กลุ่มทำงานช่วยเรื่องภัยพิบัติเริ่มก่อตั้งแล้วครับ มารายงานตัวกันหน่อย

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 20 ธันวาคม 2006.

  1. boko0121

    boko0121 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,612
    ค่าพลัง:
    +7,736
    ยินดีต้อนรับครับ
     
  2. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    ถามตอบระบบเศรษฐกิจพอเพียง​

    ธุลีกองฟอน "ระบบเศรษฐกิจพอเพียงไม่ทำให้คนยากจนดอกหรือท่าน"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "ไม่หรอก เราต้องพิจารณาจากทรัพยากรธรรมชาติที่เรามีทั้งโลก (Total global resource) แบบตรงไปตรงมา แล้วเปรียบเทียบกับผลผลิตที่เราทำได้ ซึ่งเราพบว่าเมื่อเราทำงานหนักด้วยแรงขับดับทางด้านทุนนิยม ทำให้เราได้ผลผลิตล้นเกินพอดี เสื้อผ้าเรามีมากมาย สองสามตู้ไม่ได้หยิบมาใช้ ยังไม่ทันเก่า และไม่ขาดวิ่น บ้านเราหลังใหญ่พอที่จะจัดงานบวชลูกชายได้ แต่เราใช้นอนจริงๆ ไม่เท่าไร รถยนต์เรามีหลายคัน วิ่งเปลืองน้ำมันหมดเงิน สิ้นรอบไปมาเพราะการวางผังเมืองที่ไม่ดี แต่นั่นก็ไม่เพียงพอแต่การสนองตอบต่อความเบื่อของเราได้ อาหารเรากินเต็มโต๊ะแต่ว่ามีเศษอาหารเหลือมากมายในแต่ละจาน จริงๆ แล้วผลิตผลมวลรวม (GDP) ของเราสามารถเลี้ยงคนได้ทั้งโลกด้วยซ้ำไป นี่เกิดจากการผลิตแบบปกตินะ ชาวไร่ชาวนายังไม่ได้ทำงานเต็มที่ (Full-employment) ด้วยซ้ำ นั่นแปลว่าจริงๆ แล้วเราไม่ได้มีปัญหาด้านความขาดแคลนหรือปริมาณในผลิตผลที่ทำได้ แต่เรามีปัญหาด้านประเภทผลิตภัณฑ์ (Product variety and quality) และการกระจายผลิตภัณฑ์ (Total distribution) มากกว่า จุดนี้เอง ทำให้ผลผลิตมวลรวมที่ได้ปริมาณมากเกินพอดีแล้ว (Over productivity) เป็นไปในด้านที่ขาดคุณภาพ (Low quality) บางอย่างสร้างขึ้นมาสนองกิเลสตัญหา และช่วยก่ออาชญากรรม ทั้งนี้ความเหลื่อมล้ำทางการกระจายรายได้ (Unbalance of product distribution) ยังกระตุ้นให้เกิดอาชญากรรมสูงขึ้นอีก ทำให้รัฐบาลมีต้นทุนค่าดูแลสังคมเพิ่มขึ้น (High social capital)"

    ธุลีกองฟอน "แล้วปัญหาทางด้านเศรษฐกิจที่เราเจอทุกวันนี้ที่แท้จริงมันอยู่ที่ไหนครับ"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "เราต้องมีสติ อย่าไปวิ่งตามเงา ความหมายก็คือ การที่เราวิ่งไล่กำไรซึ่งไม่มีทางเกิดขึ้นได้ เพราะภายใต้ระบบทุนนิยมนี้ เราเป็นปลาเล็ก ไม่อาจต้านทานกระแสเศรษฐกิจโลก เราต้องไหลตามน้ำเขาอย่างเดียว นี่คือ ลักษณะปกติของทุนนิยม ใครมีทุนมากก็ได้เปรียบ แต่เราเพิ่งรู้สึกตัวเมื่อกระแสมันไหลต่อไปไม่ได้แล้ว พอเราวิ่งต่อไปไม่ได้ เงาที่ไล่หลังเรามา (ดอกเบี้ยเงินกู้) ก็แสดงฤทธิ์ เจ้าหนี้เริ่มฟ้องล้มละลาย ผู้บริหารเริ่มสร้างภาพลักษณ์ออกโฆษณาสร้างความน่าเชื่อถือ มีแต่ภาพลักษณ์และอนาคต แต่ไม่มีผลงานทั้งในด้านทางการตลาดซึ่งวัดง่ายๆ ด้วยยอดขาย (Sale volume), ความภักดีต่อตราสินค้า (Brand loyalty) และในการอัตราการทำกำไร (Profit margin) หรือแม้นแต่ปริมาณการผลิตที่คุ้มทุน (Economic of scale uncontrollable) เราก็ควบคุมไม่ได้ เพราะผลิตยังไม่ถึงจุดคุ้มทุน คู่แข่งขันก็ออกสินค้าตัวใหม่ ลูกค้าเห่อก็ไปซื้อตัวใหม่ กรณีนี้เห็นบ่อยในอุตสาหกรรมอิเล็คทรอนิก ซึ่งกำลังจะล้มละลายอีกมาก มีทางเดียวคือหาตลาดใหม่เมื่อตลาดคลายตัวลง (Decline) นี่คือปัญหาที่แท้จริงของระบบเศรษฐกิจ ซึ่งก็คือ ตัวระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมนั่นแหละที่เป็นตัวปัญหา ไม่ใช่ปริมาณทรัพยากรที่มี (Resource quantity) หรือด้านแรงงาน (Labor force) ใดๆ เลย"

    ธุลีกองฟอน "ที่กล่าวว่าปัญหาน้ำมันแพง, ต้นทุนแรงงานสูง, ตลาดหดตัว ไม่ใช่ปัญหารึ"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "ไม่ใช่ นั่นเป็นธรรมชาติของการล่มสลายของระบบทุนนิยมต่างหาก เป็นธรรมชาติในช่วงถดถอยของระบบ (Decline stage) เป็นปกติของมัน ทีนี้ทางแก้ของระบบทุนนิยมของเขาก็คือ การวิ่งหาตลาดใหม่ (New market explanation) เพื่อจะได้ต้นทุนที่ต่ำลง (Lower cost) และได้ฐานตลาดที่กว้างขึ้น (High target market) มันไม่ใช่ปัญหาเศรษฐกิจที่แท้จริง มันเป็นปัญหาของระบบเศรษฐกิจทุนนิยมต่างหาก เหมือนเราไถนา แล้วเครื่องไถนามันเสีย จะไปโทษที่นาฟ้าดินไม่ได้"

    ธุลีกองฟอน "แล้วปัญหาเศรษฐกิจที่แท้จริงคืออะไรครับ"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "ปัญหาเศรษฐกิจที่แท้จริง ข้อที่หนึ่งคือ เราไม่สามารถควบคุมทิศทางการผลิตสินค้าที่ควรผลิตเพื่อพัฒนาประเทศชาติได้ (Uncontrolled production) เพราะระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม เป็นระบบปล่อยปละเลยเลยให้เอกชนแข่งขันกันเอง (Non-direction in competition) แล้วให้ประชาชนตัดสินใจ โดยไร้ทิศทางการนำไปสู่การพัฒนาชาติ (Non-direction in social development) เช่น การผลิตเหล้าสนองความต้องการคนจนที่เครียด ยิ่งจนยิ่งเครียด เลยยิ่งกินเหล้า เราเห็นในโฆษณาไหม นั่งขำแย่ นั่นแหละประเทศเราเอง มันย่ำแย่อยู่ให้เราเห็นแล้วนั่งขำ แต่ช่วยอะไรกันไม่ได้ แบบนี้ ลูกค้าเป็นคนตัดสิน ซึ่งเราไม่มีใครนำทางว่าควรนำเงินไปซื้ออะไร แต่เขามีความเครียดจากการแข่งขันในระบบทุนนิยม แน่นอนว่าเขาต้องเลือกระบายความเครียดกับสิ่งที่ให้ผลเร็ว (High speed response but high bad side effect) ซึ่งสิ่งเหล่านั้นมันให้ผลเสียที่รุนแรงตามมาต่อสุขภาพกายและใจ และต่อสังคมโดยรวม เขาจะไม่เลือกสิ่งที่ต้องใช้เวลานานๆ ในการสร้างความสุขที่แท้จริง เขาจะไม่เลือกไปนั่งสมาธิแก้เครียด เพราะระบบทุนนิยมไม่อนุญาติให้เขาได้มีเวลาในชีวิตแบบนั้น ระบบทุนนิยมอนุญาติให้เขาเป็นหมูในคอกที่เลือกกินอะไรก็ได้ อ้วนแล้วรอขึ้นเขียงตายไปเท่านั้นเอง ทั้งๆ ที่ สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตคือเวลาในชีวิตของคนที่หดหายไปกับการทำงาน แต่ไม่ว่าทำงานได้เงินมาเท่าไร ทว่าซื้อกลับมาไม่ได้ ปัญหาข้อที่สองคือ ด้านการบริโภค ที่กระตุ้นลัทธิวัตถุนิยมขึ้น เป็นข้อเสียที่เห็นได้ชัดในปัจจุบันของระบบทุนนิยม ไม่ว่าจะเป็นเยาวชนไม่มีเวลาได้รับความรักจากพ่อแม่ เลยไปเล่นเกมออนไลน์ เล่นไปเล่นมา มีแต่เกมยิงฆ่าทำลาย ก็เกิดความก้าวร้าว พ่อแม่สอนไม่ได้ สถาบันครอบครัวก็ล่มสลาย ทีนี้สังคมไทยก็รอถึงยุคเด็กนรก "แล๊กน่าร๊อก" ขึ้นมาเป็นนายก แถมใช้ประชานิยมอีกที สงสัยเกมฆ่ากันนอกจออาจเกิดขึ้นสนุกกันคราวนี้ ปัญหานี้มีมานาน จนแม่บางคนต้องโดดตึกตายเพราะลูกไปเล่นเกมไม่เชื่อฟังพ่อแม่เป็นข่าวมาแล้ว พอโตขึ้นความที่เกเรเลยไม่สามารถสอบแข่งขันได้ตำแหน่งดีๆ เลยไม่มีงานทำ จึงไปปล้นไปก่ออาชญากรรม แล้วก็เข้าสู่วังวนยาเสพติด บ้างก็มีพรรคพวกสนับสนุนให้ลองก่อการร้ายดู เห็นว่าทำได้ ตำรวจจับไม่ได้ เลยคึกคะนองทำบ่อยๆ ท้าทายดี เพราะมันฝึกจิตมาแบบนี้ตั้งแต่เด็ก อีกพวกหนึ่งแข่งขันสอบได้ตำแหน่งดีๆ เป็ฯชนชั้นกลางของสังคม พอโตขึ้นทำงานเครียดก็ต้องโกยเงินให้คุ้มค่าการทำงานที่เครียดนั้น แล้วขยับตัวเองขึ้นมาเป็ฯชนชั้นนายทุน ทีนี้วังวนการโกงกินก็เกิดขึ้นทุกระดับ ต่อยอดไปสู่วังวนอำนาจการเมืองต่อ ไม่มีใครหนีวังวนความเครียดไปได้ เครียดมากก็ไประบายความเครียดผ่านความใคร่และความรุนแรง จึงไม่แปลกที่ทุกสื่อของอเมริกันจะต้องมีเซ๊กและความรุนแรง เช่น ภาพผู้หญิงยั่วยวนและการระเบิดเตะต่อย อยู่ในงานสื่อนั้นเสมอ นี่คือ สิ่งที่สะท้อนให้เห็นรสนิยมที่เปลี่ยนไปอันเป็นผลร้ายจากลัทธิวัตถุนิยม ลูกน้องของระบบทุนนิยมเขานั่นเอง"

    ธุลีกองฟอน "ฟังดูแล้วมันเหมือนไม่ใช่ปัญหาเศรษฐกิจอย่างที่คนอื่นเขาพูดกันเลย"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "แน่นอน เพราะพวกเขาไม่คิดว่านี่คือปัญหาเศรษฐกิจที่กระทบไปสู่ปัญหาสังคมและภาพรวมของประเทศชาติ เขาคิดแต่จะตามก้นฝรั่งมังค่า แก้ปัญหาวนเวียนตามเขาไปแบบนั้น ซึ่งตราบใดที่กระแสเศรษฐกิจไม่ดี เราไปควบคุมอะไรไม่ได้เด็ดขาด เพราะเราไม่ใช่ปลาใหญ่ ไม่ใช่เซตใหญ่ ไม่ใช่ต้นกระแส เราเดินกลยุทธตามกระแส จะแข่งขันกับเขาอย่างไรก็ไม่มีทางทันในทุกด้าน ดังนี้ การไปปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย (Interest rate), ค่าใช้จ่ายภาครัฐบาล (Government expenditure) ฯลฯ มันยิ่งทำให้เกิดการเสียความสมดุลภายในของตัวเราเอง (Internal dis-balancing) การเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงภายนอก เช่นการปรับอัตราดอกเบี้ยตามธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ไม่ได้แก้ปัญหาอะไรได้ เพราะปัญหาใหญ่คือ เราไหลตามกระแสโลก ตราบใดที่กระแสโลกยังไม่ดี เราจะดีขึ้นมากกว่าได้อย่างไร ในเมื่อเราเดินเกมทุนนิยมตามก้นเขาอยู่ การส่งเสริมธุรกิจขนาดย่อมก็ไม่มีทางเป็นไปได้ (Low business feasibility) อย่างที่เห็นอยู่ ว่าเราไม่มีสายป่านเงินทุนหนุนพอ (Short capital support) เราไม่มีความชำนาญในการควบคุมคุณภาพได้ตามมาตรฐานเพราะเราเป็นมือใหม่ (Low quality control skill) เราไม่มีฐานลูกค้าเก่าเพราะเราเพิ่งเข้าตลาด (Narrow target market) เราไม่มีความเข้มแข็งหลักที่แท้จริงของเราเลย (Core competitive) เรามีเพียงความแปลกใหม่ที่หลอกหลอนและเหลวแหลกสร้างฝันหล่อเลี้ยงให้เราเชื่อคำโฆษณาของรัฐบาลไปเท่านั้นเอง ในขณะที่เราต้องแข่งขันกับคู่แข่งขันคือใครเรายังไม่รู้เลย แล้วเราไม่รู้เขา เราจะเอาตัวรอดในท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดกลางสมรภูมิการตลาดโลกได้อย่างไร นโยบายที่ฝันเฟื่องไม่ลงไปดูสภาพปัญหาจริงนี้ เปรียบเสมือนแม่ทัพที่สั่งพลทหารออกไปรบโดยคิดเอาเองในมุ้ง ไม่ออกไปตรวจจุดยุทธศาสตร์และข้าศึกเลยแม้แต่น้อย จึงผิดพลาดทั้งหมด"

    ธุลีกองฟอน "ฟังดูเหมือนมืดมนไม่มีทางออกเลยนะท่านแก้อะไรไม่ได้เลยหรือ"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "มี เศรษฐกิจพอเพียงไงละ คือทางแก้ที่มีนานแล้ว แต่เสียดายไม่มีใครทำเสียที ถึงตอนนี้ก็สายไปแล้ว เพราะเรามัวหลงฝรั่งมังค่า ลืมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา เราไม่เชื่อท่าน แต่เราดันไปเชื่อฝรั่งหยาบด้าน การเดินในทางที่ตนอ่อนแอและเสียเปรียบ ก็แพ้ทัพตั้งแต่แรก ดังนี้ ต่อให้เราวิ่งตามระบบทุนนิยมขนาดไหน เราก็ไม่มีทางทันเวียดนาม, จีน, อเมริกา เรายิ่งรีบวิ่งเพื่อจะไปเป็นเสือตัวที่ห้า ในที่สุดเราก็ขัดขาตัวเองล้ม เป็นต้มยำกุ้งไครซีสอย่างที่เห็นนั่นไง ถึงตอนนี้เราต้องรับกรรมร่วมกันแล้ว เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำ ใครจะหนีพ้นสงครามไปได้ ระบบเศรษฐกิจล่ม ระบบการเมืองการปกครองก็ต้องพังตาม มันเป็นธรรมชาติที่พึ่งพากันแบบนี้นี่แหละ เมื่อคนอดอยาก คนก็ขาดความเชื่อถือในการบริหารบ้านเมืองของรัฐบาล ฝ่ายตรงข้ามที่แย่งชิงอำนาจก็จะใช้โอกาสนี้ ใส่ความก่อม๊อบขึ้นมา เช่น การเลียนแบบการถล่มตึกเวิล์ดเทรด โดยการวางระเบิดในที่สำคัญ ใช้ระเบิดแบบโจรใต้ แต่วิธีการแบบโจรใต้เป็นวิธีเฉพาะ เลยทำเลียนแบบไม่ได้ แล้วแสร้งเขียนเครื่องหมายบ้าๆ บอๆ ให้คนคิดว่าเป็ฯผู้ก่อการร้ายไปเสียนี่ เพื่อให้ภาพลักษณ์การบริหารประเทศตกต่ำ คนขาดความมั่นใจในเศรษฐกิจ แล้วปั่นม๊อบขึ้นมาต่อต้านรัฐบาล ที่นี้คนไทยก็ฆ่ากันเองเหมือนอดีต แล้วคนที่อยู่เบื้องหลังก็กลับมายึดอำนาจแสดงตนเป็นวีรบุรุษไป ที่ทำไปเพราะกำลังถูกริบทรัพย์ฐานฉ้อโกง ที่เล่านี้เป็นเหตุการณ์สมมุตินะ ไม่ว่าใคร อย่าคิดมาก แต่ถ้าคิดน้อยแล้วคิดได้ก็ไม่ว่ากัน ความคิดใครความคิดมันผมห้ามไม่ได้"

    ธุลีกองฟอน "เศรษฐกิจพอเพียงแก้ปัญหาได้อย่างไร ในเมื่อให้คนยังจนอยู่จะพอได้หรือ"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "พอได้อยู่แล้ว อย่างที่ผมเรียนเบื้องต้นว่าแท้แล้วผลิตภัณฑ์ที่เราต้องการในการหล่อเลี้ยงประเทศคืออะไรละ ไม่ใช่เหล้านะ ไม่ใช่มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดนะ แค่ปัจจัยสี่เราก็รอดได้ทั้งประเทศ ที่นี้ถ้าเรากระจายสินค้าและปัจจัยสี่ทั่วถึง มันก็ลดปัญหาอาชญากรรม ต้นทุนรัฐบาลก็ลดลง ไม่เห็นว่าจะต้องใช้เงินรัฐบาลมากขึ้น มีแต่ได้กับได้ ลดต้นทุนรัฐบาล ด้วยการลดช่องว่างสังคม ไม่ต้องไปใช้เงินรัฐบาลเพิ่มขึ้น เพื่อแก้ปัญหาให้คนรวย จนไปเพิ่มช่องว่างทางสังคมให้เพิ่มขึ้นเลย แต่ที่เราจะล่มจมเพราะนายทุนจะถูกเจ้าหนี้ฟ้องล้มละลาย เพราะยอดขายไม่ทำกำไร เพราะการผลิตและการแข่งขันที่ไปหดกำไรส่วนต่างลงต่างหากละ มันเป็นปัญหาของระบบทุนนิยม ระบบเงินกู้ และระบบบริโภคนิยม ที่ก่อตัวขึ้นในทันทีที่กระแสทุนนิยมหยุดไหล ทุกอย่างมันถูกจุดให้วิ่งไปหยุดไม่ได้ นี่ละ ระบบทุนนิยม มันหยุดไม่ได้จริงๆ มันไม่มีสมดุลในตัวมันเอง มันขาดเสถียรภาพที่แท้จริงในตัวมัน มันเป็นแรงผลักเปิดให้พุ่งไปเรื่อยๆ เท่านั้น ซึ่งขัดแย้งกับธรรมชาติที่มีขึ้นมีลงทุกอย่างเป็นอนิจจัง แม้นแต่การผลิตที่มากเกินไปสุดท้ายก็ทำให้ต้นทุนเพิ่ม การแข่งขันที่มากเกินไปสุดท้ายก็ทำให้อัตราส่วนกำไรลดลง ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยวิ่งไปข้างหน้าตลอด มันย้อนถอยหลังไม่ได้อย่างแท้จริง เจ้าหนี้เขาจะฟ้องเอา"

    ธุลีกองฟอน "ฟังๆ ดูเศรษฐกิจพอเพียงไม่ไห้ให้คำตอบของคนอยากรวยอยู่ดี"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "คุณอาจคิดว่าระบบนี้ อยู่แบบจนๆ แล้วสมดุลในตัวเองไปวันๆ อย่างนั้นเอง แท้จริงแล้วไม่ใช่ เพราะคุณนิยามความรวยว่าอะไรละ ความรวยในหุ้นตัวเลขที่หวังให้ลูกได้รวยต่อ รวยในเงินที่ซื้อกินอ้วนจนต้องเอาเงินมากๆ ไปผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ หรือรวยจนเอาเงินไปมัวผู้หญิงจนต้องจ้างคนคุ้มครองด้วยเงินจำนวนมากเพราะถูกตามฆ่า ชีวิตทำงานวันๆ เป็นเถ้าแก่จากเมืองจีน ทำงานหนักมาก กินให้อ้วนเป็นหมู สร้างบ้านให้ใหญ่แต่นอนตายแต่นิดเดียว สุดท้ายชีวิตทั้งชีวิตจบลง อ้าวจบแล้วหรือ ไม่ได้ทำอเไรเลย นอกจากงานอย่างเดียว อิสรภาพไม่มีจริง จ้างตัวเองทำงาน จ้างทาสมาประจำคอกต่อ แล้วจ้างลูกให้เป็นเศรษฐีโง่ ที่ใช้เงินไปทำร้ายตัวเองแบบโง่ๆ อย่างที่ลูกเศรษฐีเขาตกเป็นข่าวกัน เป็นความรวยแบบนี้หรือที่คุณต้องการ หรือคุณต้องการรวยอิสระ มีเวลาที่จะค้นหาความหมายในชีวิต จาริกแสวงบุญ หรือออกไปท่องเที่ยวราวกับกามนิตหนุ่มผู้ค้นหาความหมายของชีวิตแล้วพบรักต่างแดนอันแน่นแฟ้น ซึ่งคุณอาจได้แต่งงานกัน และจดจำไปจนวันตายไม่รู้ลืม ไม่ใช่เอาเหอะวะ แก่แล้ว พร้อมแล้วทั้งคู่อย่าเลือกมากเลย ไม่มีเวลาดูใจหรอก เดี๋ยวก็ไม่มีสามีกันพอดี หน้าตาพอดูได้ ทำงานใกล้ๆ กัน เอาเหอะวะ แบบนี้มันขาดรสชาติชีวิต คนนะครับ ขาดอิสระภาพแห่งความเป็นคน เพื่อไปเป็นหมูในกรง ถึงเวลาผสมพันธุ์ก็เอากันข้างๆ คอกนี่หรือไง นี่หรือระบบทุนนิยม ทำให้ความเป็นคนตกต่ำไปหมดทุกอย่าง ในขณะที่ระบบเศรษฐกิจพอเพียงนี้ คุณได้มีเวลาอยู่กับลูกตั้งแต่แรกเกิด แบบที่เศรษฐีไม่มีแม้นแต่เวลาจะให้ลูกกินนม แต่มีเงินเยอะนะ ไปจ้างเขาเลี้ยง ราคาแพงเหมือนหมาชั้นดีเลย แล้วเอามาเล่าในวงสังคมว่าชั้นส่งลูกไปเลี้ยงโรงหมาราคาแพงดี ในขณะที่ชาวนาที่ดำรงชีพแบบพอเพียงได้เห็นหน้าตากันตลอด ช่วยกันทำงานตลอด เขาจึงรักกันมาก แม้นยากจนมากก็ตาม แต่สุดท้ายเขาก็พ่ายแพ้วัตถุนิยม เพราะกระแสทุนนิยมมันบีบบังคับให้เขาทิ้งไร่ทิ้งนา อันมีแต่ความสุขสงบไป"

    ธุลีกองฟอน "แล้วจุดมุ่งหมายสูงสุดของระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงคืออะไร"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "อย่างแรกเลย เราต้องพอเพียงเลี้ยงตัวรอดยืนบนลำแข้งตัวเองได้ไม่อดตาย มีปัจจัยสี่สมบูรณ์ซึ่งรัฐบาลสามารถจัดสรรค์ให้ได้ไม่ต้องกลัว เรามีผลิตผลเยอะ ขอแค่มีความเมตตาและยุติธรรม ย่อมแบ่งปันแจกจ่ายทั่วถึงแน่ พอถึงจุดนี้แล้ว ต่อไปเป็ฯกำไรชีวิต ซึ่งเราจะให้กำไรที่สูงค่าที่สุดในชีวิต ซึ่งก็คือ เวลาในชีวิต และการค้นหาสิ่งสูงค่าในชีวิตของแต่ละคน นั่นก็อาจหมายถึงความสุขนิรันดร์ คือ ธรรมอันนำทางไปสู่พระนิพพาน ซึ่งคนคิดว่าเป็ฯเรื่องน่าเบื่อของคนเบื่อโลก ซึ่งผิดถนัด ตัวอย่างเพื่อนของผมก็หลุดพ้นนิพพานแล้ว ทำงานในบริษัทเอกชน เจ้านายยังต้องนับถือเกรงใจ ผลงานก็ดีใช้ปัญญาทำงานได้ดีเวลาน้อย แถมมีรอยยิ้มให้คนรอบข้างตลอดวัน มีอิสระในทุกที่ทุกเวลา ไม่เห็ฯว่าจะไม่ดีตรงไหน อย่างที่อธิบายว่าเงินมากมาย ของต่างๆ มันไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น เพราะดูความต้องการทางร่างกายของเราสิ มันต้องการแค่ไหน เราไปสนองความต้องการทางใจด้วยวัตถุ ซึ่งเป็นความผิดที่โง่เขลา การสนองความต้องการทางกายที่พอเพียงแล้ว ตามหลักความต้องการห้าขั้นของมาสโลว์ คือ การสนองความต้องการทางสังคมและจิตใจ ซึ่งความต้องการทางสังคมนี้ มันเกิดเมื่อเราปรับตัวเข้าสังคมได้ดี อันเป็นลักษณะของพระอรหันต์ ส่วนความต้องการทางจิตใจ มันก็ต้องสนองด้วยจิตนิยม ใช่ไหม มันจะไปสนองจิตใจด้วยวัตถุนิยมได้อย่างไรละ ผิดชัดๆ ตรงๆ อย่างโง่งมที่สุด ของตรงไปตรงมา แต่ไปหลงทางผิด มันก็ตอบผิดอยู่วันยังค่ำ ดังนี้ มนุษย์เราไม่ได้ต้องการวัตถุมากหรอก ลองถามใจตัวเองลึกๆ ดูก็ได้ เพียงแต่เราไม่เคยสัมผัสสินค้าที่สนองคุณค่าทางใจให้เราได้มาก่อนเลยนั่นเอง เราเลยไปลองยึดนั่นยึดนี่ ซึ่งมันไม่ใช่สักที เราถึงได้เบื่อไง เพราะว่าเราทดลองแล้วว่ามันไม่ใช่ อย่าโกหกใจตัวเองเลย ในเมื่อมันไม่ใช่ ใจมันเบื่อ มันก็ไม่ใช่ยาแก้เบื่อ ไม่ให้สุขแท้ทางใจ พูดอย่างนี้อย่าคิดว่าผมบังคับให้คุณบวช หรือไปนิพพานเท่านั้นนะ เพราะความสุขทางใจนี้มีมากมายในทุกศาสนา คุณเคยเห็ฯไหม ใครหลายคนที่ผ่านโลกมามากๆ สุดท้ายก็มาหยุดตรงนี้ ที่ศาสนาทั้งนั้น แต่คนที่ยังไม่หยุด ยังหลง ยังทดลอง ลองผิดๆ แล้วผิดอีก เพราะยังเสียดายความสุขไม่แท้ ที่ยังพอมีความสุขอยู่บ้าง และฉาบฉวยรวยเร็ว สัมผัสสุขได้ทันทีทันใด ทันใจมากกว่า เปิดฝาก็สุขได้ แถมลุ้นโชคชิงเงินล้านได้อีกต่างหาก มันเลยละเลยที่จะค้นหาความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง ระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงภายใต้ระบอบการปกครองแบบพุทธะนี้ จะปลดทาสจำยอม ให้มีอิสระในชีวิต สามารถจาริกแสวงบุญ ท่องเที่ยวไปตามใจต้องการได้ หากโครงการดีก็ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาล ถามว่ารัฐบาลปล่อยให้ลางานไป ใครจะทำแทน ปริมาณแรงงานไม่ลดลงหรือ รัฐบาลเอาเงินที่ไหนมาสนับสนุน ก็ตอบได้ง่ายๆ เลยว่าประสิทธิภาพการทำงานจะเพิ่มขึ้น จึงลดปริมาณแรงงานลงได้ คนที่ทำงานทั้งวันเครียดมากประสิทธิภาพการทำงานก็ลดลงอย่างที่เห็นอยู่ งานทุกวันนี้เราใช้สมองไม่ใช่หรือครับ ทำไมมันคิดนานจัง แสงดว่าสมองเราไม่ปลอดโปร่ง หรือเราเครียดเรามีอีโก้ อัตตาสูง เถียงกันไม่จบ แบบนี้ถ้าลดอีโก้หรืออัตตา โดยวิธีการทางพุทธศาสนาก็ใช้เวลาประชุมน้อยลง ได้ข้อสรุปแบบผู้มีปัญญามากขึ้นจริงไหมครับ นอกจากนี้การสนับสนุนให้คนไปจาริกแสวงบุญและเดินทางสู่ธรรม จะทำให้ผลิตคนดีให้ประเทศมาปกครองประเทศโดยธรรมต่อไป ระบบแบบนี้จึงเป็นเสมือนเครื่องผลิตคนดี ให้คนดีมาช่วยคนอื่นเช่นนี้เรื่อยไป แต่เรามักคิดว่าคนดีเป็นคนโง่ ซึ่งผิดอย่างแรง คนเลวต่างหากที่โง่บัดซบ แต่อาศัยเล่ห์เหลี่ยมกลโกง เช่น การประจบสอพลอบ้าง, การใส่ร้ายป้ายีบ้าง, การแย่งผลงานบ้าง, การพูดดูดีพรีเซ้นตืเก่งแต่ลงงานจริงไม่เป็นบ้าง ฯลฯ ในขณะที่คนดีมักมองรอบด้านรอบคอบ จึงคิดช้ากว่า บ้างก็มองลึกซึ้งจนอธิบายยากบ้าง, บ้างก็เห็นปัญหาในอนาคตที่คนไม่มองจึงไม่กล้าเสนอออกมาบ้าง ดังนี้ เราจึงเสียบุคลากรที่ดี ทั้งที่เขาอยู่ในองค์กรของเรานี่เอง เพราะอะไรละ เพราะผู้บริหารไม่ใช่เจ้าของเงิน เขาย่อมบริหารเพื่อความพึงใจของเขา ไม่ได้เห็นประโยชน์ของคนดีที่ทำเพื่อองค์กร แต่เข้าข้างคนเลวที่เข้าได้กับตนได้ด้สนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็ฯการโกงกินหรือประจบสอพลอ ดูประเทศเราก็ได้ คุณเชื่อไหมว่าคนดีมีความสามารถยังมีอยู่ในประเทศไทย ผมคิดว่าคุณมีคำตอบในใจมากกว่าหนึ่งคนนะ แต่เขาเหล่านั้นไม่ได้มาเสนอหน้าลงสมัครให้คุณเลือกเลยสักคน เพราะเขาไม่ต้องการลงไปอยู่ท่านกลางสงครามขว้างขี้ ของนักการเมืองในอดีต (ปัจจุบันดีแล้วระดับหนึ่ง) ที่ถามอะไรก็ตอบว่าไม่รู้ ยังไม่ได้รับรายงาน รู้อย่างอย่างเดียว คือ ผมมีหลักฐานทำลายฝ่ายตรงข้ามอยู่เป็นตระกร้า และจะนำมาแสดงสาดใส่กันให้ฟังเร็วๆ นี้ จบข่าว สุดท้าย ความเบื่อของประชาชน ก็หันไปดูข่าวเม้าท์ดาราแทน ดาราดังมากๆ ก็หันมาเข้าวงการการเมือง มีแต่อะไรที่น่าเบื่อน้ำเน่าวนเวียนอยู่แบบนี้ ผมคิดว่าคนไทยฉลาดกว่าคนอเมริกันด้วยซ้ำ ในการการมองคน และมุมมองการเมืองการปกครอง แต่เราอ่อนด้านการแข่งขันทางเศรษฐกิจเท่านั้นเอง สังเกตุได้ว่าการพัฒนาประชาธิปไตยของเรา แม้นเริ่มต้นที่หลังอเมริกาแต่เราไปได้เร็วกว่านะ ที่เห็นว่าอเมริการุ่งเรืองนั้น รุ่งเรืองเพราะการล่าอาณานิคมทางเศรษฐกิจ ให้นานประเทศอยู่ภายใต้ระบบทาสจำยอม แค่นั้นเอง แต่ในด้านการปกครองเขาตกต่ำมาก ต่างกันอย่างไร ชัดเจนครับ เศรษฐกิจไม่ใช่การปกครอง เศรษฐกิจก็แค่รวยผลิตได้มาก ได้เงินมาก แต่การปกครองหมายรวมถึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การพัฒนาสังคม การสร้างความเท่าเทียมกันในสังคม การลดอาชญากรรม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ อเมริกันสอบตกหมดทุกประตู เมื่อเศรษฐกิจเขาพัง ทุกอย่างก็ล่มสลายลง เพราะความเคยชินในการใช้เงินแก้ปัญหามันทำให้เขาไม่มีเครื่องมืออื่นในการแก้ไขปัญหาสังคมและการปกครองประเทศ"

    ธุลีกองฟอน "สรุปสุดท้ายสั้นๆ ครับ"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "ศึกษาเศรษฐกิจพอเพียงให้ลึกซึ้งทุกแง่มุมก่อนตัดสินใจครับ"

    ..............
    จบการสัมภาษณ์โดยธุลีกองฟอน
     
  3. den_siam2523

    den_siam2523 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2006
    โพสต์:
    593
    ค่าพลัง:
    +2,267
    อนุโมทนา สาธุ ครับ จะตั้งใจนั่งสมาธิวันละ 1 ชัวโมง ครับผม
     
  4. pen@_p@ne

    pen@_p@ne เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +433
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>มองดูตนเอง
    พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป


    วัดอรัญวิเวก (บ้านปง)
    ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่



    ท่ามกลางบรรยากาศต้นไม้ใหญ่ ใบสีเขียวหนาทึบทั่วบริเวณภายในวัดอรัญญาวิเวก (บ้านปง) ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ล้วนแล้วมาจากการจรรโลงให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของ พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป

    คำพูดที่พระอาจารย์เปลี่ยนมักใช้สนทนาธรรมกับประชาชนที่เดินทางมาปฏิบัติธรรม ณ วัดแห่งนี้กันเป็นจำนวนมาก หลายคนที่มาที่วัดก็เพราะขาดสติ คือ "ต้องใช้สติปัญญาในการพิจารณาหาต้นเหตุแห่งกองทุกข์นั้นยังไม่สมบูรณ์ จึงพากันมีความทุกข์อยู่ มีความเดือดร้อนกันอยู่ทั้งบ้านทั้งเมืองในปัจจุบันนี้นั้นก็คือบุคคลนั้นไม่รู้จักความพอดีนั่นเอง"

    นอกจากนี้พระอาจารย์เปลี่ยนยังย้ำเสมอในการสอนญาติโยมเกี่ยวกับการมองตนเองว่า "เมื่อคนเราเกิดมาแล้วอยู่ร่วมกัน ทำการงานร่วมกัน พูดจากัน ในเรื่องราวต่างๆ ประชุมหารือกัน ความคิดเห็นก็ต่างกัน บางบุคคล บางหมู่คณะก็คิดถูกบ้าง บางบุคคลบางหมู่คณะก็คิดผิดบ้าง นี้เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ"

    พระอาจารย์เปลี่ยนได้ให้สัมภาษณ์พร้อมความกระจ่างเกี่ยวกับการมองดูตนเองแบบ "คม ชัด ลึก" ดังนี้


    ๏ พระอาจารย์เน้นย้ำเรื่องการมองดูตนเองเพราะอะไรครับ ?

    - ก็เพราะคนเราเกิดขึ้นมานั้น ไม่ใช่พวกเราจะเสียสละ ละกิเลสให้หมดไปได้ง่ายๆ เพราะกิเลสทั้งหลายนั้นนอนเนื่องอยู่ในจิตสันดานของพวกเรามาหลายภพหลายชาติแล้ว เขาครอบงำย่ำยีมาหลายภพหลายชาติแล้ว แต่พวกเราก็ไม่สามารถที่จะแกะหรือสำรอก หรือลดละปล่อยวางกิเลสออกไปได้หมด พวกเราจึงพากันเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารตามฐานะของตน

    เมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ การที่ขัดเกลากิเลสของพวกเรามาแต่ชาติอดีตที่ผ่านมานั้น ใครจะขัดเกลาได้มากน้อยเท่าไร บุคคลใดขัดเกลาได้มาก เมื่อมาเกิดในชาตินี้กิเลสก็เบาบางจากจิตใจ บุคคลใดขัดเกลากิเลสได้น้อย กิเลสก็ยังมืดมน บุคคลใดไม่ได้ขัดเกลากิเลสเลย จึงมืดมนไม่รู้จักบุญบาป ก็ฉันนั้นเหมือนกัน จิตของบุคคลเป็นคนใจดำอำมหิตทั้งหลายอยู่ในปัจจุบันนี้ มันจึงมีหลายระดับหลายขั้นหลายตอน


    ๏ คนเราเกิดมามีหลายระดับชั้นหมายความว่าอย่างไรครับ ?

    - ใช่ ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสอนไว้ว่าดอกบัวสี่เหล่า เหมือนเปรียบเทียบกับดอกบัวสี่เหล่า คนเราเกิดมาอยู่ในโลกนี้ย่อมเป็นอย่างนั้น ดังนั้นเมื่อเราคิดดูอย่างนี้แล้ว มันก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล บางคนจิตหยาบมาก บางคนหยาบปานกลาง กิเลสของคนเราจึงแตกต่างกัน อาตมาก็อยากให้ฝึกหัดสติของพวกเรา เพื่อจะให้มีสติมากขึ้น ระลึกได้เร็วขึ้น สัมปชัญญะ หรือตัวของปัญญา ให้รอบรู้เร็วทันกับเหตุการณ์ที่จะเป็นสิ่งสำคัญที่ดีในอนาคต


    ๏ แล้วทำไมถึงต้องทันเหตุการณ์ครับ ?

    - ทำไมต้องทันเหตุการณ์ มันก็คือ พวกเราคิดดูซิ ถ้าพวกเราขาดสติอยู่ สติยังอ่อนอยู่นั้น แม้พวกเราเห็นวัตถุต่างๆ จิตก็ย่อมรั่วไหลไปตามวัตถุนั้นได้ทันที เพราะขาดสตินั่นเอง เราไม่มีสติพอจะรู้ว่ารูป ร่างกาย ของพวกเราก็เหมือนกัน รูปร่างกายของพวกเราทำอะไร เมื่อทำลงไปมันผิดพลาดลงไปแล้ว มันผิดพลาดเพราะอะไร เพราะเราขาดสติ เราระลึกไม่ทันก็ต้องทำไปก่อน สัมปชัญญะก็รู้ไม่ทันเขาจึงทำผิดพลาดกัน

    ทุกวันนี้เราจะเห็นเขาทุบเขาตีฆ่าฟันแทนกันไม่เว้นบนหน้าหนังสือพิมพ์นั้น เป็นเพราะขาดสติสัมปชัญญะควบคุมไม่ได้ ควบคุมร่างกายไม่ได้ ก็เลยทำให้กายนี้ไปทำบาปทำชั่วได้อย่างง่ายดาย ตรงนี้แหละเราจะเห็นได้ชัด ฉะนั้นพวกเราต้องฝึกหัด ฝึกมองตนเอง เราอย่ามองแต่คนอื่น ถ้าเราไม่มีสติปัญญา เราก็จะมองแต่คนอื่น มองจับผิดคนอื่นได้หมด เขาทำอะไรกัน เราก็มองว่ามันผิดไปหมด


    ๏ การมองดูตนเองควรเริ่มต้นอย่างไร ?

    - พระพุทธองค์ยังสั่งสอนเอาไว้ว่าให้ดูตนเอง ฝึกฝนตนเอง แก้ไขตนเอง ปรับปรุงตนเอง จับผิดที่ตนเอง เรียกว่ามาดูที่ตัวเราก่อน อย่าไปดูคนอื่น อย่าไปเพ่งโทษคนอื่นแต่อย่างเดียวเพราะที่ผ่านมาคนเราชอบโทษคนอื่น ดังนั้นการเพ่งโทษตนเองนี้มันยาก ก็เหมือนกับเราดูขนตา ขอบตาเรา มีลูกตาแต่เราดูขนตาไม่เห็น ว่าขนตามีกี่เส้น ขนตามันยาวแค่ไหน มันมองไม่เห็นเลย ตรงนี้มันดูตนเองไม่เห็นอย่างนี้ เพราะอะไร เพราะเราขาดสติปัญญา

    มาถึงตรงนี้อาตมาอยากให้ทุกคนมองดูตนเอง ไม่ต้องมองคนอื่น เป็นเรื่องของคนอื่นไปซะก่อน ถ้าเรามีความสงสารเราก็เตือนกันได้ ถ้าหากเรายังตักเตือนตนเองไม่ได้ เราจะต้องฝึกตนเองก่อน ด้วยการตักเตือนตนเองก่อน มามองดูตนเองก่อน เพื่อจะชำระตนเองก่อน แก้ไขตนเอง เราเกิดมาไม่ใช่จะทำถูกหมด มันต้องทำผิดบ้างถูกบ้าง


    ๏ แล้วสติสัมปชัญญะสำคัญมากน้อยแค่ไหน ?

    - ไม่ว่าคนเราจะยืน เดิน นั่ง นอน ล้วนแล้วต้องมีสติ ถ้าเราขาดสติในการยืน เช่น ถ้าเรายืนอยู่บนสะพานที่จะข้ามน้ำก็ดีหรือยืนอยู่ ณ ที่สูงที่ใดที่หนึ่ง หรือเราไปยืนที่ขอบประตูหน้าต่างก็แล้วแต่ คนที่ขึ้นต้นไม้ก็ดีหรือคนที่ก่อสร้างตึกยืนทำงานอยู่บนไม้นั่งร้าน ถ้าขาดสติก็จะทำให้คนเหล่านั้นพลัดตกลงจากสถานที่ยืนได้ ผลของมันก็จะทำให้เกิดความเสียหาย แข้งขาหัก หรืออาจล้มตายไปก็ได้ นี่เป็นตัวอย่างของคนที่ขาดสติ

    หรือบางคนนอนก็ต้องกำหนดว่าตนเองกำลังนอนอยู่ ใช้สติสัมปชัญญะประคองตนเองในขณะนอน เมื่อมีสติประคองตนเองแล้วมันจะไม่ตกเตียง คนนอนอย่างมีสติหัวมันก็ไม่ตกหมอน คนนอนอย่างมีสตินั่นแหละมันมีประโยชน์ พระพุทธองค์ทรงสอนให้พวกเราศึกษา พัฒนาตนเอง ปรับปรุงตนเอง ให้มีสติสัมปชัญญะในการยืน เดิน นั่ง นอน จึงจะไม่มีอันตราย


    ๏ คนเราทำบุญอย่างไรจึงได้บุญมากๆ ครับ ?

    - ทุกวันนี้เราไม่เข้าใจวิธีทำบุญที่ถูกต้องเหมาะสมในทางพระพุทธศาสนา ท่านจัดไว้ว่า การทำความดีที่ไม่ถูกต้อง ๔ ประการ เป็นเหตุทำให้วิบัติ เป็นทางเสื่อม ไม่เจริญ ได้แก่ ทำความดีไม่ถูกที่ ทำความดีไม่ถูกบุคคล ทำความดีไม่ถูกกาลเวลา และทำความดีแล้วไม่ตามความดีของตน หากว่าเป็นคนที่พอเข้าใจเรื่องการทำบุญแล้ว เขาย่อมเลือกทำบุญได้อย่างดีและถูกต้อง เพราะเขารู้เรื่องดีว่าจะทำบุญอะไรเป็นบุญ และมีประโยชน์อะไรบ้างเมื่อทำบุญ คนไม่มีปัญญาทำบุญย่อมได้บุญน้อย

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า มาสอนวิชาศิลปะแก่พระนี้ ไม่ได้บุญนะ การบริจาคทานให้พระนั้น คิดแล้วน่าจะได้บุญ แต่มันไม่ได้บุญ พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญ เขาก็ยังพากันบริจาคทานกันอยู่ เช่น เอาควาย วัว โค กระบือ ช้าง ม้า มาถวายให้พระ บางที่ก็นำหมู เป็ด ไก่ มาปล่อยไว้ที่วัด จัดเป็นการบริจาคทานที่ไม่ได้บุญเช่นกันเพราะเป็นการสร้างทุกข์ให้กับพระ ต้องเลี้ยงให้กินหญ้าไม่มีเวลาปฏิบัติธรรมหรือเดินจงกรม เป็นต้น


    ๏ เป็นเจ้าอาวาสแล้วทำไมยังต้องกวาดลานวัดอยู่ครับ ?

    - ก็จริงนะ ทุกๆ เช้า อาตมาก็จะออกมากวาดลานวัด ร่วมกับพระลูกวัดอื่นๆ ด้วย ถามว่าอาตมาอายุเยอะแล้วทำไมยังมากวาดลานวัดอีก อาตมาไม่ทำเดี๋ยวพระรูปอื่นจะไม่ทำกัน เราทำเป็นแบบอย่าง โดยการกวาดลานวัดเป็นกิจวัตร จริงๆ มันก็เป็นการออกกำลังกายไปในตัวด้วย สุขภาพจึงแข็งแรงไม่มีโรคภัยไข้เจ็บให้เป็นทุกข์


    ๏ หลายคนตั้งคำถามพระอาจารย์ว่าทำไมถึงดูไม่ชราเหมือนพระที่มีอายุเท่ากัน ?

    - อาตมาคิดว่าคงเป็นที่สภาพอากาศที่วัดด้วย ไม่มีมลภาวะใดมารบกวน สิ่งแวดล้อมภายในวัดมีแต่ต้นไม้ใบไม้เป็นป่าทึบไปทั่วบริเวณ ซึ่งก็ไม่มีอะไรมาล่อใจใดๆ ให้การปฏิบัติไขว่เขว สิ่งเหล่านี้มันก็ทำให้การปฏิบัติธรรมของอาตมาทำได้อย่างเงียบสงบ


    ๏ มีกิจนิมนต์เทศน์บ่อยหรือเปล่าครับ ?

    - ก็ยังเทศน์อยู่ ใครมานิมนต์ให้ไปเทศน์ที่ไหน อาตมาก็จะไปทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นต่างจังหวัด ปีนี้ก็มีคนมาปฏิบัติธรรมกันมาก ยิ่งเป็นต่างประเทศ คนส่วนใหญ่ชอบฟังธรรมะเช่น ประเทศออสเตรเลีย ไปก็ประมาณ ๒ เดือน ส่วนการเดินทางไปเทศน์ตามสถานที่ต่างๆ ที่จะไปได้ ก็ต้องมีข้อแม้ว่าจะไม่ตรงกับวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา แต่ส่วนใหญ่อาตมาก็จะไปตามที่เขามารับกันตลอดทั้งเดือน อาตมาจะเว้นอยู่แค่ประมาณ ๒-๓ วัน

    ใครจะว่าอย่างไรไม่ทราบ อาตมาคิดว่าใครไม่ดี ใครมันโง่ก็จะพูดภาษาธรรมะไม่ได้ คนที่ไม่รู้จักรักษาศีลปฏิบัติธรรมชีวิตนี้เขาก็จะไม่มีความสุข อาตมาคิดว่าถ้าใครได้ลองปฏิบัติธรรมกันอย่างจริงจังแล้ว ชีวิตพวกเขาก็จะมีความสุข ใครฉลาดหรือโง่ก็ต้องเลือกกันเอาเอง


    ๏ พระอาจารย์มีวัตถุมงคลแจกหรือเปล่าครับ ?

    - วัตถุมงคลก็มีแจกกันบ้าง เพราะลูกศิษย์ของอาตมาเขาทำแล้วก็เอามาถวาย อาตมาก็จะแจกให้กับญาติโยมที่มาทำบุญที่วัด ตอนนี้อาตมาก็บอกให้ลูกศิษย์หยุดทำวัตถุมงคลได้แล้ว อาตมาอยากให้ญาติโยมสนใจอ่านหนังสือธรรมะมากกว่า เพราะธรรมะจะมีความสำคัญกว่าวัตถุมงคล อาตมาเห็นหลายคนยังนิยมวัตถุมงคลมากกว่าธรรมะ เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้ศึกษาธรรมะ ไม่ได้ปฏิบัติกันนั่นเอง พวกเขาจึงยังเห็นว่าวัตถุมงคลสำคัญกว่าธรรมะ ถ้าใครได้ปฏิบัติธรรมแล้ว เขาก็จะไม่เอาวัตถุมงคล แต่วัตถุมงคลก็ดี เป็นส่วนหนึ่งของการให้กำลังใจ ยึดเหนี่ยวจิตใจ


    ๏ คนที่แขวนพระเครื่องแล้วไม่ปฏิบัติธรรมจะเป็นอย่างไร ?

    - พวกโยมเห็นนักโทษที่มีอยู่มากมายในบ้านเราไหม พวกเขาแขวนพระเครื่องกันมาก แต่ไม่มีใครปฏิบัติตนให้อยู่ในธรรม เมื่อไปทำอะไรที่ไม่ดี พระท่านก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ เพราะคนเหล่านี้ไม่ได้ปฏิบัตินั่นเอง และอาตมาอยากย้ำว่า ถ้าเรารักษาตนด้วยธรรมะได้ ก็ไม่จำเป็นต้องแขวนพระ ดูสิอาตมาเองยังไม่แขวนพระสักองค์ (หัวเราะด้วยรอยยิ้ม)


    ๏ ที่ว่าขลังและยิงไม่เข้า ตรงนี้เกิดจากอะไรครับ ?

    - ถามอาตมาแบบนี้ ไอ้ที่ว่านี่มันก็เกิดจากพลังจิต พระคาถาที่มีพระเกจิอาจารย์ทำการปลุกเสกลงไป ความขลังไม่ขลังจึงเกิดจากพระเกจิอาจารย์ได้ทำการอธิษฐานประกอบเข้าไป เขาถึงได้เรียกกันว่าสมาธิพลังจิตอย่างหนึ่ง ใครที่นำเอาวัตถุมงคลนี้ไปใช้ไม่ดีก็เป็นบาป ใครเอาไปใช้ในทางที่ดีก็เป็นประโยชน์


    ๏ ทำอย่างไรถึงมีความสุขครับ ?

    - สุขเกิดด้วยการไม่เป็นหนี้ใคร การไม่เป็นหนี้สินใครจะทำให้อยู่เป็นสุขสบาย แต่เราต้องรู้จักจับจ่ายเงินทองได้พอดีกับฐานะของตน จึงไม่เป็นหนี้ใคร เมื่อเห็นคนเดินเข้ามาหาเรา เราก็ไม่หวั่นไหวอะไร ว่าเขาจะมาทวงถามหนี้จากเรา เมื่อเราไม่เป็นหนี้ใคร เราก็อยู่อย่างมีความสุข



    .....................................................................

    คัดลอกมาจาก...หนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก
    ฉบับวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2548
    เรื่อง สุทธิคุณ กองทอง / ภาพ พีระรัตน์ ธรรมจง

    </TD></TR><TR><TD>
    ที่มา : http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=9328
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. pen@_p@ne

    pen@_p@ne เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +433
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" background=/images/bg_board.gif border=0><TBODY><TR><TD width="70%"><TABLE class=body cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=top width="96%">ประกาศแจ้งเตือน ภัยภิบัติ ทั่วโลก สัญญาน วันล้างโลก</TD><TD width="2%"></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top width="30%"><TABLE class=body cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD> ผู้เขียน: ดะวะฮ</TD><TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=body cellSpacing=5 cellPadding=5 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#f6f6f6> ธรณีพิโรธชมภูทวี พิบัติภัยวันล้างโลก
    เป็นหายนะที่สร้างความเสียหายยับเบินให้กับหลายประเทศ เช่น อินเดีย ปากีสภาน อัฟกานิสภาน ซึ่งเกิดขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัวหรือไม่คาดคิดมาก่อน เป็นภัยธรรมชาติแต่ก็เกิดขึ้นมาแล้ว ในเดือน ตุลาคม ที่ผ่านมา ในปลายประเทศทั่วโลกต่างก็ล้วนเผชิญกับหายนะครั้งเลวร้ายจากภัยธรรมชาติมาแล้วทั้งสิ้น ทั่วโลก อาทิ ตุลาคม 2547 ประเทศไทย ประสบกับ สึกนามิ มีผู้คนล้มตายมากมาย สหรัฐผจนกับภายุเฮอริเคน แคทรีนา ประเทศจีนเผชิญกับใต้ฝุ่น ดอมเรย เป็นต้น และสัปดาห์ที่ผ่านมา แผ่นดินไหวรุนแรงครั้งล่าสุด 7.6 ริคเตอร์ 8 ตุลาคม มีจุดศูนย์กลางที่แคชเมียร์ปากีสถาน มีผู้เสียชีวิต กว่า 20000 คน เมืองทั้งเมืองได้พังราบเป็นหน้ากลองก็ว่าได้

    ชาวบ้านบอกว่า ตอนที่เกิดเหตุแผ่นดินวิปโยค สิ่งรูปตัวเขาดูเหมือนสั่นไหวรุนแรงไปหมด วินาทีนั้นคิดอยู่อย่างเดียวว่านี่เราถึงวันล้างโลกแล้วหรือ?

    ในทัศนะของข้าพเจ้า นี่เป็นเพียงสัญญานเตือนภัย วันสิ้นโลกจะไม่มาถึง หากสัญญานภัยภิบัติ ที่เป็นสัญญานเล็กๆ ปรากฏยังไม่ครบถ้วน วันสิ้นโลกจะไม่มาถึงโดยไม่ให้เราทันตั้งตัว แต่สัญญานล้างโลก เล็กๆจะเกิดขึ้นก่อน เพื่อเป็นคำเตือน ให้ทุกคนพึงทำดี
    อามีน
    แม่น้ำเอ้อล้น ผู้คนล้มตาย (น้ำถ้วม สึนามิ)
    แผ่นดินไหวทางทิศตะวันตก แผ่นดินไหวทางทิศตะวันออก (ธรณีวิปโยค หลายจุดทั่วโลก คาดการณ์ไม่ได้)
    <TABLE class=body cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>
    วันที่ : 11 ตุลาคม 48 12:37​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    ที่มา : http://www2.manager.co.th/mwebboard/listComment.aspx?QNumber=147083&Mbrowse=19
     
  6. boko0121

    boko0121 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,612
    ค่าพลัง:
    +7,736
  7. piakgear24

    piakgear24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    2,696
    ค่าพลัง:
    +44,505
    คุณ pen@ p@ne ผมว่าซูนามิในเมืองไทย 26ธันวาคม 2547 นะครับ
    ไม่ใช่ตุลาคมครับ เห็นด้วยอย่างยิ่งกับภัยที่คาดว่าน่าจะใกล้เข้ามาเต็มที เพราะมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเช่นคลื่นทะเลอ่าวไทย แผ่นดินไหว 70 ครั้งที่เชียงใหม่ อากาศหนาวยาวนาน กว่าทุกปี ประเทศที่เคยมีหิมะกลับไม่มี
    คงต้องรีบเตรียมทุกอย่างแล้วครับ โดยเฉพาะการทำสมาธิ
     
  8. อักขรสัญจร

    อักขรสัญจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,514
    ค่าพลัง:
    +27,181
    ผมขออนุญาตไปได้หล่อหนึ่งคนนะฮะ
     
  9. NuJanBaBor

    NuJanBaBor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    440
    ค่าพลัง:
    +1,861
    พักนี้นู๋ไม่ได้เข้ามาตอบ มาตั้งกระทู้เยอะน่ะค่ะ
    เพราะว่าตอนนี้นู๋ต้องทำงานค่ะ

    แต่ไม่ได้แปลว่านู๋ถอนตัวน่ะค่ะ^^
    นู๋ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ
     
  10. chaimongkol2

    chaimongkol2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +2,113
    ผมได้เตรียมที่ดินเป็นที่นามีต้นไม้บ้างซื้อมา 3 แปลงติดกันจำนวน 125 ไร่เพื่อเป็นที่ปฏิบัติธรรมและ
    เกษตรธรรมชาติสำหรับเหล่าพุทธภูมิและสาวกภูมิและนักปฏิบัติทุกท่านยินดีต้อนรับทุกท่าน
    อยู่ จ.ชัยนาท ครับจะขุดสระเก็บน้ำพรุ่งนี้ ตัวผมเองอยู่กทม.ครับ....
    ....ต่อไปจะปลูกพืชทำนาพืชผักไว้เลี้ยงทุกท่านได้...
     
  11. Elfen

    Elfen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2006
    โพสต์:
    365
    ค่าพลัง:
    +1,750

    สาธุ สาธุ :cool:
     
  12. piakgear24

    piakgear24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    2,696
    ค่าพลัง:
    +44,505
    หนูแจน.... เยี่ยมไปเลยครับ ทำงานหาเงินเพื่อกลับเมืองไทย และก็เพื่อเตรียมตัวอะไรอีกเยอะแยะ ก็ขอให้พยายามต่อไป และ ขอให้สำเร็จด้วยครับ
     
  13. piakgear24

    piakgear24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    2,696
    ค่าพลัง:
    +44,505
    อนุโมทนาครับ..
    ขอให้โครงการณ์ของคุณไชยมงคล สำเร็จด้วยดีครับ
    คงมีคนไปพึ่งอาหารจากคุณเยอะครับเมื่อถึงเวลานั้น
     
  14. [J]e@N

    [J]e@N เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +355
    ขอมีส่วนร่วมด้วยนะคะ ไม่รู้จะช่วยอะไรได้บ้าง..
     
  15. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    ในวงการระหว่างประเทศ มีการปล่อยข่าวว่าอิสราเอลจะใช้ระเบิดนิวเคลียร์กับอิหร่าน ติดตามข่าวได้จากลิงค์ข้างล่างนี้ครับ

    http://www.palungjit.org/board//showthread.php?t=66324

    และคอยช่วยกันติดตามสถานะการณ์โลกดีๆ นะครับ หากใครทราบความเคลื่อนไหวอย่างไรก็ขอให้มาโพสต์ให้เพื่อนๆ ทราบกันด้วย หากเกิดการสู้รบหรือใช้อาวุธนิวเคลียร์กันจริง พวกเราจะได้เตรียมตัวกันทันครับ

    .
    .
     
  16. boombb

    boombb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +127
    รายงานตัวด้วยครับ มีอะไรที่ช่วยได้ก็จะช่วยครับ มีไรก็บอกกันมาละกันครับ
    *-*
     
  17. pen@_p@ne

    pen@_p@ne เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +433
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>สงบจิต ได้ปัญญา
    โดย หลวงพ่อชา สุภัทโท

    วัดหนองป่าพง
    ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี



    ตั้งใจในความรู้สึกเฉพาะหน้า อาตมาจะอธิบายการนั่งสมาธิหรือการทำสมาธิหรือการกำหนดจิตต่อไป ขอโยมทั้งหลายนั่งในความสงบ อย่าไปรำคาญในเสียงอาตมาที่แนะนำในการปฏิบัติ ให้มันเป็นคนละอย่าง หูให้ได้ยิน จิตใจให้ได้รู้จัก อาตมาว่าอย่างไร ให้จิตเป็นสมาธิอยู่ และความรู้สึกนั้นมันจะรู้สึกของมันเอง การนั่งสมาธินี้เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกหัดจิตของพวกพุทธบริษัททั้งหลาย สมัยนี้คนที่นับถือพระพุทธศาสนาซึ่งถึงจะมีศีลมีทาน ก็ยังไม่เป็นบ่อเกิดแห่งความสงบได้อย่าแน่นอน แต่เมื่อเรามาทำจิตของเราให้สงบเรียบร้อย เป็นสมาธิ ปัญญาจึงจะเกิดขึ้นที่จิต ความรู้จะเกิดขึ้นที่จิต สมควรแก่การประพฤติปฏิบัติธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ดังนั้นวันนี้โยมจึงสัญจรมาจากถิ่นฐานของตน มีศรัทธา มีจิตประสงค์ อยากจะมากราบไหว้อาตมาและอยากจะพบหน้าตา ความจริงนั้นมาถึงได้เห็นแล้วก็นึกว่าจะกลับเลย แต่ว่ามันเปลี่ยนจิต อยากจะพบธรรมะคำสั่งสอน อยากฝึกเรื่องการทำสมาธิเพื่อถือเป็นแบบอย่างต่อไป

    ฉะนั้นจงเตรียมตัวนั่งสมาธิ ขาขวาทับขาซ้าย ตั้งการให้ตรงและให้มีความรู้สึกว่าบัดนี้เราจะทำการปฏิบัติ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ไม่ต้องคิดถึงบ้าน ไม่ต้องคิดถึงช่องหรือเป็นห่วงนี่เป็นใยนั่น แต่ให้ความรู้สึกว่ามันรู้อยู่ เมื่อนั่งมือขวาทับมือซ้าย ขาขวาทับขาซ้ายตั้งกายให้ตรงแล้ว เราก็ต้องเลือกหาว่าอะไรเป็นส่วนใหญ่ในกายของเรานี้ คำตอบก็คือจิต จิตนี้เป็นส่วนใหญ่ มันเป็นส่วนรวมของทุกสิ่งทุกอย่างในสกลกายนี้ คือมีจิตเป็นใหญ่ เราทุกคนก็รู้กันอยู่แล้ว เมื่อมีจิตเป็นใหญ่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย มันก็เป็นลูกน้องเป็นบริวารของจิตนั้น เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงจับผู้เป็นตัวการ ผู้เป็นหัวหน้า คือจิตนี้เองมาฝึก

    จิตนี้คืออะไร จิตนี้มันก็ไม่คืออะไร จิตนี้มันก็คือจิต เพ่งเอาตัวผู้รู้ ผู้รู้สึกอารมณ์ อย่างอาตมาพูดอยู่นี้ได้ยินด้วยหูก็รู้สึกที่ใจ ผู้รู้สึกนั้นคือใคร ก็คือผู้รู้สึกอันสมมติว่าจิต ผู้รับรู้อารมณ์ต่างๆ ที่เกิดมาจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย นี่แหละผู้รู้ที่เกิดขึ้น นี่ขอให้โยมเข้าใจอย่างนี้ ผู้รู้นี่มีทุกคน มีคำพูดคำหนึ่งของพระผู้มีพระภาคเจ้า... ผู้รู้นั่นแหละ เรียกว่าหรือคล้ายว่าเป็นจิต ผู้ที่รับรู้อารมณ์นั้น

    จะทำให้จิตมีกำลังต้องออกกำลังทางจิต กำลังของจิตกับกำลังของกายต่างกัน กำลังของกายต้องเคลื่อนไหวอย่างทางโลกเขาทำโยคะหรือการวิ่งเคลื่อนไหวทำให้กายมีกำลัง เป็นสิ่งที่ทำให้สุขภาพสมบูรณ์ อันนั้นมันเป็นเรื่องของกาย ส่วนเรื่องของจิตนั้นมันเป็นนามธรรม มันไม่มีรูปร่างแต่มันมีความรู้อยู่อย่างนั้น ทีนี้จิตนี้เราไม่ค่อยได้ฝึก ตั้งแต่เราเกิดมาพ่อแม่ก็ฝึกไปทางอื่น ฝึกไปในทางทำมาหากิน อะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่างในทางโลก ดังนั้นจิตใจของเราทั้งหลายจึงสับสนมาก คือฝึกให้จิตคิดมากๆ อะไรให้มากๆ ไม่อยู่กับตัวเรา บางทีคิดไปที่ไหนๆ ยังไม่รู้ตัวเลย นานๆ จึงกลับมารู้ตัวเราทีหนึ่ง เพราะคิดมากอะไรมากอย่างนั้นจะไม่ให้มันยุ่งเหยิงได้อย่างไร เพราะเราฝึกมันมาอย่างนั้น พ่อแม่เราก็ฝึกอย่างนั้น ตัวเราก็ฝึกอย่างนั้น คนอื่นก็ฝึกอย่างนั้น ผลที่เกิดจากการฝึกมาอย่างนั้นก็เป็นปัญหาเรื่อยมา ตลอดมา จนทุกวันนี้ เมื่อมีปัญหาเรื่อยมาก็เป็นคนวุ่นวายตลอดเวลา นั่นเรียกว่าทำจิตไม่ให้มีกำลัง ให้มีกำลังน้อย อันนั้นมันเป็นเรื่องของจิต

    ส่วนทำให้จิตมีกำลังนี้จะต้องทำจิตให้มีสมาธิ สมาธิแปลว่าความตั้งใจมั่น มั่นในคำใดคำหนึ่ง แม่นในอันใดอันหนึ่ง ยกตัวอย่างวันนี้เราตั้งใจอะไร จะให้มันแน่วแน่ในธรรมอันใด จะยกอันใดขึ้นเป็นหลัก อย่างเรายกเอาอานาปานสติ ลมหายใจของเรานี้เป็นหลัก คือทำความรู้ให้รู้ตามลมหายใจ สติความระลึกได้ สัมปชัญญะความรู้ตัว ให้รู้สึกว่าบัดนี้เราทำอะไรทั้งหลับตาและไม่หลับตา ให้เรารู้สึกว่ามีลมหายใจนี้เป็นสิ่งสำคัญ เป็นอาหารที่ยอดเยี่ยมที่สุด แม้เรานอนหลับอยู่เราก็หายใจ เราตื่นอยู่เราก็หายใจ เดินอยู่เราก็หายใจ นั่งอยู่เราก็หายใจ ทำอะไรมันก็หายใจทั้งนั้น อันนี้คือเป็นยอดอาหารทั้งหมด อาหารที่เราทานสักชั่วโมงสองชั่วโมงมันก็พออยู่ได้ ฉะนั้นขอให้เราเข้าใจอย่างนี้ อันนั้นควรจะยกเอาความรู้ไว้ที่ลม ดูกันว่าลมมันอยู่ตรงไหน รู้ไหม รู้แล้วมันรู้อย่างนี้ ถ้าอย่างนั้นเราจะต้องเอาความรู้สึกมาปักเข้าที่ปลายจมูกหรือริมฝีปากข้างบนสุด คือหมายความว่าลมออกลมเข้าในส่วนจมูกเองให้เป็นอย่างนี้ แต่อย่าไปตั้งใจให้มากมายเกินไป อย่าไปปรับใจจนเกินไปจนเสียอารมณ์เรา ให้กำหนดว่าลมมันออกอย่างนี้ ลมมันเข้าอย่างนี้ แล้วก็สูดลมเข้าไป แล้วก็หายใจออกมา นี่มันคลี่คลายๆ อยู่อย่างนี้ตลอดเวลา เมื่อหายใจเข้าไปอีกแล้วก็ปล่อยมันไป ถึงที่สุดแล้วก็อัดลมเข้าไปอีก หายใจออกหายใจเข้าอยู่อย่างนี้

    บัดนี้เรารู้จักอะไรเป็นอะไร ที่จมูกมันเป็นอย่างไร ความรู้สึกมันเป็นอย่างไร เมื่อรู้แล้วก็กำหนดลม คำว่ากำหนดลมนั้นคืออย่าไปบังคับลม หายใจเข้าไปตามสบาย ไม่ให้มันยาวนัก หายใจออก เอาลมออกมา ลมออกอย่าให้มันยาวนัก ลมเข้าอย่าให้มันยาวนัก ให้มันพอดีๆ จะได้ทำความคิดว่ายาวแค่ไหนมันสบาย สั้นแค่ไหนสบาย แรงแค่ไหนสบาย ค่อยแค่ไหนสบาย สภาพอย่างไรที่มันพอสบายไม่อึดอัด ไม่ต้องแต่งลม พอจะรู้ว่าลมหายใจเข้าออกอยู่เสมอ และก็กำชับผู้รู้นั้นให้ไปรู้ลมออกพอดี ลมเข้าพอดี ให้มีสติจับตามลม สูดลมเข้าเราเห็น "พุทธ" หายใจออกเราเรียกว่า "โธ" ก็ได้ คือพุทโธนี่เป็นแต่เพียงความรู้สึก ไม่ต้องพูดให้มีเสียง หายใจเข้าเรียกว่า "พุทธ" หายใจออกเรียกว่า "โธ" เจริญในใจว่า พุทโธ พุทโธ อยู่อย่างนี้ เอาสติกำหนดรู้ตามลมหายใจเข้าหายใจออกอยู่อย่างนี้ ไม่ให้นึกไปข้างบน ไม่ให้นึกไปข้างล่าง ไม่ให้นึกไปข้างซ้าย ไม่ให้นึกไปข้างขวา ไม่ให้นึกไปข้างหน้า ไม่ให้นึกไปข้างหลัง จิตอยู่กลางๆ คล้ายๆ กับว่าเราเดินทางถึงเมืองหนึ่ง มันเป็นทางสี่แพร่ง เราก็ยังอยู่ในวงกลม ข้างซ้ายเราก็ไม่ไป ข้างขวาเราก็ไม่ไป ข้างหน้าเราก็ไม่ไป ข้างหลังเราก็ไม่ไป ทำความรู้สึกเฉพาะจิตใจของเรา ให้หยุดอยู่กับลมอย่างนั้น อยู่กับลม จ่ออยู่อย่างนั้น ไม่ต้องไปข้างหน้า ไม่ต้องไปข้างหลัง ไม่ต้องไปข้างซ้าย ไม่ต้องไปข้างขวา รู้ลมที่มันออกมาแล้วก็เข้าไป รู้อาการที่มันออกแล้วเข้าอยู่อย่างนั้น

    บางทีจิตของเรามันวอกแวกไปหน่อยก็ได้ แต่ไม่เป็นไร เรามีสติอยู่เราก็รู้มัน แล้วก็กลับมาที่ลมหายใจเข้าออกต่อไป ให้ยกจิตขึ้นมารู้จักมันเสีย บางทีมันจะเกิดความรู้สึกขึ้นมาอย่างนี้ว่า กำหนดลมนี้มันจะรู้อะไร มันจะเป็นอะไร มันจะเป็นอย่างไร อันนั้นไม่ใช่การงานของเรา ไม่ใช่หน้าที่ของเรา หน้าที่ของเราในปัจจุบันนี้มีหน้าที่ต่อตัวเองว่า ให้กำหนดลมออกให้รู้จัก กำหนดลมเข้าให้รู้จักเท่านั้น เรื่องอื่นไม่ใช่ธุระของเรา หน้าที่ของเรารู้แต่กำหนดลมออกกำหนดลมเข้า ให้มันทันท่วงทีเท่านั้นแหละ ให้รู้ว่าอันนี้มันยาวไปให้มันสั้นอีกหน่อย อันนี้มันสั้นไปให้มันยาวๆ อีกหน่อย ให้รู้จักมันอย่างนั้น ปล่อยเป็นธรรมดาของมัน ควบคุมให้มันประกอบกับความสบาย มันสบายอย่างไรเอาอย่างนั้น อยู่อย่างสบาย ที่มันสบายไม่ขัดข้อง ลมหายใจก็ไม่ขัดข้อง นั่งก็ไม่ขัดข้อง อะไรก็ไม่ขัดข้องแล้วในกายส่วนใดส่วนหนึ่ง นั่นแหละสบาย

    เมื่อนั่งสมาธิและทำจิตสงบแล้วร่างกายมันจะเบา ไม่หนัก มันเบา เป็นร่างกายที่สมควรแก่การงาน สมควรแก่สมาธิ แต่ว่าทำขั้นแรกมันก็ฝืนธรรมชาติสักหน่อย อึดอัด สงสัย มันก็เหมือนกับเราเดินทางไปที่ๆ ไม่เคยไป มันก็สงสัยอยู่เรื่อยไป เป็นเรื่องธรรมดาของเรา การทำสมาธินี้เราไม่เคยทำหรือทำมาแล้วแต่ไม่ค่อยรู้จัก มันก็สงสัยอยู่อย่างนั้น เป็นธรรมดาของมัน ความสงสัยนี้เองแหละมันจะเป็นเหตุไม่ให้เราสงสัย มันจะเป็นเหตุให้เรารู้ตามความเป็นจริงก็เพราะความสงสัยนี้ไม่ใช่อื่นไกล เรื่องอะไรทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นมาในเวลาเรานั่งสมาธิอยู่นั้น มันเป็นอาการของจิตเท่านั้น สักแต่ว่าเท่านั้น มันจะมีเรื่องอะไรมาก็สักแต่ว่าเท่านั้น สักแต่ว่า สักแต่ว่าสุข สักแต่ว่าทุกข์ สักแต่ว่ามันถูกกรรมของเรา มันเป็นเรื่องสักแต่ว่าเท่านั้น ถ้าเราพิจารณาเช่นนี้เราก็วกเข้ามาดูจิตของเรา ลมมันสม่ำเสมออย่าไปแต่งมันนะ อย่าไปแต่งมัน อย่าไปแต่งให้มันสั้น อย่าไปแต่งให้มันยาว ค่อยๆ ดูสภาพตามความเป็นจริงของมันอย่างนั้น หน้าที่ของเราในเวลานั้นก็คือดูลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว มันจะนึกว่ามันจะเป็นอะไรไหม มันจะรู้อะไรไหม อันนั้นเป็นเรื่องของความรู้สึกเฉยๆ เป็นสักแต่ว่าความรู้สึกเกิดขึ้นมาแล้วมันก็หายไป อย่าไปตามมัน พิจารณาอะไรให้มันเป็นสักแต่ว่า ในเวลานี้ในเวลาสั้นๆ นี้ อย่าเพิ่งพิจารณาอันใดอื่นเลย อย่าเพิ่งไปยกกายขึ้นมาพิจารณา อย่าเพิ่งไปยกอะไรขึ้นมาพิจารณาทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะปฏิบัติกว้างขวางไปถึงนั้น ทำปัจจุบันคือทำให้ลมเข้าออก ถ้าเราทำ ลมออกเราก็ทำลมเข้าเราก็ทำมันเสีย ทำมันทั้งออกทำมันทั้งเข้านั้นแหละ เมื่อทำมันแล้วเราก็ไม่ได้ควบคุมลม ไม่ได้บังคับลม ลมมันออกมันเข้าก็ตามเรื่องของมัน ผู้รู้ที่จิตของเราก็รู้เฉยๆ รู้ว่ามันออกรู้ว่ามันเข้า พร้อมกับกำหนดว่า พุทโธ พุทโธ พุทโธ

    คำว่าพุทโธนี้มันเป็นความรู้สึกของเรา เมื่อมีลมเข้าเราก็รู้สึกว่า "พุทธ" เมื่อมีลมออกเราก็รู้สึกว่า "โธ" ทั้งสองอย่างนี้ก็ไม่เป็นเหตุก่อกวนเรา รู้สึกว่าเข้าก็ "พุทธ" รู้สึกว่าออกก็ "โธ" เท่านั้น และไม่จำเป็นจะออกด้วยวาจาของเรา ทำความรู้สึกเท่านั้นตลอดเวลา ทีนี้เมื่อจิตเรามีความละเอียดกว่านั้น มันจะไม่อยากรู้สึกพุทธหรือโธ มันไม่อยากจะนึกอย่างนั้น ก็กำหนดว่าให้รู้แต่ลมมันออก ให้รู้ลมมันเข้า ลมออกก็รู้ลมเข้าก็รู้ ให้รู้อย่างนี้ รู้อย่างนั้น มันเป็นพุทธเองมันเป็นโธเอง มันก็เลยเป็น พุทโธ พุทโธ อยู่ในอาการอย่างนั้น มันเป็นเองอย่างนั้น ให้เรารู้สึกรู้อย่างนี้ตลอดเวลา ลมออกเราก็รู้จักลมเข้าเราก็รู้จัก ความรู้อันนี้แหละเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายอยากจะให้เราทำไปนานๆ

    ที่เรียกว่าพุทโธ พุทโธคือผู้รู้ ผู้รู้อันนี้แหละท่านเรียกว่าพุทโธ รู้อีกอย่างหนึ่งมันรู้เรื่องของจิตเรา จิตของเรานี่มันหยาบ พุทโธคือผู้รู้มันรู้ละเอียด มันรู้ทั้งอาการของจิต เรื่องของจิต คือมันรู้เรื่องของจิตคล้ายๆ กับว่าเป็นพระพุทธเจ้านั่นเอง มันก็รู้จักการสั่งสอนจิตของมัน ถ้าเฉพาะจิตล้วนๆ มันจะรู้สึกตัวเอง มันละเอียด พุทโธผู้รู้นี่รู้เรื่องของจิต รู้อาการของจิต รู้ความเป็นจริงของจิต รู้อย่างนั้น เมื่อมันเกิดรู้ขึ้นมาแล้วมันก็ได้เห็นจิต เอาผู้รู้อันนี้ดูจิต เอาจิตดูจิต เอาจิตรู้จิต เอาจิตสั่งสอนจิต สมกับท่านขนาบภิกษุทั้งหลายว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะตามดูจิตของตน ถ้าใครตามดูจิตของตน คนนั้นจะพ้นจากบ่วงของมาร" ใครจะไปตามดูจิตได้ ไม่มีสิ่งที่เหนือจิตเพื่อจะดูจิตของจิต ถ้ามี จิตเท่านั้นมันก็สอนตัวมันเอง อันนี้เป็นเรื่องของจิต ฟังยากสักหน่อยหนึ่ง เข้าใจยากสักหน่อยหนึ่ง แต่ง่าย คือเรื่องตัวเราฝึกจิตให้มันมีความฉลาดมากขึ้นกว่าจิตเดิม จิตเดิมที่มันโกหก เขาชวนอย่างไรเราไม่รู้เรื่อง ก็ทำตามไปเรื่อยๆ มันจะรู้อย่างนี้ ไม่รู้ตัวของมัน คล้ายๆ กับว่าทำความชั่ว รู้ แต่ว่าทำ ไม่กลัวความผิด จิตก็รู้ แต่ทำ นี่เรียกว่าความรู้ของจิตขั้นหยาบ มันเป็นอย่างนี้ ความรู้เกี่ยวกับการไปมาเป็นความรู้อันหนึ่ง รู้เรื่องของจิต รู้ว่าอันนั้นมันผิดจิตจะพาไปทำ มันห้ามเลย ไม่ทำ มันบังคับ จิตจะทำความชั่ว มันรู้ก่อน ก็ห้ามจิต รักษาจิต นี่เรียกว่าผู้รู้ รู้แล้วตามรักษาจิตของเจ้าของ ถ้าพูดตามเป็นจริงคือจิตนั่นแหละรักษาจิต ความรู้อันนี้มันเกิดขึ้นมาจากจิต อันนั้นจิตอันหยาบ หยาบมันเป็นพื้นอย่างนั้น นี่มันเป็นอย่างนั้น เช่นว่าจุดตะเกียง เอาไฟไปจุดเข้ามันก็สว่างยิ่งกว่าเก่า ความสว่างมันออกจากดวงไฟนี้ ความสว่างมันกระจายไปหลายเมตร อันนั้นคือความสว่างจากดวงไฟ อันนี้มันออกมาจากจิต คือความสว่างมันออกจากจิตนี้ จิตคือผู้รู้ทั้งหลายนี้ ถ้าฝึกจิตแล้วก็จะเกิดความสว่าง ... เกิดปัญญา เกิดความสว่าง เมื่อปัญญามันละเอียดขึ้นไปมันก็เกิดญาณ ที่พระท่านตรัสว่า "ใครมีปัญญา คนนั้นก็มีญาณ ใครมีญาณ คนนั้นก็มีปัญญา" ใครมีปัญญาคนนั้นก็มีญาณ หมายความว่า ปัญญานั้นมันละเอียดลึกเข้าไปแล้วมันจะกลายเป็นญาณอีกอันหนึ่ง

    จะวกกลับมาเรื่องที่ได้พูดไว้ว่า เมื่อจิตมันสงบแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นหลายอย่าง บางทีเกิดเป็นแสงขึ้นมา บางทีเกิดเป็นรูปอันนั้นอันนี้ขึ้นมาสารพัดอย่าง มันจะเกิดอะไรขึ้นมาตรงนั้น เราก็คุมสติให้ดี อย่าวิ่งไปตามแสงอันนั้น อย่าวิ่งไปตามสีอันนี้ เราก็เพ่งดูจิตของเรา ดูจิตของเรา เออ ! ไม่ต้องกลัว ทำใจให้สบาย ไม่ต้องกลัว บางทีมันก็สงบจนถึงกับว่าจมูกของเราที่เคยมีลมหายใจเคยผ่านเข้าออกเสมอ เมื่อมันถึงความสงบจิตแล้ว จมูกของเรานี้มันจะอยู่เฉยๆ ไม่มีลมผ่านออกหรือเข้า ความรู้สึกนี้มีกันเยอะ ใครไม่เข้าใจอาจคิดว่า เมื่อไม่มีลมมันจะตายไหมนี่ ไม่หายใจแล้ว ลมมันไม่มีแล้ว อย่างนี้ก็มี ถ้ามันเป็นเช่นนั้นจะทำอย่างไรต่อไป อันนี้พระพุทธเจ้าไม่ให้กลัว ลมไม่มีแต่เอาผู้รู้ว่าลมไม่มีนั่นแหละเป็นอารมณ์อีกต่อไป มันรู้อยู่แต่ก่อนว่ามันมีลมออก ลมเข้า บัดนี้ไม่มีลมออก ลมเข้า มันรู้ว่าไม่มี ความรู้ว่าไม่มีนั่นแหละคือผู้รู้ มันเป็นเรื่องของภาวนา

    ภาวนานี้แยกกันออกเป็นสองอย่าง คือสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนาซึ่งแยกไปตามความรู้สึก แต่มันก็เป็นอันเดียวกันนั่นแหละ แต่หยาบละเอียดกว่ากัน เช่นว่า ความสงัดของสมาธิที่เราทำอยู่เดี๋ยวนี้มันเกิดสงบ ถึงคราวสงบมันก็สงบ ความสงบเช่นนี้อย่างว่าเสียงก็ไม่ได้ยิน รูปก็ไม่เห็น อะไรก็ไม่มี มันก็เลยสงบ จิตสงบอยู่ สงบอย่างนี้ก็เรียกว่าเข้าไปสงบเฉยๆ ไม่ใช่ว่าสงบกิเลส คือเดี๋ยวนี้มันห่างจากเสียงห่างจากรูป มันไม่ได้ยินมันก็เลยสงบ อย่างนี้เรียกว่าการเข้าไปสงบจิต ไม่ใช่สงบกิเลส แต่ว่าการเข้าไปสงบจิตนี้ก็มีเหตุผลเหมือนกัน อย่างเราออกจากบ้านมาอยู่นี่มันก็กายวิเวก กายวิเวกมันเป็นเรื่องทางกาย มันห่างจากบ้านมา มันห่างจากเพื่อนฝูงมาอยู่ในป่าที่มันสงัด สงบ อันเป็นวิเวกทางกาย กายวิเวก เมื่อมีกายวิเวกมันเป็นเหตุให้จิตวิเวก คือจิตสงบไม่กระสับกระส่าย มันเป็นเหตุถึงความสงบถึงจิตอย่างนั้น ดังนั้นมันจึงมีผล กายวิเวกเป็นเหตุ เมื่อเป็นเหตุแล้วก็ทำให้จิตสงบเป็นผลขึ้นมา กายวิเวก จิตวิเวก เมื่อจิตวิเวกแล้วก็เป็นเหตุต่อไปจนถึงอุปธิวิเวก กิเลสสงบ อุปธิสงัด ระงับกิเลสคือความเศร้าหมอง คือราคะ คือโทสะ คือโมหะวุ่นวายต่างๆ ที่เรียกว่ากิเลส

    อุปธิคือสภาวะที่มันดองในใจของเรา ปลูกฝังอยู่ในใจของเราตลอดกาลนานมาแล้ว ดูอย่างหนึ่งเหมือนว่ามันไม่มี เมื่อถูกอารมณ์ที่ชอบใจ กิเลสมันก็ฟุ้งขึ้นมา เกิดราคะ เกิดโทสะ เกิดโมหะขึ้นมา อันนี้เรียกว่าจิตของเราสมาธิมันระงับไม่ได้ นั่นเรียกว่าสมาธิมันมีกำลังเพียงเข้าไปสงบจิตเท่านั้น อำนาจของมันยังไม่ถึงกับว่าเข้าไปสงบกิเลส เมื่อเรานั่งในความสงบแล้วเราออกไปสัญจรไปมาเห็นแสงมันลุกฟู เห็นอะไรที่ชอบใจและไม่ชอบใจมันจะลุกฟูขึ้นมา นั่นเรียกว่ากิเลสยังอยู่ ไม่ใช่ว่ามันสงบกิเลส อย่างนั้นเรียกว่าเข้าไปสงบจิต เป็นเรื่องสมถะทางจิต อันนี้สงบไปอย่างหนึ่ง แต่ก็ดี มันเป็นเหตุพาเราให้ออกกายวิเวก ใจวิเวกเสมอ เมื่อมันมากขึ้นๆ ชำนาญมากขึ้นๆ มันก็มีกำลังก็เกิดปัญญา ดังนั้นท่านจึงบอกว่าสอนว่า ถ้าเราทำสมถจิตนี้ ถ้ามันสงบเราก็รู้ว่ามันสงบ แต่อย่าเพิ่งไปดีใจจนเกินไป ถ้ามันสงบจิตแล้วก็ดีใจสบายใจ บางคนนั่งตรงไหนก็อยากพูดอยู่ตรงนั้น แหม! เมื่อวานนี้ฉันทำสมาธิมันสงบดีเหลือเกินอย่างนี้ พูดบ่อยๆ ก็เพราะอดไม่ได้ มันเป็นอย่างนั้น แต่ความจริงก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ก็ขอให้เราบอกกับมันว่า อันความสงบนี้มันก็ไม่แน่.... ความสงบนี้มันก็ไม่แน่ เราต้องเตรียมไว้อย่างนี้เสมอ ทีนี้พอวันที่สอง มานั่งไม่ได้ความสงบเลย วุ่นวายเหลือเกิน ก็ให้เรารู้มันว่าความวุ่นวายนี้มันก็ไม่แน่ เห็นไหมเมื่อวานนี้มันสงบ ทำไมวันนี้มันวุ่นวาย มันก็ไม่แน่อย่างนี้ ความวุ่นวายมันก็ไม่แน่เหมือนกัน วันนี้มันไม่สงบวันต่อไปมันก็ต้องสงบอย่างนี้เรื่อยไป สงบบ้างไม่สงบบ้าง เราจะเห็นความสงบ เห็นความไม่สงบนั้นอยู่ในใจของเราเสมอ มันไม่แน่อย่างนั้น ความเห็นที่ว่ามันไม่แน่นั้น จะเกิดขึ้นมาที่จิตของเรา ที่เรารู้นั่นแหละ มันไม่แน่จริงๆ มันเป็นของไม่แน่อย่างนั้น คิดว่ามันไม่แน่อย่างนั้น มันไม่แน่จริงๆ ถ้าไม่แน่แล้วจะทำอย่างไร ปล่อยเสียอย่าไปทำอะไรมัน เมื่อมันไม่แน่ก็อย่าไปยึดมั่นมันเลย อย่าไปยึดมั่นมัน อย่าไปถือมั่นมัน นี่ ปัญญาเกิดแล้ว แต่ก่อนมันโง่ที่สุด โง่ขนาดอะไรมาก็จับปั๊บเลย เมื่อวุ่นวายก็กระทบเลย นี่มันโง่ที่สุด เมื่อเราทำไปทำมาเราก็เตือนมันว่า เออ ! สงบนี้ก็เป็นอนิจจัง วุ่นวายก็เป็นอนิจจัง ให้เราดูไปนานๆ ที่จริงมันเป็นอย่างนั้นเอง อย่างวันนี้มันสงบ พรุ่งนี้มันก็ไม่สงบ มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนี้ เมื่อมันเป็นอย่านี้ปัญญาก็เข้ามาช่วย เข้ามาช่วยว่ามันเป็นอย่างนี้ จะทำอย่างไรล่ะมันเป็นอย่างนั้น เห็นว่ามันเป็นอย่างนั้น มันไม่เที่ยง มันไม่เที่ยงก็อย่าไปยึดมั่นมันซิ เมื่อสั่งสอนอย่างนี้จิตของเราก็ลุกตื่นขึ้นมา เออ ! อย่าไปยึดมั่นถือมั่นมัน เรียกว่ามันถอย มันคลี่คลายจากความยึดมั่นถือมั่น มันก็ถอยมา ถอยมานานจนมันเคยตัว อารมณ์ทุกอย่างนั้นมันจะสงบบ้างไม่สงบบ้าง เราก็ไม่ทุกข์

    การไม่เป็นทุกข์ก็เรียกว่ารู้เรื่องของมันตามความเป็นจริงแล้วว่า มันไม่แน่นอน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของเป็นอนิจจังมันไม่เที่ยงอย่างนั้น เราไม่เชื่อก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่นมัน เชื่อก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่นมัน พอเราไปยึดมั่นถือมั่นมัน ก็เป็นทุกข์ เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นอนัตตธรรม ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่เราไม่ใช่เขา อย่างนี้เมื่อจิตของเรารู้สึกอย่างนี้อธิบายอารมณ์ทั้งหลายเหล่านี้ออกมา ผู้รู้ของเราก็รู้สึกว่ามันเป็นอย่างนั้น เราจะทำเมื่อไหร่มันก็เป็นอย่างนั้น ถ้าเราพิจารณารู้บ่อยๆ ก็เป็นเหมือนกับว่าเราอยู่อารมณ์ พูดง่ายๆ ก็คล้ายๆ กับว่าบ้านเราอยู่ติดทางรถ แหม! ไปสร้างบ้านใหม่ๆ บ้านอยู่ติดทางรถมันวุ่นวายเหลือเกิน ไม่ค่อยสบาย ไม่ค่อยสบายเพราะเสียงรถมันรบกวนเรา แต่เราจะหนีไปไม่ได้ เพราะเราอยู่ที่นั่น บ้านเราอยู่ที่นั่น จำเป็นจะต้องอยู่ เพราะที่เราอยู่นั่น บ้านเราอยู่นั่น เมื่อเราอยู่นั่นมันไม่สบาย เวลาได้ยินเสียงรถ ฮือๆ ฮาๆ ไปตลอดวัน อยู่ไปนานๆ ดูเป็นเรื่องธรรมดา รถมีเสียงก็เหมือนไม่มีเสียง อยู่ไปมันก็ชินกันนะ มันรู้จักกันนะ ก็เลยอยู่สบาย เพราะความเป็นจริงนั้น เราเข้าไปยึดมั่นถือมั่นมัน แต่ก่อนนั้นเราเข้าใจว่ารถมันมากวนเรา เสียงมันกวนเรา เราจะทุกข์ขนาดไหนเราก็ไปไม่ได้ เพราะบ้านเราอยู่นั่น เพราะเรือนเราอยู่นั่น จำเป็นอย่างนั้น เมื่ออยู่นานไปมันก็ชินกับเสียงรถ ได้ยินเสียงรถแล้วต่อไปมันคลี่คลายสบายๆ นี่เพราะรู้เรื่องของมัน มิหนำซ้ำบางทีรถหนีหมดจะเหงาเสียด้วย นี่ อย่างนี้ เป็นไปอย่างนี้ หากไม่ได้ยินเสียงรถเสียงเรือจะบ่นหาเสียด้วยนา มันก็เป็นอย่างนี้ จิตใจของเราน่ะ

    ฉะนั้น เมื่อรู้อย่างนี้ก็คิดเสียว่ามันเป็นเรื่องอนิจจัง สักแต่ว่ารูป สักแต่ว่าเสียง กลิ่น รส เป็นธรรมดาของมัน เมื่อเห็นเป็นตามธรรมดาอย่างนั้นแล้วก็เรียกว่าความรู้มันเกิดขึ้น รู้มันแล้ว ถึงหากว่าเป็นเสียงรถก็ไม่รำคาญ เสียงฮือฮาก็ไม่รำคาญ เพราะเราเคยต่อสู้มาแล้วเรื่องอย่างนี้ เมื่อปัญญามันเกิดเห็นเช่นนั้น มันก็ไม่รำคาญกับรูป ไม่รำคาญกับเสียง กลิ่น รส เลยเป็นเรื่องธรรมดา มันปล่อยวางในตัวมันเน้อ อันนี้เรียกว่ามันเป็นเช่นนั้นมันปล่อยวางอย่างนั้น ก็เรียกว่าปัญญาวิปัสสนา ปัญญามันเกิดขึ้นจากจิต คือมันไม่โง่เหมือนก่อน แต่ก่อนมันโง่ มันไปตะครุบเสียง มันไปตะครุบรูป มันไปเป็นสุขเป็นทุกข์กับเขาอยู่นั่นแหละ มันโง่อยู่นั่นแหละ บัดนี้เราไม่โง่ เราเป็นคนฉลาด รู้เรื่องของมันว่ารถมันเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่เสียงรถมันมารบกวนหรอก ตัวเราไปกวนรถไปกวนเสียง เมื่อเห็นอย่างนั้นคนเราก็อยู่สบาย สมัยก่อนได้ยินเสียงรถมันกวนเรา บัดนี้เห็นว่าเราเป็นคนไปกวนรถ เราเห็นว่าเราไปกวนเขานี่ ตรงกันข้ามเช่นนี้ เราไปกวนเขาเข้าใจว่าเขามากวนเรา มันไม่สบาย บัดนี้ความรู้อันนี้เป็นแหล่งปัญญาของเรา มันก็ปล่อยเสียงอันนั้น ปล่อยอารมณ์อันนั้น จิตของเราก็สบายขึ้น สูงขึ้น มีปัญญาขึ้น เมื่อเป็นเช่นนั้นจะลืมตาอยู่ก็สงบ จะหลับตาอยู่ก็สงบ จะนั่งอยู่ก็สงบ จะอยู่ท่าไหนก็สงบนั่นแหละ ถ้ารู้แล้วว่ามันเป็นเช่นนั้น ความรู้อันนี้เกิดขึ้นมาก็เรียกว่าปัญญาเกิดพร้อม ไม่เป็นทุกข์ รู้จักแล้ว รู้จักทุกข์ รู้จักเหตุเกิดของทุกข์ รู้ความความดับทุกข์ รู้จักข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ถ้ามันรู้เช่นนี้มันก็เป็นเรื่องมรรค คือรู้ความจริง พิจารณาอย่างนั้น การรู้อย่างนั้นเราเรียกว่ารู้กิเลส กิเลสที่มันเกิดขึ้นมาก็มีความรู้อันหนึ่ง สมัยก่อนเรารู้ว่าเสียงมากวนเรา บัดนี้เห็นว่าไม่ใช่ เราไปกวนเสียงเอง มันก็วาง มันก็ปล่อย ฉะนั้นจิตสมาธิ จิตมันฉลาดแล้ว เป็นจิตฉลาดแล้วนะ อันนี้เรียกว่าการภาวนา คือสมาธิไม่เกิดก็ทำให้มันเกิด ไม่มีก็ทำให้มันมี ปัญญาไม่เกิดก็ทำให้เกิด ปัญญามันหยาบก็ทำให้มันละเอียด ก็ทำไปอย่างนี้

    ฉะนั้นในทางพุทธศาสนาการมาทำภาวนาเช่นนี้ก็เพื่อบรรเทาราคะบรรเทาโทสะบรรเทาโมหะ ไม่ใช่การทำภาวนาเพื่ออยากจะไปเห็นนรกอยากจะไปเห็นสวรรค์ อยากจะไปดูพรหมโลก อยากจะดูพ่อแม่เราว่าตายแล้วไปเกิดอยู่ที่ไหนอะไรอย่างนั้น ไม่ใช่เรื่องอย่างนั้น ตามความจริงไม่ใช่เรื่องอย่างนั้น เรื่องทำให้จิตสงบให้เกิดปัญญารู้เรื่องแล้วปล่อยวาง การปล่อยวางได้แก่ความไม่ยึดมั่นถือมั่น ถ้าเราไม่ยึดมั่นถือมั่นมันก็ไม่หนักอะไรสักอย่าง จะพูดก็พูดด้วยปัญญา จะทำก็ทำด้วยปัญญา จะอยู่ก็อยู่ด้วยปัญญา จะทำอะไรทำด้วยปัญญาทั้งนั้น ไม่ทำด้วยความโง่ เห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ก็ให้ประกอบด้วยปัญญา ไม่ฟังเสียงด้วยความโง่ ไม่เห็นรูปด้วยความโง่ ฉะนั้นความรู้เช่นนี้เราก็รู้จักทุกข์ รู้สึกเหตุให้เกิดทุกข์ รู้จักความดับทุกข์ รู้จักข้อปฏิบัติให้เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ พระพุทธเจ้าต้องการอย่างนี้ ให้เรารู้เรื่องอยู่อย่างนี้ พอรู้เรื่องอย่างนี้แล้วก็หมด ไม่มีอะไรเป็นทุกข์ เป็นคนที่ไม่มีทุกข์ เป็นคนมีปัญญาตลอดกาลตลอดเวลา พระท่านว่าเป็นทุกขตธรรม ที่ท่านสอนพระไมฆราช ซึ่งเป็นสาวกว่า "ไมฆราช ท่านจงมองโลกนี้ให้เป็นของว่าง เมื่อท่านมองโลกนี้ให้เป็นของว่าง มัจจุราชคือความตายจะตามไม่ทัน" ท่านจึงว่า อนัตตธรรมคือธรรมอันไม่ตาย ทำให้เห็นเป็นความว่าง มันว่าง พระพุทธเจ้าของเราท่านสอนว่าให้มันว่าง ความว่างนี้อย่าไปฟังผิดนะ ถ้าฟังผิดละก็อะไรก็ว่างไปหมด จะได้อะไร ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรจะเอา คือปฏิบัติเพื่อละเพื่อวาง ถ้าเราเอาอะไรทุกอัน เรามีอะไรไหม เรามีอะไรมันก็ข้องอยู่อันนั้นแหละ มีลูกมันก็ข้องอยู่กับลูก มีหลานมันก็ข้องอยู่กับหลาน มีเรือกสวนไร่นามันก็ข้องอยู่ตรงนั้นแหละ ทำไม...จะไม่ให้มันมีหรือ ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะเราทำที่ไม่มีให้มันมี เราก็ต้องทำที่มันมีให้เหมือนกับไม่มี มันเป็นคนละเรื่องกัน ที่เราร่ำที่เรารวยหรือชีวิตที่เกิดขึ้นมานี้ เราอยู่กับการปล่อยวาง อยู่ด้วยปัญญา เราไม่ได้อยู่ด้วยความโง่ อยู่กับใครก็ได้ มีเงินเยอะก็ได้ มีทองเยอะก็ได้ มีผัวก็ได้ มีเมียก็ได้ ขอให้เรามีปัญญา อยู่อย่างปล่อยวาง อย่าไปยึดมั่นถือมั่นมัน เหมือนกับขันตักน้ำนั่นนะ โอ่งน้ำและขันตักน้ำ มีโอ่งอย่างหนึ่ง มีขันตักน้ำอย่างหนึ่ง และก็มีน้ำอย่างหนึ่งอยู่รวมกันนั่น เมื่อเราจะดื่มน้ำเราก็เดินไปที่โอ่ง ไปที่โอ่งเราก็จะไปพบน้ำกับขันน้ำที่ลอยอยู่ เราจะดื่มน้ำจะทำอย่างไร ก็เอาขันตักเอาน้ำมาดื่มเท่านั้น เราก็เอาขันวางไว้เอาโอ่งวางไว้ แล้วก็จากไป ไม่ใช่ว่าเราจะดื่มขัน ไม่ใช่ว่าเราจะดื่มโอ่ง โอ่งนั้นสำหรับบรรจุน้ำไว้ให้เราดื่ม เมื่อเราดื่มเสร็จแล้วเราก็ปล่อยโอ่งไว้ ปล่อยขันไว้ เราก็จากไป ไม่ใช่ว่าเราจะหอบเอาขันไปด้วย ไม่ใช่ว่าเราจะแบกเอาโอ่งไปด้วย ไม่ใช่อย่างนั้น อันนี้ก็เหมือนกัน อันนี้บ้านเรา อันนี้เรือนเรา อันนี้ลูกเราเมียเราหลานเรา ทุกอย่างเป็นของเรา สักแต่ว่าสมมติ ไม่ใช่ของจริง ความจริงนั้นเราไปดื่มน้ำ ถ้าเราไปดื่มโอ่งน้ำจะสบายไหม ไปดื่มเอาขันมันจะสบายไหม คงจะไม่มีผู้ใดไปดื่มโอ่งดื่มขัน คงไม่มีนะ เอาโอ่งวางไว้อย่างเก่า เอาขันวางไว้อย่างเก่า เราก็จากไป เรามีของอะไรต่างๆ ของที่เรามีมันก็มีอยู่แล้วในโลก เราเห็นว่าตัวเรานี้ก็ไม่ใช่เรา ของนั้นก็ไม่ใช่ของเรา แต่เป็นเครื่องสัมพันธ์กันอยู่ มีก็ใช้ไปเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่กาย แต่ความเป็นจริงสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญ

    ที่พระพุทธเจ้าของเราท่านสอนเป็นอนัตตธรรม ธรรมอันไม่ตาย มองโลกให้เป็นของว่าง ว่างจากการเป็นตัวตน เรา...เขา ว่างจากความโลภ ว่างจากความโกรธ ว่างจากความหลง ท่านจึงให้ทำให้ว่าง ว่างจากสิ่งที่มันมีอยู่ ไม่ใช่ละของที่มันไม่มี ปัญหาทั้งหลายมันจะรู้ว่าเรากำลังทำมันอยู่ จี้มันอยู่ รู้จักมัน ปัญหาทั้งหลายมันจะเกิดขึ้นเราก็รู้ทัน รู้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ บางทีเราเห็นว่ามันเป็นของว่างแล้วก็ไม่สบายใจ ไม่ค่อยสบายใจ ความเป็นจริงนั้นอย่าไปยึดมั่น อย่าไปยึดมั่นถือมั่น อย่าไปยึดมั่นว่าเราว่าเขา ว่าของเราของเขา ทำไปด้วยปัญญาของเราอย่างนั้น อันนี้มันเป็นเรื่องพูดฟังยาก...พูดก็ยากฟังก็ยาก ธรรมทั้งหลายเหล่านี้ที่พระพุทธเจ้าของเราท่านสอนไว้ ไม่ใช่เป็นคำสอนที่พูดให้คนเข้าใจได้โดยง่าย ไม่ใช่จะตรัสรู้ได้เพราะการฟังธรรม เพราะความเข้าใจในคำพูดนี้ มันเป็นเช่นนั้น มันเป็นปัจจัตตัง รู้เฉพาะตนเอง พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญหรอก คนที่เชื่อคนอื่นจนเกินไป พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าเราตรัสรู้ก็เพราะตนเอง เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ รู้ด้วยตนเอง เห็นด้วยตนเอง เหมือนกับที่โยมมาวันนี้ ต่างคนต่างไม่เคยมาวัดหนองป่าพง แต่รู้เรื่องวัดหนองป่าพงอยู่ คนอื่นเขาเคยมาก็สักแต่ว่าถามเขา วัดหนองป่าพงเป็นอย่างไร อะไรอย่างนี้ เขาก็ตั้งใจเล่าให้ฟัง วัดหนองป่าพงอยู่ตรงโน้น เป็นอย่างนั้นๆ ฟังก็พอเข้าใจแต่ไม่รู้ เข้าใจอยู่แต่ไม่รู้ หรือรู้อยู่แต่ไม่เข้าใจจริง คือรู้ไม่ถึง มีคนเคยมาวัดอีกก็ถามเขาอีกละ วัดหนองป่าพงอยู่ไกลเท่าไหร่ เป็นอย่างไร ปัญหาไม่จบลง เพราะอะไร เพราะเราไม่เห็นเอง เราไม่เป็นปัจจัตตัง

    โยมที่มาวันนี้ปัญหาที่จะถามคนอื่นว่าวัดหนองป่าพงเป็นอย่างไร คงจะไม่มีอีกแล้ว ท่านอาจารย์เป็นอย่างไรก็คงไม่เป็นปัญหา ที่มันจบลงนี่เพราะอะไร เพราะเรามาเห็นด้วยตนเอง ปัญหาก็คงไม่ต้องถาม ถ้าโยมไม่ได้มาคงจะถามตลอดเวลา วัดหนองป่าพงเป็นอย่างไร ท่านอาจารย์เป็นอย่างไร ถามตลอดเวลา เพราะอะไร เพราะไม่เห็นด้วยตนเอง การไปถามคนอื่นก็ไม่มีแล้ว ไม่สงสัย นี้ฉันใด.... อันนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น ไม่แปลกอะไรกับธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสอน

    เรื่องการปฏิบัตินี้มันเป็นเรื่องที่จะต้องทำ เห็นแล้วไม่ปฏิบัติรู้แล้วไม่ปฏิบัติ ก็ไม่ได้เรื่องได้ราว จะเปรียบง่ายๆ อาหารที่มีรสเอร็ดอร่อย เอามาวางไว้ข้างๆ รู้ไหมว่ามันอร่อย มันเกิดประโยชน์ไหม นี่ท่านเรียกว่ารู้เฉยๆ ไม่ได้ปฏิบัติ คนรู้ธรรมะไม่เท่าคนผู้เห็นธรรมะ คนเห็นธรรมใจมันเป็นธรรม ธรรมะเกิดขึ้นกับจิต อันนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น ปฏิบัติจริงอย่าไปอาศัยสิ่งอื่นมากมาย ปฏิบัติให้รู้ด้วยตนเองนี้ เมื่อจิตมันสงบแล้วสบาย มันจะมาของมัน เกศา โลมา นขา ทันตา ตะโจ บางคนก็รำคาญ เกศาคือผมนี่ทำไมต้องสอน มันเห็นอยู่แล้ว ความเป็นจริงไม่ใช่ให้ตาเนื้อนี่มันเห็น ตาเนื้อนั้นมันเห็นไม่จริงมันเลยไม่บรรเทากิเลส มันเพิ่มกิเลสขึ้นมา พระพุทธองค์ท่านอยากให้ตาในคือปัญญานั้นเห็น เรามีผมอยู่บนศีรษะตลอดเวลาตั้งแต่เกิดมาแล้ว แต่เรายังไม่เคยเห็นสักนิดเดียวเลยทางใจของเรา ขน...เรามีอยู่เต็มตัว เรายังไม่เคยเห็นขนสักเส้นเดียว ฟัน...เราก็มีเต็มปากนี่ แต่เรายังไม่เห็นแม้ซี่เดียวเลย หนัง...ที่หุ้มตัวเราอยู่นี้ ความจริงเรายังไม่เคยเห็นหนังสักเดี๋ยวหนึ่งเลย เห็นถนัด เห็นชัด เห็นตามเป็นจริง เห็นด้วยปัญญาตามเป็นจริง ยังไม่รู้ว่าอันนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่เขา อย่างนี้ไม่ได้เห็น ไม่เห็น การเห็นด้วยตาเนื้อนี้ไม่ใช่ความเห็นโดยแจ่มแจ้ง เห็นด้วนการปิดบังเห็นด้วยความมืด ไม่ใช่เห็นด้วยความสว่าง

    ฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงให้มองเห็นอย่างนี้ ท่านให้มองเห็นด้วยปัญญา เห็นแล้วมันถอน เห็นความชั่วก็รู้จักความชั่ว เห็นความผิดก็รู้ว่าความผิด มันไม่เอา จิตนั่นเป็นเหตุ อันนี้จะเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ไม่ได้อีกแล้ว ถ้าเราเห็นทุกข์ ทุกข์ก็ไม่ก่อเรื่องขึ้นมา นี่เรียกว่าตัดต้นตอมันเสียด้วยปัญญาของเรา เมื่อจิตสงบแล้วเราก็มาพิจารณาให้ปัญญามันเกิดแยบคาย ให้มันเห็น เกศา โลมา นขา ทันตา ตะโจ ด้วยการประพฤติปฏิบัติ เมื่อเราเห็นเช่นนั้น สมมตินี้มันกองกันอยู่ สมมติทั้งนั้น สมมติว่าผมขนเล็บฟันหนัง สมมติว่าผู้หญิงผู้ชาย สมมติว่าเรา อย่างนั้นมันเป็นเรื่องสมมติ มันไม่จริง มันไม่จริงเพราะมันสมมตินะ มันไม่มีอะไรสักชิ้นเป็นของเรา เป็นเรื่องสมมติ อย่างพวกเรานั่งอยู่นี่ก็เหมือนกัน ผู้หญิงก็สมมติว่าเป็นหญิง ผู้ชายก็สมมติว่าเป็นชาย ถ้าผู้หญิงถูกสมมติให้เป็นผู้ชาย เราก็คงเรียกผู้หญิงเป็นผู้ชายตลอดมาจนทุกวันนี้ สมมติว่าตามันเป็นหูเสีย เราก็จะเรียกตาว่าหูมาตลอด นี่เรื่องสมมติ ความเป็นจริงสิ่งทั้งหลายมันไม่รู้เรื่องอะไรหรอก ไม่มีอะไรเป็นเรื่องของเรา ให้เรารู้ตามเป็นจริง เมื่อรู้ตามความเป็นจริงแล้วมันจะได้ปล่อย มันจะได้วาง อยู่ไปก็ไม่เป็นทุกข์ นั่งก็ไม่เป็นทุกข์ นอนก็ไม่เป็นทุกข์ อะไรก็ไม่เป็นทุกข์ อยู่ด้วยปัญญา อยู่ด้วยความสงบจากทุกข์ อยู่ด้วยความว่าง ไม่ได้อยู่ด้วยความยึดมั่นถือมั่น ให้เป็นอย่างนี้ตลอดเวลา อันนี้คือผลที่จะเกิดในการปฏิบัติของพวกเราทั้งหลาย โยมซึ่งฟังธรรมวันนี้ ฟังออกก็ออก ฟังไม่ออกก็ไม่ออกต่อไป อย่าไปสงสัยอะไรมันเลย



    จบเทศนา....................... เอวัง </TD></TR><TR><TD> </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ที่มา : http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=59
     
  18. Rattanaporn

    Rattanaporn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +13,348
    มารายงานตัวค่ะ ขอเป็นสมาชิกร่วมกับกลุ่มด้วยอีกคนนะคะ ตอนนี้อยู่ที่อเมริกา ไม่ทราบว่าต้องกลับไปเตรียมตัวพร้อมรับมือกับภัยพิบัิติเมื่อไหร่ดีค่ะ (พร้อมด้วยครอบครัวค่ะ...)ถ้าอยู่ที่เมืองไทย จะมีถิ่นที่อยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ อ.สันทรายค่ะ แต่ก็สามารถย้ายได้ค่ะ ปัญหาที่อยากทราบก็คือ จะต้องเดินทางกลับเมืองไทยให้ทันก่อนเวลาเมื่อไหร่ ช่วยกรุณาตอบด้วยนะคะ ดิฉันและครอบครัวจะได้เตรียมวางแผนการณ์ ต่าง ๆ ไว้
     
  19. พรหมประกาศิต

    พรหมประกาศิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +13,541
    ยินดีครับคุณตัวกลมๆ แต่ผมคงต้องไปหาตำรามาทบทวนรหัสที่ใช้แทนคำพูดอ่ะครับลืมหมดแย้ววว....ตอนนี้ผมก็อยู่ใกล้ๆคุณแหล่ะครับ แถวๆหน้า ม.รังสิต
    กำลังรองานใหม่อยู่อ่ะครับ ช่วงนี้ว่างก็เลยเดินสายหาวิชา-ความรู้ใส่ตัวครับ
    นี่เพิ่งเข้ามาดูเพราะไปฝึกทบทวนวิปัสสนากรรมฐานที่วัดอัมพวัน สิงห์บุรี มาอ่ะครับ 3 วัน(5-7) เดี๋ยวประมาณกลางเดือนนี้จะขึ้นไปอุบลฯ เพื่อปฎิบัติธรรมและหาของดีติดตัวที่วัดป่าโนนจ่าหอมและวัดภูเหล่าเงินฮาง กับสหายธรรมท่านอื่นอีกสองท่านครับ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2007
  20. สายชน

    สายชน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    251
    ค่าพลัง:
    +1,232
    การที่มีคนปราถนาพุทธภูมิแล้วก็ประกาศทั่วไปแบบนี้ไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่านะครับไม่ใช่มาเปล่งวาจากันแบบนี้พระโพธิสัตว์ที่ปราถนาพุทธภูมิต้องปราถนาไว้ในใจก่อนหลายกัปกว่าจะเปล่งว่าจาอีกและพยากรณ์อีกแต่ที่นี้เห็นพูดกันเขียนกันแบบไม่อายกันเลยตามที่ผมเข้าใจและศึกษาพระไตรปิฏกมานี้ไม่ได้ว่าใครนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...