มหัศจรรย์แห่งพระธาตุ คำอธิบาย..."ทางธรรม - ทางวิทยาศาสตร์"

​

พระสุลาน ปภัสสโร พระลูกวัดบ้านได้นำเอาเส้นเกศาและฟันหลวงตาพระมหาบัวที่กลายเป็น "พระธาตุ" มาแสดงต่อสื่อมวลชน​

พิธีเก็บอัฐิหลวงตามหาบัว​

ญาติโยมจำนวนมากแห่เก็บเถ้าอัฐิของหลวงตามหาบัว​

เส้นเกศาและฟันหลวงตาพระมหาบัวที่กลายเป็น "พระธาตุ" ​

ปาฏิหาริย์และความน่าอัศจรรย์ใจอย่างหนึ่งหลังจากเผาสรีระของพระอริยสงฆ์ คือ กระดูกที่เผาไฟแล้วก็ดี หรือยังไม่เผาไฟก็ดี สามารถแปรเปลี่ยนเป็นผลึก รูปร่างต่างๆ สีสันสวยงาม คล้ายกรวด คล้ายแก้ว ไม่เพียงแต่กระดูกเท่านั้น ผม เล็บ ฟัน หรือแม้กระทั่งชานหมากของท่านเหล่านั้น ก็พบว่าสามารถแปรเป็นพระธาตุได้เช่นกัน โดยล่าสุดเกิดกับพระธรรมวิสุทธิมงคล หรือหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี ซึ่งได้พระราชทานเพลิงสรีระเมื่อวันเสาร์ ที่ ๕ มีนาคมที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มีอัฐิพระอริยสงฆ์ในยุคปัจจุบัน ที่สามารถแปรเป็นพระธาตุนั้นก็มีอยู่ด้วยกันหลายรูป แต่ละรูปก็มีลักษณะของพระธาตุจำนวนมากมาย ทรงไว้ด้วยความน่าอัศจรรย์ใจ เช่น หลวงปู่พระสุพรหมยานเถร (พรหมา พรหมจักโก) วัดพระพุทธบาทตากผ้า จ.ลำพูน หรือครูบาเจ้าพรหมจักรได้ดับขันธ์ (มรณภาพ) ในท่านั่งสมาธิภานา เมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๒๗ เวลา ๐๖.๐๐ น.อายุ ๘๗ ปี ๖๗ พรรษา หลังจากพระราชทานเพลิงเสร็จสิ้นแล้วได้เก็บอัฐิ ปรากฏว่าอัฐิของครูบาเจ้าพรหมจักรได้กลายเป็นพระธาตุ มีวรรณะสีต่างๆ หลายสี

ทั้งนี้ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม วัดป่าอรัญวิเวก ต.บ้านป่า อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม พระอริยะสำคัญสายพระอาจารย์มั่น และเป็นสหายร่วมธุดงค์ของหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ได้เคยกล่าวไว้ว่า

"อำนาจตบะที่อริยบุคคลได้ตั้งหน้าบำเพ็ญเพียรเพื่อขัดเกลากิเลสนั้น มิได้แผดเผาชำระล้างเฉพาะกิเลสเท่านั้น หากแต่ได้แผดเผา ชำระล้าง ซักฟอกกระดูกในร่างกายให้กลายเป็นพระธาตุไปด้วยในขณะเดียวกัน"

ส่วนกรณีของธาตุของหลวงปู่มั่น ภูริทัตตมหาเถร ณ วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร เมื่อถวายพระเพลิงเสร็จแล้ว อัฐิขององค์หลวงปู่ได้ถูกแบ่งแจกไปตามจังหวัดต่างๆ และประชาชนได้เถ้าอังคารไป ยังที่ต่างๆ ก็กลายเป็นพระธาตุไปหมด แม้แต่เส้นผมของท่านที่มีผู้เก็บไปบูชาในที่ต่างๆ ก็กลายเป็นพระธาตุนั้น หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เคยอธิบายไว้ว่า

"อัฐิพระอรหันต์ก็ดี ของสามัญชนก็ดี ต่างก็เป็นธาตุดินเช่นเดียวกันการที่อัฐิกลายเป็นพระธาตุได้นั้น ขึ้นอยู่กับใจหรือจิตเป็นสำคัญ อำนาจจิตของพระอรหันต์ท่านเป็นอริยจิตเป็นจิตที่บริสุทธิ์ ปราศจากกิเลสเครื่องโสมมต่างๆ อำนาจซักฟอกธาตุขันธ์ให้เป็นธาตุบริสุทธิ์ไปตามส่วนของตน อัฐิจึงกลายเป็นพระธาตุไปได้ แต่อัฐิหรือกระดูกสามัญชนทั่วไป แม้จะเป็นธาตุดินเช่นเดียวกัน แต่จิตสามัญชนทั่วไปเต็มไปด้วยกิเลส จิตไม่มีอำนาจและคุณภาพที่จะซักฟอกธาตุขันธ์ของตนให้บริสุทธิ์ได้ อัฐิจึงจำต้องเป็นสามัญธาตุไปตามวิสัยจิตของคนมีกิเลส จะเรียกไปตามภูมิของจิตภูมิของธาตุว่า อริยจิต อริยธาตุ และสามัญจิต สามัญธาตุก็คงไม่ผิด เพราะคุณสมบัติของจิตของธาตุระหว่างพระอรหันต์กับสามัญชนย่อมแตกต่างกันอย่างแน่นอน ดังนั้น อัฐิจึงจำเป็นต้องต่างกันอยู่ดี"

คำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์
นายโอฬาร เพียรธรรม ผู้เขียนหนังสือ ตามหาความจริงวิทยาศาสตร์กับพุทธธรรม และถอดกฎ พบกรรมทฤษฎี ธรรมประยุกต์ บอกว่า ในพุทธศาสนาของเราทั่วทั้งสากลจักรวาลทั้งหมดนี้ ที่รวมสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตทุกอย่างนั้น แบ่งออกได้เป็นปรมัตถ์สัจจะหรือความจริงสูงสุดได้ ๒ อย่างเท่านั้น คือ อย่างแรกเรียกสังขตธรรม คือ ธรรมชาติที่เกิดจากการปรุงแต่ง ซึ่งแยกได้เป็น ๒ ส่วน คือ รูปกับนาม และถ้าถามว่ารูปกับนามคืออะไร ก็ตอบว่าทั้งหมดทั้งปวงในจักรวาลทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตนั้นคือรูปกับนามทั้งสิ้น

ทั้งนี้ หากขยายความโดยโยงกับวิทยาศาสตร์ก็ได้ว่า รูป คือ สสารและพลังงานทุกอย่างทางวิทยาศาสตร์ ส่วน นาม คือ จิต และ เจตสิกในพุทธศาสนา ในขณะที่ความจริงสูงสุดอีกอย่างหนึ่งก็ คือ อสังขตธรรม คือ ธรรมชาติ ที่ไม่มีการปรุงแต่ง ซึ่งธรรมชาตินี้ก็คือสภาวะนิพพานนั่นเอง ธาตุต่างๆ (ทางวิทยาศาสตร์) ที่มีในโลกนี้ ยกตัวอย่างเช่น คาร์บอน (C) ที่มีในต้นไม้ในถ่านไม้ ถ่านหิน แต่จากระยะเวลาที่ธาตุคาร์บอนเหล่านี้ ได้รับพลังงานจากแรงอัดพลังงานจากความร้อน ฯลฯ นับแสนๆ นับล้านๆ ปีก็ทำให้ธาตุคาร์บอนที่เริ่มแรกเป็นไม้หรือถ่านไม้ธรรมดา กลายเป็นเพชรไปในที่สุดได้เหมือนกัน

นอกจากนี้แล้ว พวกพลอยต่างๆ ที่มีคุณภาพไม่ดีนักก็อาจเอามาเผาให้พลังงานความร้อนเข้าไปพลอยก็จะมีสีสวยนั้น มีความแข็งขึ้นได้เช่นกัน โดยสรุปก็คือ มนุษย์สามารถเอาพลังงานทางวิทยาศาสตร์นั้น มาใส่เพิ่มเข้าไปในธาตุต่างๆ เพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพให้วัตถุธาตุนั้น มีสีสวยขึ้นแข็งขึ้น หรือเปลี่ยนสภาพไปได้ (เช่น จากถ่านเป็นเพชร)

“พลังจิตของพระอรหันต์นั้นสูงกว่าพลังงานทางโลกที่มนุษย์ทำได้นับล้านๆ เท่า และพลังงานนี้จะโดยจงใจหรือไม่จงใจผู้เขียนก็ไม่ทราบได้ แต่พลังงานนี้สามารถทำให้กระดูกหรืออวัยวะส่วนใดของพระอรหันต์ก็ตาม แปรสภาพเป็นธาตุที่แข็ง มีสีสดใส แวววาว เป็นสภาพที่เราเรียกว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุ ตามที่เราเห็นกันในปัจจุบัน” นายโอฬารกล่าว

พร้อมกันนี้ นายโอฬารยังอธิบายต่อว่า ขบวนการก็อาจอธิบายได้เช่นเดียวกับธรรมชาติ ได้สร้างเพชรและพลอยต่างๆ ให้เกิดขึ้นในโลกนี้ แต่ขบวนการทางโลกใช้พลังงานทีละน้อย สะสมกันนับล้านๆ ปี แต่พระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุต่างๆ นั้นใช้ระยะเวลาสั้นๆ แต่ใช้พลังงานจากจิตของผู้บรรลุนิพพานแล้ว ซึ่งสูงเป็นล้านๆ เท่าของพลังงานธรรมชาติ ซึ่งก็สามารถเปลี่ยนธาตุธรรมดาให้เป็นธาตุพิเศษ มีความแข็ง แวววาว และมีสีสันต่างๆ ตามลักษณะของพระธาตุทั่วไป ที่เราพบเห็นในปัจจุบันนั้นเอง ก็เป็นคำอธิบายในกรอบกว้างๆ ทางวิทยาศาสตร์ว่าพระธาตุต่างๆ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร

"อัฐิกลายเป็นพระธาตุได้นั้น ขึ้นอยู่กับใจหรือจิตเป็นสำคัญ อำนาจจิตของพระอรหันต์ท่านเป็นอริยจิตเป็นจิตที่บริสุทธิ์ ปราศจากกิเลสเครื่องโสมมต่างๆ อำนาจซักฟอกธาตุขันธ์ให้เป็นธาตุบริสุทธิ์ไปตามส่วนของตน อัฐิจึงกลายเป็นพระธาตุ"

http://www.komchadluek.net/detail/2...งพระธาตุคำอธิบาย...ทางธรรมทางวิทยาศาสตร์.html

 

ท่านไปดีแล้ว ท่านไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกแล้ว
ขอบคุณมากครับ ขอบคุณมากครับ ขอบคุณมากครับ

 

ปล่อยว่าง วางเฉย

วัตถุธาตุ(อรหันต์ธาตุ) ที่พึงระลึก ถึงความประเสริฐ เกิดขึ้น อีกแล้ว ในโลกนี้ ข้าพเจ้า ขอน้อมบูชา เหนือ เศียรเกล้า สาธุๆ

 

ได้รับความรู้ทางวิทยาศาสตร์แล้วหายสงสัย ข้องใจแล้วคะ พลังเหนือพลัง อนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ

 

พระธาตุก็คือพยานแห่งการบรรลุ ธรรมนั้นเอง สาธุครับ

 

เคยมีบริษัทรับทำเพชรจากกระดูกของบุคคลอันเป็นที่รักที่ตายไปแล้วด้วยขบวนการทางวิทยาศาตร์ประมาณว่าทำจากถ่านที่เกิดจากการเผากระดูกในอุณหภูมิสูงมากๆและใช้เวลานาน แต่ราคาในการทำสูงมากเช่นกัน อันนี้เป็นขบวนการทางวิทยาศาสตร์

แต่สำหรับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและหลวงปู่หลวงพ่อ ที่จิตท่านบรรลุแล้วกระดูกอัฐิของท่าน ได้ผ่านขบวนการทางจิต

"อำนาจตบะที่อริยบุคคลได้ตั้งหน้าบำเพ็ญเพียรเพื่อขัดเกลากิเลสนั้น มิได้แผดเผาชำระล้างเฉพาะกิเลสเท่านั้น หากแต่ได้แผดเผา ชำระล้าง ซักฟอกกระดูกในร่างกายให้กลายเป็นพระธาตุไปด้วยในขณะเดียวกัน"

 

“พลังจิตของพระอรหันต์นั้นสูงกว่าพลังงานทางโลกที่มนุษย์ทำได้นับล้านๆ เท่า และพลังงานนี้จะโดยจงใจหรือไม่จงใจผู้เขียนก็ไม่ทราบได้ แต่พลังงานนี้สามารถทำให้กระดูกหรืออวัยวะส่วนใดของพระอรหันต์ก็ตาม แปรสภาพเป็นธาตุที่แข็ง มีสีสดใส แวววาว เป็นสภาพที่เราเรียกว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุ ตามที่เราเห็นกันในปัจจุบัน”

สาธุ อนุโมทามิ

 

อนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ อธิบายเชิงวิทยาศาสตร์อย่างนี้ดีค่ะ ถ้ามีใครสงสัยจะได้อธิบายได้ถูกค่ะ ขอบคุณสำหรับการค้นคว้าและคำอธิบาย สาธุ .... ;41

 

ขอบคุณครับได้รับความรู้มากมายเลยทีเดียว

 

ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

 

ขออนุโมทนาสาธุด้วยค่ะ และจะตั้งใจทำใจให้ดีไปเรื่อยๆ

 

บอกอะไรเบา เบา (อย่าไปฟังเสียงกิเลส) 5555

 

อนุโมทนา สาธุ ถ้าให้ดีกว่านี้เอาหลักคำสั่งสอนของท่าน และพระพุทธเจ้าไปใช้ในปัจจุบัน ท่านเป็นอย่างงี้เพื่อให้รู้ว่า มีการเกิดก็ต้องมีการดับเป็นธรรมดา คนที่ไม่มีพระธาตุไม่เป็นไรขอให้ธรรมอยู่ในใจก็พอแล้ว

 

ขอกราบองค์หลวงตาพระมหาบัว อริยะสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ด้วยความเคารพยิ่ง

 

อนุโมทนาค่ะ
พลังจิตของพระอรหันต์นั้นสูงกว่าพลังงานทางโลกที่มนุษย์ทำได้นับล้านๆ เท่า

 

คนอธิบายคงเก่งกว่าพระอริยะเจ้าเนอะ แค่คิดว่า คาดว่า จะต้องเป็นกรรมวิธีอย่างนั้น กระบวรการแปรสภาพน่าจะเป็นอย่างนั้น ให้มันพอจะมีเหตุผลใกล้เคียงกับวิทยาศาสตร์ได้เป็นพอ แต่หารู้ไม่ว่ามันมีสิ่งนอกเหตุเหนือผลมากกว่านั้น ถ้าไม่รู้จริงอย่าไปอธิบายจะดูดีกว่ากระมัง วิทยาศาสตร์เป็นเพียงเศษส่วนหนึ่งของพุทธศาสตร์ที่พระพุทธองค์ค้นพบ ความรู้แค่กระเศษของวิทยาศาสตร์ที่มาจากการคาดเดาจะมีค่าควรพิจารณาได้อย่างไรเมื่อเทียบจากความรู้ที่ได้จากการปฏิบัติของพระอริยเจ้า

 

"อัฐิกลายเป็นพระธาตุได้นั้น ขึ้นอยู่กับใจหรือจิตเป็นสำคัญ อำนาจจิตของพระอรหันต์ท่านเป็นอริยจิตเป็นจิตที่บริสุทธิ์ ปราศจากกิเลสเครื่องโสมมต่างๆ อำนาจซักฟอกธาตุขันธ์ให้เป็นธาตุบริสุทธิ์ไปตามส่วนของตน อัฐิจึงกลายเป็นพระธาตุ"

น้อมนมัสการ -/\-

 

ทิพย์ ขอแนะนำพระอรหันต์อีกองค์ค่ะ หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ประธานสงฆ์ แห่งวัดเขาสุกิม เข้าไปอ่านเรื่องราวของพระธาตุ ของท่านแล้ว เกิดปีติ เพราะดีใจ ที่ได้สัมผัสท่านได้อย่างอัศจรรย์ใจ

สิ่งที่ท่านทิ้งไว้ เป็นหลักฐาน สำคัญ เรื่อง นรก สวรรค์ นิพพาน ได้อย่างดีค่ะ

PANTIP.COM : Y8717226 ���ʴջ����� ��������� �ٻ��иҵ� ��ǧ�������� �Ե������ �Ѵ����ء�� ���ʹ���ҡ��Ѻ []

 

สาธุ สาธุ สาธุ

พุทธศาสนา อย่างไรก็มีคำอธิบายด้านวิทยาศาสตร์อยู่แล้ว

เพราะพุทธศาสนา เป็นเหตุ เป็นผล ไม่เลื่อนลอยไร้คำอธิบาย

และนี่เป็นการสรุปที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย และชัดเจนดีค่ะ

ขอบคุณ จขกท ที่นำสิ่งดีๆ มาฝากกันค่ะ

 

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
สาธุ สาธุ สาธุ นิพพานะปัจจโยโหตุ