เรื่องเกี่ยวกับพระศรีอาริย์และศาสนาปัจจุบัน(ข้อคิด)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย โดเรม้อน, 20 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. โดเรม้อน

    โดเรม้อน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    849
    ค่าพลัง:
    +75
    เรื่องบางเรื่องไม่เล็กไม่ใหญ่แต่รู้ว่าใส่บ่าแบกหาม ด้านพุทธศาสนารู้แล้วแต่ด้านหนึ่งที่ชาวเว็บปฏิเสธกึ่งลุ้นกัน

    (ประวัติของพระศรีอารย์) ครั้งเมื่อพระเจ้าสร้างโลก เกิดมีสวรรค์มนุษย์ 3 ภพ บนสวรรค์ชั้นฟ้าของมนุษย์นั้น ซึ่งเป็นที่ประทับ ปู่สวรรค์ ย่าสวรรค์ ได้กำเนิด พ่อเจ้า แม่เจ้า องค์พ่อเจ้า แม่เจ้าก็ให้กำเนิด โอรสสองพระองค์ องค์พี่มีนามว่า พระศรีอาริยะเมตตรัย องค์น้องมีนามว่าพระพุทธเจ้า ตามประเพณีสวรรค์แล้วโอรสองค์โตจึงมีสิทธิ์ที่ได้รับเลือกแต่งตั้งใ้เป็นรัชทายาท ครองตำแหน่งเจ้าของศาสนา ฟ้าดิน หรือเจ้าฟ้าสวรรค์ เป็นเวลา 5000 ปี แต่ขณะนั้น องค์ปู่สวรรค์ ย่าสวรรค์ เห็นว่าหลานชายต้องขึ้นว่าแผ่นดิน ดูแลทุกข์สุข ของปวงประชาทั้งสามภพ คงได้รับความเหน็ดเหนื่อยมาก องค์ปู่สวรรค์ ย่าสวรรค์ จึงรับสั่งให้พระศรีอารย์ และ พระพุทธเจ้าขึ้นครองราชองค์ละ 2500 ปี ตามประเพณีสวรรค์แล้ว พี่ต้องขึ้นครองราชก่อน น้องมาทีหลัง แต่พระพุทธองค์น้องต้องการขึ้นครองราชก่อนพี่ องค์ปู่สวรรค์ ย่าสวรรค์ เห็นว่าตกลงกันไม่ได้ จึงมีรับสั่งให้ 2 พระองค์ เข้าทำสมาธิแข่งบารมีปลุกเศกดอกบัวหินให้บาน ถ้าดอกบัวหินของใครบานก่อน ก็ให้องค์นั้นขึ้นครองราชก่อน พระศรีอารย์ท่านมีบารมีสูง และเป็นทายาทฟ้าดิน เหล่าเทวดา องค์เทพทั้งหลาย ได้มาช่วยกันปลกเศกดอกบัวหินให้บานตามต้องการ ขณะนั้นพระพุทธองค์น้องได้ออกจากสมาธิก่อน เห็นว่า ดอกบัวหินของพระศรีอารย์บานก่อน จึงมีจิตอันเป็นกิเลสได้สับเปลี่ยน ดอกบัวหินของตนให้กับพระศรีอารย์ ครั้นเมื่อพระศรีอารย์ออกจากสมาธิ เห็นดอกบัวหินของตนได้ถูกสับเปลี่ยน จึงยิ้มและตรัสขึ้นว่า จิตอันเป็นกิเลส และกายไม่ซื่อตรง ด้วยพระศรีอารย์ท่านมีวาจาศักดิ์สิทะิ์ ครั้นตรัสสิ่งหนึ่งประการใดออกไปแล้ว ต้องเป็นไปตามสิ่งนั้น เมื่อพระพุทธองค์น้องได้ขึ้นครองราชย์ก่อน และมาจุติยังโลกมนุษย์ก่อน........
    2500 ปีหลังนี้ เป็นของ พ่อใหญ่ (พระศรีอาริยะเมตตรัย) ยุคนี้จะมีศานาเพียงหนึ่งเดียว ปกครองด้วยกฏหมาย ทุกคนต้องพูดดี ทำดี ทุกคนมีองค์ แล้วจะไม่มีการปฏิบัติตามของเก่า(พระพุทธเจ้า)

    เราเป็นคนหนึ่ง ตอนนี้โอนเซ็นเป็นของพระศรีอารย์แล้ว
    ต่อท้าย #1 24 ม.ค. 2554, 12:55:32
    เอามาจาหนังสือ ประวัติ ศรีอาริยะเมตตรัยทรงเครื่องคะ
    ........ ที่มากูเกิ้ล..............
    ถามตามตรงเถิดนะอย่าติฉินกันเลย.
    1.ถ้าแบ่งคนละ 2500 ปีจริง ช่วยดูแล 3 ภพ ใครมีความเดือดร้อน
    2.ถ้าตอนนี้ พ่อใหญ่มาแล้วเราจะดีใจหรือไม่ ใครบ้างไม่ดีใจ
    3.ศาสนา พราม พุทธ คริส อิสลาม ถ้ารวมศาสตร์และศิลปะเป็นหนึ่งได้ใครเดือดร้อน
    4.ปู่สังกะสาย่าสังกะสีคือใคร โลกต้องมีคนสร้าง สร้างด้วยจิตหรือเทคโนโลยี ดังนั้น จึงถามว่า ระหว่างจิตกับเทคโนโลยีอะไรมาก่อนอะไรมาหลัง
    5.ใอ้ช่วงว่าง ที่ว่า สูญกัป(ที่จะไม่มี) เนี่ยใครครองอำนาจ ทีนี่เราควรเชื่อใครดี ระหว่างฝ่ายดีฝ่ายเลวลองเดาสิว่าฝ่ายดีต้องการอะไร ฝ่ายชั่วต้องการอะไร
    6.หากพุทธศาสนาแปรสภาพเป็น 2 ฝ่ายคือฝ่าย สงฆ์ และ ฝ่ายคนธรรมดา ดูแลศาสนา มันจะเป็นอย่างไร มุ่นอุ้ยปุ้ยใหม(เละใหม)
    สรุปให้
    สรุปพุทธศาสนาถูกเฉือนแบ่งเป็น 4 ส่วน เหง่าใครเหล่ามันเลือกกันเอาเอง (สัตว์โลกเป็นไปตามกรรมดี)
    ดี 1 ส่วน เป็นของมาร 1 ส่วน เดียรถีย์ 1 ส่วน 1 ส่วนเป็นของพวกยักวิธีแก้คือ เงินทองห้ามถวายให้กับทั้ง 4 ส่วน หมั่นใส่บาตร ภิกษุจะได้ไม่เดือดร้อน ไม่ต้องสร้างวัตถุก่อสร้างมากมายเพราะภิกษุมีหน้าที่เห็นภัยในวัฏสงสาร หาทางรอดให้ตนเองอย่างเดียวก็พอ เมื่อมีคนถามทางก็ชี้ทางเป็นนัยๆก็พอ ใครที่รักและชอบฝ่าย ในเลือกทำบุญเอาตามใจทุกผู้ทุกนาม เรื่องควรเปิดเผยน่าจะเปิดเผยเลิกอำกันที 3 ส่วน ดี ส่วนเดียวออกมานั่งดูสนุกล่ะงานนี้ รบกันเองเฮ้อ ลาภสักการะน้อ พิษมันร้ายจริงๆ
    ท้ายนี้หากพระศรีอารย์มาแล้วเนี่ยถามอีกคำ ใครมันจะเดือดร้อน ถึงวุ่นวายเถียงกันอยู่เนี่ย พระองค์บอกแล้วฟังเทศเวสสันดร อีก 200 ปีจะมีใครฟัง อยากอายุยืนกันใหมเนี่ย พระพุทธเจ้าค้นหาการไม่ตายไช่ใหม การมีชีวิตนิรันดร์ใช่ใหม ถ้ามีคนค้นพบแล้วในช่วงนี จะรับใหม(เทคโนโลยีสเต็มเซลไม่รวมศาสตร์ทางจิตนะ) อันนี้ให้พากันขบคิดเล่นเล่นมีอะไรว่ามาเลย ห้ามด่ากันมันไม่เพราะครับ


    สุดท้าย ใครจะรออีกเป็นหมืนปีรอไปเลย ผมคนหนึ่งไม่รอ คำสอนเป็นศาสดา ไม่ใช่ใครที่ใหน หยิบมาแค่ ถือศีล 5 ทำ 4 ปีแบบเคร่งครัดเนี่ยเห็นอะไรมาเยอะลองดูนะถือศีล 5 แบบเคร่งครัดมากมาก แล้วจะรู้เอง
    พระพุทธองค์สอนผมสั้นๆว่า ศีล สมาธิ ปัญญา เท่าเนี่ยะ
    และอีกคำเก่าๆ ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา แค่เนี่ย ลองดูเองละกันเด้อครับเด้อ
     
  2. โดเรม้อน

    โดเรม้อน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    849
    ค่าพลัง:
    +75
    <TABLE id=AutoNumber2 style="BORDER-COLLAPSE: collapse" height=407 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="76%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" colSpan=2 height=80>
    สเต็มเซลล์คืออะไร
    [​IMG]
    สเต็มเซลล์ (Stem Cell) หรือที่เรียกว่าเซลล์ต้นกำเนิด เป็นเซลล์อ่อนที่พร้อมจะเจริญเติบโต แบ่งตัวเองขึ้นมาใหม่ และเปลี่ยนแปลงเพื่อไปทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่ง เซลล์แต่ละเซลล์ในร่างกายของมนุษย์จะทำหน้าที่จำเพาะอย่างใดอย่างหนึ่งโดยไม่ย้อนกลับมา ซึ่งเซลล์ที่พัฒนาไปจนสุดทางจนเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่เฉพาะเจาะจง ตัวอย่างเช่น เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ หรือเซลล์สมอง เซลล์เหล่านี้เมื่อตายไปแล้ว จะไม่มีเซลล์ใหม่มาทดแทน ในขณะเดียวกันร่างกายของคนเราก็ยังมีเซลล์อีกกลุ่มหนึ่งที่สามารถเติบโตได้อีก โดยสเต็มเซลล์ หรือเซลล์ต้นกำเนิดพวกนี้สามารถพัฒนาไปเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่เฉพาะเจาะจงได้
    สเต็มเซลล์ หรือเซลล์ต้นกำเนิด มีคุณสมบัติเด่นที่เป็นปัจจัยให้นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกสนใจเซลล์ชนิดนี้กันมาก เนื่องจากเป็นเซลล์ที่ไม่ได้ทำหน้าที่เฉพาะเจาะจง แต่สามารถเปลี่ยนไปเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่เฉพาะเจาะจงได้ และสเต็มเซลล์เป็นเซลล์ที่มีความสามารถแบ่งตัวเองขึ้นมาใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า
    ลักษณะของสเต็มเซลล์ หรือเซลล์ต้นกำเนิดในร่างกายคนเรามีความพิเศษหลายประการ ในหลักการทั่วไปถือว่าสเต็มเซลล์ หรือเซลล์ต้นกำเนิดแตกต่างจากเซลล์ชนิดอื่นๆ ในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นสเต็มเซลล์ หรือเซลล์ต้นกำเนิดที่มาจากแหล่งใด อาจจะเป็นสเต็มเซลล์จากตัวอ่อน สเต็มเซลล์จากร่างกาย หรือสเต็มเซลล์ที่ได้มาจากการสร้างเซลล์ให้เข้าคู่กับสารพันธุกรรมของคนไข้ได้ โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการปฎิสนธิ
    สเต็มเซลล์ หรือเซลล์ต้นกำเนิดทุกชนิดจะมีลักษณะพิเศษที่สำคัญ 3 ประการ
    1. สเต็มเซลล์ หรือเซลล์ต้นกำเนิดสามารถแบ่งตัวเองขึ้นมาใหม่ได้เป็นเวลานาน
    2. สเต็มเซลล์ หรือเซลล์ต้นกำเนิดเป็นเซลล์ที่ไม่ได้ทำหน้าที่เฉพาะเจาะจง
    3. สเต็มเซลล์ หรือเซลล์ต้นกำเนิดมีความสามารถในการเปลี่ยนไปเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่เฉพาะเจาะจงได้
    ในช่วงปี พ.ศ. 2503–2513 ซึ่งถือว่าเป็นยุคแรกๆ ที่นักวิทยาศาสตร์เริ่มทำการศึกษาวิจัยสเต็มเซลล์จากร่างกายโดยใช้เนื้อเยื่อที่โตเต็มวัย และยังได้นำไปทดลองใช้รักษาผู้ป่วยเด็กที่เป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องชนิดปฐมภูมิ ในปี พ.ศ. 2511 เป็นครั้งแรก จากนั้นมานักวิทยาศาสตร์พยายามทำความเข้าใจ และศึกษาวิจัยเพื่ออธิบายสมบัติพื้นฐานที่สำคัญของสเต็มเซลล์ หรือเซลล์ต้นกำเนิด ที่ทำให้มันเป็นเซลล์ที่สามารถแบ่งตัวเองขึ้นมาใหม่ได้ตลอดเวลาครั้งแล้วครั้งเล่า และสามารถแบ่งตัวได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งศึกษาปัจจัยต่างๆ ที่ควบคุมการแบ่งตัวเองขึ้นมาใหม่ของสเต็มเซลล์ ซึ่งคำตอบที่ชัดเจนเกิดขึ้นเมื่อนักวิทยาศาสตร์เข้าใจขบวนการแบ่งตัวของเซลล์ ทั้งในเซลล์ตัวอ่อนหรือที่เรียกว่าเอ็มบริโอ และการแบ่งตัวที่ผิดปกติของเซลล์มะเร็ง ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เริ่มเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในห้องปฏิบัติการด้วยเทคนิกที่ได้พัฒนาขึ้นมาตามลำดับ [​IMG]
    เมื่อในร่างกายมนุษย์มีสเต็มเซลล์ หรือเซลล์ต้นกำเนิดที่พร้อมทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งแต่ยังมีน้อยมาก จึงจำเป็นต้องเพิ่มจำนวนสเต็มเซลล์ หรือเซลล์ต้นกำเนิดเหล่านั้นเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ โดยเอาเซลล์อ่อนที่ถูกคัดเลือกพร้อมทั้งเพิ่มจำนวนแล้วฉีดกลับเข้าไปยังอวัยวะส่วนที่ต้องการรักษา นักวิทยาศาสตร์เล็งเห็นความสำคัญของการนำสเต็มเซลล์มาใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ เพื่อรักษาอาการป่วยอันเนื่องมาจากเซลล์ เนื้อเยื่อ หรืออวัยวะเสียหายหรือเสื่อมสภาพไป โดยหวังให้สเต็มเซลล์พัฒนาไปเป็นอวัยวะที่ต้องการได้
    การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสเต็มเซลล์ หรือเซลล์ต้นกำเนิดแพร่หลายไปทั่วในหลายหน่วยงาน เป็นเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์พยายามแยกสเต็มเซลล์จากเอ็มบริโอหรือตัวอ่อนของหนู เพื่อนำมาเลี้ยงในห้องทดลองครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งนักวิจัยสามารถแยกสเต็มเซลล์ออกมาได้สำเร็จ และสามารถแสดงให้เห็นว่า สเต็มเซลล์ของมนุษย์ที่แยกมาได้ และเลี้ยงในห้องปฏิบัติการสามารถพัฒนาไปเป็นเซลล์ชนิดอื่นได้จริง ในปี พ.ศ. 2541 นักวิทยาศาสตร์สามารถเพาะสเต็มเซลล์จากตัวอ่อนมนุษย์และเซลล์สืบพันธุ์ และสามารถสร้างสายพันธุ์ของเซลล์ขึ้นมาได้สำเร็จ ต่อมาในปี พ.ศ. 2544 สเต็มเซลล์ตัวอ่อนเหล่านี้ถูกนำไปเพาะเป็นเซลล์เม็ดเลือด นับเป็นความก้าวหน้าของงานวิจัยเกี่ยวกับสเต็มเซลล์ครั้งสำคัญ
    เมื่อไม่นานมานี้ในประเทศไทยได้มีการสัมมนาระดับชาติ เรื่องทิศทางการวิจัยและพัฒนาด้านเซลล์ต้นกำเนิดหรือสเต็มเซลล์ จัดโดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ซึ่งในขณะนี้ประเทศไทยได้ร่างแนวปฏิบัติและประเด็นพิจารณาทางชีวจริยธรรมการวิจัยเซลล์ต้นกำเนิดแล้วเสร็จ และถือเป็นแนวปฏิบัติฉบับแรกที่หน่วยงานให้ทุนวิจัยและพัฒนาต้องใช้เป็นแนวทาง ซึ่งจะต้องอยู่ในขอบเขตของหลักเกณฑ์ทางด้านจริยธรรม
    <!--mstheme-->
    </TD></TR><TR><TD width="100%" colSpan=2 height=70><!--mstheme-->
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]<!--mstheme-->​
    </TD></TR><TR><TD width="100%" colSpan=2 height=122><!--mstheme-->หน้าที่
    1. สเต็มเซลล์คืออะไร
    2. สเต็มเซลล์แบ่งตัวเองขึ้นมาใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าได้อย่างไร
    3. สเต็มเซลล์เปลี่ยนไปเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่เฉพาะเจาะจงได้อย่างไร
    4. การเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์จากตัวอ่อนทำอย่างไร
    5. เทคโนโลยีชีวภาพ (Bio-Technology)
    6. ความลับในเซลล์
    7. สเตมเซลล์จากเอ็มบริโอ
    8. สเตมเซลล์ของผู้ใหญ่
    9. สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น
    10. ยาปลูกอวัยวะ
    11. เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต
    <!--mstheme-->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. โดเรม้อน

    โดเรม้อน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    849
    ค่าพลัง:
    +75
    ในโลกของวิทยาศาสตร์ จินตนาการเป็นสิ่งสำคัญ นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังหลายคนมีชื่อเสียงและได้รับรางวัลต่างๆ มากมายก็เนื่องมาจากจินตนาการอันบรรเจิดของท่านเหล่านั้นนั่นเอง การเป็นคนช่างคิด ช่างสังเกต บวกกับจินตนาการผสมผสานกันอย่างลงตัว นำมาซึ่งปัญหาหรือข้อสงสัย และการตั้งสมมติฐานสำหรับการทดลองค้นคว้าทางด้านวิทยาศาสตร์

    หลายคนคงเคยดูการ์ตูนหรือภาพยนตร์วิทยาศาสตร์หลายๆ เรื่อง รวมทั้งการอ่านหนังสือและนิยายวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะเห็นได้ว่ามนุษย์เรา จะมีจินตนาการหรือการคิดฝันถึงสิ่งโน้นสิ่งนี้ก่อนเสมอ ก่อนที่จะทำให้ความคิดเหล่านั้นเป็นจริงขึ้นมา ฝันหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์หลายคนกำลังสนใจ และคิดตรงกัน ก็คือการสร้างยาที่สามารถสร้างอวัยวะขึ้นมาใหม่เมื่อได้รับความเสียหายหรือถูกทำลาย เรียกว่า "Regenerative medicine"
    <CENTER>[​IMG]
    </CENTER>
    Picture Ref.: "ยาปลูกอวัยวะ ในยุค Medicine Revolution", Biology Department, IPST

    "จุดเริ่มต้นของการคิดค้นยาชนิดนี้มาจากไหน?"
    "stem cell" ชื่อนี้หลายคนคงคุ้นเคยดี เพราะ stem cell ได้เป็นข่าวใหญ่โตในหน้าหนังสือนิตยสาร และหนังสือพิมพ์ทั่วโลกมากมาย stem cell คืออะไร? stem cell คือเซลล์เริ่มต้นที่สามารถแบ่งเซลล์ได้ตลอดเวลา การแบ่งเซลล์ดังกล่าว จะให้เป็นเซลล์เดิม และชนิดต่างๆ เพื่อไปทำหน้าที่ที่แตกต่างกันในร่างกายของสิ่งมีชีวิตนั้นๆ
    <CENTER>[​IMG] [​IMG]
    </CENTER>
    Picture Ref.: "Embryonic Stem Cell", Biology Department, IPST

    เราจะเห็นการทำงานของ Stem cell (หรือ undifferentiated cell) ได้ชัดเจนจากการศึกษาการงอกใหม่ของอวัยวะบางส่วน หรือทุกส่วนที่เกิดความเสียหาย เช่น หัว สมอง อวัยวะภายใน และรยางค์ ในพลานาเรีย ไฮดรา ดาวทะเล zebrafish หรือแม้แต่การงอกหางใหม่ในซาลาแมนเดอร์

    ตัวอย่างที่คุ้นเคย คือ "พลานาเรีย" มีอะไรพิเศษในพลานาเรีย? ทดสอบได้ง่ายๆ โดยนักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองตัดพลานาเรีย ออกเป็น 279 ชิ้น และได้พลานาเรียใหม่ 279 ตัวหลังจากเลี้ยงทิ้งไว้ 2 อาทิตย์ และในสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เช่น ซาลาแมนเดอร์ ดาวทะเล ไฮดรา ก็จะมีการงอกใหม่ของ อวัยวะบางส่วนเช่นเดียวกัน แต่น่าเสียดายที่มนุษย์เราไม่สามารถทำได้
    <!--mstheme--><TABLE cellPadding=10 align=center><TBODY><TR><TD><!--mstheme-->[​IMG]<!--mstheme--></TD><TD><!--mstheme-->[​IMG]<!--mstheme--></TD></TR></TBODY></TABLE><!--mstheme-->
    Picture Ref.: "การงอกใหม่ของพลานาเรีย และขนาดพลานาเรียเมื่อเทียบกับปลายดินสอ"
    และ "การแตกหน่อของไฮดรา" Biology Department, IPST

    แล้วทำไมมนุษย์ถึงไม่สามารถสร้างอวัยวะที่ขาดหายไปได้? มนุษย์จะมียีนที่ควบคุมการงอกใหม่ของอวัยวะที่เสียหายเหมือนในสิ่งมีชีวิตที่กล่าวมาหรือไม่? ว่าแล้วนักวิทยาศาสตร์หลายคนก็เริ่มต้นทำการศึกษายีน โปรตีน และรูปแบบการส่งสัญญาณในเซลล์ที่ทำหน้าที่สร้างอวัยวะที่เสียหายขึ้นมาใหม่ เทียบกับยีนของมนุษย์ จนกระทั่งในที่สุด Alejandro Sanchez Alvarado จาก the University of Utah in Salt Lake City ก็ได้กล่าวว่า
    "เราโชคดี ที่เรามียีนเหมือนกับยีนที่พลานาเรียใช้ในการสร้างสมอง กล้ามเนื้อ และส่วนหัวทั้งหมดขึ้นมา เมื่อส่วนเหล่านั้นถูกทำลาย"
    ปัญหาที่เกิดขึ้นหลังจากที่เราค้นพบว่า มนุษย์มียีนเหมือนกับยีนที่พลานาเรียใช้ในการสร้างอวัยวะใหม่ก็คือ ยีนดังกล่าวทำงานอย่างไร? และทำไมยีนของมนุษย์จึงทำงานแค่ในช่วงแรกของชีวิตเท่านั้น นักวิทยาศาสตร์พบว่าในไฮดราและพลานาเรีย stem cell จะถูกกระตุ้นให้แบ่งตัวเพื่อสร้างเป็นอวัยวะต่างๆ ได้ตลอดชีวิตเลยทีเดียว ซึ่งจะแตกต่างจาก stem cell ที่พบอยู่ในร่างกายของเราที่สามารถเจริญ และเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์ต่างๆ ได้ในขอบเขตจำกัด มีความจำเพาะกับอวัยวะนั้นๆ เท่านั้น คำถามที่ชวนสงสัย คือ ทำไม? อะไรเป็นปัจจัยภายในเซลล์ที่ควบคุมการทำงานของยีนดังกล่าว?
    มีการศึกษาเปรียบเทียบถึงเรื่องความพิเศษในการซ่อมแซมอวัยวะต่างๆ ของตัวนิวท์ ซาลาแมนเดอร์ หนอนปล้อง และ zebrafish ทำให้พบว่าเมื่อมีอวัยวะบางส่วนของร่างกายถูกทำลาย เซลล์ที่ถูกทำลายจะส่งสัญญาณไปยังเซลล์ข้างเคียง และสามารถกระตุ้น "differentiated cell" (ซึ่งเป็นเซลล์ที่ได้ผ่านการเจริญเปลี่ยนแปลงและพัฒนามาแล้ว ซึ่งอาจจะเป็นเซลล์ผิวหนัง กล้ามเนื้อ หรือเนื้อเยื่ออื่นๆ) ให้เปลี่ยนกลับไปเป็น stem cell ได้อีก และ stem cell นี้เองก็จะแบ่งตัวเพื่อจำนวน stem cell ในขณะเดียวกันก็จะเพิ่มจำนวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์อื่นๆ เพื่อซ่อมแซมส่วนที่เสียหายของร่างกายได้ เราสามารถสังเกตเห็นการทำงานของ stem cell ได้ จากการงอกใหม่ของหางนิวท์ ซาลาแมนเดอร์ และหางจิ้งจก เป็นต้น
    ครั้งแรกสำหรับการทดลองในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม ในปี 1998 ดอกเตอร์ Ellen Heber-Katz และคณะ ได้ศึกษาความสามารถในการซ่อมแซมรูที่แผ่นเยื่อแก้วหูที่เขาและเพื่อนๆ ตั้งใจเจาะให้กับหนูสายพันธุ์ที่เรียกว่า "MRL mice" เพื่อทดสอบความสามารถในการซ่อมแซมเยื่อแก้วหู เขาพบว่าหนูสายพันธุ์นี้สามารถซ่อมแซมเยื่อแก้วหูได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีรอยแผลเป็นน้อยมาก หลังจากการค้นพบดังกล่าวทีมงานชุดนี้ก็ได้ทำการวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับการซ่อมแซมกล้ามเนื้อหัวใจของหนูสายพันธุ์นี้ โดยไม่มีการใช้ยา หรือการปลูกถ่ายเซลล์ หรือเนื้อเยื่อใดๆ ให้กับหนูที่ทดลองเลย เขาพบว่าหลังจากการทำให้กล้ามเนื้อหัวใจได้รับความเสียหายแล้ว 2 เดือนต่อมาหนูที่ทดลองสามารถซ่อมแซมกล้ามเนื้อหัวใจได้เหมือนเดิม เขาพบว่าหนูสายพันธุ์ MRL สามารถซ่อมแซมกล้ามเนื้อหัวใจได้โดยอาศัยเซลล์ซึ่งแตกต่างจากเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ แต่จะอยู่ในบริเวณรอบๆ แผลซึ่งสามารถสร้างเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจใหม่แทนที่เซลล์เดิมได้
    และเมื่อเปรียบเทียบกับหนูสายพันธุ์อื่นๆ พบว่าหนูสายพันธุ์ MRL มีเซลล์ที่เป็น stem cell ของกล้ามเนื้อหัวใจมากถึง 20% ที่อยู่ในบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ สามารถแบ่งตัวสร้างเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจใหม่ขึ้นมา ในขณะที่หนูสายพันธุ์ที่ทำมาศึกษาเปรียบเทียบมีเซลล์ดังกล่าวเพียงแค่ 1% เท่านั้นที่ทำหน้าที่ซ่อมแซมกล้ามเนื้อในส่วนที่เสียหาย การทำงานของเซลล์ที่แตกต่างกันมาก จนทำให้ John M. Leferovich กล่าวว่า "มากกว่า 15 ปี ที่เดียวที่เราศึกษาการทำงานของกล้ามเนื้อมา เราไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อนเลย"
    จากการศึกษาดังกล่าวทำให้มีการศึกษาเปรียบเทียบเกี่ยวกับความแตกต่างของยีนในหนูสายพันธุ์ MRL กับสายพันธุ์อื่นๆ เพื่อหาทางสร้างยาที่สามารถบังคับให้เซลล์สามารถแบ่งตัวเพื่อมาซ่อมแซมอวัยวะเป้าหมายที่เกิดความเสียหายให้กลับดีดังเดิมได้ และคำถามสุดท้าย ก็คือ ทำไมต้องมีการศึกษาเปรียบเทียบการทำงานของยีนที่ทำงานเกี่ยวกับการเกิดใหม่ของอวัยวะ ในสิ่งมีชีวิตหลายๆ ชนิด? การศึกษาเปรียบเทียบทำให้นักวิทยาศาสตร์มองเห็นความแตกต่างของการทำงานของยีนในแต่ละระดับ ในสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด การทำงานของยีนที่แตกต่างกัน ก็จะให้ผลที่แตกต่างกัน และเมื่อเรามองเห็นและเข้าใจความแตกต่างของการทำงานของยีนทั้งหมดแล้ว เราก็จะสามารถควบคุมการทำงานของยีนนี้ได้ เมื่อถึงขั้นนั้น "มนุษย์ก็จะสามารถงอกแขนขาได้ใหม่เหมือนจิ้งจกงอกหาง นั่นเอง!"
     
  4. โดเรม้อน

    โดเรม้อน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    849
    ค่าพลัง:
    +75
    อย่าลืมว่าศาสตร์อายุยืนทางจิตก็มีแต่ยังเป็นความลับอยู่ นะจ๊ะ
     
  5. โดเรม้อน

    โดเรม้อน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    849
    ค่าพลัง:
    +75
    ต้องเชิญคนรักควายมาเล่าเรื่องพวกมาร ด่าพระพุทธองค์ ที่พระองค์เดินทางจากแดนนิพพานมาช่วยพระศรีอารย์
     
  6. Tiger Dear's

    Tiger Dear's MY HOMEWORK

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +301
    กัปป์นี้มีศาสดา 5 พระองค์ แต่ตรัสรู้ไม่เหมือนกัน แตกต่างกันตามสถานการณ์ใครข้องใจยินดีตอบแบบละเอียดให้ฟังครับ
     
  7. tamagod

    tamagod Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +31
    คู่นี้นี่คู่ดูโอจริงๆรับส่งมุกกันน่าดู นับถือ
     
  8. นุภาวัฒน์

    นุภาวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    774
    ค่าพลัง:
    +270
    อนุโมทนาสาธุ คุณโดเรม้อน ครับ
    เชิญคนรักควายมาเล่าเรื่องพวกมาร ด่าพระพุทธองค์ ที่พระองค์เดินทางจากแดนนิพพานมาช่วยพระศรีอารย์<!-- google_ad_section_end --> และกัปป์นี้มีศาสดา 5 พระองค์ แต่ตรัสรู้ไม่เหมือนกัน แตกต่างกันตามสถานการณ์ใครข้องใจยินดีตอบแบบละเอียดให้ฟังครับ<!-- google_ad_section_end --> เพื่อเป็นวิทยาทานครับ
     
  9. นุภาวัฒน์

    นุภาวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    774
    ค่าพลัง:
    +270
    เล่าให้ฟังหน่อยครับ คุณคนรักควาย
     
  10. Tiger Dear's

    Tiger Dear's MY HOMEWORK

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +301
    ตั้งแต่ปฐมกัปป์คือโลกถือกำเนิดขึ้นมาจากการรวมตัวกันของดาวเคราะห์ ผมได้ศึกษาการเปลี่ยนมาโดยตลลอด ตั้งแต่เริ่มมีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ (เอาย่อๆนะครับ)

    ศาสดาองค์แรกได้แก่ โมเสส พระเยซู นบี พระพุทธเจ้า พระศรีอาริ์ย สัญนิฐานว่า น่าจะเป็นชื่อที่แตกต่างกัน
    อีกทั้งหลวงพ่อพุทธทาสยังสำทับอีกว่าพระไตรปิฎกของจริงมีเพียง 70 % เท่านั้น สาเหตุคงมาจากการที่ผู้สังคายนาไม่ได้บรรลุอรหัตผลก็เป็นได้จึงเป็นไปได้ว่า เนื้อหาบางส่วนถูกบิดเบือน รวมถึงข่าวลือที่ว่าพระศรีอาริ์ได้อวตาลมาเพื่อทำลายไตรพิบัติที่จะเกิดขึ้นไปจนถึงสามอสงไข แสนมหากัปป์ ให้หมดสิ้นไปครับ ปิดประตูอบายภูมิอีกต่างหาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 กุมภาพันธ์ 2011
  11. Tiger Dear's

    Tiger Dear's MY HOMEWORK

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +301
    เรื่องมารด่าพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นพวกอสูร เนื่องจากสมัยก่อนยังมีพระอินทร์องค์หนึ่ง ไม่รู้ว่าบำเพ็ญมาถ้าไหนจึงให้มีการดื่มสุราเมรัยบนสวรรค์ ต่อมาพระอินทร์องค์ที่ว่าก็ได้หมดบุญต้องไปเกิดใหม่ จะได้มีท้าวสักกะเทวราชขึ้นมาปกครองสวรรค์แทนซึ่งท้าวสักกะมีคุณธรรมสูงมากเมื่อเห็นเหล่าเทวดาเมาเหมือนหมาจึงนึกโกรธได้ไล่ให่ไปอยู่ตีนเขาพระสุเมรุ และแบ่งเป็น 4 ภาคคอยจับตาดูพวกเทวดามิให้ดื่มสุราอีกต่อไป นับแต่นั้นมาเทวดาเหล่านั้นจะได้ชื่อว่า อสุรา หรืออสูร คือพวกไม่ดื่มสุรา พวกนี้จึงคิดที่จะทำลายพระพุทธศาสนา และอิสลามเนื่องจากเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า และท่านนบีห้ามการดื่มสุรา จึงเป็นเหตุให้โลกวิญญาณ ต่างสิงสู่ร่างมนุษย์เพื่อใช้เป็นเครื่องมือ พูดง่ายๆก็คือเป็นหุ่นเชิดนั้นเอง
    บ้างก็เทวดาเชิด บ้างก็อสูรเชิด แต่อสูรกลับรักและบูชาพระศรีอริยะเมตไตร เนื่องจากยุคพระศรีฯ เป็นยุคศิวิโลย์ จึงเป็นที่พอใจของเหล่าอสูร และเทวดา โดยมีข้อแม้ว่าดื่มได้แค่เบียร์เท่านั้น จะได้ไม่เมามาก ฮิๆๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 กุมภาพันธ์ 2011
  12. โดเรม้อน

    โดเรม้อน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    849
    ค่าพลัง:
    +75
    ความฉลากของปวงเทพโดยการตัดสินใจของผู้มีคุณธรรมสูงที่จะเชื่อมโลกเข้าด้วยกันจึงต้องมีการผ่อนหนักเป็นเบาจะหักดิบนั้นคงไม่ได้เพราะอสุรเทวาทั้งหลายยังประกอร์ปไปก้วยตันหาอยู้จึงชอบดื่อมเหล้าแต่เบื้องบนมีมติว่าให้ดื่มเบียได้วันละ 1 กระป๋องเท่านั้น แต่เบียสดกระป๋องใหญ่นานๆทีไม่เป็นไรแล้วแต่สถานการ ข้อแม้ของการดื่มคือห้ามดื่มจนขาดสติเท่านั้นเองผู้มีสติมาดดื่มมากได้ ดังนั้นคนที่ชอบดื่มเหล้าเมายาเที่ยวเสเพลจนขาดสติคุณจงตระหนักเถิดว่าเหล้าทำให้คุณตกเป็นหุ่นเชิดของอสูรย์ได้ง่าย จงดื่มแต่พอดีไม่ดื่มยิ่งดี
    เพราะพรดอินทร์องค์ใหม่ไม่ดื่มเหล้าและสูบบุหรี่ ต้องระวังท่านเห็นนะเวลาเมาอยู่ทั่วไปเพราะตอนนี้ไม่รู้ใครเป็นใครอวตารกันมหาศาล คุณก็อวตารแต่เป็นเทพองค์ใดเท่านั้น โลกนี้คือโลกของการอวตาร จุดจบคือนิพพานกันหมดโลกใครไม่นิพพานต้องอพยพไปอยู่ดาวอังคาร ถึงเวลาขนสารสัตว์เข้านิพานดังนั้นเราทุกคนต้องอายุยืนด้วยเทคโนโลยีจากนอกโลก เพราะพระศรีอารย์คือศูนย์รวมพุทธะและพระเจ้าจากทุกจักรวาลพูดง่าย กึ่งมนุษย์กึ่งเทวดากึ่งพระเจ้ากึ่งพระพุทธะและลูกครึ่งต่างภิภพจึงต้องเรียนรู้เรื่องมนุษย์ให้มากที่สุดก่อนปรากฎตัวอีก2-3ปีแล้วแต่สถานการณ์ ดังนั้น พระเมษโปรดก ก็มา พระมฮุดีก็มา กัลกียอวตารก็มา พระยาธรรมมิกราชก็มา พระอินทร์ก็มา พระยูไลก็มา พระเยซูก็จะกลับมา ศาสดาองค์สุดท้ายของอิสลามก็จะมาหลัง สงครามคนปัญญาอ่อน ใครอีกละ พญามัจจุราชก็ไปฮันนีมูล พักยาว เลยเหนื่อยมานาน พยายมก็มีความสุขกับนางสนมสองนางที่พระศรีอาริย์มอบให้อนุญาติให้ติดแอร์อีต่างหากนรกก็ไม่น่ากลัวเหมือนเดิมมีการอภัยโทษครั้งใหญ่ เพราะพระสรีอาริยเมตไตรอนุญาตเพียงเอ่ยชื่อพระองค์ระลึกชื่อนี้จากร้อนจะเย็นทันที บาปจะลดทอนลงสำนึกเร็วก็มาเกดเร็ว เรื่องจริงนิยายยังอาย
     
  13. โดเรม้อน

    โดเรม้อน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    849
    ค่าพลัง:
    +75
    ใครหนาจะเห็นใจยมทูตทำงานหนักมานานต่อไปพวกที่จะลงไปแทนยมทูตคือผู้เพ้งโทษคนอื่น เป็นนับวชต่างที่มีอคติต่อชวิตไม่เข้าถึงธรรมแต่พัดดีต่อศาสดา เรื่องเส้นสายนี่มีจริงๆ
     
  14. โดเรม้อน

    โดเรม้อน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    849
    ค่าพลัง:
    +75
    บนสวรรค์เป็นพี่ ลงมาเกิดโลกมนุษย์ทีหลังจึงมีศักดิ์เป็นน้อง
    แม่เดียวกันนั่นแหละ
    เรื่องมีตัวตนจริงกับยุคอนาคตนั้นคือ
    มาแล้วในปัจจุบัน และ สร้างไทม์แมชชีนสำเร็จจึงไปช่วยอนาคตและช่วยอดีต
    จึงเป็นที่มาคือ ตนเป็นที่พึ่งเห่งตน
     
  15. โดเรม้อน

    โดเรม้อน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    849
    ค่าพลัง:
    +75
    ต้องสังเกตุอายุพระพุทธเจ้าทั้ง 5 ว่าแตกต่างสุดโลก
    พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ และ นิทานพระยากาเผือก
    คือเรื่องการกำเนิดพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ในภัทรกัลป์ ( กัป )
    โดยเกิดจากไข่กาเผือก ๕ ฟอง ซึ่งพลัดกันไป
    และมี ไก่ นาค เต่า โค และสิงห์ นำไปเลี้ยง
    พระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์นั้นคือ
    ๑ ไก่ ........ นำไข่ไปฟักออกมาเป็น .... พระกกุสันธะ
    ๒ นาค ...... นำไข่ไปฟักออกมาเป็น .... พระโกนาคมน์
    ๓ เต่า ....... นำไข่ไปฟักออกมาเป็น .... พระกัสสป
    ๔ โค ......... นำไข่ไปฟักออกมาเป็น .... พระสมณโคดม
    ๕ สิงห์ ...... นำไข่ไปฟักออกมาเป็น .... พระศรีอาริยเมตไตร
    ความแตกต่างของพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ในภัทรกัปนี้
    1. พระกกุสันธพุทธเจ้า หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า
    เมื่อสมัย เป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8 อสังไขยแสนกัป
    ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,024 พระองค์
    เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 40,000 พรรษา
    พระสรีระสูง 40 ศอก หรือ 20 เมตร
    บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 10 เดือน
    พุทธรังสีสร้านไปไกล 10 โยชน์ (160 กิโลเมตร)
    2. พระโกนาคมพุทธเจ้า หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า
    เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8 อสงไขยแสนกัป
    ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,024 พระองค์
    เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 30,000 พรรษา
    พระสรีระสูง 30 ศอก หรือ 15 เมตร
    บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 1 เดือน
    พุทธรังสีสร้านไปไกล ตามแต่พระประสงค์
    3. พระกัสสปพุทธเจ้า หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า
    เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8 อสงไขยแสนกัป
    ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,024 พระองค์
    เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 20,000 พรรษา
    พระสรีระสูง 20 ศอก หรือ 10 เมตร
    บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน
    พุทธรังสีสร้านไปไกล ตามแต่พระประสงค์
    4. พระศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า (องค์ปัจจุบัน) อ่านต่อทำไมถึงอายุไขยเพียง80พรรษา (ด้านล่าง)
    เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 4 องไขยแสนกัป
    ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีก 24 พระองค์ ซึ่งน้อยมาก
    เป็นปัญญาพุทธเจ้า อายุไขย 80 พรรษา
    พระสรีระสูง 4 ศอก หรือ 2 เมตร
    บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 6 ปี
    พุทธรังสีสร้านไปข้างละ 1 วา เป็นปกติ

    5. พระอริยเมตตรัยพุทธเจ้า หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า
    เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 16 อสงไขยแสนกัป
    ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 477,029 พระองค์
    เป็นวิริยะพุทธเจ้า อายุไขย 80,000 พรรษา
    พระสรีระสูง 80 ศอก หรือ 40 เมตร
    บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน
    พุทธรังสีสร้านไปไกล ยังกำหนดไม่ได้

    .......................................................................
    อ่านต่อทำไมถึงอายุไขยเพียง80พรรษา(http://palungjit.org/threads/พระพุทธเจ้าบอกใบ้พระอานนท์-3-ครั้ง.108733/)
    เรื่อง:พระพุทธเจ้าบอกใบ้พระอานนท์ 3 ครั้ง
    "อานนท์! เพราะอบรมอิทธิบาทสี่มาอย่างดีแล้วทำจนแจ่มแจ้งแล้วอย่างเรานี้ ถ้าปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ถึงหนึ่งกัปป์หรือมากกว่านั้นก็สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้"
    พระโลกานาถตรัสดังนี้ถึงสามครั้ง แต่พระอานนท์ก็คงเฉยมิได้ทูลอะไรเลย ความวิตกกังวลและความเศร้าของท่านมีมากเกินไป จึงปิดบังดวงปัญญาเสียหมดสิ้น ความจงรักภักดีเหลือล้น ที่ท่านมีต่อพระศาสดานั้น บางทีก็ทำให้ท่านลืมเฉลียวใจ ถึงความประสงค์ของผู้ที่ท่านจงรักภักดีนั้น ปล่อยโอกาสทองให้ล่วงไปอย่างน่าเสียดาย
    เมื่อเห็นพระอานนท์เฉยอยู่ พระพุทธองค์จึงตรัสว่า
    "อานนท์ ! เธอไปพักผ่อนเสียบ้างเถิด เธอเหนื่อยมากแล้ว แม้ตถาคตก็จะพักผ่อนเหมือนกัน" พระอานนท์จึงหลีกไปพักผ่อน ณ โคนต้นไม้อีกต้นหนึ่ง

    ณ บัดนั้น พระตถาคตเจ้าทรงรำพึงถึงอดีตกาลนานไกล ซึ่งล่วงมาแล้วถึงสี่สิบห้าปี สมัยเมื่อพระองค์ตรัสรู้ใหม่ๆ ท้อพระทัยในการที่จะประกาศสัจธรรม เพราะเกรงว่าจะทรงเหนื่อยเปล่า แต่อาศัยพระมหากรุณาต่อสรรพสัตว์ จึงตกลงพระทัยย่ำธรรมเภรี และครานั้นพระองค์ทรงตั้งพระทัยไว้ว่า ถ้าบริษัททั้งสี่คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ยังไม่เป็นปึกแผ่นมั่นคง ยังไม่สามารถย่ำยีปรูปวาท คือ คำกล่าวจ้วงจาบล่วงเกินจากพาหิรลัทธิที่จะพึงมีต่อพระพุทธธรรมคำสอนของพระองค์ยังไม่แพร่หลายเพียงพอตราบใด พระองค์ก็จะยังไม่นิพพานตราบนั้น
    ก็แลบัดนี้ พระธรรมคำสอนของพระองค์แพร่หลายเพียงพอแล้ว ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ฉลาดสามารถพอที่จะดำรงพรหมจรรย์ศาสโนวาทของพระองค์แล้ว เป็นการสมควรที่พระองค์จะเข้าสู่มหาปรินิพพาน
    ทรงดำริดังนี้แล้วจึงทรงปลงอายุสังขาร คือตั้งพระทัยแน่วแน่ว่า พระองค์จะปรินิพพานในวันวิสาขะปูรณมี คือ วันเพ็ญเดือนหก
    อันว่าบุคคลผู้มีกำลังกลิ้งศิลามหึมาแท่งทึบจากหน้าผาลงสู่สระ ย่อมก่อความกระเพื่อมสั่นสะเทือนแก่น้ำในสระนั้นฉันใด การปลงพระชนม์มายุสังขารอธิษฐานพระทัยว่า จะปรินิพพานของพระอนาวรณญาณก็ฉันนั้น ก่อความวิปริตแปรปรวนแก่โลกธาตุทั้งสิ้น มหาปฐพีมีอาการสั่นสะเทือนเหมือนหนังสัตว์ที่เขาขึงไว้ แล้วตีด้วยไม้ท่อนใหญ่ก็ปานกัน รุกขสาขาหวั่นไหวไกวแกว่ง ด้วยแรงวายุโบกสะบัดใบอยู่พอสมควร แล้วนิ่งสงบมีอาการประหนึ่งว่า เศร้าโศกสลดในเหตุการณ์ครั้งนี้ เหมือนกุมารีน้อยคร่ำครวญปริเวทนาถึงมารดาผู้จะจากไปจนสลบแน่นิ่ง ณ เบื้องบนท้องฟ้าสีครามกลายเป็นสีแดงเข้มดุจเสื่อลำแพนซึ่งไล้ด้วยเลือดสด ปักษาชาติร้องระงมสนั่นไพรเหมือนจะประกาศว่า พระผู้ทรงมหากรุณากำลังจะจากไปในไม่ช้านี้
    พระอานนท์สังเกตเห็นความวิปริตแปรปรวน ของโลกธาตุดังนี้ จึงเข้าเฝ้าพระจอมมุนี ทูลถามว่า "พระองค์ผู้เจริญ! โลกธาตุวิปริตแปรปรวนผิดปกติไม่เคยมีไม่เคยเป็น ได้เป็นแล้วเพราะเหตุอะไรหนอ?"
    พระทศพลเจ้าตรัสว่า "อานนท์เอ๋ย! อย่างนี้แหละ คราใดที่ตถาคต ประสูติ ตรัสรู้ หมุนธรรมจักร ปลงอายุสังขารและนิพพาน ครานั้นย่อมจะมีเหตุการณ์วิปริตอย่างนี้เกิดขึ้น"
    พระอานนท์ทราบว่า บัดนี้พระตถาคตเจ้าปลงพระชนม์มายุสังขารเสียแล้ว ความสะเทือนใจและความว้าเหว่ประดังขึ้นมาจนอัสสุชลธาราไหลหลั่งสุดห้ามหัก เพราะความรักเหลือประมาณที่ท่านมีในพระเชฏฐภาดา ท่านหมอบลงที่พระบาทมูลแล้วทูลว่า
    "ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ! ขอพระองค์อาศัยความกรุณาในข้าพระองค์และหมู่สัตว์ จงดำรงพระชนม์ชีพต่อไปอีกเถิดอย่าเพิ่งด่วนปรินิพพานเลย" กราบทูลเท่านี้แล้วพระอานนท์ก็ไม่อาจทูลอะไรต่อไปอีก เพราะโศกาอาดูรท่วมท้นหทัย
    "อานนท์เอ๋ย!" พระศาสดาตรัสพร้อมด้วยทอดทัศนาการไปเบื้องพระพักตร์อย่างสุดไกล ลีลาแห่งความเด็ดเดี่ยวฉายออกมาทางพระเนตรและพระพักตร์
    "เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ตถาคตกลับใจ ตถาคตจะต้องปรินิพพานในวันเพ็ญแห่งเดือนวิสาขะอีกสามเดือนข้างหน้านี้
    อานนท์! เราได้แสดงนิมิตโอภาสอย่างแจ่มแจ้งแก่เธอพอเป็นนัยมาไม่น้อยกว่าสิบหกครั้งแล้วว่า คนอย่างเรานี้มีอิทธิบาทภาวนาที่ได้อบรมมาด้วยดี ถ้าประสงค์จะอยู่ถึงหนึ่งกัปป์ หรือมากกว่านั้นก็พออยู่ได้แต่เธอหาเฉลียวใจไม่ มิได้ทูลเราเลย เราตั้งใจไว้ว่า ในคราวก่อนๆ นั้น ถ้าเธอทูลให้เราอยู่ต่อไป เราจะห้ามเสียสองครั้ง พอเธอทูลครั้งที่สามเราจะรับอาราธนาของเธอ แต่บัดนี้ช้าเสียแล้ว เรามิอาจกลับใจได้อีก"ศาสดาหยุดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตรัสต่อไปว่า
    "อานนท์! เธอยังจำได้ไหม ครั้งหนึ่ง ณ ภูเขาซึ่งมีลักษณะยอดเหมือนนกแร้ง อันมีนามว่า "คิชฌกูฏ" ภายใต้ภูเขานี้มีถ้ำอันขจรนามชื่อ "สุกรขาตา" ที่ถ้ำนี้เอง สาวกผู้เลื่องลือว่าเลิศทางปัญญาของเราคือ สารีบุตร ได้ถอนตัณหานุสัยโดยสิ้นเชิง เพียงเพราะฟังคำที่เราสนทนากับหลานชายของเธอผู้มีนามว่า "ทีฆนะขะ" เพราะไว้เล็บยาว
    เมื่อสารีบุตรมาบวชในสำนักของเราแล้ว ทีฆนะขะปริพาชกเที่ยวตามหาลุงของตน มาพบลุงคือสารีบุตรถวายงานพัดเราอยู่จึงพูดเปรยๆ เป็นเชิงกระทบกระเทียบว่า พระโคดม! ทุกสิ่งทุกอย่างข้าพเจ้าไม่พอใจหมด ซึ่งรวมความว่าเขาไม่พอใจเราด้วย เพราะตถาคตก็รวมอยู่ในคำว่าทุกสิ่งทุกอย่าง เราได้ตอบเขาไปว่า
    "ถ้าอย่างนั้นเธอก็ควรไม่พอใจความคิดเห็นอันนั้นของเธอเสียด้วย"
    "อานนท์! เราได้แสดงธรรมอื่นอีกเป็นอเนกปริยาย สารีบุตรถวายงานพัดไปฟังไป จนจิตของเธอหลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวง"
    "อานนท์ เอ๋ย! ณ ภูเขาคิชฌกูฏดังกล่าวนี้ เราเคยพูดกับเธอว่า คนอย่างเรานี้ถ้าจะอยู่ต่อไปอีกหนึ่งกัปป์หรือเกินกว่านั้นก็พอได้ แต่เธอก็หารู้ความหมายแห่งคำที่เราพูดไม่"
    "อานนท์! ต่อมาที่โคตมนิโคธร, ที่เหวสำหรับทิ้งโจร, ที่ถ้ำสัตตบรรณ ใกล้เวภารบรรพต, ที่กาฬศิลาข้างภูเขาอิสิคิลิซึ่งเลื่องลือมาแต่โบราณกาลว่า เป็นที่อยู่อาศัยของพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นอันมาก เมื่อท่านเข้าไป ณ ที่นั้นแล้วไม่มีใครเห็นท่านออกมาอีกเลยจึงกล่าวขานกันว่า อิสิคิลิบรรพต, ที่เงื้อมเขาชื่อสัปปิโสณฑิกา ใกล้ป่าสีตวันที่ตโปทาราม, ที่เวฬุวันสวนไผ่อันร่มรื่นของจอมเสนาแห่งแคว้นมคธ, ที่สวนมะม่วงของหมอชีวกโกมารภัจจ์. ที่มัททกุจฉิมิคทายวันทั้งสิบแห่งนี้มีรัฐเขตแขวงราชคฤห์"
    "ต่อมาเมื่อเราทิ้งราชคฤห์ไว้เบื้องหลัง แล้วจาริกสู่เวสาลีนคร อันรุ่งเรื่องยิ่ง เราก็ให้นัยแก่เธออีกถึงหกแห่ง คือที่อุเทนเจดีย์ สัตตัมพเจดีย์ โคตมกเจดีย์ พหุปุตตเจดีย์ สารันทเจดีย์ และปาวาลเจดีย์ เป็นแห่งสุดท้ายคือสถานที่ซึ่งเราอยู่ ณ บัดนี้ แต่เธอก็หาเฉลียวใจไม่ ทั้งนี้เป็นความบกพร่องของเธอเอง เธอจะคร่ำครวญเอาอะไรอีก"

    พระโลกานาถตรัสดังนี้ถึงสามครั้ง แต่พระอานนท์ก็คงเฉยมิได้ทูลอะไรเลย ความวิตกกังวลและความเศร้าของท่านมีมากเกินไป จึงปิดบังดวงปัญญาเสียหมดสิ้น ความจงรักภักดีเหลือล้น ที่ท่านมีต่อพระศาสดานั้น บางทีก็ทำให้ท่านลืมเฉลียวใจ ถึงความประสงค์ของผู้ที่ท่านจงรักภักดีนั้น ปล่อยโอกาสทองให้ล่วงไปอย่างน่าเสียดาย ขณะนั้นพระอานนท์ยังอยู่ในอารมณ์ พระโสดาบัน
    ซึ่งยังละสังโยชน์ กามราคะ และปฏิฆะไม่ได้จึงเกิด วิตกและเศร้าใจ
    ๔. กามราคะ - ความติดใจในกามคุณ
    ๕. ปฏิฆะ - ความกระทบกระทั่งในใจ

    ........................................................
    เสียดายถ้าพระอานนท์อาราธนาพระพุทธองค์อยู่ต่อนานเราอาจจะได้สัมผัสพระองค์ใกล้ชิดกว่านี้
    แต่ไม่เป็นไรยังมีอรหัต์หลายรูปทรงธาตขันอย่ตามหากันเองนะ
     
  16. โดเรม้อน

    โดเรม้อน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    849
    ค่าพลัง:
    +75
    . พระอริยเมตตรัยพุทธเจ้า หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า
    เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 16 อสงไขยแสนกัป
    ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 477,029 พระองค์

    นี่คือตำแหน่งพระพุทธเจ้าอีกจำนวนหนึ่งที่อยู่ในหลายจักรวาลที่พระองค์ได้ร่วมบารมี
    ใครปราถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็เลือกเอาว่าโลกใยใหนชมพูทวีปใดหรือดาวดวงใดนะเร็วเข้า
     
  17. โดเรม้อน

    โดเรม้อน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    849
    ค่าพลัง:
    +75
    ถูกแล้วครับลองอธิบายเรือมิติสิครับ
     
  18. โดเรม้อน

    โดเรม้อน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    849
    ค่าพลัง:
    +75
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width=400 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    เขาสิเนรุและทวีปทั้ง๔ (มนุสสโลก)
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width=600 align=center border=0><TBODY><TR><TD> มนุสสโลก ที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงในที่นี้ มิได้หมายถึงเพียงแค่โลก หรือดาวโลก ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง เท่านั้น แต่หมายถึง แดนอันเป็นขอบเขตแห่งมนุษย์ หรือแดนที่ธรรมชาติ (อันผ่านการปรับสมดุลย์แล้ว) สร้างไว้เพื่อมนุษย์ ขอบเขตแห่งแดนนี้ นั่นแล คือแดนมนุสสโลก

    ขอบเขตมนุสสโลก กว้างขวาง กว้างใหญ่ สุดสายตาธรรมดาจะมองเห็นได้ อันประกอบด้วยจักรวาลมากมาย จากดาวโลกของเราไป กระทั่งดาวดวงที่อยู่รอบนอกสุดแห่งจักรวาลอื่น นักวิทยาศาสตร์อาจยังสำรวจไม่พบ และที่สำรวจพบแล้ว ก็มีระยะทางคำนวณแล้วหลายล้านปีแสง ซึ่งก็ไกลมากทีเดียว หากนับจากดาวดวงรอบนอกสุดแห่งจักรวาลอื่นออกไป ในรัศมีการดึงดูดของมัน นั่นแล คือขอบเขตแห่งมนุสสโลก... ซึ่งจักรวาลอื่นๆ บางจักรวาล ก็มีมนุษย์อาศัยอยู่เช่นกัน... ลองเงยหน้าขึ้นมองดวงดาวบนท้องฟ้า แล้วจินตนาการเอาว่า ดาวที่เรามองเห็นนั้น อยู่ไกลแค่ไหน... นั่นแหละ เทวโลก อยู่ไกลกว่านั้นไปอีก....

    ย่อเข้ามาในจักรวาลที่เราอาศัยอยู่ อันเป็นจักรวาลขนาดเล็ก กระนั้นก็ตาม ก็มีมนุษย์อาศัยอยู่มากมาย นอกจากมนุษย์ที่เรามองเห็นกันอยู่นี้แล้ว ยังมีมนุษย์เหล่าอื่นอีก ที่เรามองไม่เห็น เป็นมนุษย์เหมือนกัน อยู่ในจักรวาลเดียวกัน แต่มองไม่เห็น เพราะอยู่คนละมิติ

    หากจะมองภูมิศาสตร์มนุสสโลก แห่งจักรวาลนี้แล้ว.... จักรวาลของเรานี้ มีเขาสิเนรุ เป็นแกนกลาง และสรรพวัตถุแห่งจักรวาลนี้ ก็วิ่งวนหมุนรอบเขาสิเนรุ

    เขาสิเนรุ เป็นภูเขาสูงใหญ่ มีมวลมากพอจะดึงดูดหลายๆสิ่ง หลายๆมิติ ให้หมุนวนรอบได้ เขาสิเนรุ มิได้อยู่ในมิติของเราก็จริง แต่อำนาจแห่งแรงโน้มถ่วง ก็ส่งมาถึงมิติของเราได้

    ถัดจากเขาสิเนรุออกมา มีเทือกเขาแวดล้อมอีก ๗ เทือกเขา เรียกว่า สัตตบริภัณฑ์ คือ

    ๑. อัสสกัณณะ
    ๒. วิเนตกะ
    ๓.เนมินธร
    ๔.ยุคันธร
    ๕.อิสินธร
    ๖.กรวีกะ
    ๗.สุทัสสนะ
    และระหว่างเขาสิเนรุกับเขาอัสสกัณณะ รวมถึงระหว่างเทือกเขาแต่ละเทือก มีมหาสมุทรคั่นอยู่ รวมแล้ว ๗ มหาสมุทร เรียกว่า สีทันดรมหาสมุทร หรือมหาสมุทรสีทันดร แปลว่ามหาสมุทรที่อยู่ในระหว่าง ซึ่งมีน้ำสุขุมละเอียดยิ่งนัก ถึงกับทำให้ทุกๆ สิ่งแม้เบาที่สุด เมื่อตกลงก็จมทันที คำว่า สีทะ แปลว่า ทำให้ทุกๆ สิ่งจมลง บวกกับคำว่า อันตระ แปลว่า ระหว่าง หมายถึงคั่นอยู่ระหว่าง จึงรวมเรียกว่า สีทันตระ ไทยเราเรียกว่า สีทันดร... การจะข้ามทะเลสีทันดรไปได้ ต้องอาศัยการบินข้าม เหาะข้าม เท่านั้น ไม่สามารถข้ามได้ด้วยเรือ เพราะไม่มีอะไรลอยอยู่บนน้ำทะเลสีทันดรได้

    มหาสมุทรสีทันดร เปรียบเสมือนกำแพงแห่งมิติ กำแพงแห่งกาลเวลา การข้ามผ่านสีทันดร ต้องได้อาศัยฤทธิ์ทางใจ ผู้ที่จะข้ามผ่านไปได้ ต้องเป็นผู้มีฤทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์กึ่งเทพ หรือเทพก็ตาม.... หรือไม่ก็ต้องอาศัยของวิเศษ เช่นจักรรัตนะ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม คนธรรมดา ก็สามารถจะข้ามผ่านสีทันดรได้ ด้วยวิธีพิเศษ ที่เรียกว่า “จุติ”

    การจุติ เป็นการ เปลี่ยนย่านความถี่ของจิต จากย่านความถี่หนึ่ง เป็นอีกย่านความถี่หนึ่ง หรือเป็นย่านความถี่เดิม แล้วแต่กิเลสกรรมและวิบากอันติดอยู่กับจิต จิตที่จุตินั้น นั่นแล จะสามารถลอยข้ามผ่านสีทันดรไปได้... การจุติ พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ การตายแล้วเกิดใหม่ นั่นเอง....

    ถัดจากเทือกที่ ๗ ออกมา ก็เป็นมหาสมุทรน้ำเค็ม มีทวีปใหญ่ๆ อยู่ใน ๔ ทิศ แห่งเขาสิเนรุ ทิศละ ๑ ทวีป (ทวีป คือแดนต่างมิติอันมนุษย์อาศัยอยู่) คือ

    ๑. ทางทิศตะวันออก มีทวีปชื่อว่า วิเทหะ หรือเรียกว่า บุพพวิเทหะ มีมนุษย์อาศัยอยู่ ต้นไม้ประจำทวีป คือ ต้นซึก

    ๒. ทางทิศใต้ มีทวีปชื่อว่า ชมพู หรือเรียกว่า ชมพูทวีป เป็นทวีปที่เราอาศัยอยู่ ต้นไม้ประจำทวีป คือ ต้นชมพู (แปลว่าไม้หว้า) ต้นชมพูที่กล่าวถึงนี้ อยู่ที่ภูเขาหิมพานต์

    ๓. ทางทิศตะวันตก มีทวีปชื่อ อมรโคยาน มีมนุษย์อาศัยอยู่ ต้นไม้ประจำทวีป คือ ต้นกระทุ่ม

    ๔. ทางทิศเหนือ มีทวีปชื่อ อุตตรกุรุ มีมนุษย์อาศัยอยู่ ต้นไม้ประจำทวีป คือ ต้นกัลปพฤกษ์… เป็นทวีปที่เจริญที่สุด

    ทวีปทั้ง๔ นี้ อาศัยพระอาทิตย์ดวงเดียวกัน อาศัยแรงโน้มถ่วงจากแหล่งเดียวกัน

    หากผู้มีฤทธิ์ขึ้นไปบนฟ้า ณ ที่สูงกว่าดวงดาวทั้งหลาย (เพราะแค่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก็อยู่สูงกว่า ไกลกว่า ดาวทั้งหลายแล้ว.... ณ ที่ที่มีดวงดาว โคจรไปถึง ขอบเขตที่ดวงดาวโคจรไปถึง อันกว้างใหญ่ไพศาล ประกอบด้วยจักรวาลมากมาย ทั้งหมดนี้ คือขอบเขตแห่งมนุสสโลก... เทวโลกอยู่ไกลเกินนั้นไปอีก...พรหมโลก ก็ไกลกว่านั้นไปอีก...) มองลงมา ก็จะเห็น ยอดเขาสิเนรุ อันแวดล้อมด้วย ทวีปทั้งสี่ ทิศละหนึ่งทวีป... เปรียบเหมือน เรามองดูอ่างบัวซึ่งมีกอบัวหนึ่งกอ มีดอกหนึ่งดอก มีใบสี่ใบ ทิศละหนึ่งใบ ดอกบัว เปรียบเหมือนยอดเขาสิเนรุ ใบบัว เปรียบเสมือน ทวีปทั้งสี่ ...เขาสิเนรุ สูงเกินกว่าที่สายตาเรามองจนถึงยอดได้ ทว่า ถ้าไม่มีตาทิพย์ ก็มองไม่เห็นอยู่ดี
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. tamagod

    tamagod Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +31
    ข้อมูลล่าสุดชัดเจนครับ พระศรีอาริยเมตไตรมีตัวตนจริงมิได้เป็นยุคแต่อย่างใด หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ พระศรีฯ เป็นคนเดียวกันจริงๆ ตอนนี้ก็มาเกิดแล้วด้วย ส่วนที่เคยบอกว่าเป็นยุคอนาคตผมเข้าใจผิดเองครับ
     
  20. โพธิธรรมะ

    โพธิธรรมะ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +3
    [​IMG]

    เมื่อผู้เขียนได้รับมอบหมายจากหลวงปู่ให้สร้างลูกแก้วสารพัดนึกโดยใช้ปูนซีเมนต์ขาวผสมผงตอนแรกผู้เขียนจะทำ ๑๐๘ องค์ท่านบอกว่าไม่พอ อีกหน่อยจะหายากลูกละพันยังหาไม่ได้ท่านได้บอกเคล็ดลับของการเสกว่าถ้าจะรู้ว่าใช้ได้หรือยังต้องดูในที่มืดๆ จะมีแสงสว่างนั้นแหละใช้ได้แล้วนอกจากนี้ท่านยังให้เจาะเป็นช่องว่างตรงกลางไว้ ตอนแรกผู้เขียนจะขอท่านไม่ต้องเจาะ ท่านบอกไม่ได้เดี๋ยวจะเหมือนลูกกระสุนซึ่งเด็กสมัยก่อนจะรู้ คือนำดินเหนียวมาปั้นก้อนกลมๆ
    ไว้สำหรับใช้กับหนังสติกเพื่อยิงนกรูที่เจาะให้ว่างนั้นแทนอากาศธาตุเวลานั่งภาวนาเกิดแสงสว่างพวกแกก็ไปตามแสงสว่างนั้นแหละจะไปถึงวิมานแก้ว ที่อยู่ของพระพุทธเจ้าจะเห็นลูกแก้วลอยเต็มวิมานให้ขอท่านแล้วอธิษฐานกลืนไว้ตรงทรวงอก

    มีลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เป็นนักปฏิบัติได้มาเจอกับผู้เขียนที่หน้ากุฏิหลวงปู่ขณะนั้นท่านกำลังถวายข้าวพระอยู่ลูกศิษย์หลวงปู่คนหนึ่งเลยให้เขานั่งดูสักครู่เขาบอกว่าหลวงพ่อกำลังถวายของ พระพุทธเจ้าอยู่บนวิมานแก้ว มีพระมากมาย ผู้เขียนเลยบอกว่าถ้าเห็นพระแล้วทำอย่างไรต่อ เขาบอกไม่รู้ ลูกศิษย์หลวงปู่คนหนึ่งเลยพูดว่าหลวงปู่บอกไว้ ถ้าเจอพระให้อธิษฐานเรียกพระเข้าตัว เขาก็ทำตาม และบอกว่าหลวงพ่อองค์นี้ไม่น่าจะธรรมดาเพราะตอนที่ท่านประสิทธิพระเครื่องให้เขาเห็นแต่งตัวแบบเทวดา พอลืมตามาเห็นท่านยิ้มๆ

    มาครั้งหลัง เขาบอกว่ามาพบหลวงปู่ท่านเป่าหัวให้สว่างไป ๗ วันคุยกันไปคุยกันมาผู้เขียนเลยให้เขานั่งดูลูกแก้วมหาจักรพรรดิ (แก้วสารพัดนึก)เขานั่งสักครู่แล้วบอกว่าตรงกลางลูกแก้วเห็นเป็นแสงสว่างเลยให้เขาเดินจิตไปไหว้พระพุทธเจ้าจนไปถึงพระพุทธรูปองค์ที่ ๔พอไปถึงองค์ที่ ๕ พออธิษฐานก็เห็นพระหน้าตัก ๒๐ วาตามที่หลวงปู่บอกไว้ ลูกศิษย์หลวงปู่คนหนึ่งให้เขาอธิษฐานเข้าไปในองค์พระเขาเห็น พระศรีอาริย์ นั่งอยู่ตรงกลางหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืดอยู่ขวาหลวงปู่ดู่อยู่ซ้ายมือของพระศรีอาริย์ ลูกศิษย์หลวงปู่ดู่บอกว่าขอให้อธิษฐานว่าหลวงปู่ทวดกับหลวงปู่ดู่ เป็นองค์เดียวกันหรือไม่หรือท่านจะเป็น อัครสาวกเบื้องซ้ายขวาของพระศรีอาริย์ในอนาคตอธิษฐานเสร็จเขาบอกว่าเห็นทั้งสามองค์ มารวมเป็นหลวงปู่ดู่ แสดงว่าทั้ง สามองค์เป็น องค์เดียวกัน

    ตั้งแต่นั้นมาเขามีความเคารพหลวงพ่อมาก เพราะจากประสบการณ์ที่ลูกแก้วมหาจักรพรรดิ์แสดงให้เขารู้เห็นด้วยตัวเอง

    มีลูกศิษย์ของท่านเป็นคริสต์ แต่ได้มาปฏิบัติ ขณะที่นั่งปฏิบัติที่กรุงเทพหลวงปู่ทวดมาโปรดในนิมิตเมื่อหลวงปู่ยกมือขึ้นประทานพรเขาเห็นรูปผีเสื้อ ตรงกลางฝ่ามือเขารีบขับรถจากกรุงเทพฯ มาหาหลวงปู่ที่วัดหลังจากกราบหลวงปู่แล้วเขาก็ขอดูเห็นเป็นรูปผีเสื้อจริงหลวงปู่ท่านบอกว่า
    “หลวงปู่ทวด ไม่ใช่ข้าแสดงท่านเป็นครูบาอาจารย์ท่านจะทำอย่างไรก็ได้ เออ...โมทนาสาธุด้วย”

    หลวงพ่อเคยเล่าให้ฟังว่ามีชาวบ้านแถบวัดสะแกเป็นผู้หญิง ปฏิบัติเก่งอยากเห็นพระศรีอาริย์มากจึงขอหลวงปู่ทวด ช่วยพาไปวิมานพระศรีอาริย์เมื่อไปถึง เขาบอกหลวงพ่อว่าเป็นเหมือนโรงลิเกประดับประดาอย่างสวยงามหลวงปู่ทวดบอกว่า แกรอประเดี๋ยวพระศรีอาริย์ ท่านจะออกมาจากฉากคอยดูให้ดีหลวงปู่ทวดหายไปสักครู่ก็มีพระศรีอาริย์เดินออกมาจากฉากพอพระศรีอาริย์หายไป เป็นหลวงปู่ทวดเดินมาเธอเลยถามหลวงปู่ว่าไหนล่ะพระศรีอาริย์หลวงปู่บอกว่าแกก็ดูเองซิสลับกันไปมาเช่นนี้จนปฏิบัติเสร็จเขาก็มาเล่าให้หลวงปู่ฟังท่านก็พูดกับผู้เขียนว่า

    “คนเราบางทีต้องอาศัยไหวพริบปฏิภาณ”
    แกเลยงงว่าใครคือพระศรีอาริย์
    “แล้วแกล่ะว่าเป็นใคร”

    ท่านพูดแล้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

    นะโม โพธิสัตโต พรหมปัญโญ

    เรียบเรียงจาก

    กราบอาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์ ผู้เขียน
    ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง
     

แชร์หน้านี้

Loading...