทำด้วยกำลังใจที่เต็มเปี่ยม ด้วยหวังให้ชาติบ้านเมืองอยู่รอดปลอดภัย ไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของชนชาติอื่น ในขณะเดียวกันก็ทำนุบำรุงพระศาสนาไปด้วย ปฏิปทาและกำลังใจในลักษณะนี้ ต้องอาศัยกำลังใจของพุทธภูมิเท่านั้นจึงจะทำให้งานสำเร็จ ในขณะเดียวกันก็พร้อมช่วยสรรพสัตว์ทั้งหลายโดยเฉพาะลูกหลานและบริวารของตนให้พ้นทุกข์เฉกเช่นเดียวกับที่หัวหน้าของตนทำให้ดู ทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง

    การสร้างบารมีแบบตามๆ หัวหน้าของตนเช่นนี้ ก็กลายเป็นว่า ผู้ติดตามนั้นก็ได้ทำบารมีในแบบพุทธภูมิเช่นเดียวกัน แต่ด้วยความที่ไม่ใช่ความปรารถนาแท้จริงของตนในการที่จะเป็นพระพุทธเจ้าเอง เมื่อหัวหน้าของตนลาจากพุทธภูมิและเข้าสู่พระนิพพาน ผู้ที่ติดตามมาเป็นจำนวนมากเมื่อเห็นว่าหัวหน้าของตนลา ต่างคนก็ต่างลาเข้าพระนิพพานตามหัวหน้าของตน เป็นอันจบเรื่องความเป็นพุทธภูมิกัน แต่ก็มีบางคนที่เห็นว่า ไหนๆ ก็ทำมามากมายแล้ว ขออยู่ต่ออีกหน่อย ทำต่ออีกหน่อยเถอะน่า อย่างนี้ก็มีหลายท่านเหมือนกัน

    ผมได้มีโอกาสเรียนถามหลายๆ ท่านว่า "ท่านทำบารมีมามากมายขนาดนี้ ท่านไม่เสียดายบ้างหรือ ?" ทุกท่านตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า "เมื่อหัวหน้าลา ก็ลาตามหัวหน้า" สั้นๆ ง่ายๆ แต่ได้ใจความ นี่แหละที่เรียกว่า "พุทธภูมิแบบตกกระไดพลอยโจน"



    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 เมษายน 2011
  16. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,909

    .........ท่านเขียนได้ซาบซึ้งครับ...."เตือนสติ"อย่างผู้มี

    ใจ"ปรารถนาดี"ต่อเพื่อนสมาชิก...

    .........พระพุทธองค์เคยตรัสกับพระอานนท์ว่า"บุคคลใดชี้โทษ

    หรือแสดงโทษแก่เธอ....เธอพึงคบบุคคลผู้นั้นเถิด....เพราะผู้ชี้

    โทษแก่เธอ..คือ.."ผู้ชี้ขุมทรัพย์".."

    ....ผมก็ขอน้อมนำคำตรัสสอนนี้แด่.."ท่านผู้โอบอ้อมอารีย์"ด้วย

    ครับ.
    ......................................................................

    .........แต่ผมก็ขอแก้ต่างแทนคุณ tamsak ด้วย...ว่า"ท่าน

    เพียงแต่นำถ้อยคำคำตอบของพระอาจารย์ท่าน"...มาอธิบาย

    ความนำเสนอให้ผู้อ่านเข้าใจยิ่งขึ้น.....เพราะจาก..ที่อ่านบท

    ความของท่านในหลายกระทู้........รู้สึกว่า"ท่านเคารพศรัทธา

    พระรัตนตรัยจากใจจริงครับ".
     
  17. AVATAAR

    AVATAAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +603



    ทัศนะส่วนตัวอย่างสั้นๆครับ พุทธภูมิแบบตกกระไดพลอยโจน<!-- google_ad_section_end --> จะตีความเอาเป็นแบบที่ท่านอาจารย์ว่านั้นก็ได้


    แต่ถ้าพิจารณาว่าทุกอย่างที่ได้ทำตามกันมา ปรารถนามา หรือบำเพ็ญเพียรสั่งสมบารมีด้วยกันมา จนมาประสบพบเจอกัน ชอบกัน เคารพกัน ศรัทธากัน ช่วยเหลือกัน ฯ คงไม่ใช่เหตุบังเอิญหรือตกกระไดพลอยโจนแต่อย่างใด ทุกๆท่านคงมีเหตุปัจจัยของตนเองและด้วยกันมาตั้งแต่เบื้องต้นแล้วทั้งสิ้น


    ถ้าด้วยไม่ใช่ด้วยเหตุบังเอิญ การปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะเป็นปถุชนคนธรรมดา หรือแม้แต่เหล่าสรรพสัตว์ตลอดถึงเทวดา พรหม เมื่อได้เห็นพระพุทธเจ้า ได้เห็นอภิญญา ความอัศจรรย์ รูปทรงงดงามไม่มีทีติ รัศมีกายสว่างไสวไปทั่วสามภพ ใครเห็นเข้าก็บังเกิดความเลื่อมใสศรัทธา และปรารถนาหรืออยาก จะเป็นอย่างพระพุทธเจ้าบ้าง โดยที่ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเป็นได้อย่างไร เป็นแล้วจะบังเกิดผลเช่นไร และแม้ยังไม่รู้ตามความเป็นจริง(อริยสัจ)และวงจรแห่งสังสารวัฏ แต่ต่างก็ปรารถนาอยากมีอยากเป็นเหมือนพระพุทธองค์กันบ้างไว้ก่อนเป็นเบื้องต้น


    นี่จึงน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า


    ใครๆก็อยากไปหมดทั่วทั้งสามโลกธาตุ แต่น้อยนักที่จะถึงความปรารถนาในพระโพธิญาน การบำเพ็ญบารมีจึงต้องปฏิบัติด้วยความยิ่งยวดเข้มแข็งและใช้เวลาเนิ่นนานยิ่งนัก

    ยิ่งได้บำเพ็ญบารมีมานานนับเป็น ๑๖ อสงไขย ๒๐ อสงไขย หรือ ๘๐ อสงไขยแล้ว ต้องผ่านอุปสรรคมามากมายจนเหลือจะพรรณาได้
    การบำเพ็ญบารมีมามากนั้น อยู่ที่กำลังใจเป็นสำคัญ ถึงจะบำเพ็ญบารมีมามากมายสักเพียงไร ถ้ามีเหตุปัจจัยให้ได้ต้องเข้าพระนิพพานไป ก็ให้เป็นไปได้อยู่ทุกเมื่อทุกเวลา ตราบใดที่ยังไม่ได้เป็นนิตยโพธิสัตว์

    เมื่อปฏิบัติจนใกล้จะเกิดมรรคผล แล้วจึงจะมีทางแยกให้เลือกว่าจะเข้า พระนิพพาน หรือ ปรารถนามาทางพุทธภูมิ
    กาลระหว่างนี้ ต้องเป็นตนเองเท่านั้นที่จะรู้และจะเลือก ด้วยเหตุปัจจัยการบำเพ็ญบารมีที่สั่งสมมาของตนเองเอาไว้แล้ว

    สำหรับการลาพุทธภูมินั้น ก็ให้เป็นไปได้อยู่ทุกเมื่อทุกเวลา ตราบใดที่ยังไม่ได้เป็นนิตยโพธิสัตว์
    ด้วยเหตุที่จะรักษาประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หรือเพื่อหมู่ชน หมู่สงฆ์ อันนำความผาสุข สันติมาให้
    โดยเป็นเหตุให้ต้องทำผิดศีล ต้องดูที่เจตนาเป็นสำคัญ ถ้าเจตนาดีทำไปเพื่อการอันควรแก่มวลหมู่มากนั้นพึงต้องพิจารณาการกระทำโดยแยบคาย

    ผู้เป็นพระโพธิสัตว์ผ่านมาต้องเคยพานพบประสบเหตุการณ์ทำนองนี้เข้ามามากมายนับไม่ได้ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

    และถ้าการลาพุทธภูมิเพราะด้วยเหตุปัจจัยเพียงแค่นี้ จึงยังเป็นเหตุและปัจจัยอันดูไม่สมควรเหมาะสมให้ถึงกับต้องลาพุทธภูมิ

    ต้องมีอะไรที่มากกว่าและลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น...ไม่มีใครรู้นอกจากพระโพธิสัตว์ท่านเองเท่านั้น...ปัจจัตตัง



    กราบพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
     
  18. Nuthsunti

    Nuthsunti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +328
    ขอกราบอนุโมทนาบุญกับข้อความที่เกี่ยวข้องกับการตั้งความปราถนาเป็นพระโพธิสัตว์ครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  19. AVATAAR

    AVATAAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +603
    โดยส่วนใหญ่เหล่าพุทธภูมิ มักจะเปี่ยมไปด้วยมหาเมตตาและกรุณา ด้วยพยายามพัฒนาตนสร้างบารมี จนบางครั้งอาจขาดความแยบคายในการพิจารณาและการกระทำ จนต้องได้รับวิบากที่ตนทำไปก็มีเยอะ

    มุมมองต่อไปนี้เป็นมุมมองที่แตกต่างออกไปจากมุมมองของเหล่าพุทธภูมิ

    เรื่องมีอยู่ว่า...มีเมือง ๆ นึงอยู่ไม่ไกลจากชายป่าที่พวกเค้าอาศัยนัก ในเมืองนั้นมีพระมเหสีท้องแก่ กำลังแพ้ท้อง เด็กที่อยู่ในท้อง ทำให้พระมเหสีอยากเสวยแต่น้ำผึ้ง แต่ว่าต้องเป็นน้ำผึ้งหลวงที่มีความเข้มข้นสูง คือเป็นผึ้งที่มีรังใหญ่ รังใหญ่ก็คือ มันเป็นน้ำผึ้งที่เก็บกักไว้นานเป็นปี ๆ มีความหวานหอม เมื่อใดที่ได้เสวยน้ำผึ้งแล้ว อาการทุรนทุรายแพ้ท้องก็ค่อย ๆ ทุเราเบาบางไปในที่สุด วันนึงพระมเหสีเกิดพระสุบินนิมิตไปว่า มีผึ้งหลวงรังใหญ่ อยู่ชายป่าไม่ไกลนัก ทรงอยากเสวย จึงเล่าความนี้ให้พระราชาฟัง พระราชาทรงเชื่อที่พระมเหสีทูล รับสั่งให้ทหารไปตามที่พระมเหสีนิมิต เหล่าทหารก็ไปตามรับสั่ง แต่ว่า ไปถึงก็มีรังผึ้งตามนั้น มันเป็นต้นไม้ใหญ่หลายคนโอบ รังผึ้งอยู่สูงมากปลายยอด รังผึ้งใหญ่ประมาณ 2 เมตร เป็นรังเก่าแก่ มีผึ้งนับแสนตัว ไม่มีใครขึ้นไปเอาได้ จะรมควัน ก็ยาก เพราะอยู่สูงเกินไป ควันไฟไปไม่ถึง จึงกลับมากลาบทูลพระราชาของตนว่า ข้าแต่พระองค์ ไม่มีผู้ใดอาจหาญปีนป่ายไปเอารังผึ้งนั้นได้เลย เพราะอยู่สูงมาก พระราชาจึงป่าวประกาศออกไป

    ไม่ว่าจะเป็นใคร ถ้าสามารถนำรังผึ้งนี้มาให้พระมเหสีเราเสวยได้ เราจะตบรางวัลให้อย่างงาม เราจะแบ่งทรัพย์สินให้ปกครองครึ่งนึง ก็มีพรานป่าร่างกายกำยำผู้นึง เป็นผู้ชำนาญในการหาของป่า ตามต้นไม้ พรานผู้นี้ มีวิชาปีนป่ายต้นไม้ เป็นผู้ชำนาญในการเก็บหาของบนต้นไม้ พรานผู้นี้นุ่งผ้าจูงกระเบน ไม่ใส่เสื้อ หนวดเครารุงรัง รับอาสาว่าจะไปเอารังผึ้งนี้มาให้ เค้าก็ใช้วิชาปีนป่ายตามถนัด คือทางของแกอยู่แล้ว เรื่องเก็บของบนต้นไม้ เค้าปีนขึ้นไปจนถึงยอด แล้วร่ายมนต์เป่าไป ผึ้งน้อยก็หลับไหลไม่ได้สติ ร่วงมาอยู่กับพื้นกันทั้งรัง พรานผู้นี้ จึงตัดเอารวงผึ้งไปโดยง่าย ฝ่ายพลพรรคผึ้งน้อยใหญ่ทั้งหลาย พอมนตราเสื่อมลง เค้าก็บินหารังเค้าว่า รังพวกเราหายไปไหน แม่และน้อง ๆ ของพวกเรา ไปไหนใครเอาไป เค้าบินกระจายไป 10 ทิศ บินหารังเค้าแม่และน้อง ๆเค้าหายไปไหน ผึ้งหนุ่มผู้มีปัญญากว่าเค้า เริ่มดมหากลิ่นตามกิ่งไม้ เค้าเชื่อว่า คนที่มาเอารังนี้ไปอย่างน้อยก็ต้องมีกลิ่นติดตามกิ่งก้านใบของไม้ต้นนี้บ้าง เค้าจึงใช้วิชาดมกลิ่น ตามไป คือสัตว์นะ มันมีสัมผัสพิเศษ สามารถตามกลิ่นศัตรูไปได้ ผึ้งจะมีหูดีเค้าสามารถฟังเสียงพวกเดียวกันได้ไกล ๆ เค้าตามไปจนถึงรัง ซึ่งก็เป็นห้องเก็บอาหารในพระราชวัง .. เฝ้าสังเกตดูว่ารังเค้ายังอยู่สมบรูณ์ดี แม่และน้อง ๆ ยังไม่ถึงทำลาย แล้วเค้าจะทำอย่างไร

    ระหว่างที่มองเค้าก็ทราบว่า เหตที่มาของการถูกขโมยรัง คือพระมเหสีท้องแก่ ต้องเสวยน้ำผึ้ง จึงจะหาย ถ้าไม่ได้ดื่มกินน้ำผึ้งเก่าๆ ที่เก็บกักมานาน เค้าจะทุรนทุรายทุกข์ทรมานมาก แล้วนี้เค้าจะทำอย่างไร พาพวกมาเข่นฆ่าคนพวกนี้ มันก็ง่ายเหลือเกิน ผึ้งนับแสนตัว คิดก่อการคงไม่ยาก แต่กรรมทั้งหลายก็จะตกแก่พี่น้องเค้า ไอ้ที่เราจะไม่บอกกับพี่น้อง เราก็จะกลายเป็นผึ้งที่ไม่เอาพี่น้อง ไม่สามรถเข้ากลุ่มเข้าฝูงได้เพียงแค่ เห็นแก่คนแค่สองคน ทำให้แม่และน้อง ๆ ต้องล้มตายลงมากมาย ผึ้งหนุ่มคิดวิตก ความขัดแย้งเกินขึ้นในใจ จนเค้าไม่รู้จะทำอย่างไร เค้าบินเข้าไปในบึงบัว คิดว่า เราควรจะดื่มกินเกสรดอกบัวสักหน่อยให้พอผ่อนคลายแล้วจึงคิดหาทางออกใหม่ ผึ้งหนุ่มบินดูดเกสรดอกบัว ที่มีรสชาดหอมหวาน กลิ่นเกสรดอกบัวทำให้เค้าผ่อนคลายอารมณ์ที่กลัดกลุ้มลง เมื่ออารมณ์คลายตัว จิตก็เริ่มสงบลง เค้าหลับตานิ่ง ๆ ชั่ววูบนึงก็เข้าสู่ภวังค์ไปนานเท่าไรไม่ทราบ
    ด้วยความเคยชินในอารมณ์ฌาณ (ของความเป็นพรหมมาก่อน) จิตที่เคยดิ่งอยู่ในสมาธิมาก่อนก็รวมตัวกัน จนดวงจิตหลุดจากตัวผึ้ง แล้วมองไปยังร่างของผึ้งที่เค้าออกมา เค้าจึงรู้สึกตัวว่า ที่จริงแล้วเราไม่ใช่ผึ้ง ผึ้งก็ไม่ใช่ตัวเรา เพียงแต่เราไปอาศัยอยู่ในตัวผึ้ง แล้วเค้าก็รู้ต่อว่า เค้าไม่จำเป็นที่จะต้องทำกิจอันใดต่อไปเกี่ยวกับผึ้งต่อไป เพราะแท้จริงเค้าไม่ใช่ผึ้ง เพราะในความเป็นผึ้งเค้าจึงติดในอุปทานของความเป็นผึ้ง บัดนี้เรารู้ว่า เราไม่ใช่ผึ้ง อุปทานในความเป็นผึ้งจึงจบไป เราไม่จำเป็นต้องทำอะไรในความเป็นผึ้งอีกต่อไป เพราะแท้จริงเราไม่ใช่ผึ้ง มันเหมือนกับว่า กรรมที่เกิดขึ้นมันก็เป็นกรรมของผึ้งพวกนั้น เค้าไม่จำเป็นต้องรับรู้รับผิดชอบอะไรอีก (มันเหมือนว่า....กรรมของสัตว์เหล่าอื่น ที่ไม่ผึ้งเค้าก็ไม่จำเป็นต้องไปรับรู้ กรรมของใครก็ของเค้า กรรมของคน อื่น ๆ เราก็จะไม่รู้สึกรู้สาอะไร เพราะเค้าไม่ได้เกี่ยวกันอะไรกับเรา

    ด้วยความเป็นทิพย์ของจิตเค้าก็มองไปว่ากรรมอันใดหนอ จึงทำให้เรามาเกิดเป็นผึ้ง ด้วยความเป็นทิพย์ของจิตก็มีภาพปรากฎว่า ย้อนไปจากนี้อีก 500 ชาติ เค้าเป็นเด็กน้อย วันนึงบิดาเก็บรังผึ้งมารังนึง จะเอาไปถวายพระ เค้าดีใจที่เห็นพ่อนำรังผึ้งมาถวายพระ แค่ดีใจ คือยินดีกับกรรมของพ่อที่ได้รังผึ้งมา ทำให้เค้าต้องมาเกิดเป็นผึ้ง หาน้ำหวานมาเก็บในรังผึ้ง แล้วกรรมอะไรเล่าที่ทำให้เด็กในท้องพระมเหสีอยากจะกินแต่น้ำผึ้ง เค้าก็ทราบโดยไม่ยากว่า เด็กคนนี้อดีตก็คือผึ้ง ในรัง ที่หวงแหนน้ำผึ้งที่ถูกคนมาขโมยเก็บเอาไป แล้วผึ้งน้อยใหญ่พี่น้องเค้า ก็คือบุคคลที่เคยเกิดเป็นคนหาของป่าไปเก็บเอาน้ำผึ้งป่ามากิน มาขายเป็นอาชีพ เมื่อตายจากความเป็นคนแล้วจึงมาเกิดเป็นผึ้ง หาน้ำหวานกรรมที่ได้เก็บน้ำผึ้งทำให้เค้าได้มาเกิดเป็นผึ้งมาแล้ว 100 ชาติ ส่วนเด็กในท้องพระมเหสีเมื่อสมัยเป็นผึ้งกล่าวอาฆาตคนพวกนี้ในชาตินั้น ๆ จึงได้มีกรรมต่อกันในชาตินี้ กรรมที่ได้ผูกพันต่อกัน จึงมากระทำในชาตินี้ และจะเป็นวงจรผูกพันต่อกันต่อไป ตราบใดที่ยังไม่อโหสิกรรมต่อกัน ....ตัวเค้าแค่ยินดีกับพ่อที่หาน้ำผึ้งมาได้ ก็ต้องมีกรรมมาเป็นผึ้งงานหาน้ำผึ้งใส่รัง

    บัดนี้ เค้ารู้แล้วแท้จริงไซร้ เราก็ไม่ใช่ผึ้ง เค้าไม่จำเป็นต้องไปโกรธแค้นใครอีก ให้มันเป็นกรรมต่อกัน เราควรจะตัดกรรมต่อกันในชาตินี้ เมื่อรู้วาระกรรมเช่นนั้น เค้าจึงไม่จำเป็นต้องไปบอกข่าวกับผึ้งตัวใดให้มาเอารัง เพียงรู้ว่า เราแท้จริงไม่ใช่ผึ้ง กรรมที่เราเป็นผึ้งจึงไม่มี ว่าแล้วเค้าจึงเข้าสมาธิเต็มกำลังเหมือนสมัยเมื่อเป็นพรหม ดึงจิตกับไปเป็นพรหมเหมือนเดิม จบครับ สงสัยหรือป่าวว่า จากสัตว์กลับเป็นพรหม ง่ายอย่างนั้นเชียวรึ ใช่ครับ คนที่เกิดเป็นพรหม ก่อนตายต้องมีจิตอยู่ในณาณสมาบัติ จึงจะเป็นได้ ไม่ว่าจะคนหรือสัตว์ถ้าทรงในอารมณ์ฌาณเงื่อนไขนี้ได้ ก็เป็นได้เหมือนกัน เอ วัง ก็มีด้วยประการเช่นนี้

    เรื่องนี้เราจะเห็นว่า กรรม นั่นแหละ ที่ทำให้เป็นไป เราจึงไม่ควรก้าวล่วงยินดีในอกุศลกรรมของใคร ทั้งนั้น เพราะมันจะเป็นกรรมที่ผูกพันกันไปมาไม่จบสิ้น
    ในความเป็นอุปทานของคนหรือสัตว์ก็ไม่ต่างกัน มักจะยึดมั่นถือมั่นในเผ่าพันธ์ของตน ต่อเมื่อพ้นจากภาระนั้นแล้ว อุปทานทั้งหลายจึงถูกถอดถอนออกไป



    ลองคิดเล่นๆว่าถ้าผึ้งตัวน้อยนั้นเป็นพระโพธิสัตว์เล่า เหตุการณ์จะลงเอยเช่นไร...?
     

แชร์หน้านี้

Loading...