"ให้" กับ "ละ" รู้สึกสับสน

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย จันทรเพ็ญ, 23 มีนาคม 2011.

  1. จันทรเพ็ญ

    จันทรเพ็ญ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +2
    "ให้" กับ "ละ" รู้สึกสับสน ขอความกระจ่างนะค่ะ ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง :cool:
     
  2. pete_thailand

    pete_thailand สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +6
  3. เงาเทวดา

    เงาเทวดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +314
    ให้ (ในที่นี้) เป็นทานบารมี ที่ให้กับใจตนเอง
    ละ (ในที่นี้) เป็นการปลดปล่อยพันธนาการให้ตนเอง

    หมายเหตุ คำตอบทั้งหมด เป็นคำตอบเฉพาะที่นี่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 มีนาคม 2011
  4. pump - อภิเตโช

    pump - อภิเตโช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,202
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +6,803
    ตามที่ผมเข้าใจนะครับ

    การให้ คือ การส่งมอบ สิ่งของที่สัมผัสได้ทางกาย เช่น อาหาร เงินทอง การดูแล เอาใจใส่ และ การหยิบยื่นสิ่งที่เป็นนามธรรม ซึ่งสัมผัสได้ทางใจ เช่น ความรัก ความกรุณา เป็นต้น ทั้งนี้น่าจะหมายถึงการส่งมอบสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว แก่บุคคลอื่น

    การละ หรือ การสละ คือ การปล่อยวาง หรือ หลีกหนี จากสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ทั้งที่เป็นวัตถุ และ นามธรรม เช่น กิเลส เป็นต้น เพื่อให้เข้าถึงสิ่งที่ ดีกว่า สูงกว่า ประเสริฐกว่า ดังตัวอย่างเช่น

    ตัวอย่าง 1 : นาย ก ละจาก บ้านนอก สู่เมืองใหญ่เพื่อชีวิตที่ดีกว่า

    ตัวอย่าง 2 : นาย ก พยายามละจากความโกรธ ด้วยเมตตาธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 มีนาคม 2011
  5. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    การให้ ต้องมี ผู้รับ

    การละ มีแต่ตัวเรา ที่เป็นผู้ละ

    การให้ คือ แบ่งปัน

    การละ คือ ปล่อยวาง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มีนาคม 2011
  6. จันทรเพ็ญ

    จันทรเพ็ญ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +2
    ขอบพระคุณทุกท่านเลยนะค่ะ :cool:
     
  7. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    เจ้าของกระทู้ไม่ต้องสับสนหรอกครับ จริงๆเจ้าของกระทู้คงรู้ว่า "การให้" และ "การละ" มีนิยามอย่างไร แต่อาจเข้าใจไม่ซึ้ง (ขออภัยนะครับ หากต้องพูดตรงๆ)

    จริงๆแล้ว การให้และการละสัมพันธ์กัน ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า ในทางศาสนาพุทธการที่เราจะไปนิพพานได้ เราต้องปล่อยวางทั้งหมดใช่มั้ย

    การให้ก็เช่นกัน

    เราให้ทาน ก็เพื่อเป็นการละ ละจากความตระหนี่ถี่เหนียว
    เราให้ความรู้ ก็เพื่อเป็นการละ ละจากการหวงความรู้ เก็บไว้เป็นความรู้ของตนเองเพียงคนเดียว ไม่แบ่งปันใคร
    เราให้อภัย เราให้ผลบุญผลกุศล ให้เมตตา หรือจะเรียกว่าแผ่เมตตา ก็เพื่อเป็นการละ ละจากความโกรธ ละจากความยึดมั่นในตัวตน

    นี่แหละ คือการให้ ที่สัมพันธ์กับการละ


    เมื่อเราทำบุญไปแล้ว ก็ถือว่าสละแล้ว อย่าเอาใจไปติดว่าวัดนี้เราสร้าง ศาลานี้เราสร้าง หลวงพ่อองค์นี้เราช่วยท่านอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเวลาวัดจะทำอะไร หลวงพ่อท่านจะทำอะไร ท่านต้องฟังเสียงเรา อย่าไปคิดอย่างนั้น เพราะมิฉะนั้น ก็เท่ากับเราละไม่ได้

    ศาสนาพุทธสอนให้เรารู้จักละ รู้จักวาง ปล่อยวางทีละเรื่อง ปล่อยวางทีละอย่าง ผ่านภพผ่านชาติ วางลง วางลง และวางลง สุดท้ายก็จะเบา ใจก็จะสงบสุขอย่างแท้จริง

    สุดท้ายขอให้เข้าใจว่า ให้เพื่อละ เมื่อเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้ว ท่านก็จะมีความเจริญในทางธรรม

    ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป
     
  8. จันทรเพ็ญ

    จันทรเพ็ญ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +2
    ขอบคุณนะค่ะ คุณ Khomeraya ที่กรุณาเพิ่มเติม ให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น สาธุคะ (y)
     
  9. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    ตามที่คุณ Khomeraya สรุปไว้ถูกต้องดีแล้วครับ ผมขอสรุปเพิ่มเติมในส่วนของการปฏิบัติก็แล้วกัน ว่าการ "ให้เพื่อละ" มีกี่ประเภท และในแต่ละประเภทควรปฏิบัติอย่างไร ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งเหตุผล เป้าหมายคือหวังผล "การละกิเลส" โดยให้หมั่นสร้างเหตุคือ "การให้"

    โดยภาพรวมการปฏิบัติการ "ให้เพื่อละ" นั้น พระพุทธเจ้าท่านให้ปฏิบัติกรรมฐานสำหรับผู้ชอบการให้โดยใช้จาคานุสสติกรรมฐาน โดยให้ตั้งเจตนาไว้ตลอดว่า เราปรารถนาจะสงเคราะห์ทุกผู้ทุกนาม ตามกำลัง เต็มกำลัง ในทุกโอกาสที่อำนวย เราทำแบบนี้ก็หวังให้ผู้อื่นได้มีความสุขและหวังให้ใจเรามีความสุข เพื่อละไฟกิเลสสามกอง ละไฟโลภ ละไฟโกรธ ละไฟหลง เพื่อมรรค ผล พระนิพพาน ในชาติปัจจุบัน

    "ให้เพื่อละไฟโลภ" ด้วยการหมั่นให้วัตถุทาน ให้แรงงาน ให้สติปัญญา เพื่อช่วยเหลือสงเคราะห์ผู้อื่นให้มีความสุข ไม่หวังผลใดตอบแทนนอกจากละชำระใจให้เบาบางจากไฟโลภ เพื่อมรรค ผล พระนิพพาน

    "ให้เพื่อละไฟโกรธ" ด้วยการหมั่นให้อภัยทาน แผ่เมตตา รักษาศีล วางกำลังใจให้อภัยต่อตนเอง ให้อภัยต่อผู้อื่น ไม่โกรธ ไม่ผูกโกรธพยาบาทตนเองและผู้อื่น ใครจะโกรธจะเกลียดเราเราไม่สนใจ แต่เราจะมีแต่ความรักความเป็นมิตรให้ทุกผู้ทุกนามเสมอกันกับที่เรารักตนเอง วางกำลังใจแบบนี้เพื่อชำระใจให้เบาบางจากไฟโกรธ เพื่อมรรค ผล พระนิพพาน

    "ให้เพื่อละไฟหลง" ด้วยการหมั่นให้ธรรมทานต่อตนเองเพื่อให้จิตยอมรับความจริงว่า ใดๆ ในโลกนี้ กระทั่งร่างกายนี้ ล้วนไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราจึงไม่ควรไปแคร์สิ่งที่ไม่ใช่ของเรามากเกินไป มันจะเป็นอย่างไรก็เป็นเรื่องของมัน ไม่ใช่เรื่องของเรา โดยสอนใจตนเองอยู่เสมอว่า ที่เราต้องโลภ ที่เราต้องโกรธนั้น เพราะความเข้าใจผิดใหญ่ที่เรามี คือเราคิดไปเองว่าสิ่งใดๆในโลก ไม่ว่าร่างกายเรา ร่างกายผู้อื่น รวมถึงวัตถุธาตุใดๆ มันเป็นเรา เป็นของเรา เรามีในมัน มันมีในเรา ใจเราเลยไปตั้งความคาดหวัง ไปผูกไปพัน ไปอาลัยอาวรณ์ ว่าทุกอย่างเหล่านั้น ต้องเป็นของเรา ต้องไม่เปลี่ยนสภาพ ต้องไม่เสื่อมโทรม ต้องไม่เจ็บป่วย ไม่ทรุดโทรมพังจากเราไป แต่ในความเป็นจริงแล้ว พุทธองค์ทรงสอนว่า เรามีแต่จิต กายนี้ไม่ใช่ของเรา เป็นแค่ที่อาศัยชั่วคราวของจิตเรา กายคนอื่น จิตคนอื่น ก็ไม่ใช่ของเรา ทรัพย์สมบัติวัตถุธาตุใดๆ ในโลกนี้ก็ล้วนไม่ใช่ของเราทั้งสิ้น ดังนั้น ถ้าหมั่นให้ธรรมทานแบบนี้กับจิตเราเสมอๆ จนจิตเราฉลาดยอมรับความจริง เราก็จะไม่ทุกข์เมื่อสิ่งที่ไม่ใช่ของเราเหล่านี้ มีอันต้องจากเราไปหรือมีอันต้องเปลี่ยนแปลงฉิบหายไป เราขออยู่กับสิ่งชั่วคราวแบบนี้ที่มีแต่ทุกข์ให้เราเป็นชาติสุดท้าย บริหารจัดการมันไปวันๆ ก็พอ เพื่อแค่ให้เราไม่ทุกข์กับมันมากเกินไป ตายเมื่อไรเราขอไปพระนิพพาน ไม่ขอกลับมาเวียนว่ายตายเกิดในห้วงทุกข์แบบนี้อีก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มีนาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...